กุมภาพันธ์ 2557

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
 
 
2 กุมภาพันธ์ 2557
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 11
๑๑

ผู้บุกรุกยามวิกาล

บุรุษที่ปรากฏกายยืนมองหญิงสาวซึ่งหวาดกลัวกับอะไรบางอย่างเมื่อตั้งสติได้เธอจึงโผเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดทวนสิ่งใดอีก “ซันเซ็ท! มีตัวอะไรไม่รู้อยู่ในห้องฉัน” น้ำเสียงสั่นเครือตื่นตระหนก ทำให้บุรุษผู้นั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจก่อนกวาดสายตามองไปรอบบริเวณทว่ากลับไร้บางสิ่งบางอย่างที่เธอบอกกล่าว

“เจ้าเห็นสิ่งใดในเมื่อไม่มีอะไรในห้องนี้ นอกจากข้ากับเจ้าเท่านั้น” ประโยคพูดจาของซันเซ็ทดึงสติที่แตกกระเจิงให้กลับมาอีกครั้งศศิชามองบุรุษเบื้องหน้าอย่างชะงักงัน เกิดความขัดแย้งในใจจนต้องหันกลับไปมองยังจุดที่เห็นความน่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา

แม้ศศิชาจะไม่ค่อยเกรงกลัวต่อสิ่งลี้ลับหรืออะไรที่เรียกว่า‘ผี’ สักเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดจะโผล่มาให้เห็นอย่างกะทันหันเช่นนี้คงมีบ้างที่ตกใจกลัวจนตั้งตัวไม่ติด

“ตรงนี้เลย! ฉันเห็นตัวบ้าอะไรไม่รู้ เดินอยู่ตรงนี้”น้ำเสียงร้อนรนชี้ชวนให้มองไปยังจุดเกิดเหตุ “ฉันสาบานได้ว่าไม่ใช่คนแน่ๆ มันต้องเป็นผีไร้หน้าไม่มีปาก ไม่มีจมูก ลูกตางี้ลึกโบ๋ ตัวก็สูงปี๊ดอย่างกับเสาไฟ และที่สำคัญมันกำลังเดินมาหาฉันนายเคยเห็นอะไรที่พิสดารอย่างนี้บ้างไหม มันจะใช่พวกที่อยู่โลกเดียวกันกับนายหรือเปล่า”หญิงสาวระรัวคำพูดราวกับยิงปืนกลความคิดฟุ้งซ่านหลั่งไหลถึงขนาดสงสัยว่าซันเซ็ทคือตัวการนำพาสิ่งประหลาดเหล่านั้นเข้ามาในห้องของเธอ

“เจ้าพบเจอสิ่งเหล่านี้บ่อยงั้นหรือ”เป็นอีกครั้งที่ศศิชาเงยมองบุรุษเบื้องหน้า อาการหวาดระแวงที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดในใจเธอยกมือผลักไหล่ของซันเซ็ทเบาๆ พร้อมลืมเรื่องราวหวาดกลัวชั่วคราว

“นี่นาย! เราตกลงกันแล้วไงว่าต้องพูดภาษาของฉัน มาจ้งมาเจ้าอะไรอีกเล่า เอาใหม่เลยพูดใหม่ดีๆ” แม้เธอจะตกใจเผลอร้องขอความช่วยเหลือจนเสียงหลง ทว่ากลับมีเวลาติติงเขาในเรื่องผิดข้อตกลงทำให้ซันเซ็ทหลุดขำเมื่อเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเธอ ก่อนจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างง่ายดาย

“เธอ...เจอตัวบ้าอะไรไม่รู้ บ่อยอย่างนั้นหรือ”ซันเซ็ทออกอาการตะกุกตะกักระหว่างปรับคำพูดจาให้เป็นไปตามความต้องการของหญิงสาวที่ยืนจ้องเขาตาเขม็ง

“ก็เพิ่งเคยเจอนี่เอง ฉันคงไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม”ศศิชากล่าวอย่างไม่แน่ใจต่อสายตาของตนร้อยวันพันปีไม่เคยเจอเหตุการณ์ประหลาดอย่างนี้ในห้องส่วนตัว นอกจากบุรุษลึกลับตรงหน้าที่ชอบโผล่ออกมาให้เห็นราวกับภาพฝันเท่านั้นแต่ ณ เวลานี้ เขาก็แสดงให้รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่จริง ซึ่งคงไม่แปลกหากจะมีอย่างอื่นผ่านทะลุมิติเข้ามาเฉกเช่นเขาผู้นี้

“ช่วงหลายวันมานี้เธอเห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า” ซันเซ็ทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มองไปยังหญิงสาวที่ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่าง

“ใช่! ฉันจำได้แล้ว เมื่อวันก่อนตอนไปสวนสนุก ฉันเห็นรูปปั้นแมวเคลื่อนไหวได้ดวงตาแวววาวของเจ้าแมวตัวนั้นจ้องฉันน่ากลัวมาก แล้วมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“วันที่เธอไปในสถานที่มืดสลัวกับชายผู้นั้นสองต่อสอง?”

“นี่นายรู้ได้ไง!” ศศิชาเริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเข้าใจ ในเมื่อการปรากฏตัวของซันเซ็ทโดยส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาค่ำคืนจนได้ฉายาเจ้าชายรัตติกาลทว่าการไปเที่ยวสวนสนุกในวันนั้นเป็นช่วงกลางวันแสกๆเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นคล้ายเฝ้าจับตามองเธออยู่

“ข้า...เอ่อ ฉันเห็นเธอในสายตาตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ใด”

“เฮ้! อย่าบอกนะว่านาย...” ศศิชาหยุดคำพูดไว้ในลำคอ แต่ความคิดกลับเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับในเมื่อเขาสามารถเห็นเธอได้ตลอดเวลาอย่างที่เอ่ยอ้าง แม้ขณะทำธุระส่วนตัว ไม่ว่าจะนั่งนอน ยืน เดิน หรืออยู่ในสถานที่ใดก็ตาม เขาสามารถรับรู้อย่างนั้นหรือเกิดเป็นคำถามในใจ และหากในเวลาที่เธอเปลือยกาย เขาจะมองเห็นด้วยหรือไม่ ความคิดในแง่ร้ายเริ่มวนเวียนไปมา“ไอ้บ้า! ซาตานโรคจิต!”นึกเพียงเท่านั้นก็ทำให้ศศิชาเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพาซันเซ็ทขำขันพร้อมคว้าข้อมือของหญิงสาวที่กำลังจะทุบตีเขาไว้ได้ทันท่วงที

“เธอกำลังคิดอะไรไม่เข้าท่าอย่างนั้นหรือฉันไม่ใช่ซาตานโรคจิตอย่างที่เธอกล่าวหา รับรองว่าฉันมีมารยาทพอที่จะไม่มองหาเธอในช่วงเวลาไม่สมควร”

“ฉันจะแน่ใจได้ไงว่านายจะทำอย่างที่พูดจริงๆ”ศศิชาชักแขนกลับด้วยความหงุดหงิดลดลงกว่าครึ่ง เมื่อบุรุษเบื้องหน้ายืนยันอย่างหนักแน่นเขาคงไม่คิดล่วงเกินหรือฉวยโอกาสกับเธอทางสายตา

“ฉันให้สัญญา” ซันเซ็ทให้คำมั่นอีกครั้งเพื่อคนรับฟังจะได้รู้สึกคลายความกังวลนัยน์ตาสีสนิมจ้องมองหญิงสาวนิ่งๆ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นที่จิตใจอย่างประหลาดจนต้องนึกทวนเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เหตุใดเธอจึงเรียกหาเขาเมื่อรู้สึกว่าภัยกำลังมาถึงตัวหรือเพราะเขาพร้อมจะเป็นผู้พิทักษ์ของเธอ ความคิดต่างๆ ณ ขณะนั้นจึงมุ่งตรงไปหาบุรุษผู้นี้คล้ายต้องการที่พึ่งพิงและอยากได้ความปลอดภัย

“ว่าแต่ตัวประหลาดเมื่อกี้ นายรู้หรือเปล่ามันคืออะไร”ซันเซ็ทนิ่งเงียบไม่มีการโต้ตอบใดๆ นอกจากหลบสายตามองต่ำคล้ายพิจารณาบางอย่าง

“หลังจากนี้ ฉันคงต้องอยู่ใกล้เธอให้มากกว่าเดิมและเธอควรหลีกเลี่ยงความมืดมิด”

“เพราะ...” ยังไม่ทันได้ถามไถ่จนจบประโยคเสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะการสนทนา ศศิชายกมือส่งสัญญาณให้บุคคลเบื้องหน้ายืนนิ่งๆอย่างนั้นในตำแหน่งเดิม

หญิงสาวเจ้าของห้องสาวเท้าเดินอย่างว่องไวจนหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนาเธอมองผ่านช่องส่องตาแมวจนเห็นผู้มาเยือนจึงหันกลับไปมองซันเซ็ทอีกครั้งก่อนจะแง้มประตูเปิดและแทรกกายออกไปยืนอยู่ด้านนอกเพื่อปกปิดใครบางคนที่ยังคงอยู่ในห้องนี้

“วี...มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาดี้ดึกดื่นป่านนี้”ศศิชากลบเกลื่อนพิรุธด้วยการตั้งคำถาม เธอดึงประตูเกือบปิดสนิทคล้ายบดบังความลับภายในห้องของตนสร้างความสงสัยใคร่รู้แก่วรดาอย่างมาก เนื่องจากหล่อนยืนอยู่หน้าห้องนี้นานกว่าหลายนาทีจนได้ยินเสียงของศศิชาพูดจากับใครสักคนเล็ดลอดออกมา

“อะไรกันเลดี้ เธอลืมนัดของเราได้ไงไหนว่าอาบน้ำเสร็จจะแวะไปหาวีที่ห้อง รอตั้งนานไม่มาซะที วีเลยเป็นฝ่ายมาเอง แล้วเมื่อกี้เธอคุยกับใคร”วรดาชะเง้อมองเข้าในห้องอย่างสำรวจตรวจตราทำให้เจ้าของห้องอึกอัก เกิดความลังเลระหว่างชำเลืองมองเข้าในห้องของตนเช่นกัน

“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกพอดีดี้กำลังหัดซ้อมร้องเพลงน่ะ”

“ซ้อมร้องเพลง! วีฟังผิดไปหรือเปล่า นี่เธอจะไปประกวดเดอะวอยซ์หรือไง” ศศิชายิ้มแห้ง เก็บอาการหวาดระแวงแทบไม่มิดในใจได้แต่ภาวนาขอให้ซันเซ็ทหายตัวไปจากห้องนอนโดยด่วน “วีขอเข้าไปข้างในได้ไหมอยากคุยธุระนิดหน่อย ไม่กวนเธอนานหรอก”

“เอ่อ...” ศศิชาแสดงท่าทางเลิ่กลั่กเหลียวมองไปยังห้องส่วนตัวพร้อมยกมือปาดเหงื่อซิบบนหน้าผาก รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมากะทันหัน“งั้น...เข้ามาก่อนสิ” หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดประตูห้องนอนให้กว้างขึ้นด้วยใจเต้นตึกตักเธอจงใจหลับตาลงไม่อยากรับรู้อนาคตหากความลับที่พยายามปกปิดไว้เปิดเผยจนวรดารู้เห็นว่ามีซันเซ็ทในห้องนี้

“เป็นอะไรของเธอเลดี้ทำอย่างกับซ่อนใครไว้ในห้องอย่างนั้นล่ะ” วรดาเหล่มองเจ้าของห้องที่หรี่ตามองไปรอบบริเวณโดยยิ้มเยาะขำขันระหว่างเดินเข้าด้านใน หล่อนทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนกว้างสูดลมหายใจรับความเย็นฉ่ำไว้เต็มปอด เอี้ยวกายมองไปรอบห้องคล้ายสังเกตการณ์ “ห้องนี้กลิ่นหอมดีจังเธอใช้น้ำหอมอะไรปรับอากาศเหรอเลดี้”

“ไม่ใช่น้ำหอมหรอก พอดีดี้เพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วทาโลชั่นบำรุงผิวน่ะกลิ่นคงตลบอบอวลอยู่มั้ง ว่าแต่วีมีธุระอะไรกับดี้เหรอ”ศศิชาพยายามปรับความรู้สึกตื่นเต้นให้กลับมาเป็นปกติเมื่อสำรวจไปรอบห้องจนแน่ใจว่าไม่เห็นซันเซ็ทแล้วจริงๆ

“ก็พงศ์น่ะสิแวะมาหาวีเมื่อเช้านี้บอกรู้สึกผิดมากๆ ที่ทิ้งเธอไว้ในสวนสนุกวันก่อน เลยอยากขอโทษและฝากถามเธอด้วยว่าพอจะมีเวลาว่างเปิดโอกาสให้เขาได้แก้ตัวหรือเปล่าคงอยากพาเธอไปทานข้าวเป็นการไถ่โทษล่ะมั้ง”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมาก็อดขำไม่ได้ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่แสดงตนเป็นสุภาพบุรุษอย่างพงศกรเก่งในการพูดจาหว่านล้อมชวนหลงใหลสนุกสนานเป็นกันเองจนสนิทสนมได้อย่างแนบเนียนระดับมือพระกาฬดันมาตกม้าตายเพราะกลัวผีในสวนสนุก ทั้งที่อยากหัวเราะแทบตาย แต่จำเป็นต้องเก็บอาการเอาไว้โดยแสดงสีหน้านิ่งเฉยเพื่อจะกล่าวคำปฏิเสธได้อย่างสบายใจ ไม่หลงเหลือความเกรงใจอีกแล้ว

“ดี้ฝากบอกคุณพงศ์ด้วยแล้วกันดี้คงไม่มีเวลาไปทานข้าวกับเขาแล้วล่ะ ตอนนี้ดี้ทำงานแล้ว คงหาเวลาว่างลำบากแต่ดี้ไม่ได้ถือโทษโกรธเพื่อนวีนะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดล่ะ จริงๆดี้เองมากกว่าที่ต้องขอโทษคุณพงศ์โทษฐานหนีกลับมาก่อน”

“เรื่องนั้นพงศ์ไม่ถือสาหรอกน่า”วรดายกมือโบกปัดคล้ายบอกเป็นนัย ไม่ควรเอาเรื่องเล็กน้อยมาคิดให้รกสมอง ในเมื่อเพื่อนชายคนสนิทของหล่อนก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังมากไปกว่าทำความรู้จักเท่านั้นและหลังจากนี้พงศกรคงเข็ดหลาบกับการจีบสาวไปสักพัก

สายตาคมเฉี่ยวหันไปสะดุดกับภาพโปสเตอร์ขนาดใหญ่บนกำแพงห้องนอนซึ่งปูด้วยวอลเปเปอร์สีครีมนวลสว่าง แซมดอกไม้สีส้มอ่อนชวนมอง วรดาไล่สายตาประหลาดใจไปจนถึงกรอบรูปเรียงรายบนโต๊ะเขียนหนังสือภาพชายหนุ่มคนเดียวกันในหลากหลายอิริยาบถทำให้จับประเด็นอะไรได้บางอย่าง ก่อนจะเหล่มองหญิงสาวที่นั่งลงด้านข้างอย่างมีเลศนัย

“เพราะคนในรูปหรือเปล่าถึงไม่อยากให้วีเข้ามาในห้องนี้”วรดายิ้มกริ่ม ส่งเสียงถามไถ่เชิงล้อเลียนอยู่ในทีทำให้หญิงสาวอีกคนถึงกับผงะเล็กน้อยเมื่อหันไปมองยังรูปภาพเหล่านั้น

“เปล่านะ เขาในรูปไม่ใช่ใครที่ไหนก็แค่ซุปตาร์ที่ดี้คลั่งไคล้เท่านั้นล่ะ ไม่มีอะไรหรอกน่า”

“อื้ม...ดูท่าจะคลั่งไคล้มากนะถึงขนาดเอารูปของเขามาไว้เต็มห้องอย่างนี้ ว่าแต่เขาดังมากเลยเหรอดาราคนนี้” วรดาตั้งคำถามโดยไม่ละสายตาจากรูปภาพเหล่านั้นหล่อนลุกจากเตียงนอนและเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อหยิบกรอบรูปขึ้นมาดูอย่างชัดเจน

“ใช่ ฟาโรดังมากในเมืองไทย ตอนนี้ก็เริ่มมีกระแสที่ต่างประเทศบ้างแล้วล่ะวีไปอยู่เมืองนอกหลายปีคงไม่ได้ติดตามข่าวคราวของวงการบันเทิงล่ะมั้งเลยไม่รู้จัก...ฟาโร...”

ศศิชาเก็บคำว่า ‘ขวัญใจ’ ของเธอเอาไว้ในลำคอทั้งที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รู้สึกภาคภูมิใจกับชื่อเสียงของดาราหนุ่มซึ่งเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปีฟาโรโด่งดังจนแซงหน้านักแสดงยอดนิยมหลายคน มีแฟนคลับติดตามมากมาย โดยเฉพาะเธอเองก็หลงคลั่งไคล้เขามาตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยเริ่มจากการถ่ายแบบลงหนังสือแฟชั่นเล่นดนตรีตามสถานที่ต่างๆ และมีผลงานละครกับภาพยนตร์ตามลำดับ

“งั้นเหรอ พอดีวีไม่ค่อยสนใจเรื่องของวงการบันเทิงเท่าไหร่”กรอบรูปในมือถูกวางลงยังตำแหน่งเดิม วรดาหันมาส่งยิ้มอีกครั้ง“ที่คุณย่าเล่าว่าเธอทำงานกับดาราดังระดับประเทศ หมายถึงคนนี้หรือเปล่า”

“อืม ฟาโรนี่ล่ะถ้าไม่ใช่เพราะเขา ดี้ก็คงไม่ได้ไปทำงานกับซี”

“หลงใหลดาราดังระวังจะอกหักนะ”วรดายิ้มพราวเมื่อแฝงคำเตือนสติไว้ในประโยคนั้น “เอาเป็นว่าวีไม่กวนเธอแล้วล่ะตกลงเรื่องของพงศ์คงปฏิเสธทุกทางสินะ วีจะได้บอกให้เพื่อนของวีทำใจไว้ได้เลย”

“โทษทีนะวี ดี้ไม่อย่าฝืนใจตัวเอง”ศศิชากล่าวเสียงแผ่วรู้สึกสลดใจเล็กน้อยการปฏิเสธไปอย่างนี้คงชัดเจนดีกว่ายอมใจอ่อนต่อคำขอร้องที่สร้างความอึดอัดกดดันแก่ตนเอง

“วีเข้าใจ แต่เตือนไว้ก่อนนะห้ามมาเสียดายเพื่อนวีทีหลังล่ะ” สองสาวหัวเราะประสานก่อนจะร่ำลากันอย่างจริงจังเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วเพื่อต่างฝ่ายจะได้พักผ่อนตามที่ตั้งใจ

ศศิชาส่งแขกยังหน้าห้องนอน เธอยืนมองวรดาเดินขึ้นชั้นบนจนพ้นสายตาลมหายใจถูกทอดถอนไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ ทั้งโล่งอกและหดหู่ในคราวเดียวกันเธอต้องเข้มแข็งและหนักแน่นให้มากกว่านี้ ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่าไม่ควรฝืนใจตนเองเพื่อทำให้ผู้อื่นสบายใจ เพราะมันไม่ได้รู้สึกย่ำแย่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่กลับทำให้ความสัมพันธ์ของการคบหาที่เพิ่งเริ่มต้นจบลงอย่างง่ายดาย

ประตูห้องนอนถูกดันปิดเบาๆก่อนศศิชาจะนำแผ่นหลังพิงประตูบานนั้นอย่างใช้ความคิดไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งสำหรับความหวังดีของวรดาที่ช่วยแนะนำเพื่อนชายให้ได้รู้จักกัน ทำให้เธอซาบซึ้งและอยากขอบคุณด้วยความจริงใจแต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้คงไม่มีการแนะนำให้เธอทำความรู้จักกับชายหนุ่มคนใดอีกศศิชาหวังให้เป็นเช่นนั้น

หญิงสาวผละจากประตูเดินมาหยุดยืนข้างเตียงนอนพร้อมสำรวจไปรอบห้องเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลงลืมใครบางคนไปชั่วคราว“นี่ซันเซ็ท ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้นายอยู่ไหน แต่ขอร้อง คืนนี้ดูแลฉันด้วยอย่าให้ผีตัวไหนมาก่อกวนกันอีกนะ ขอนอนหลับอย่างสงบซักคืนพรุ่งนี้ต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่แต่เช้า ยังไงคืนนี้ก็ฝันดีนะ เจ้าชายรัตติกาล”หญิงสาวก้าวขึ้นเตียงพร้อมจัดแจงดึงผ้าห่มคลุมร่างกายก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายใจโดยไม่รู้ว่าคำพูดของเธอจะดังไปถึงบุคคลที่อยากสื่อสารหรือไม่ แต่ก็หวังให้เขารับรู้เพื่อคอยดูแลและปกป้องเธออย่างผู้พิทักษ์

ซันเซ็ทระบายยิ้มน้อยๆระหว่างยืนกอดอกพิงตู้เสื้อผ้าภายในห้องของหญิงสาวซึ่งกำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทราเขารับรู้และได้ยินในสิ่งที่เธอบอกกล่าวทุกประการ นัยน์ตาสีสนิมทอดมองหญิงสาวอย่างเอ็นดูแม้เธอจะไม่ร้องขอสิ่งใด เขาก็พร้อมเฝ้าดูแลตลอดค่ำคืนนี้เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกยามวิกาลเข้ามาป้วนเปี้ยนได้อีกครั้ง

กระโปรงท้ายรถเก๋งคันหรู โลโก้เมอร์เซเดสเบนซ์รุ่น S-Class สีดำเงางามถูกกดปิดเบาๆเมื่อยกสัมภาระออกมาวางบนพื้นถนนคอนกรีตเป็นที่เรียบร้อย กระเป๋าเดินทางใบกำลังเหมาะซึ่งบรรจุเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวสำหรับการเดินทางสองวันถูกดึงด้ามจับเตรียมพร้อมลากเคลื่อนที่เข้ายังตึกสูงตระหง่านซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ

“เดินทางปลอดภัยนะครับคุณหนู”

“ขอบคุณนะคะลุงผันที่มาส่ง”ศศิชาแย้มยิ้มพร้อมโบกมืออำลาคนขับรถประจำคฤหาสน์ซึ่งเดินทางมาส่งเธอยังที่หมาย โดยเป็นคำสั่งของคุณยายซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลยแม้เธอยืนยันว่าจะเดินทางโดยอาศัยแท็กซี่มิเตอร์ แต่คุณยายของเธอกลับยื่นคำขาด หากไม่ยอมนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ห้ามเธอไปทำงานยังต่างจังหวัดเช่นกัน

โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกจากเป้สะพายสีชมพูหวานแหววพร้อมกดเบอร์ต่อสายถึงเพื่อนสนิทที่นัดหมายการเดินทางกันไว้โดยเธอเองยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก นอกจากได้ติดตามดาราดังไปทำงานเกี่ยวกับการถ่ายแฟชั่นลงหนังสือประจำสัปดาห์รู้เพียงแค่จะได้ใกล้ชิดกับฟาโรก็มีความสุขจนยิ้มแก้มปริ อารมณ์ดีตั้งแต่ได้รับสายของนลัทโทรมาบอกกล่าวเมื่อเช้านี้

“ซีอยู่ไหนดี้อยู่หน้าบริษัทแล้ว” ศศิชาลากกระเป๋าเดินทางตรงเข้าในอาคาร เพื่อขึ้นไปหานลัทซึ่งกำลังตระเตรียมความพร้อมในการจัดสรรหน้าที่ภายในห้องทำงานส่วนตัวแม้ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะออกเดินทางตามที่นัดหมายกันไว้ ทว่าเข็มนาฬิกาที่หมุนวนอยู่บนหน้าปัดกลับสร้างความตื่นเต้นให้เริ่มเร่งนับเวลาถอยหลัง

หญิงสาวหุ่นเพรียวในชุดเดรสสั้นคลุมเข่าเผยขาคู่สวยเดินผ่านหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เปิดประตูให้พร้อมก้มศีรษะทักทาย ศศิชาเดินตรงไปยังหน้าลิฟต์กดปุ่มทรงกลมจนไฟสีส้มติดสว่าง บ่งบอกถึงความต้องการจะขึ้นชั้นบนเพียงไม่กี่นาทีประตูลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมหญิงสาวก้าวเดินเข้าด้านในอย่างกระฉับกระเฉง

นิ้วเรียวแตะปุ่มตัวเลขตรงแผงควบคุม‘19’ ก่อนจะกดปิดประตูลิฟต์พร้อมออกเดินทางอย่างใจเร่งรีบสายตาคมหวานภายใต้กรอบแว่นสีแดงสด มองตนเองผ่านกระจกส่องเงาภายในตู้ลิฟต์สำรวจความเรียบร้อยใบหน้านวลเนียนซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนอ่อนดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา หญิงสาวยกมือขยับกรอบแว่นให้เข้าที่และจัดแต่งทรงผมเล็กน้อยก่อนลิฟต์จะหยุดนิ่งตรงชั้นปลายทาง

กระเป๋าสัมภาระถูกคว้าออกจากตู้ลิฟต์และเดินต่อยังห้องทำงานของนลัทซึ่งพอคุ้นเคยอยู่บ้างเมื่อแวะเวียนมาบ่อยครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานยังสถานที่แห่งนี้หากแต่สายตาที่มองตรงไปเบื้องหน้า ดึงความสนใจให้เธอชะลอฝีเท้าจนหยุดยืนอยู่กับที่ประมวลความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นอย่างไตร่ตรอง เมื่อการกระทำของชายหนุ่มที่อาจเป็นคู่อริทางความรู้สึกและเป็นบุคคลที่ทำให้เธอต้องเฝ้าจับตาทุกฝีก้าวแสดงพฤติกรรมบางอย่างเข้าข่ายน่าสงสัย

กล้องถ่ายรูประดับมืออาชีพถูกยกส่องเพื่อถ่ายภาพใครสักคนที่ยืนหลบมุมอยู่อีกฟากกำแพงซึ่งพ้นรัศมีจากการมองเห็นของเธอความคิดชั่ววูบแล่นเข้าสมอง ควรถึงเวลาเปิดโปงความจริง ในเมื่อเธอเชื่อว่าผู้ชายคนนี้กำลังแอบเก็บภาพถ่ายของใครสักคนเพื่อนำไปขายต่อยังนักข่าวตามที่เธอสันนิษฐานเอาไว้ความร้อนรนและอยากจับคนผิดให้ได้คาหนังคาเขาทำให้หญิงสาวปล่อยมือจากกระเป๋าเดินทางและสาวเท้าเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

“นี่นายอาร์ต! นายกำลังทำอะไร! เพราะนายใช่ไหมเป็นคนเอาภาพของฟาโรไปเผยแพร่เมื่อวานนี้”ศศิชาถือวิสาสะคว้ากล้องในมือของชายหนุ่มมาถือไว้พร้อมค้นหาหลักฐานในกล้องตัวนั้นอย่างเร่งรีบภาพถ่ายที่เก็บบันทึกไว้ถูกกดดูอย่างต่อเนื่องโดยไม่ใส่ใจสิ่งใดรอบกาย

“นี่คุณทำบ้าอะไรเอากล้องของผมคืนมาเดี๋ยวนี้”สีหน้าขึงเข้มจ้องมองหญิงสาวที่สูงระดับไหล่อย่างขัดใจ เมื่อเธอเสียมารยาทแย่งสิ่งของที่เขาถือครองอยู่อย่างหน้าตาเฉยไม่คิดขออนุญาตสักคำ

“วันนี้ฉันจะกระชากหน้ากากของนายออกมา”ศศิชาไม่ฟังคำใดๆ ในเมื่อเธอจงใจกล่าวหาว่าเขาคือปาปารัสซี่ที่แอบแฝงเข้ามาทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้เพื่อเก็บภาพถ่ายของฟาโรและนำไปประจานในทางเสื่อมเสียเฉกเช่นที่เคยมีข่าวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“ถ้าคิดจะบ้าแบบนี้ก็เข้าไปสงบสติอารมณ์หน่อยแล้วกัน”พูดไม่ทันขาดคำแขนบอบบางของศศิชาก็ถูกคว้าหมับพร้อมลากเธอไปยังหน้าห้องหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัวหญิงสาวพยายามดิ้นรนขัดขืนระหว่างถูกฉุดกระชากเพื่อให้พ้นการจับกุม ทว่าไร้ผลใดๆเมื่อแรงหน่วงเหนี่ยวที่แขนหนักขึ้นกว่าเดิม

ประตูห้องดังกล่าวถูกดันเปิดจนกว้างก่อนจะผลักหญิงสาวที่ลากเดินเข้าด้านในโดยคว้ากล้องตัวโปรดของตนคืนกลับมาได้สำเร็จ แม้เสียงโวยวายจะเล็ดลอดออกจากห้องที่พยายามปิดประตูกักขังเธอเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสะทกสะท้านสักนิด แม่กุญแจอันใหญ่ถูกคล้องเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครด้านในได้ออกมาเป็นอิสระจนกว่าเขาจะยอมปล่อยตัว

“อะไรกันคะน้องช่างภาพถ่ายรูปพวกพี่อยู่ดีๆ ทำไมถึงเดินหนีมาเสียล่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อถูกขัดจังหวะกับการโพสต์ท่าสวยตรงกำแพงหลากสีสันซึ่งจัดทำเพื่อการถ่ายแบบโดยเฉพาะ

“อ๋อ ไม่มีอะไรครับ แค่เจอตัวป่วนวุ่นวายนิดหน่อยปล่อยให้อยู่เงียบๆ สักพักคงสงบไปเอง เราไปถ่ายรูปกันต่อดีกว่าครับ”อาร์ตชำเลืองมองประตูที่ถูกทุบระรัวจนสั่นคลอน โดยไม่ใส่ใจว่าหญิงสาวที่ถูกกักขังกำลังเดือดดาลเพียงใดคงต้องปล่อยเธอไว้ตามลำพังจนกว่าเขาจะปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้น

ประตูด้านในถูกกระชากเป็นระยะพร้อมกับระรัวทุบอย่างหนักโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของมือบอบบางสักนิด แม้กระดูกจะแหลกเป็นเสี่ยงก็ไม่เท่าความคับแค้นใจที่มีเวลานี้

“ไอ้บ้า! เปิดประตูให้ฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”ศศิชาระบายความโกรธลงกับบานประตูอย่างหนัก นึกเจ็บใจที่พลาดท่าถูกกักขังอยู่ในห้องมืดสลัวหลักฐานก็ไม่มีปรากฏ ตัวการที่แอบถ่ายภาพก็ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา ในเมื่อถูกกักขังไว้อย่างนี้จะหาทางออกอย่างไรยิ่งสร้างโทสะให้ระรัวทุบประตูหนักขึ้นกว่าเดิม

“ใครก็ได้ช่วยด้วย!” ความคิดเอาตัวรอดเริ่มทำงานเมื่อเธอยอมระงับอารมณ์เดือดดาลและใช้สติให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อหาหนทางออกจากห้องนี้

ศศิชาหยุดการกระทำรุนแรงยืนหายใจหอบเหนื่อยชั่วครู่ก่อนจะเพ่งสายตาฝ่าความมืดสลัวมองหาสวิตช์เปิดไฟ ระหว่างยืนใช้สติแก้ไขปัญหาเสียงครางฮือดังทำลายความเงียบพาให้ศศิชาหันหาต้นทางเสียงโดยอัตโนมัติด้วยสภาวะรอบกายที่เริ่มสร้างความกดดัน กอปรกับบรรยากาศมืดมัววังเวงทำให้เธอฉุกคิดถึงตัวประหลาดไร้หน้าเมื่อคืนนี้อย่างไม่เต็มใจสักนิดและคำเตือนของซันเซ็ทก็ผุดดังในใจ ‘เธอควรหลีกเลี่ยงความมืดมิด’ หรือเสียงครางที่ได้ยินเมื่อครู่จะเป็นของตัวประหลาดซึ่งกลับมาเยือนเธออีกครั้ง

หญิงสาวยืนลังเลชั่วครู่ก่อนตัดสินใจเดินหาต้นตอของเสียงครางนั้นขอพิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปสักตั้งว่าเสียงที่ได้ยินเกิดจากสิ่งใดกันแน่ เมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดสลัวทำให้สองขาที่ยืนแน่นิ่งค่อยๆก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเพื่อคลำทางหาบางสิ่งบางอย่าง

ชั้นวางของสูงท่วมศีรษะ ม้วนฟิล์มวางกลาดเกลื่อนในแต่ละชั้นขาตั้งกล้องหลากขนาดวางซ้อนกันจนเกะกะเต็มพื้นที่ หญิงสาวที่ค่อยๆก้าวเดินต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ไม่อยากชนกับสิ่งของเหล่านั้นจนเกิดอันตรายกลายเป็นอุบัติเหตุ

ถัดจากชั้นวางของมีผ้าม่านสีทึบปิดกั้นราวกับเป็นเขตแดนอีกส่วนภายในห้องนี้สถานการณ์รอบกายเวลานี้คล้ายกับฉากของหนังสยองขวัญที่เคยดูมานักต่อนัก และความอยากรู้ที่มีมากกว่าหวาดกลัวทำให้เธออยากเผชิญกับทุกสิ่งเบื้องหน้าศศิชาเอื้อมมือดึงผ้าเปิดออกทีละน้อยด้วยใจเต้นตึกตักรุนแรง ลุ้นระทึกจนต้องกลั้นหายใจ

แต่แล้วร่างบอบบางต้องผงะถอยหลังตั้งหลักรีบปล่อยมือจากผ้าม่านยกขึ้นปิดปากตนเอง เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาสิ่งที่เห็นเมื่อครู่คล้ายเงาของใครบางคนหลบอยู่หลังม่านผืนนี้ ความเงียบสงบภายในห้องมืดสลัวทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวแทบระเบิดศศิชาพยายามสูดลมหายใจเข้าให้ลึกเพื่อระงับความตื่นเต้นที่เกาะกินจิตใจจนหวิวไหวความระแวงอาจทำให้สายตาพร่ามัวจนคิดไปต่างๆ นานาเมื่อตั้งสติได้เธอจึงเอื้อมมือเปิดผ้าม่านนั้นอีกครั้งและภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้ต้องเบิกตากว้างพร้อมอุทานเบาๆ

‘ฟาโร’

ศศิชายืนลังเลอยู่กับความคิดพักใหญ่ควรทำอย่างไรกับชายหนุ่มที่นอนหลับไหลบนเตียงพับด้วยสีหน้าอึดอัดชอบกล ใบหน้าคมคายที่เธอกำลังจดจ้องทำให้นึกถึงคำบอกเล่าของเหล่าทีมงานซึ่งเคยได้ยินผ่านหูเกี่ยวกับเรื่องของดาราหนุ่มผู้นี้บ่อยครั้งที่เขามักจะหาห้องเงียบสงบหลบนอนพักโดยไม่สนใจใครคล้ายเป็นบุคคลที่มีโลกส่วนตัวสูงลิบจนดูลึกลับในบางครั้ง ข่าวลือที่เคยได้รับรู้มาคงมีมูลความจริงอยู่บ้างเมื่อได้มาเห็นกับตาอย่างนี้

สาวแว่นหนาค่อยๆเดินเข้าใกล้ขวัญใจของเธอเพื่อสำรวจอาการแปลกๆ ที่เขาแสดงออกอย่างชัดเจน จากการคาดเดาเขาอาจจะเหนื่อยจนรู้สึกไม่สบายตามร่างกาย จึงมีปฏิกิริยาเผยออกมาขณะหลับอย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วยุ่ง หายใจถี่รัวจนไม่เป็นปกติทำให้คนมองเห็นนึกห่วงกับอาการแปลกที่เกิดขึ้นกับเขา

“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า” ศศิชาตัดสินใจแตะเขย่าร่างกายของคนหลับไหลให้รู้สึกตัวทว่ากลายเป็นเธอเสียเองที่ตกใจแทบช็อคเมื่อฝ่ามือเย็นเยือกคว้าจับที่แขนของเธอโดยอัตโนมัติ

ฟาโรสะดุ้งเฮือกคล้ายถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายจ้องมองบุคคลเบื้องหน้าตาเขม็งก่อนชำเลืองมองไปรอบบริเวณเขาถอนใจหนักหน่วงและปล่อยมือของหญิงสาวที่คว้าจับไว้ให้เป็นอิสระ

“เข้ามาทำไมในห้องนี้”เสียงทุ้มถามไถ่อย่างราบเรียบ ไม่ได้ใส่ใจคู่สนทนาที่ยืนอึกอักปรับสีหน้าไม่ถูกว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อรู้สึกล้ำแดนเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา

“เอ่อ...พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย”ศศิชากล่าวผ่านๆ โดยไม่คิดว่าเขาจะสนใจถึงเหตุผลมากนัก ในเมื่อฟาโรเป็นถึงซุปเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้าคงไม่แลผู้หญิงหางแถวอย่างเธอ

“เรื่องอะไรของเธอถึงต้องบุกรุกมารบกวนคนกำลังนอน”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจปลุกคุณนะแค่เห็นว่าคุณคงอึดอัดหรือเป็นอะไรสักอย่างก็เลย...”

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรมากไม่มีธุระอะไรก็ออกไปได้แล้ว” ฟาโรตัดบท ขยับลุกจากเตียงพับพร้อมบิดตัวไปมาคล้ายความปวดล้าตามร่างกาย

“อืม ขอโทษที่รบกวน”น้ำเสียงอ่อยดึงให้ดาราหนุ่มปรายสายตามองหญิงสาวที่พยักหน้าน้อยๆก่อนจะหันหลังเตรียมเดินจากไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ฟาโรก็คว้าข้อมือของเธอไว้อีกครั้ง

“อย่าเพิ่งไป” แววตานิ่งเฉยจ้องมองหญิงสาวที่แสดงสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนจะปรับเป็นปกติและชักมือกลับจนพ้นการจับกุม

“มีอะไรเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาแต่ในหัวใจกับเต้นระรัวรุนแรงเมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองมานิ่งๆพาหวั่นไหวสิ้นดี

“หายาแก้ปวดหัวให้หน่อยได้ไหมเดี๋ยวต้องนั่งรถไฟอีกหลายชั่วโมง ไม่อยากทนปวดบนนั้น”

ประโยคร้องขอของเขาทำให้นึกขึ้นได้ว่าเธอเตรียมความพร้อมเสมอหญิงสาวระบายยิ้มให้ตนเองก่อนจะหยิบเป้ที่สะพายล้วงหายาแก้ปวดซึ่งพกติดตัวมาด้วยเมื่อรู้ว่าต้องเดินทางไกลแผงยาแก้ปวดไทลินอล 500 ถูกฉีกแบ่งออกมาหนึ่งส่วนซึ่งมียาอยู่สองเม็ดยื่นส่งให้บุคคลที่เรียกร้องถามหา

เสียงโทรศัพท์ดังเตือนให้รับสายโทรเข้าทำให้หญิงสาวกระตือรือร้นหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าเป้ขึ้นกดรับทันทีเมื่อเห็นว่านลัทติดต่อเข้ามาโดยไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาบางคู่ลอบมองอยู่นิ่งๆศศิชาโวยวายใส่โทรศัพท์ต่อว่าชายหนุ่มที่นำเธอมากักขังอยู่ในห้องนี้ให้เพื่อนสนิทรับรู้โดยไม่แจงเหตุผลที่แท้จริงบอกเพียงว่ามีปัญหาถกเถียงกันรุนแรงเท่านั้น และอ้อนวอนขอให้เพื่อนมาช่วยเหลือนำพาเธอออกจากห้องโดยด่วน

เมื่อเจรจาจนเข้าใจตรงกันเป็นที่เรียบร้อยศศิชาจึงกดตัดสายโทรศัพท์และเฝ้ารอการช่วยเหลืออย่างใจจดใจจ่อเธอชำเลืองมองไปยังบริเวณที่ฟาโรเคยยืนอยู่ ทว่าเวลานี้เขาหายไปจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ รู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่เธอใช้เวลาหันหลังโทรศัพท์เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

‘เขาหายไปไหน’ เกิดเป็นคำถามซ้ำไปซ้ำมาหรือจะหลบออกจากห้องนี้ระหว่างที่เธอกำลังสนทนา ศศิชาก้าวเดินผ่านผ้าม่านกลับออกไปตรงประตูทางเข้าซึ่งเธอจำได้ว่ามันถูกปิดตายเอาไว้จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อประตูบานนั้นยังปิดสนิทเฉกเช่นที่เธอเคยกระชากมันให้เปิดหลายครั้งไม่มีทางที่ฟาโรจะผ่านประตูบานนี้ไปได้แน่นอน

ระหว่างชั่งใจคิดเสียงก๊อกแก๊กจากด้านนอกดึงความสนใจให้เธอเลิกคิดถึงบุคคลที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยชั่วคราวแสงสว่างสาดส่องเข้ามาขณะประตูเปิดออกอีกครั้งนลัทโผเข้ากอดเพื่อนสาวที่ยืนตะลึงอย่างตั้งตัวไม่ทัน

“ซีนึกว่าแกหายไปไหนโทรติดต่อไม่ได้เลย ยังโชคดีที่สัญญาณโทรศัพท์คืนมาเลยรู้ว่าแกถูกขังอยู่ในนี้”นลัทดึงร่างบอบบางออกจากวงแขนและมองเพื่อนตรงหน้าด้วยความรู้สึกโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอกเมื่อความกระวนกระวายทำให้ตึงเครียดอยู่นาน “เดี๋ยวซีจะไปจัดการไอ้บ้านั่นมีสิทธิ์อะไรจับแกมาขังไว้แบบนี้”

“ใช่! จัดการนายนั่นให้หนักไปเลย ดี้จะตามไปต่อว่าอีกแรงกล้าดียังไงจับดี้มาไว้ในห้องมืดแบบนี้” รอยยิ้มสะใจถูกระบายออกมาอย่างทระนงตนว่าเกือบจะเป็นผู้ชนะในไม่ช้า

“แล้วแกมีเรื่องอะไรกับนายอาร์ตช่วยเล่าให้ซีฟังอย่างละเอียดได้ป่ะ จะได้จัดการให้จบเรื่องจบราว”

ประโยคพาศศิชาหุบยิ้มกะทันหันในเมื่อไม่อยากบอกความจริงในสิ่งที่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไรเนื่องจากยังไม่มีหลักฐานผูกมัดบุคคลที่ต้องสงสัยเท่านั้น สาวแว่นหนาอึกอักระหว่างถูกจูงออกจากห้องก่อนจะยืนแน่นิ่งราวกับโดนสาปให้เป็นแข็งเป็นหินเมื่อสายตาคมโตเหลือบไปเห็นฟาโรยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงประตูทางหนีไฟ

“เฮ้! เขาออกมาอยู่ตรงนี้ได้ไง” เสียงอุทานดังลั่นทำให้นลัทหันมองยังจุดสนใจเดียวกันกับเธอฟาโรคีบบุหรี่ออกจากปากระหว่างพ่นควันขาวฟุ้งไม่ใส่ใจเสียงนกเสียงกาที่แว่วผ่านโสตประสาทเมื่อครู่นี้

“อะไรของแกซีก็เห็นนายนั่นเดินออกมาจากห้องข้างๆ ที่แกถูกขังไว้นั้นล่ะ”

“ได้ไงอะ! ก็เมื่อกี้ดี้ยังคุยอยู่กับเขาในห้องนี้” ศศิชาชี้ไปยังห้องเกิดเหตุด้วยสีหน้าตื่นตระหนกราวกับเจอผีหลอกกลางวันแสกๆทำให้นลัทหลุดหัวเราะอย่างไม่ตั้งใจ คงกล่าวหาว่าเพื่อนสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้เนื่องจากเธอเพิ่งเข้ามาอยู่ในบริษัทนี้ได้ไม่กี่วัน คงไม่รู้ถึงประตูลับระหว่างห้องที่เชื่อมต่อกันด้านหลังจุดประสงค์เพื่อพานักแสดงดังหลบหนีนักข่าวหากถึงคราวจำเป็นขึ้นมา

“จริงๆ ถ้าแกเดินสำรวจห้องนั้นทุกซอกมุมก็จะเห็นประตูบานเล็กๆ ตรงกำแพงด้านหลัง ทะลุออกอีกห้องได้หากไม่มีใครไม่ล็อกมันไว้ ถ้าแกยืนยันว่าอยู่กับฟาโรในห้องจริง นายนั่นคงแอบหนีแกออกมาจากประตูบานนั้นนั่นล่ะ”

นลัทอธิบายทุกอย่างจนคลายความสงสัยหมดสิ้นศศิชาชำเลืองมองไปยังดาราหนุ่มอีกครั้ง นึกต่อว่าเขาในใจ ผู้ชายอะไรช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลยรู้ทั้งรู้ว่าเธอถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว เพราะเขายืนอยู่ระหว่างเธอคุยโทรศัพท์กับนลัทเมื่อครู่นี้น่าจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษพาเธอออกจากห้องนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยหายาแก้ปวดให้ก็ยังดีแต่ทว่าคงโทษเขาไม่ได้ ในเมื่อบุคคลที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ขับขันอย่างนั้นคือนายอาร์ตซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ต้องโดนหมายหัวหลังจากนี้




Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2557 20:18:34 น.
Counter : 853 Pageviews.

7 comments
  
ลงชื่อไว้ก่อนค่า ^^
พรุ่งนี้ไปตามอ่านที่กระทู้ค่า
โดย: lovereason วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:2:13:32 น.
  
มาอ่านครับ
โดย: ravio วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:20:52:55 น.
  
แวะมาเยี่ยมในวันหยุด...สวัสดีครับ
โดย: **mp5** วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:14:05:59 น.
  
คุณได้ทำการแปะ ให้กับคุณ มาโซคิส เรียบร้อยแล้วนะคะ

คุณเหลือ อีก 0 ดวง สำหรับวันนี้ค่ะ

ไม่ลงนิยายเหรอคะอาทิตย์นี้
หายไปเลย
นุ่นมาแปะหัวใจค่า ^^

โดย: lovereason วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:23:45:45 น.
  
ขอบคุณนะคะ ทุกท่าน

ขอบคุณนุ่นด้วยที่แปะหัวใจ ลงนิยายในถนนแล้วค่าาาา
โดย: มาโซคิส IP: 171.97.196.29 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:21:08:30 น.
  
ติดตามผลงานนะค๊ะ ..
โดย: ๋Je taime IP: 110.168.217.214 วันที่: 4 เมษายน 2557 เวลา:16:05:25 น.
  
ขอบคุณมากค่ะ คุณ Je taime
โดย: มาโซคิส IP: 171.97.194.8 วันที่: 5 เมษายน 2557 เวลา:20:09:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments