"You are cursed, Jack. Everything you touch, One way or another, ENDS UP DEAD !...." ประโยคกระแทกใจแจ๊ค บาวเออร์ จาก "24" Day 6
รวบรวมบทความจากเวบฟิล์ม - คลับ#1 (Retro to Film - Club#1)

ตั้งแต่โยกย้ายตัวเอง
มาปรับลุคใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดเท้าใน Bloggang

ได้พบปะบล็อกของน้องๆ วัยละอ่อนหลายๆ คน......
แล้วนึกครึ้ม.....ไปถึงสมัยตัวเองยังละอ่อนพอกัน
เคยได้เขียนบทความเกี่ยวกับหนังลงเวบ film - club (ไม่ใช่เวบแฟนคลับของฟิล์ม รัฐภูมิเน้อ)

มาวันนี้ได้ลองเข้าไปอ่านทบทวนความทรงจำ
แล้วขำๆ กับความคิดเห็นของตัวเองตอนรุ่นเยาว์
ว่าทำม้าย ถึงได้คิดแรง คิดซึ้งได้ขนาดนั้น

ลองอ่านดูครับ ไม่ต้องรีบ เพราะจะทยอยลง(อายุบทความเหล่านี้ก็ประมาณ 4 - 6 ปีที่แล้วครับ)
และจะไม่มีการแก้ไขต้นฉบับใดๆ เพื่อฟิลลิ่งแบบเด็กๆ จะได้คงอยู่ครบถ้วน แหะๆ(แต่อาจเพิ่มรูปจากหนังเข้าไปให้สวยนิดนึง)
พอลงครบก็คงไม่มีมาให้ดูกันอีกแล้ว(เพราะเขียนลงฟิล์มคลับได้ไม่กี่ปี ก็หยุดลาพักร้อนยาววววว)
สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเวบ film - club มาก่อน คลิกที่นี่ครับ

อ่านขำๆ นะครับ
ผมว่าเด็กๆ สมัยนี้ เขียนดีกว่าตัวผมสมัยโน้นเยอะ อย่างบล็อกน้องนาโน(ตี้-ตีความหนังดีมาก) บล็อกน้องต้น (Unravel คนนี้ไม่เกี่ยวกับหนัง แต่บทความของน้องเขาเขียนสวยมาก) น้องเมอร์(merveillesxx - คนนี้คงไม่ต้องนิยามอะไรกันอีกแล้ว เหอๆ).......

ดูบทความของผมไว้เป็นอุทธาหรณ์ครับ หุๆ


คำเตือน
บทความในสมัยนั้น ผมจะเขียนสปอยล์เรื่องราวของหนังค่อนข้างมากนะครับ





Love Letter



ตามหารักแรก ที่พรากจาก


พูดถึงหนังญี่ปุ่นแล้ว ผมเองก้อเพิ่งได้ดูไปไม่กี่เรื่องเท่านั้นเอง จำได้ว่าเรื่องแรกที่ดูก้อคือ การ์ตูนสุดรันทดที่ชื่อ "สุสานหิงห้อย" หรือหนังเก่าที่เพิ่งได้ดูอีกทีก้อที่เทศกาลหนังของมหาวิทยาลัย อย่าง Seven Samurai และล่าสุด Battle Royale อันนี้ยังไม่นับซีรี่ส์ที่ได้ดูมานับไม่ถ้วนทางทีวี ทำให้ผมพบว่าลักษณะการเล่าเรื่องของหนังและซีรี่ส์ของญี่ปุ่นจะเป็นแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ที่อาจจะทำให้คนดูบางคนเบื่อก้อได้ แต่ไม่รู้สิผมชอบความเบื่อแบบนี้จัง

Love Letter ของผู้กำกับ ชุนจิ อิวาอิ ก็เป็นอีกหนึ่งในความเอื่อยเฉื่อยนั้น หนังเริ่มเรื่องโดยให้ วาตานาเบะ ฮิโรโกะ สูญเสียคู่หมั้น ฟูจิอิ อิซูกิ ที่ตายไปจากอุบัติเหตุขณะปีนเขา ถึงเวลาจะผ่านไป 2 ปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ลืมเขา แม้ตอนนี้เธอจะมีคนรักใหม่เคียงข้างแล้วก็ตาม และเมื่อฮิโรโกะได้รับหนังสืออนุสรณ์รวมรุ่นสมัยมัธยมต้นของอิซูกิ เธอก้อยังไม่วายเขียนจดหมายพรรณนาความเป็นห่วงไปถึงเขา ตามที่อยู่ในหนังสืออนุสรณ์นั่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่อยู่นั้นในปัจจุบันได้กลายเป็นถนนไฮเวย์ไปแล้ว แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อมีจดหมายตอบกลับมาหาเธอในชื่อของ ฟูจิอิ อิซูกิ คู่หมั้นที่ตายจากไปแล้วของเธอ

ไม่นานนักหนังก็เฉลยว่า ผู้ที่ตอบกลับมาก้อคืออิซูกิอีกคนที่เป็นผู้หญิง ที่มีทั้งชื่อ-นามสกุลเหมือนกันกับอดีตคู่หมั้นของฮิโรโกะ อีกทั้งยังเคยเรียนห้องเดียวกันกับอิซูกิ(ชาย)ตอนม.ต้นด้วย แต่สิ่งที่แปลกก็คือ อิซูกิ(หญิง)คนนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับฮิโรโกะยังกะฝาแฝด ทำให้ฮิโรโกะเริ่มคลางแคลงใจกับคำพูดของอิซูกิ(ชาย)ที่เคยบอกว่าฮิโรโกะคือรักแรกพบของเขา ฮิโรโกะจึงขอร้องอิซูกิ(หญิง)บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์กับอิซูกิ(ชาย)เมื่อครั้งยังเรียนมัธยม เพื่อที่จะค้นหาว่าใครกันแน่ คือรักแรกพบของเขา.........ผู้ตายจากไปแล้ว

เมื่อดูไปสักพักไม่ต้องจนจบเรื่องหรอก เราก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าใครกันหนอที่เป็นรักแรกของนายอิซูกิ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก้อยังอดลุ้นไม่ได้ว่าหนังจะใช้วิธีไหน ที่จะบอกให้ตัวละครตัวนั้นได้รู้ว่า เธอนั่นแหล่ะ ที่เป็นรักแรกของเขา
และเมื่อดูจนจบ ก้ออดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ อย่างน้อยก้อนะ..หนังเรื่องนี้ได้บอกไว้ว่า อย่ายึดติดกับอดีตให้มากเพราะตัวละครที่ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นแม่ของอิซูกิ หรือฮิโรโกะต่างก็ไม่มีความสุขกับชีวิตมากนักในขณะที่อิซูกิ(ทั้งหญิงและชาย) ที่ไม่ได้ยึดติดกับมันเลย กลับใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่า และมีความสุข (เพราะไม่ยึดติดนี่ล่ะ ถึงได้ไม่รู้ว่าหัวใจตัวเองต้องการอะไร อิอิ)
มองโลกอย่างที่ควรจะเป็น นั่นแหล่ะ ดีที่สุดแล้ว........มั๊ง





RED DRAGON




มืด…จนมองไม่เห็น…แต่สัมผัสได้

กลับมาคราวนี้ ดร.ฮันนิบาล จอมอำมหิต( และอึด! )ของเรา มาในแบบย้อนกลับไปตอนหนุ่มกลายๆ คล้ายๆ ฮอลลีวู้ดกำลังจะบอกเราว่าฮันนิบาล เล็คเตอร์ ไม่มีวันตาย…..และต้องมีสร้างออกมาอีกหลายภาคแน่ๆ ….(คุณอาจได้เห็น Hannibal X หรือ Hannibal Forever ก็เป็นได้)

เหตุการณ์ของเรื่องราวในภาคนี้ เกิดขึ้นก่อนในภาคแรก (Silence of the Lambs) ประมาณ 1 ปี เรื่องราวในหนังเป็นอย่างไรนั้นไม่ขอกล่าวละกันเดี๋ยวไปดูแล้วจะไม่สนุก ดังนั้นจึงขอถือดีทำตัวเป็นนักวิจารณ์เสียเลย

1. เมื่อว่ากันตามคุณภาพของตัวหนัง
----เป็นหนังที่โชว์ความสามารถทางการแสดงอีกครั้งของด๊อกเตอร์ฮันนิบาล เอ๊ย! ไม่ใช่ แอนโธนี่ ฮอปกินส์ต่างหาก ถึงแม้ในภาคนี้ เขาอาจไม่ได้มีบทบาทจัดจ้านอย่างสองภาคที่แล้ว แต่ท่านเซอร์ก็สามารถทำให้คนดูสยดสยองทุกครั้งที่เขาโผล่เข้ามาในซีนนั้นๆ แต่ทว่า บทเด่นในภาคนี้กลับตกไปอยู่ในมือของ เรล์ฟ ฟายน์ ที่รับบทเป็นฆาตกรจอมโหดที่ชื่อ ฟรานซิส โดลาไฮด์ และนายเรล์ฟคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลย เขาเล่นบทนี้ได้ดี ได้ลึก และน่าสงสารจริงๆ(เป็นฆาตกรที่น่าสงสารที่สุดของหนังชุดนี้) ในขณะเอ็ดเวิร์ด นอร์ตันนั้นกลับเล่นได้อย่างน่าผิดหวัง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา จะว่าเป็นเพราะบทไม่ส่งนั้นก็ไม่น่าจะใช่…อันนี้คุณๆ ช่วยวิเคราะห์กันเอาเองด้วยนะครับ และอีกคนที่ขอยกให้เป็นแชมป์ทางการแสดงของ Red Dragon คือ เอมิลี่ วัตสัน รับบทเป็น รีบ้า แมคเลน หญิงสาวที่ฆาตกรหนุ่มตกหลุมรัก เอมิลี่ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เธอเป็น เธอทำให้เราหลงรักรีบ้าไม่จากฆาตกรผู้น่าสงสารคนนั้น
----พูดถึงเรื่องบทบ้าง ในภาคนี้ได้ เท็ด แทลลี่ มือเขียนบทออสการ์จากภาคแรกของหนังชุดนี้ เท็ด ทำหน้าที่ของเขาได้ดีมาก…นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับ Red Dragon เขาสามารถกระจายบทให้กับนักแสดงทุกคนได้ดี มีด้านลึกด้านดีด้านร้ายในทุกๆ ตัวละคร และที่สำคัญเขาสร้างความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดาระหว่างรีบ้ากับฆาตกรร้ายได้อย่างน่าประทับใจและน่าสยดสยองไปในเวลาเดียวกัน ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จริงอยู่ที่หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายชุดของโธมัส แฮริส แต่ถ้าคุณเคยเรียนเขียนย่อความ คงรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ที่ต้องย่อความจากเกือบ 600 หน้า ให้เหลือเพียงร้อยหน้ากว่าๆ อีกทั้งบทย่อความนั่นต้องกลายมาเป็นบทหนังซะด้วยสิ…ไม่ใช่เรื่องหมูๆ นะคร้าบ
----และสุดท้ายที่ว่ากันถึงคุณภาพของตัวหนัง ใช่แล้วครับ เรากำลังหมายถึงตัวผู้กำกับคร้าบ…….เอ่อ…จะพูดไงดี ผมว่าเขาก็กำกับใช้ได้นะครับกับการเปลี่ยนแนวหนังของตัวเองอีกครั้ง(จาก Rush Hour และ Family Man) ตัวหนังอาจมีบางช่วงที่สะดุดไปบ้าง แต่ไม่เสียหายอะไรนักกับตัวหนัง ถือว่าพี่แกใช้ได้ครับ….แต่สุดยอดการกำกับของหนังชุดนี้ผมขอยกให้โจนาธาน เด็มมี่ จาก Silenceฯ ครับ

2. ว่ากันตามความรู้สึกของผมเมื่อดูจบ
----หลังจากดูเรื่องนี้ จึงได้พบว่าหนังระทึกขวัญบางเรื่องถึงแม้จะทำหน้าที่ตามแนวทางของมันได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบหนังเรื่องนั้นได้ และกับหนังเรื่องนี้ Red Dragon……..
--ผมไม่ชอบ Red Dragon สักเท่าไหร่เลยล่ะครับ หนังดูเดาง่ายไปตลอดทั้งเรื่อง ฉากไคลแมกซ์ในบ้านของฆาตกรนั้นอาจทำได้ดี(มาก) แต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าจดจำ(ผมกลับจำฉากเปิดกะโหลกแงะขมองกินได้ชัดกว่าอีก) อีกทั้งความตึงเครียดที่ปกคลุมในหนังทั้งเรื่องนั้น ดูไม่น่าติดตามเท่าไหร่นัก คือเครียดอย่างเดียว ไม่ลุ้น ไม่สนุกอย่างที่คาดไว้ ผิดกะในภาคที่แล้วที่ถึงจะตึงเครียดและชวนแหวะเพียงใด แต่ก็ยังดูสนุกได้ และตัวละคร วิล แกรห์ม ที่เอ็ดเวิร์ด นอร์ตันเล่นนั้น เป็นตัวเดินเรื่องสำคัญคนนึง กลับแสดงออกมาได้น่าเบื่ออย่างไม่น่าเชื่อ! พอถึงฉากจบเราเลยไม่ลุ้นเอาใจช่วยเขาน่ะครับ เพราะเบื่ออีตาคนนี้ไปแล้ว

เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนหนังชุดฮันนิบาล(อย่างผม) ก็อาจจะไม่ต้องดั้นด้นไปดูก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ฮันนิบาลอย่างผม ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะไปดู เพราะคุณอาจจะชอบก็ได้ อีกทั้งเราเองก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าฮันนิบาลที่จะมีในภาคต่อไป ซึ่งไม่ใช่จากการดัดแปลงจากงานเขียนของโธมัส แฮริสแล้วนั้น จะยังดูดีกว่าภาคนี้หรือไม่ หนำซ้ำท่านเซอร์ แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์ ก็ออกปากว่าเบื่อๆบทด็อกเตอร์ด็อกต๊องอย่างฮันนิบาลเต็มทีแล้ว

ดู Red Dragon เป็นการทิ้งทวนฮันนิบาลในมาดของท่านเซอร์แก ก็น่าจะดีนะครับ





The Deep End




ลูกฆ่าคนเพราะเป็นเกย์ แม่มีชู้เพราะวีดีโอเทป!?




ขึ้นเกริ่นมาซะอย่างนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดนะครับว่าเรื่องราวใน The Deep End จะเป็นเช่นนั้นไปด้วย

หนังทุนต่ำเรื่องนี้ออกฉายในปี 2001 ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างดี และยังส่งผลให้ ทิลด้า สวินตันได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากสถาบันนักวิจารณ์บอสตันอีกด้วย ( ล่าสุดเธอเพิ่งมีผลงานใน Vanilla Sky และผลงานอีกเรื่องที่กำลังออกฉายในอเมริกาและได้รับคำชมเช่นเคย ก็คือเรื่อง Adaptation หนังไอเดียแจ๋วของ สไปซ์ จอนซ์ ผู้กำกับชื่อก้องจาก Being John Malkovich )

หนังพูดถึงครอบครัวหนึ่ง ที่มาร์กาเร็ต(ทิลด้า สวินตัน) อาศัยอยู่กับลูกๆของเธอทั้งสามคนในบ้านที่ดูสงบเงียบริมทะเล ตัวแม่นั้นต้องทำหน้าที่เป็นเสมือนหัวหน้าครอบครัวด้วย เพราะสามีของเธอเป็นกัปตันเรือ ที่ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในท้องทะเล
มาร์กาเร็ตกำลังหนักใจกับเจ้าลูกชายคนโตวัย 17 ปี ที่ชื่อโบ ซึ่งได้ไปติดพันกับเกย์หนุ่มใหญ่วัย 30 ปีชื่อ ดาร์บี้ ( รับบทโดย จอช ลูคัส ที่เราๆ ท่านๆ เพิ่งได้เห็นเขาเล่นเป็นพระเอกมาดเซอร์ใน Sweet Home Alabama มาหมาดๆ ) ด้วยความเป็นแม่ที่ห่วงอนาคตลูกชาย เธอจึงจ้างให้ดาร์บี้เลิกคบกับลูกชาย แต่ด้วยความรักหรือความมักมากก็ไม่ทราบได้ ดาร์บี้จึงแอบมาหาโบในค่ำคืนหนึ่ง และทั้งคู่ก็มีปากเสียงกัน ดาร์บี้ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตในบริเวณบ้านของมาร์กาเร็ต และก็เป็นมาร์กาเร็ตนั่นเองที่เข้ามาพบศพของดาร์บี้เป็นคนแรก เธอจึงพยายามทำลายหลักฐาน เพราะคิดว่าลูกชายเป็นคนฆ่า!

มาร์กาเร็ต ทนอยู่กับฝันร้ายที่คิดว่าลูกชายเป็นฆาตกรได้ไม่นาน ก็ต้องพบเจอเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อ อเล็ค (โกราน วิสนิช) ชายหนุ่มลึกลับ ผู้มาพร้อมวีดีโอเทปที่สามารถแฉความสัมพันธ์ระหว่างดาร์บี้ กับโบลูกชายเธอ(ในขณะนั้น ตำรวจได้พบศพดาร์บี้แล้ว) เขาขู่ว่าจะนำวีดีโอนี้ไปให้ตำรวจ และสามีเธอดู ทั้งนี้ทั้งนั้น อเล็คต้องการเงิน 50,000 เหรียญเป็นค่าปิดปาก
และนั่นก็นำมาซึ่งเรื่องราวที่เกินคาดเดา จากเรื่องลับเล็กๆ ขยายใหญ่เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างไม่น่าเชื่อ และก็ไม่ใช่มาร์กาเร็ตเท่านั้นที่ยังคงอยู่กับฝันร้ายที่ลูกชายเป็นฆาตกร ตัวโบลูกชายสุดที่รักเองก็กำลังคิดว่าผู้เป็นแม่กำลังนอกใจพ่อไปมีชู้กับ. . . . . . อีกด้วย!

หนังเรื่องนี้ เล่าเรื่องไปอย่างเนิบๆ เรียบๆ แต่ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันอยู่ตลอดเวลา จนเราคาดเดาไม่ถูก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเรื่องหลัง ที่เรื่องราวทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก และกับทิลด้า สวินตันนั้น แสดงได้ดีสมกับรางวี่รางวัลที่ได้รับจริงๆ ฉากหนึ่งที่โชว์ความสามารถของเธอให้เห็นกันจะๆ เป็นฉากที่เธอได้ดูเทปลับเทปนั้น ซึ่งไม่ว่าแม่ของลูกคนไหนก็ตาม หากได้มาเห็นภาพของลูกชายที่เลี้ยงดูฟูมฟักกำลังถูกกระทำเช่นนั้น ก็คงช็อคจนทำอะไรไม่ถูกเช่นเธอเหมือนกัน

น่าดูครับ เรื่องนี้ ใครว่างๆ ก็ลองเช่ามาดูกันได้ตามศูนย์วีดีโอทั่วไป (ออกเป็นวีซีดี ลิขสิทธิ์ของซีวีดี) หนังอาจมีช่วงอืดๆ เนือยๆ ไปบ้าง แต่ถ้าดูจนจบก็อาจจะรู้สึกอึ้งเหมือนกับผมก็เป็นได้ อึ้งที่ว่าการที่คนเราต่างคนต่างคิดไม่ยอมหันหน้ามาปรึกษากัน บางทีก็อาจนำมาซึ่งความเลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว (ประเด็นนี้คล้ายกับเรื่อง Changing Lanes เลยล่ะครับ)

เนี่ย! ผมเองถ้าเป็นไปได้ ก็อยากย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆ มาร์กาเร็ตน่ะครับ เพื่อจะได้บอกความจริงกับเธอว่า ลูกเธอน่ะไม่ได้เป็นฆาตกรนะ และกับลูกชายตัวดีผมก็อยากบอกมันว่า แม่นายไม่ได้มีชู้นะเฟ้ย!

และกับเรื่องนี้ ผมถือว่าเป็นหนังที่. . . . สนุก ลึกลับ แต่จบค้างความรู้สึกครับ



ปล. ผู้กำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้คือ สก็อต แม็กกีเฮ และ เดวิด ซีเกิล ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยร่วมงานกันมาแล้วใน Suture หนังทริลเลอร์ปี 1993 ล่าสุดกำลังร่วมงานกันอีกครั้งใน The Hot Zone หนังที่ว่าด้วยเชื้อไวรัสอีโบล่า (ข้อมูลยังไม่เป็นที่ยืนยัน)

.......อัพเดทเฉพาะกิจ ล่าสุดคู่หูผู้กำกับ-เขียนบทคู่นี้ เพิ่งมีหนังออกมาในบ้านเรา ที่ชื่อว่า Bee Season ที่นำแสดงโดยริชาร์ด เกียร์นั่นแล....







The Lord of the Rings : The Two Towers



อัศจรรย์พันลึก ดิจิตอลก็แสดงหนังได้

ผมทึ่งที่สปลีลเบิร์ก ทำให้ไดโนเสาร์มีชีวิตในจูราสสิกปาร์ก (แต่เสียดายที่มันพูดภาษาคนไม่ได้)

ผมอึ้งที่จอร์จ ลูคัส ทำให้จาร์จาร์ บิ๊งก์ สามารถพูดโต้ตอบกับโอบีวัน-เคโนบีได้ (แต่สุดท้ายกลับต้องมานั่งกลุ้มแกมรำคาญที่มันพูดมากเกินไปแถมยังแสดงหนังไม่ได้เรื่องอีก)

และแล้ว. . . เจ้าหนูน้อยจาก Stuart Little ก็ทำให้ผมเข้าใจว่าเจ้าตัวอนิเมทจากเทคนิคดิจิตอล ก็แสดงหนังได้ แต่ก็คงอยู่แค่ในกรอบคาแรคเตอร์ที่ขายเฉพาะความน่ารักน่าชังเท่านั้นกระมัง

จนกระทั่ง กอลลัม! กอลลัม! ก็ทำให้ผมพบความอัศจรรย์ใจอีกครา. . .


ในภาคที่แล้ว LOTR ได้เคยกล่าวถึงกอลลัมว่า เป็นฮอบบิตธรรมดาตัวหนึ่งที่ชื่อว่า สมีกอล แต่หลังจากที่มันได้พบแหวนและถูกอำนาจของแหวนนั้นครอบครอง ก็ทำให้สมีกอลกลายร่างเป็นอสูรกอลลัม
แต่ใครเล่าจะคิดว่าการปรากฏตัวของกอลลัมใน The Two Towers จะนำมาซึ่งการแสดงอันโดดเด่น จนถึงขนาดที่ว่าโปรดิวเซอร์ของหนังไตรภาคชุดนี้ คิดที่จะเสนอชื่อกอลลัมเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ทั้งที่เจ้ากอลลัมที่ว่าเป็นตัวอนิเมทจากเทคนิคทางคอมพิวเตอร์. . . อ๊ะ จริงดิ!

อันที่จริงแล้ว กอลลัมก็ใช่ว่าจะมาจากโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์แต่เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น ทีมงานทางด้านดิจิตอลได้อาศัยท่าทางอากัปกิริยารวมทั้งน้ำเสียงของนักแสดงคนหนึ่งเป็นต้นแบบ นักแสดงคนนั้นคือ Andy Serkis หนุ่มใหญ่จากประเทศอังกฤษ ที่ไม่ค่อยจะมีผลงานการแสดงที่สร้างชื่อเสียงให้ตนเองมากนัก
ในฉากตอนหนึ่งที่โชว์พลังความสามารถในการแสดงของกอลลัมได้เป็นอย่างดี คือฉากตอนที่กอลลัมกำลังเถียงตัวเองว่าจะช่วยโฟรโด หรือจะทำลาย ซีนนี้ซีนเดียวได้หลายอารมณ์มาก ทั้งตลก ทั้งน่ากลัวและน่าประทับใจ ต้องยอมให้เขาเลยจริงๆ ครับ

ส่วนนักแสดงที่เป็นคนท่านอื่นๆ ก็ยังเล่นได้ในระดับดี ที่โดดเด่นขึ้นมาหน่อย ก็คงเป็น ฌอน แอสติน กับ เอไลจาห์ วู้ด ที่เล่นเป็น แซม กับโฟรโด้ ตามลำดับ สองคนนี้เป็นตัวเดินเรื่องที่สำคัญ(แหงล่ะ ก็แหวนอยู่กับสองฮอบบิตคู่นี้น่ะดิ) พวกเขามีพัฒนาการที่เด่นชัดมากจากภาคที่แล้ว ในขณะที่อารากอร์น(วิกโก้ มอร์เตนเซ่น) เลโกลัส(ออร์แลนโด้ บลูม) และกิมลี่ย์(จอห์น-ไรส์ เดวี่ส์) ก็เป็นส่วนชูรสสำคัญยิ่งในด้านความบู๊ดีเดือดของหนัง และผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสัน ก็ฉลาดพอที่สามารถเล่าเรื่องในส่วนของการผจญภัยของโฟรโด และส่วนแอ๊คชั่นสงครามของฝ่ายอารากอร์นได้อย่างลงตัวไม่มีขาดไม่มีเกิน(อาจจะเกินมาบ้างในส่วนของเรื่องความรักระหว่างอารากอร์นและเอโอวีน แต่ก็ถือว่าไม่เสียหายต่อตัวหนังมากนัก)
และยังมีอีกหลายตัวไม่ว่าจะเป็นทรีเบียร์ด แกนดัล์ฟ(ที่หนังพาเขากลับมาได้อย่างงดงามที่สุด!) เมอร์รี่ ปิ๊บปิ้น ฯลฯ ก็เป็นส่วนดีๆ ของหนังทั้งนั้น รวมไปถึงตอนจบของภาคนี้ด้วยที่ทิ้งท้ายไว้อย่างมีปริศนา ทำให้อยากดูภาคต่อไปในแทบจะทันที(ทำไมต้องรออีกปีด้วยนะ)

หากจะให้เทียบภาคนี้กับภาคที่แล้ว บอกตรงๆ ว่าเทียบกันยาก เพราะในภาคแรกนั้นเหมือนเป็นการปูเรื่องมากกว่า (ซึ่งเป็นการปูเรื่องที่ฉลาดมากๆด้วย) ในขณะที่ภาคสองนี้เป็นการเริ่มเดินเครื่องออกสตาร์ทแล้ว ซึ่งจะมีฉากแอ๊คชั่นอยู่เยอะมาก โดยที่ในภาคแรกจะเป็นเรื่องของการหาพรรคพวกร่วมเดินทางและผจญภัยมากกว่า

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม คนที่ยังไม่ได้ดูภาคแรก ผมขอแนะนำให้ไปหาวีซีดี หรือวีดีโอมาดูก่อน แล้วค่อยไปดูภาคต่อนี้นะครับ เพราะจะได้ดูได้อย่างสนุกสนานและเข้าใจมากขึ้น (ผมเองขนาดดูภาคแรกไปสองรอบแล้ว ยังออกจะงงๆ ในบางฉากบางตอนด้วยซ้ำว่ามีที่มาอย่างไร)

และสำหรับคนที่คล้ายกำลังมืดบอดในความหวัง รวมไปถึงคนที่ยังไม่ได้ของขวัญปีใหม่จากใคร ลองแวะไปดูหนังเรื่องนี้เป็นรางวัลใจให้ตัวเองสิครับ ผมเชื่อแน่ว่าเวลา 3 ชั่วโมงที่เสียไป คุณจะได้ทั้งความสนุก และอะไรดีๆติดตัวไปอีกนาน

สุดท้ายนี้ ส วั ส ดี ปี ใ ห ม่ ครับ ขอให้ร่างกายแข็งแรง จะได้มีแรงไว้ดูหนังดีๆ สนุกๆ ไปอีกเยอะๆ เป็นพันเป็นหมื่นเรื่องเลยเอ้า!

ลาละครับ ปีม้าพยศ . . . BYE BYE





ยังมีต่อ.......แต่บล็อกนี้ชักยาวแล้ว ไว้ตามไปบล็อกหน้าครับ


อ่านต่อ คลิกที่นี่ - - - > Retro to Film - Club # 2



Create Date : 04 กันยายน 2550
Last Update : 5 กันยายน 2550 3:22:30 น. 6 comments
Counter : 993 Pageviews.

 
อ่านนิดหน่อยแล้วครับ ก็ไม่มีอะไรต้องตินะฮ่ะ จำได้เหมือนกันว่าเมื่อก่อน(ประมาณหกเจ็ดปีเหมือนกัน)เคยเขียนลงเว็ปเหมือนกันในGeocities เขียนมั่วๆซั่วๆ (แถมต้องมานั่งใส่htmlอีก กว่าจะเสร็จทีเป็นวันๆ) ถึงตอนนี้ผมปล่อยให้ที่โน้นร้างไปแล้วครับ แต่รีวิวหนังอีกเพียบก็ยังอยู่ตรงนั้นครบถ้วน (ไม่กล้าเอามาลงตรงนี้ครับ เพราะอายโคตๆ)


โดย: BloodyMonday วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:23:33:38 น.  

 
คุณ BloodyMonday
- หุๆ ผมอ่านของตัวเองอีกทีก็ขนลุกล่ะครับ แต่เอามาเก็บไว้ในนี้ ถือเป็นการรวบรวมละกัน เพราะเขียนในฟิล์มคลับไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ (อีกคนที่เขียนลงฟิล์มคลับเหมือนกัน แต่ขยันกว่าผมเยอะ ก็คุณ renton_renton ไงครับ หุๆ)
- อยากเห็นผลงานครั้งละอ่อนของคุณBloodyMonday อ่ะ จะพอมีหวังหรือทิ้งลายแทงไว้ได้ป่าวครับ....


โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:23:44:52 น.  

 
ในลิสต์นี้เคยดูแต่เดอะลอร์ดครับ
ชอบการแสดงของ Andy Serkis มากเหมือนกันแล...
แต่ถ้านับในเดอะลอร์ด ภาคนี้คือภาคที่ผมชอบน้อยที่สุด


โดย: nanoguy วันที่: 5 กันยายน 2550 เวลา:21:31:58 น.  

 
เจ้าน้องตี้
- วงจรอุบาทว์พี่กลับมาอีกแล้ว....หึๆ
ช่วงนี้นอนดึกๆ ทุกวันเลย (ปกติเวลานี้ต้องเป็นเวลาตื่นอ่ะ) เหอๆ
LOTR พี่สนุกกับภาคนี้ที่สุดครับ แต่ถ้าถามว่าภาคไหนดีสุด ก็คงยกให้ภาคสุดท้ายนั่นแล.......


โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:4:12:22 น.  

 
+ อ๋อ ... ตอนแรกพี่ก็คิดว่า 'วงจรอุบาทว์' ที่เติ้งพูดถึงหมายถึงอะไร ... แต่ตอนนี้ก็พอจะเก็ทแล้วน่อ
+ เติ้งง่ะ แอบมาเปิดกรุ๊ปนี้ไว้ตั้งกะวันพุธ แล้วก็ไม่แจ้งไว้ที่ล่าสุดเลยนะครับ ... พอดีมะวานพี่ก็ยุ่งๆ ด้วย เลยไม่ทันได้สังเกต มีวันนี้ว่างหน่อย ถึงเพิ่งจะเห็น แล้วได้เข้ามาอ่านเนี่ยแหละครับ

+ Love letter - พี่ยังไม่ได้ดูครับ (ของชุนจิ เพิ่งดู ชูชู ไปเรื่องเดียวเองง่ะ) ... และตั้งใจว่าซักวันนึงจะต้องหามาดูให้ได้ ก็เลยไม่กล้าอ่านเนื้อความ เพราะเท่าที่กวาดตาดูก็รู้สึกว่าจะเป็นสปอยล์เนื้อเรื่องซะเป็นส่วนใหญ่
+ Red dragon ... ถ้าไม่นับ Rising ที่ไม่ได้ดู พี่จะชอบอยู่ตรงกลางระหว่าง Lambs กับ Hannibal อ่ะครับ ... คงเป็นเพราะพี่ชอบดูหนัง psycho/thriller แต่ไม่ค่อยนิยม slasher ด้วยมั้ง ... เลยรู้สึกว่า Hannibal มันออกแนวโหดเชือดเลือดสาดมากไปหน่อย ... ส่วน Red dragon ถึงจะไม่ถึงกับ 'ท็อปฟอร์ม' แต่ก็ดูได้เพลินๆ อ่ะครับ
+ The deep end ... ยังไม่เคยดูง่ะ แต่เคยได้ยินชื่อ แต่อ่านแล้วน่าดูอ่ะ ... ยิ่งมีเจ๊ทิลด้า แสดงซะด้วย

+ ขำอ่ะ ... สำนวน "จริงดิ" นี่เค้าใช้กันตั้งกะปีม้า (5 ปีที่แล้ว) แว้วเหรอคับ? พี่เพิ่งมาใช้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เองอ่า (จะได้ดูแอ๊บแบ๊วหน่อย เวลาคุยกะเดะๆ 555

+ LOTR ภาคสุดท้าย น่าจะดีสุด ดูสนุกสุด ... เสียแต่ช่วงท้ายสุดมันดูเกินๆ และเยิ่นเย้อไปนิดนึงอ่ะครับ
+ เออ ... แต่พี่ขำ สมัยก่อนตอนที่พี่ยังเคยสิงสถิตย์อยู่แถวห้องหยาม ณ พันติ๊บ ... แล้วได้คุยเรื่อง LOTR กับน้องคนนึง ซึ่งก็มีความเห็นตรงกันว่า แซมกับโฟรโด ดูเหมือนจะมีความนัยแปลกๆ กันอยู่ ... แล้วน้องมันใช้คำนึงที่ทำให้ฮากร๊ากเลยอ่ะครับ มันบอกว่า "เวลาแซมมองโฟรโดแล้ว มองเห็นถั่วดำอยู่ในแววตาเลย 555 "


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:13:25:26 น.  

 
เพ่วิน
- วงจรนี้มันกลับมาแล้ว และยิ่งนับวันก็ยิ่งหนักข้อฮับ ฮือๆ คืนนี้ก็อาจจะไม่ได้นอนกันอีกแระ ต้องตรวจงาน.............
- ไม่ค่อยอยากอวดอ่ะครับบล็อกนี้ อาย....แบบว่าเขียนตอนเด็กมาก
- สปอยล์แต่ไม่หมดครับ หามาดูให้ได้เน้อ
- ผมชอบภาคนี้น้อยสุดครับ...
- กลายเป็นหนังหายากแล้วครับ จำไ้ด้ว่าเรื่องนี้ ป๋าเต๊ด เคยพูดชมออกอากาศรายการ "หนังหน้าไมค์" ของคลื่นแฟตด้วยล่ะ
- อ๊ะ....จิงดิ! พี่เพิ่งใช้จริงๆ เหรอครับ 555
- ภาคสุดท้ายผมก็ว่า ว้าย วาย........หลายคนแล้วนะครับพี่พูดอย่างนี้ แต่ผมสนุกกับ Two Tower มากกว่าครับ แต่ถ้าว่ากันถึงความดีของหนังก็ต้องยกให้ภาคสุดท้ายอ่ะ ทำยากนะ....


โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:17:43:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หัวใจของผมทำด้วยเซลลูลอยด์คร้าบบบบบ
รายการ Blog ที่Update ล่าสุด
ชอบBlogไหนคลิกที่รูปได้เลยครับ
รีวิวซีรี่ส์ 1 Litre of Tears
คลิปเปิดตัว 24 DAY 7
เป็นตุเป็นตะกับบอดี้ ศพ 19
มันติดมาจากในโรง#3
เพลงสุดโหยหวนจากหนัง The Brave One
รีวิวซีรี่ส์ HouseMD และเฉลยปม Lost
Retro to Film - Club

เพลง เธอทั้งนั้น
ให้เจ้าหลาน Bay
Group Blog
 
 
กันยายน 2550
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
4 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.