มีนาคม 2557

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
26
28
29
30
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 16

๑๖

ค้นหาหลักฐาน


ศศิชาเดินไปยืนขนาบข้างดรุนัยที่ส่งสายตาอยากรู้ จับจ้องไปยังสองหนุ่มซึ่งประจันหน้ากันอย่างไม่วางตา โดยมีนลัทและบอดี้การ์ดของฟาโรห้ามปราม เพื่อแยกทั้งสองออกจากกัน เสียงซุบซิบโจษขานถึงสาเหตุแห่งความขุ่นเคืองใจครั้งนี้ และยังสรุปได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากเรื่องใดกันแน่


แว่วเสียงสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งตีความไปต่างๆ นานา ทำให้ศศิชาเริ่มใจคอไม่ดี ต้องหันกระซิบถามข้อเท็จจริงจากคนด้านข้างเป็นการเร่งด่วน อย่างน้อยดรุนัยอาจพอรู้เรื่องจริงมาบ้าง


“เจ๊...มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ศศิชาร้อนรนเมื่อคิดว่าเรื่องราวคงไม่ยุติลงง่ายๆ ด้วยท่าทางเอาเรื่องของฟาโรยังไม่ยอมสงบลงแต่อย่างใด แม้เมื่อครู่ต่างฝ่ายต่างขะมักเขม้นทำงานกันอยู่ดีๆ กลับเกิดศึกขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง


“เจ๊ได้ยินมาว่า มีหนอนบ่อนไส้” ดรุนัยถือโอกาสตอบคำถาม ทำให้ศศิชาหันขวับอย่างสนใจใคร่รู้ ความหมายของหนอนบ่อนไส้คืออะไร และใครคือบุคคลที่ดรุนัยหมายถึง


ชั่ววินาทีที่หางตาของศศิชาแลเห็นประกายความงดงามจากหญิงสาวบริเวณใกล้เคียง ดึงดูดให้ชำเลืองมองสองนางแบบที่กำลังสนใจเหตุการณ์เป็นอย่างมาก และต้องแปลกใจเมื่อเห็นไมกิยืนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่หล่อนไม่มีหน้าที่ใดๆ เกี่ยวกับการทำงานครั้งนี้


“หนอนบ่อนไส้อะไร?” ศศิชาตั้งคำถามพร้อมหันกลับไปมองยังชายหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง โดยเจ๊มะดันของเธอเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้เพื่อเล่าเรื่องราวที่พอทราบมาบ้าง และความสงสัยเกี่ยวกับไมกิก็คลี่คลาย เมื่อดรุนัยเล่าว่ามีใครบางคนส่งสัญญาณให้หล่อนรับรู้ว่าฟาโรเดินทางมาเชียงใหม่ และกำลังคั่วอยู่กับนางแบบสาวหน้าใหม่ โดยไมกิสารภาพว่าหล่อนติดต่อกับทีมงานในกองถ่ายคนหนึ่ง เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ฟาโรทุกฝีก้าว


“นายมีปัญหาอะไรฟาโร” นลัทตั้งคำถามกับดาราหนุ่มที่ตีสีหน้าดุดันและจ้องมองคู่กรณีไม่วางตา ไม่คิดเลยว่าตนเองจะคาดเดาได้ผิดพลาดเช่นนี้ ฟาโรได้แต่โทษตัวเองที่ไม่รอบคอบและปล่อยให้วายร้ายตลบหลัง ทั้งที่เมื่อคืนแอบเห็นและได้ยินชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเจรจาเกี่ยวกับภาพแอบถ่าย หากเขาเดือดร้อนสักนิด คงได้ตัดไฟเสียแต่ต้นลม อาร์ตคงไม่ได้เล่นงานเขาโดยการคาบข่าวไปบอกไมกิอย่างนี้ จนเป็นปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขากำลังคั่วนางแบบหน้าใหม่ หรือออกนอกสถานที่ไปกับสาวปริศนาจนมีภาพถ่ายลงในหนังสือพิมพ์เช้านี้


“ไม่มีอะไร ผมแค่หมั่นไส้ไอ้หมอนี่” ฟาโรสะบัดแขนจนหลุดพ้นการจับกุมของบุคคลที่พยายามห้ามทัพ เขาเบือนหน้าหนีจากสายตาเรียบเฉยของคู่กรณีและเดินจากไป ไม่แยแสใครหน้าไหนที่กำลังมองเขาอย่างให้ความสนใจและอยากรู้ในทุกสิ่งซึ่งเป็นคำถามคาใจของหลายฝ่าย


“ดาร์ลิ่ง! เมื่อคืนออกไปไหนกับใคร แล้วทำไมต้องพาผู้หญิงอื่นเข้าห้องพัก” ไมกิโผงถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ตั้งแต่มีใครบางคนรายงานให้รับทราบถึงพฤติกรรมของฟาโร ซึ่งขาดการติดต่อกับหล่อนตั้งแต่มีข่าวฉาวเกิดขึ้น และด้วยความโกรธเคืองจนคับแค้นใจทำให้หล่อนอยากป่าวประกาศว่าตนคือบุคคลสำคัญที่เขาควรให้ความใส่ใจ


ทว่าคำถามของไมกิทำให้ทุกคนที่ทราบเรื่องถึงกับหน้าถอดสี หันมองกันเลิ่กลั่ก กลัวความลับที่พยายามปกปิดรั่วไหล โดยศศิชาได้แต่ยืนนิ่ง รู้สึกเย็นสันหลังวาบ เมื่อคิดได้ว่าเธอกำลังทำให้ฟาโรตกที่นั่งลำบาก หากเป็นข่าวกับเรื่องแอบออกนอกสถานที่เมื่อคืนนี้


ฟาโรชำเลืองมองศศิชาชั่วครู่ระหว่างเดินเข้าไปยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงซึ่งมีนางแบบสาวที่รอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ โดยดรุนัยเองก็คว้ามือของศศิชาไปจับไว้เพื่อส่งกําลังใจ และพร้อมหาข้อแก้ตัวให้เธอเต็มที่ หากถูกฟาโรซัดทอดจนเป็นข่าวใหญ่โตอีกระลอก


“ผมไปกับเธอคนนี้” ฟาโรจับข้อมือของพิมพ์มาดาที่ยืนอ้ำอึ้งเล็กน้อย และปรับท่าทางให้เป็นปกติเพื่อแสดงละครร่วมไปกับฟาโร


นางแบบหน้าใหม่หันมองไมกิด้วยหางตาและแสยะยิ้มส่งให้ระหว่างก้าวตามดาราหนุ่มไปติดๆ ปล่อยให้ทุกคนบริเวณนั้นงุนงงสับสน เสียงซุบซิบที่เคยมีเงียบกริบไปชั่วครู่คล้ายกำลังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไมกิได้แต่ยืนเก็บงำความโกรธเอาไว้ สองมือกำแน่นอย่างเจ็บใจ รอแก้แค้นนางแบบหน้าใหม่ที่คิดเทียบรุ่นและแย่งผู้ชายของหล่อนไปต่อหน้าต่อตา


ดรุนัยหันมองหญิงสาวด้านข้างและมองตามฟาโรสลับไปมาอย่างไม่เข้าใจสักเรื่องราว ศศิชาได้แต่ฝืนยิ้มทั้งที่หัวใจร้าวระบมจนเกือบแหลกลาญ เธอคงไม่คู่ควรจะตกเป็นข่าวกับดาราดังอย่างฟาโร อย่างนั้นใช่ไหม? แม้จะเตือนตนเองว่าดีแล้วที่เรื่องออกมาเป็นแบบนี้ แต่ความเจ็บปวดกลับทำลายความรู้สึกดีจนย่อยยับ แววตาหม่นเศร้าและการฝืนยิ้มของเธอทำให้นลัทที่ยืนมองอยู่ห่างๆ รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจไม่ต่างกัน


“อาร์ต...นายกับฉันมีเรื่องต้องคุยกัน เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพ” นลัทยื่นคำขาดก่อนจะสั่งการให้ทีมงานทั้งหมดแยกย้ายทำงานต่อให้จบอย่างเร่งด่วน และเธอยังขอเจรจากับทางโรงแรมให้เก็บเรื่องนี้ไว้ อย่าได้แพร่งพรายให้แก่แขกเหรื่อที่เข้ามาใช้บริการได้รับรู้ โดยเสนอจะส่งรูปภาพพร้อมลายเซ็นของฟาโรให้ทุกคนหลังจากเดินทางกลับถึงกรุงเทพเป็นที่เรียบร้อย


ฟาโรจูงมือนางแบบสาวมาหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์ของหล่อน และขอกุญแจรถเพื่ออาสาขับกลับกรุงเทพตามลำพัง โดยไม่ใส่ใจทีมงานทั้งหลาย ประตูรถยนต์คันหรูหราถูกปลดล็อกและเปิดให้นางแบบสาวก้าวขึ้นนั่งในรถด้านข้างคนขับด้วยรอยยิ้มกริ่ม ก่อนเขาจะเดินกลับมาขึ้นนั่งประจำตำแหน่งหน้าพวงมาลัย เครื่องยนต์ถูกสตาร์ทพร้อมออกเดินทางยังจุดหมายในทันที


“ที่คุณไม่บอกความจริงกับไมกิว่าออกไปข้างนอกกับผู้จัดการสาวเมื่อคืนนี้ เป็นเพราะคุณสนใจพิม หรือคุณกำลังปกป้องเลดี้กันแน่คะ ฟาโร”


“ให้ผมตกเป็นข่าวกับคุณ คงดีกว่าเป็นข่าวกับยัยเด็กกะโปโลนั่น ว่าไหม” ฟาโรกล่าวนิ่งๆ ไม่ได้หันมองคู่สนทนาที่ขยับร่างอ้อนแอ้นเข้าใกล้ พร้อมนำนิ้วเรียวคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าของเขาก่อนจะหอมไปที่แก้มเกลี้ยงเกลาฟอดใหญ่อย่างพอใจในคำตอบ


“พิมได้ข่าวว่าคุณกับไมกิกำลังคบหากัน แล้วทำไมคุณถึงไม่ดูดำดูดีเธอเลยล่ะ แถมยังพาพิมหนีทีมงานกลับมาก่อนแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ตกงานกันทั้งคู่หรอกค่ะ”


“กับไมกิก็แค่กระแสข่าวสร้างความสนใจเท่านั้น ทางต้นสังกัดเลยอยากให้ห่างจากเธอ และมันคือสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของใช้ส่วนตัวที่อยู่ในห้องพัก ผมจะจัดการโทรบอกผู้จัดการให้” พิมพ์มาดานำข้างแก้มอิงไปบนไหล่กว้างของฟาโรอย่างยั่วยวน โดยมือของหล่อนยังคงคลอเคลียอยู่บนใบหน้าคมคาย รุกเร้าอารมณ์จนดาราหนุ่มลอบยิ้มมุมปาก เพียงพูดเอาใจนิดหน่อย ผู้หญิงทั้งหลายก็ยอมศิโรราบให้ทั้งตัวและหัวใจ


“หากวันนี้พิมมาแทนที่ไมกิ แล้วอีกกี่วันคุณถึงจะเขี่ยพิมทิ้งล่ะคะ”


“อยู่ที่ว่าคุณจะทำให้ผมพอใจได้มากแค่ไหน” ฟาโรกล่าวทั้งที่ยังมองถนนเบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา เขาควบคุมความเร็วของรถให้คงที่เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ตามใจหวัง


“หากคุณอยู่กับพิมคงไม่เบื่อแน่นอนค่ะ พิมรับรอง” พิมพ์มาดาโอบกอดรอบคอของฟาโรพร้อมแย้มยิ้มอย่างพึงใจ ต่างฝ่ายต่างคิดสนุกโดยไม่ผูกมัด หล่อนยินดีกลายเป็นคู่ขาให้ดาราหนุ่ม เพื่อสร้างกระแสความโด่งดังให้กับตนเองเช่นกัน


หนังสือพิมพ์คอลัมน์บันเทิงถูกเปิดอ่านอย่างละเอียด เมื่อภาพของหญิงสาวซึ่งเด่นหราอยู่ในนั้นช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน แม้จะเห็นเพียงด้านหลังก็ตาม


“พี่วินว่าใช่เลดี้หรือเปล่า” วรดาเอ่ยถามพี่ชาย ซึ่งเธอได้เฝ้าสังเกตเขามาพักใหญ่ เกี่ยวกับท่าทางร้อนรนที่มีต่อน้องสาวคนละสายเลือด เพียงยังไม่แน่ใจว่าอาการเป็นห่วงเป็นใยที่มีมากมายนั้นจะเกินกว่าพี่น้องพึงมีหรือไม่


วศินพับหนังสือพิมพ์ในมือวางลงบนโต๊ะหินอ่อนก่อนหยิบถ้วยกาแฟที่มีควันลอยอ่อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นขึ้นจิบดื่มอย่างละเลียด เขาทวนความคิดเกี่ยวกับภาพในหนังสือพิมพ์ที่ได้ดูเมื่อครู่นี้อย่างไตร่ตรอง แม้จะเป็นช่วงเวลาค่ำคืน กอปรกับภาพที่มองเห็นไม่ชัดเจน แต่ยังจำได้ขึ้นใจว่าหญิงสาวผู้นั้นคือศศิชาไม่ผิดตัว ในใจเกิดมีคำถาม ‘จริงหรือ ที่น้องสาวของเขาจะเดินเข้า-ออกในห้องพักส่วนตัวของดาราดังโดยไม่มีนลัทอยู่ด้วย หากเป็นเพียงการร่วมงานกันเท่านั้น


แม้ในคอลัมน์ข่าวจะยังระบุไม่ได้ว่าหญิงสาวปริศนาที่อยู่กับดาราชื่อดังยามวิกาลเป็นใคร แต่วศินก็อดคิดไม่ได้ว่านั่นคือน้องสาวของตน ด้วยรูปร่างและลักษณะการแต่งกายที่คุ้นชิน แม้เขาจะพยายามปลอบใจตนเองว่าอาจเป็นใครซึ่งคล้ายคลึงกับเธอเท่านั้น


“ดารา นางแบบ หุ่นเหมือนเลดี้มีเยอะแยะไป ภาพที่เป็นข่าวก็ไม่ชัดเจน อาจไม่ใช่เลดี้ก็ได้ พี่ไม่อยากด่วนสรุปอะไรตอนนี้ แล้วเราก็อย่าหลุดปากบอกเรื่องนี้กับคุณย่าหรือคุณแม่ล่ะ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องขึ้นมาอีก ช่วงนี้ดูคุณแม่ยิ่งไม่สบอารมณ์กับการที่เลดี้ไปทำงานนอกบ้านอยู่ด้วย”


“พี่วินเห็นวีเป็นคนปากพล่อยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน วีรู้สึกว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นเรื่องของเลดี้ ดูพี่วินจะปกป้องน่าดู”


“ใครว่าปกป้อง ก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า แถมในข่าวก็ไม่ได้ระบุว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” วศินพยายามเก็บอาการให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ค่าๆ วีไม่พาดพิงถึงน้องสาวสุดที่รักของพี่วินแล้วค่า” วรดาลากเสียงยาวแหย่พี่ชายที่แย้มยิ้มน้อยๆ ทว่าในใจกลับร้อนรนชอบกล หากภาพในข่าวเป็นศศิชาจริง แล้วเธอเข้าไปอยู่ในห้องกับชายหนุ่มได้อย่างไรสองต่อสอง ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ความหนักใจก็ยิ่งพาฟุ้งซ่านมากเท่านั้น


“วันนี้เราไม่ไปทำงานกับคุณแม่หรือไง” วศินหาเรื่องชวนน้องสาวพูดคุยเพื่อขจัดความคิดฟุ้งซ่านเวลานี้ ซึ่งตนเป็นผู้ก่อให้มันเกิดขึ้นในใจจนอยากยุติความคิดเหลวไหลเหล่านั้น


“ยังหรอกค่ะ วีว่าจะคุยกับเลดี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน แล้วไปทำงานพร้อมกัน วีไม่อยากนั่งแก่วอยู่คนเดียว ลำพังคุณแม่ก็คงปั้นหน้าดุให้วีทำแต่งานจนไม่ได้พูดคุยกับใครแน่ๆ”


“งั้นก็อยู่บ้าน ช่วยดูแลคุณย่าด้วย พี่ต้องออกไปทำงานแล้ว เดี๋ยวจะสาย”


“ขับรถดีๆ นะคะ พี่ชาย” วรดาโบกมืออำลาพี่ชายซึ่งพยักหน้ารับ พร้อมวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะหินอ่อนก่อนเดินออกจากสวนหย่อมหน้าบ้านและก้าวต่อยังลานจอดรถส่วนตัว



=====


โบกี้สุดท้ายของขบวนรถไฟ ไม่มีใครอยู่นอกจากหญิงสาวที่เอนศีรษะพิงพักกับพนักเก้าอี้ สายตาคมหวานเหม่อมองไปยังท้องฟ้าซึ่งถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดยามรัตติกาล ดวงจันทร์สีนวลตาเคลื่อนที่ตามรถไฟซึ่งวิ่งไปเรื่อยๆ ทำให้ความทรงจำที่เกือบลืมเลือนหวนกลับมาให้คิดถึงอีกครั้ง ศศิชายังจำได้เลือนรางเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก เมื่อครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


ตอนเป็นเด็ก เธอมักจะถามพ่อกับแม่อยู่เสมอว่าเหตุใดพระจันทร์จึงติดตามเธอไปทุกแห่งหน คำตอบที่ได้รับในตอนนั้นคือพระจันทร์อยากเป็นเพื่อนกับเธอ และเธอยังถามต่ออีกว่า เหตุใดพระจันทร์จึงหายไปเมื่อมีพระอาทิตย์มาแทนที่ พ่อกับแม่ของเธอบอกพระจันทร์ไม่ได้หายไปไหน ยังเฝ้ามองเธออยู่ตลอดเวลา แค่เปลี่ยนหน้าที่ให้พระอาทิตย์ปลุกเธอในยามเช้า เพื่อมอบความอบอุ่นและแสงสว่างให้


แม้โตขึ้นจะรู้ว่าคำบอกเล่าเหล่านั้นไม่เป็นความจริง เพราะวงโคจรของโลกมากกว่าทำให้เธอมองเห็นพระจันทร์ได้จากตรงนี้และทุกแห่งหนยามค่ำคืน รวมถึงพระอาทิตย์ซึ่งเป็นส่วนประกอบของจักรวาล ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร แม้อยากมองเห็นพระอาทิตย์ให้ชัดเจน แต่แสงเจิดจ้ากลับทำให้เธอต้องหรี่ตาทุกครั้งเมื่อแหงนมองไปบนฟากฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ทว่าคำหลอกเด็กที่พ่อแม่หยิบยื่นให้ เธอจึงหลงรักพระจันทร์ในยามค่ำคืน และชื่นชมแสงของพระอาทิตย์ในยามเช้า


‘คิดถึง...พ่อกับแม่เหลือเกิน’


ความคิดทั้งหลายค่อยๆ เลือนหายพร้อมกับอาการหลับไหลคืบคลานเข้ามา ศศิชาเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว ศีรษะค่อยๆ เลื่อนไหลลงจากพนักเก้าอี้จนอิงอยู่บนไหล่ของใครบางคน ซึ่งปรากฏกายได้ทันเวลา ซันเซ็ทนั่งอยู่ในท่าอกผายไหล่ผึ่ง เป็นหลักให้เธอได้ใช้ไหล่ของเขาพักพิงยามเหนื่อยล้า ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เขาพร้อมอยู่ข้างเธออย่างนี้ ปล่อยให้ศศิชาหลับไหลจนกว่าจะพอใจ เพื่อรอรับเรื่องราวต่างๆ ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า


======


รถตู้ทรงหลังคาสูงสีขาวสองคันวิ่งตามกันมาในระยะไล่เลี่ยและจอดเทียบหน้าตึกสูงตระหง่านภายใต้ชื่อ ‘เอสพีโมเดลลิ่ง’ ทีมงานทั้งชายหญิงต่างทยอยหยิบสัมภาระลงจากรถเพื่อนำเข้าภายในตึกอย่างร่วมแรงแข็งขัน ประตูลิฟต์ถูกกดเปิดเพื่อใช้บริการขึ้นยังด้านบนของอาคารสูงหลายสิบชั้น


ภายในห้องโดยสารของตู้ลิฟต์ มีเพียงเสียงพูดจาของเจ๊มะดันแห่งวงการบันเทิงตลอดระยะการเคลื่อนที่ในแต่ละชั้นจนถึงที่หมายปลายทาง หลายคนขำขันตามเรื่องราวที่ดรุนัยบอกเล่าเพื่อขจัดความเงียบเหงาระหว่างทาง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่แสร้งยิ้มทำเป็นสนุกสนาน เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ภายในใจ


นลัทและศศิชาขอแยกย้ายออกจากกลุ่มของทีมงาน ก้าวเดินต่อยังห้องพักที่อยู่อีกฟากของอาคาร โดยนลัทอาสาลากกระเป๋าเดินทางให้เพื่อนซึ่งมีสีหน้าอิดโรยจากอาการเมารถไฟ คืนทั้งคืนระหว่างเดินทางกลับกรุงเทพฯ ศศิชาไม่ได้กลับมายังตู้นอนที่เตรียมไว้ให้พักผ่อน ด้วยความเป็นห่วง นลัทจึงออกตามหาจนพบว่าเพื่อนสนิทหลบไปนั่งหลับอยู่ตรงตู้สุดท้ายของขบวนรถไฟเพียงลำพัง และนลัทก็ปล่อยให้เธอหลับไหลอยู่อย่างนั้น โดยนั่งเฝ้าเธอทั้งคืน อยู่ในมุมหนึ่งของรถไฟตู้นั้น จนสว่างคาตา


“จะกลับบ้านเลยหรือเปล่า ซีจะไปส่ง วันนี้ไม่มีงานอะไร เดี๋ยวซีกลับมาจัดการต่อเอง” นลัทชำเลืองมองเพื่อนระหว่างไขกุญแจเปิดประตูห้องทำงานส่วนตัว


จากกระแสความเฉยชาที่สัมผัสได้ ทำให้ศศิชานึกถึงความรู้สึกแท้จริงที่นลัทได้สารภาพให้รับรู้ และเธอเองก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต้องขาดสะบั้นเพียงเพราะ ‘รัก’คำเดียว ซึ่งเธอก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของใครได้ แม้แต่ตัวเธอเองก็ตาม


‘ทั้งที่พยายามบังคับสายตา ให้เลิกหันมองหาใครบางคน ‘ยังยากเย็น’ แล้วนับประสาอะไรกับการสั่งหัวใจให้ ‘หยุดรัก’ คนที่ไม่อาจรักได้’


ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปากของศศิชา เธอเพียงพยักหน้าเป็นการตอบตกลงเท่านั้น ทั้งสองสาวเดินเข้าห้องทำงานเพื่อให้ศศิชาได้พักเหนื่อยระหว่างรอนลัทจัดการเรื่องราวที่ยังเป็นปัญหาคาราคาซังก่อนจะพาเพื่อนสนิทเดินทางกลับไปส่งยังคฤหาสน์ของเธอ


โซฟาภายในห้องทำงานถูกร่างบอบบางนอนครองพื้นที่เพื่อพักเอาแรงให้สมความตั้งใจ ศศิชาถอนใจอย่างแรง พยายามขจัดความคิดรุมเร้าให้ออกจากสมองโดยไวหลังจากนลัทเปิดประตูออกจากห้องจนพ้นสายตา


เครื่องมือสื่อสารส่งเสียงเรียกให้รับสาย เธอจึงคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาวางบนอก และควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อรับสายโทรเข้า หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อของบุคคลที่ลืมนึกถึงเสียสนิทระหว่างเดินทางไปทำงานยังต่างจังหวัด ก่อนกดรับสายโทรศัพท์ ศศิชายังนึกห่วง เกรงจะเป็นข่าวเจ็บไข้ได้ป่วยของญาติผู้ใหญ่


“ค่ะ พี่วิน ดี้กำลังจะกลับบ้าน มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือคุณยายไม่สบาย” ด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่พี่ชายคนละสายเลือดโทรเข้ามา ทำให้ศศิชาด่วนถามออกไปก่อน จนปลายสายหลุดขำกับความใจร้อนของเธอ


วศินเอ่ยบอกเพียงคิดถึงน้องสาวซึ่งไม่ได้เจอหน้าค่าตามาหลายวัน แม้จะรู้ว่าเธอเดินทางกลับบ้านในวันนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโทรหา แสร้งถามสารทุกข์สุขดิบโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องราวของข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ รอถึงบ้านเมื่อไหร่คงได้คุยกันอย่างเป็นทางการ หากถึงเวลานั้นเขาคงได้รับคำตอบสมใจ


โทรศัพท์ถูกกดตัดสายเมื่อการเจรจาสิ้นสุด โดยนำมันเก็บลงกระเป๋าสะพายตามเดิม ศศิชาดึงร่างกายขึ้นจากโซฟาเมื่อรู้สึกว่ากระเพาะกำลังเรียกหาอาหาร นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูอย่างอัตโนมัติ ใกล้เที่ยงเต็มที่ คงต้องหาอะไรรองท้องเสียหน่อยระหว่างรอเพื่อนสนิทจัดการธุระตามหน้าที่


ศศิชาเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่ลืมปิดล็อกประตูจนเรียบร้อย และมุ่งหน้าตรงไปยังลิฟต์ของอาคาร ทว่ายังเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเห็นอาร์ตออกมาจากห้องหนึ่ง และเดินไปอีกทางโดยไม่ทันสังเกตเห็นเธอ ความคิดเกี่ยวกับภาพฉาวก็ผลุบขึ้นมาในสมองทันที เธอเคยบอกกับตนเองไว้ว่าจะหาหลักฐานจับตัวการที่แอบถ่ายภาพของฟาโรกับไมกิจนเป็นข่าววุ่นวายเมื่อไม่นานมานี้


ไม่รอช้า ศศิชาก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปยังห้องนั้น ซึ่งเธอคิดว่ามันอาจเป็นห้องส่วนตัวของอาร์ต ลูกบิดประตูถูกบิดเปิดอย่างง่ายดาย จากการคาดเดา เขาอาจจะเร่งรีบหรือสะเพร่าจนลืมล็อกประตูอย่างแน่นอน ศศิชาค่อยๆ แทรกกายเข้าด้านในอย่างเงียบเชียบราวกับนักย่องเบา และปิดประตูไว้ตามเดิม เธอพร้อมแล้วกับการเริ่มต้นค้นหาหลักฐานสำคัญในการจับผู้ร้ายให้ได้คาหนังคาเขา


ภายในห้องเปิดไฟสว่าง รอบด้านมีแต่เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับการถ่ายภาพระดับมืออาชีพ อาทิ กล้อง เลนส์ ขาตั้งกล้อง ไฟสตูดิโอ แผ่นสะท้อนแสง ไฟแฟลช และอื่นๆ อีกหลากหลายชนิด จากที่เคยสอบถามดรุนัยเกี่ยวกับหน้าที่ของอาร์ต ทำให้เธอพอรู้มาบ้างว่าเขาเป็นช่างภาพมือดีของบริษัท ไม่น้อยหน้ามืออาชีพหลายคนในวงการบันเทิง และโดยส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายภาพนิ่งของเหล่านายแบบหน้าใหม่ของวงการ


ม้วนฟิล์มและกล่องซีดีมากมายวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะทำงาน ศศิชาไล่สายตามองจนทั่วบริเวณ งานนี้คงไม่ใช่เรื่องหวานหมู หากต้องค้นหาเมมโมรี่ตัวการที่เก็บภาพของฟาโรกับไมกิเอาไว้ จนหางตาเหลือบเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบนชั้นวางของข้างๆ โต๊ะทำงานตัวนั้น และมันถูกเปิดค้างเอาไว้ด้วยหน้าบันเทิงซึ่งมีภาพด้านหลังของหญิงสาวที่คลับคล้ายคลับคลาเป็นอย่างมาก


ด้วยความตระหนกทำให้การค้นหาหลักฐานหยุดชะงักชั่วคราว ศศิชาเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับหนังสือพิมพ์ที่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านในทันที และยังย้อนทวนกลับไประหว่างฟาโรกับอาร์ตมีปัญหากันเมื่อวานนี้ เธอจำได้ว่าในมือของไมกิมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งถืออยู่ แต่ไม่ทันเอะใจว่ามันจะเป็นภาพของเธอซึ่งเดินเข้าห้องพักของฟาโรในคืนที่ออกนอกสถานที่ไปกับเขา


“เธอมาทำอะไรในห้องนี้” น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูพาใจหายวูบไปชั่วขณะก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มที่เข้ามาในห้องโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงสักนิด


“ฟาโร...” ศศิชาอุทานเบาๆ ระหว่างปรับสีหน้าตกใจให้เป็นปกติตามเดิม “ฉัน...มาหาอะไรบางอย่าง”


“อย่าบอกนะว่าเธอมาหาหนังสือพิมพ์ในห้องนี้” ฟาโรยืนกอดอก จ้องหญิงสาวตรงหน้าไม่วางตาคล้ายจับพิรุธ


ศศิชาชำเลืองมองหนังสือพิมพ์ในมือก่อนจะนำมันซ่อนไว้ด้านหลัง เธอไม่รู้หรอกว่าภาพในข่าวฟาโรจะรับทราบเรื่องราวหรือไม่ และถ้าเขาจะไม่รับรู้เลยคงดีกว่า


ท่าทางอึกอักของหญิงสาวทำให้ฟาโรขยับเดินมาใกล้ เพื่อดูปฏิกิริยาแปลกๆ ของเธอ ทว่าเสียงไขประตูลูกบิดก็ดังขัดจังหวะ ทำให้ฟาโรรีบคว้าแขนของศศิชาหลบเข้ามุมห้อง ซึ่งมีตู้เก็บของและฉากกั้นสูงท่วมศีรษะให้ทั้งสองเข้าไปหลบซ่อนตรงนั้น


เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาในห้อง หากแต่เวลานี้สำหรับเธอไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากเสียงเต้นระรัวของหัวใจตนเอง ลมหายใจอบอุ่นรดรินบนใบหน้านวลเนียนเป็นระยะ กลิ่นอ่อนจากน้ำหอมคุ้นชินผ่านแตะจมูก ทำให้ตื่นเต้นจนแทบหยุดหายใจ ร่างบอบบางถูกอ้อมแขนของดาราหนุ่มโอบกอดไว้หลวมๆ ราวกับปกป้องไม่ให้ใครที่เดินเข้ามาในห้องหาเธอเจอ


ศศิชาพยายามควบคุมความหวั่นไหวและยืนอยู่นิ่งๆ ในอ้อมกอดนั้น สายตาคมหวานค่อยๆ เลื่อนมองคนตัวสูงที่กำลังจดจ้องเธออยู่ก่อนหน้า ทำให้แววตาหวั่นไหวรีบหลบการปะทะสายตา และเตือนตนเองว่าอย่าหลงใหลไปกับชายหนุ่มผู้นี้เด็ดขาด ทว่าหัวใจดื้อรั้นกลับทำตรงกันข้าม สบมองนัยน์ตาสีน้ำทะเลคู่นั้นอีกครั้ง


ฟาโรค่อยๆ โน้มกายลงต่ำอย่างเชื่องช้า จนใบหน้าของทั้งสองเกือบจะชิดติดกัน หัวใจสั่นไหวเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องควบคุมมันเอาไว้ ไม่อยากให้เขารับรู้ถึงความตื่นเต้นเวลานี้ แม้พยายามกลั้นใจอย่างยากเย็น แต่เธอจำเป็นต้องเบือนหน้าหนีความใกล้ชิดเสียเดี๋ยวนี้


ฟาโรผงะค้างกลางอากาศเมื่อเสียงปิดประตูดังขัดจังหวะอารมณ์เคลิบเคลิ้มชั่วขณะ ดาราหนุ่มขยับร่างกายออกห่างจากศศิชาเพื่อสำรวจดูว่าภายในห้องนั้นไม่มีใครอยู่ นอกจากเธอกับเขาเท่านั้น


“ออกมาได้แล้ว นายนั่นไม่อยู่ในนี้แล้ว” ด้วยเสียงฝีเท้าและการย่างก้าวในแต่ละจังหวะการเดิน ฟาโรจำได้ทันทีว่าบุคคลที่เข้ามาในห้องเมื่อครู่นี้เป็นอาร์ตอย่างแน่นอน “คราวนี้ก็ตอบฉันมาซะทีว่าเธอเข้ามาทำอะไรในห้องนี้”


“ฉันเข้ามาหาต้นเรื่องที่เคยเป็นข่าวของคุณกับไมกิ ฉันเชื่อว่านายอาร์ตเป็นคนแอบถ่ายภาพนั้นและนำมันให้กับนักข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของคุณ”


“รวมทั้งภาพที่เธอเห็นในหนังสือพิมพ์เมื่อกี้ด้วยหรือเปล่า” ศศิชาเบิกตากว้างประหลาดใจ เมื่อฟาโรรับรู้เกี่ยวกับภาพที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือเขาอาจทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วจากไมกิ


“แสดงว่าคุณรู้เรื่องทั้งหมดที่อาร์ตพยายามทำให้เกิดปัญหา”


“ใช่ ฉันรู้ว่านายนั่นคลั่งฉันแค่ไหน ถึงได้พยายามสร้างข่าวให้ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ใกล้ฉันเสียหาย แต่สำหรับคนดังหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องดีก็ได้ที่มีข่าวกับฉัน”


หญิงสาวที่ได้รับฟังเรื่องราวเกิดอาการใจกระตุก การกระทำของอาร์ตฟ้องทุกอย่างตั้งแต่ฟาโรกล่าวหาว่าเขารักเพศเดียวกัน ศศิชาทวนความคิดทั้งหลายอีกครั้ง จากท่าทางและแววตาที่สัมผัสได้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับอาร์ต เธอคงไม่ได้รู้สึกไปเองว่าเขาไม่ใช่ชายอกสามศอกร้อยเปอร์เซ็นต์


“ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมถึงไม่จัดการกับอาร์ตล่ะ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจเพื่ออะไร”


“นั่นมันเป็นปัญหาของฉัน เธอไม่ควรมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ ทางที่ดีอยู่ให้ห่างจากฉันและนายนั่นซะ เพื่อตัวของเธอเอง” ฟาโรกล่าวเสียงเรียบ แม้เขาเองก็อยากได้หลักฐานในการเอาผิดอาร์ตเช่นเดียวกับเธอถึงแอบเข้ามาอยู่ในห้องนี้ ทว่าเขาคงพลาดโอกาสนั้นไปแล้ว เมื่อภาพของผู้จัดการสาวหลุดออกมาเผยแพร่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างที่เป็นข่าว และอาร์ตคงไม่ปล่อยให้หลักฐานเหล่านั้นลอยนวลอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน


“ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นปัญหาที่คุณก็รู้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และฉันขอโทษที่ภาพพวกนั้นหลุดออกมาจนทำให้คุณเกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อวานนี้”


“มันไม่ใช่ความผิดของเธอ” ฟาโรกล่าวพร้อมนำมือล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา ซองผ้าเล็กๆ ถูกส่งให้กับศศิชาถือไว้ “นี่คือสิ่งตอบแทนที่เธอพาฉันออกไปเที่ยวคืนนั้น”


ศศิชามองสิ่งของในมือพร้อมเลิกคิ้วสูง เธอจดจ้องไปยังด้านหลังของฟาโรที่กำลังเดินเกือบจะถึงประตูทางออก ทว่าเขาก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น “แล้วเธอก็รีบออกจากห้องนี้ซะที ก่อนที่นายนั่นจะกลับมาหักคอเธอ โทษฐานแอบเข้ามายุ่มย่ามโดยพลการ” สิ้นเสียงพูดจา ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมฟาโรเดินจากไป ปล่อยให้หญิงสาวยืนสับสนต่อการกระทำเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขาจนปรับตัวตามไม่ทัน


to be continued...




Create Date : 09 มีนาคม 2557
Last Update : 9 มีนาคม 2557 19:55:33 น.
Counter : 562 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments