ตั้งแต่โยกย้ายตัวเองมาปรับลุคใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดเท้าใน Bloggangได้พบปะบล็อกของน้องๆ วัยละอ่อนหลายๆ คน......แล้วนึกครึ้ม.....ไปถึงสมัยตัวเองยังละอ่อนพอกันเคยได้เขียนบทความเกี่ยวกับหนังลงเวบ film - club (ไม่ใช่เวบแฟนคลับของฟิล์ม รัฐภูมิเน้อ)มาวันนี้ได้ลองเข้าไปอ่านทบทวนความทรงจำแล้วขำๆ กับความคิดเห็นของตัวเองตอนรุ่นเยาว์ว่าทำม้าย ถึงได้คิดแรง คิดซึ้งได้ขนาดนั้นลองอ่านดูครับ ไม่ต้องรีบ เพราะจะทยอยลง(อายุบทความเหล่านี้ก็ประมาณ 4 - 6 ปีที่แล้วครับ)และจะไม่มีการแก้ไขต้นฉบับใดๆ เพื่อฟิลลิ่งแบบเด็กๆ จะได้คงอยู่ครบถ้วน แหะๆ(แต่อาจเพิ่มรูปจากหนังเข้าไปให้สวยนิดนึง)พอลงครบก็คงไม่มีมาให้ดูกันอีกแล้ว(เพราะเขียนลงฟิล์มคลับได้ไม่กี่ปี ก็หยุดลาพักร้อนยาววววว)สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเวบ film - club มาก่อน คลิกที่นี่ครับอ่านขำๆ นะครับ ผมว่าเด็กๆ สมัยนี้ เขียนดีกว่าตัวผมสมัยโน้นเยอะ อย่างบล็อกน้องนาโน(ตี้-ตีความหนังดีมาก) บล็อกน้องต้น (Unravel คนนี้ไม่เกี่ยวกับหนัง แต่บทความของน้องเขาเขียนสวยมาก) น้องเมอร์(merveillesxx - คนนี้คงไม่ต้องนิยามอะไรกันอีกแล้ว เหอๆ).......ดูบทความของผมไว้เป็นอุทธาหรณ์ครับ หุๆคำเตือนบทความในสมัยนั้น ผมจะเขียนสปอยล์เรื่องราวของหนังค่อนข้างมากนะครับ
ผมชอบดูหนังคนเดียว . . . ทำไมน่ะหรือ ขอแยกเป็นเหตุเป็นข้อสัก 3 ข้อ นะครับ1. ไม่ต้องไปยืนเถียงกันหน้าโรงกับใคร ว่าจะดูหนังเรื่องไหนดี2. ไม่ต้องรอให้เวลานัดตรงกัน เพื่อจะดูหนังด้วยกันเพียงเรื่องเดียว3. ไม่ต้องเสียสมาธิขณะดูหนัง หากเจ้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สงสัยอะไรเกี่ยวกับตัวหนัง3 เหตุผลข้างต้น ดูเหมือนเป็นเหตุผลของคนที่รักสันโดษ(และรักหนังมาก) แต่ในขณะเดียวกัน. . .มันก็ดูเป็นเหตุผลของคนที่เห็นแก่ตัวด้วย!เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม อากาศร้อนมากๆ (ในเดือนที่ว่ากันว่าเป็นเดือนของฤดูหนาว) ประกอบกับเงินเดือนของพ่อแม่เพิ่งออก ผมเลยพาร่างดำๆ ของตัวเอง เดินเข้าห้างดังย่านบางกะปิ และแน่นอนที่สุด. . .ผมไปคนเดียวเดินดูของไปสักพักและซื้อเป้มาหนึ่งใบ ผมเองก็ไม่วายขึ้นไปชั้นหกเพื่อแวะดูโรงหนัง (ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะดูหนังอะไรสักเรื่อง) ที่นั่นทำให้ผมเสียตังค์ร้อยบาท เพื่อเข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ที่เวลาฉายของมันพอเหมาะพอดีกับอีตอนที่ผมไปถึงโรงหนังเลยหนังเรื่องนั้น คือ Changing Lanesหนังเป็นมาอย่างไร ผมไม่ทราบ ทราบแต่ว่า เบน อัฟเฟล็ค แสดงนำร่วมกับ แซมวล แอล แจ็คสัน และเมื่อดูจากโปสเตอร์น่าจะเป็นหนังแนวแอ็คชั่นธรรมดาเรื่องหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อดูจนจบ ทำให้ผมต้องรีบหาข้อมูลผู้ที่เกี่ยวข้องกับ Changing Lanes ในแทบจะทันทีChanging Lanes เป็นหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับ ผู้ชายสองคน ดอยล์ กิ๊ปสัน(แซมวล แอล แจ็คสัน) กับ เกวิน บาเนค(เบน อัฟเฟล็ก) ที่ต้องมาทำสงครามจิตวิทยากัน อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในช่วงเวลาอันรีบเร่งของแต่ละฝ่าย และสงครามที่เกิดขึ้นนั้นก็นำพาพวกเขาไปสัมผัสกับด้านมืดของตัวเองที่ไม่เคยได้รู้มาก่อน และนั่นก็ทำให้พวกเขาทั้งสองเริ่มมองหาวิธีที่จะขจัดสิ่งชั่วร้ายนั้นออกไปจากจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นสิ่งชั่วร้ายในจิตใจก็กำลังสำแดงฤทธิ์เดชของมันออกมาอย่างเต็มที่และร้ายกาจอีกด้วยหนังได้ทีมนักแสดงที่มีคุณภาพอย่างคับคั่ง และใช้งานได้คุ้มถึงแม้บางคนจะโผล่มาไม่กี่ฉากก็ตาม และหนึ่งในความเซอร์ไพรส์ก็คือ อแมนด้า พีท สาวเซ็กซี่จากหนังที่ไม่ค่อยจะเวิร์กอย่าง Evil Women และ Whipped ก็สามารถแสดงเป็นภรรยาของเกวินได้ดีอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะฉากในร้านอาหาร ฉากนั้นทำให้เราทึ่ง. . .ซึ้ง และต้องมาหงายหลังตอนที่เธอพูดจบประโยคนั้น ที่ลงเอยได้อย่างหักมุมเหลือร้าย (ฉากตอนนี้เฉียบมากครับ ขอบอก) อีกคน แซมวล แอล แจ๊กสัน ก็เล่นได้ดีตามเคย ส่วน เบน อัฟเฟล็กนั้น เล่นดีบ้างไม่ดีบ้าง ตามมาตรฐานของเขานั่นแหล่ะครับผกก. โรเจอร์ มิเชลล์ที่เคยทำให้คนไทยได้เคลิ้มกับจูเลีย โรเบิร์ตใน Notting Hill มาแล้ว ในเรื่องนี้เขาได้เปลี่ยนแนวมากำกับหนังไซโคทริลเลอร์ได้ในระดับดี อาจไม่โดดเด้งมาก แต่ก็สามารถทำให้เราดูสนุก ลุ้นได้จนจบ (เครียดแต่ก็สนุกครับ)และเมื่อดูจบ สิ่งหนึ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้(ไม่ทราบว่าคนอื่นที่ดูจะคิดเหมือนกันหรือปล่าว) ความเป็นมิตรภาพนั้น สามารถแก้ปัญหาที่ดูเหมือนยุ่งยากให้กลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปได้ การที่หัดคิดถึงคนอื่นเสียบ้างอย่ามองแต่ว่าตัวเราถูกแล้ว ก็สามารถทำให้เราแสงสว่างแห่งชีวิตได้ง่ายๆ หากกิ๊ปสัน ไม่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสนิทในช่วงท้ายเรื่อง หรือ เกวิน ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับ ดอยล์ กิ๊ปสัน กันตรงๆ อย่างเปิดอกสองคนนี้อาจฆ่ากันตายไปแล้วก็ได้!เป็นหนังที่ดูสนุกลุกนั่งสบายครับ ไม่เสียดายตังค์แน่นอน ตอนนี้ผมกำลังยุเพื่อนๆ ที่เรียนนิติฯ ให้ไปดูหนังเรื่องนี้ เผื่อจะได้ข้อคิดดีๆในการเป็นทนายกลับมาบ้างน่ะครับคุณเองก็เถอะ ถ้าสนใจหนังเรื่องนี้ ก็ลองพาเพื่อนๆไปดูบ้างสิครับ . . . คงไม่อึดอัดเท่าไหร่หรอกน่าความสันโดษไม่มีในโรงหนังนะครับ. . .
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ทราบข่าวว่า จางอี้โหมวกำลังจะทำหนังจีนกำลังภายในในแบบฉบับของตัวเอง ก็ทำให้ผมเฝ้ารอหนังเรื่องนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจางอี้โหมวเอง ผมก็นับถือเขาในฐานะจอมยุทธคนหนึ่งที่มีความสามารถเก่งกาจด้านการทำหนังให้ออกมาสวยสดงดงาม ราวกับภาพวาดของจิตรกรจีน และถ้าหากภาพวาดนั้นออกมาเป็นหนังกำลังภายใน มันจะสวยสดงดงามตระการตาปานใด ผมก็ยังไม่อาจจะจินตนาการเอาเองได้เลยและแล้วภาพวาดนั้นก็สำเร็จออกมา ให้เราๆ ท่านๆ ได้ยลโฉมก่อนฮอลลีวู้ด(ที่เป็นเป้าหมายหลักของจางอี้โหมวและนายทุน) ถึงแม้ผลตอบรับจากคนดูที่คาดหวังอยากดูหนังบู๊มันๆ สักเรื่อง จะไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนัก แต่กับตัวผมเองนั้น ต้องขอบอกว่าชอบมากครับฟ้าเวิ้ง หิมะเหิน และกระบี่หัก คือเหล่าจอมยุทธที่เก่งกาจที่หวังจะโค่นล้มอำนาจกษัตริย์แห่งฉิน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ตั้งรางวัลไว้เป็นทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ และสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ หากใครคนนั้นสามารถกำจัดสามจอมยุทธนั้นออกไปจากแผ่นดินได้และแล้วเมื่อ นิรนาม ได้ขอเข้าเฝ้าและอ้างว่าตนสามารถกำจัดสามจอมยุทธนั้นได้ พร้อมได้นำเอาอาวุธประจำตัวของเหล่าจอมยุทธนั้นมาเป็นหลักฐานด้วย กษัตริย์ฉินจึงได้ให้นิรนามเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของการสังหารครั้งนี้ และเรื่องราวเหล่านั้นของนิรนาม ก็นำมาซึ่งตำนานและความหมายของวีรบุรุษที่แท้จริง. . .ตัวหนังเล่าเรื่องไปอย่างเนิบๆ ไม่รีบเร่ง หนำซ้ำยังทำให้มันซับซ้อนทั้งที่บางเรื่องก็ไม่น่าจะซ้อนทับกันซะขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเสียงบ่นจากคนดูในโรงเป็นระยะๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่ภาพของหนังออกมาอย่างสวยสดงดงาม รวมไปถึงจุดคลี่คลายของหนังที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว และโรแมนติกมาก(ในสายตาผม) ก็ทำให้อดปลื้มไม่ได้กับความเป็นเอเชียของเราว่ามันมีความลึกซึ้งกินใจเพียงใด ในแต่ละสิ่งละอย่างนั้นเอเซียเราก็นำมาเปรียบเปรยได้อย่างคมคาย บางอย่างที่เรามองว่าเป็นของพื้นๆ ไม่มีคุณค่า แต่ถ้ามองกลับกัน เราอาจจะพบความหมายสำคัญที่ซ่อนอยู่ เช่น อักษรลักษณ์สีแดงบนผืนผ้า เพลงกระบี่บนผืนทราย ผืนผ้าสีเขียวที่ขาดสะบั้นลงในระหว่างการต่อสู้ของกระบี่หักและกษัตริย์ฉิน หรือแม้กระทั่งเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกษัตริย์ฉินในการทำสงครามครั้งนี้Hero ไม่ใช่หนังที่ทุกคนจะต้องชอบ หรือดูแล้วสนุก แต่มันคือหนังดีที่มีคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้ผมจะชอบหนังเรื่องนี้มาก แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมจางอี้โหมวไม่ทำหนังให้ดูง่ายและสนุกกว่านี้ ในเมื่อตัวเขาเองคาดหวังจะให้ Hero เป็นหนังทำเงินและคว้าออสการ์ อีกทั้งผลงานทั้ง 3 เรื่องก่อนหน้านี้ ก็ล้วนเป็นหนังดีที่ดูง่ายๆ สบายๆ แต่พอมาทำหนังทุนสูงหวังกำไรอย่าง Hero กลับทำออกมาให้ดูเข้าใจยากไม่น่าจะเข้ากับตลาดเอ๊ะ! หรือว่าผมกำลังเข้าใจเจตนารมณ์ในการทำหนังเรื่องนี้ของเขาผิดไปคำคำเดียว หรือ สิ่งของสิ่งเดียวกัน ก็สามารถตีความได้หลากหลายแง่มุมหากพูดถึง "สีเขียว" คุณนึกถึงอะไร?คุณอาจจะนึกถึงธรรมชาติ ความสงบนิ่ง ความสบายแต่รู้มั้ยครับ จางอี้โหมวบอกความหมายของสีเขียวไว้ว่าอย่างไร. . ."มันคือความอิจฉาริษยา และกิเลสตัณหาในใจของมนุษย์" ครับ!และนั่นอาจเป็นคำตอบ(งงๆ) ของการทำหนังอย่าง Hero ให้ออกมาอย่างที่เห็นก็เป็นได้
คุณเชื่อไหม ว่าหนังบู๊ไทยๆ เรื่องนี้ ได้รวบรวมความเป็นที่สุดไว้ 10 ประการ1. นี่คือหนังบู๊ไทย ที่ดูสนุกที่สุด2. นี่คือหนังที่ดีที่สุด ของผู้กำกับ ปรัชญา ปิ่นแก้ว3. นี่คือหนังบู๊ที่มีพระเอกที่เก่งที่สุด4. นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง(ในจำนวนอันน้อยนิด) ที่ดูแล้วคุ้มค่าตั๋วที่สุดในรอบหลายปี5. นี่คือหนังบู๊ไทย ที่มีงานด้านภาพโดดเด่นที่สุด6. นี่คือหนังบู๊ ที่มีฉากเปิดเรื่องที่สวยงามที่สุด7. นี่คือหนังบู๊ที่รวบรวมท่าหมัดท่าขาแม่ไม้มวยไทยไว้มากที่สุด8. นี่คือหนังบู๊ไทย ที่มีดาราตลกเล่นหนังได้เก่งที่สุด9. นี่คือหนังบู๊ที่พระเอกไม่ได้มีมือไว้ถือปืน และใช้หมัดกับเท้าเป็นอาวุธที่รุนแรงที่สุด10. นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่ทำให้คนดู ภาคภูมิใจกับความเป็นไทยอย่างถึงที่สุด!นับเป็นบุญตาของผมจริงๆ ที่ได้ชมภาพยนตร์มันส์ๆ เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ในตอนแรกออกจะกลัวสักหน่อยว่าหนังอาจออกมาไม่ค่อยดีนัก ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะผกก. ปรัชญา ปิ่นแก้ว ก็ห่างวงการหนังไปนาน(ในด้านการกำกับน่ะครับ) อีกทั้งเรื่องท้ายสุดของเขา "เกิดอีกที ต้องมีเธอ" ก็ไม่ใช่หนังที่น่าพอใจมากนักแต่เมื่อดูเรื่องนี้จบ พบว่า หนังออกมาดีเกินคาดจนถึงขั้นดีมากเลยก็ว่าได้ ก็ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะดูหนังแอ๊คชั่นสักเรื่อง แล้วไหลลื่นไปกับเรื่องราวของมัน แต่องค์บากทำได้ และลงตัวกลมกลืนเป็นอย่างมากเสียด้วยสิ (โดยเฉพาะช่วง 30 นาทีแรก. . . . สนุกม๊ากกกกกก)จา พนม ยีรัมย์ หนุ่มวัย 26 ปี จากแดนอีสานใต้ ถึงแม้จะใหม่ในด้านการแสดงเป็นตัวจริง แต่หน้าตา แววตา และท่าทางก็ยังถือว่าแสดงได้น่าพอใจ แต่อาจมีปัญหาตรงน้ำเสียงที่ยังดูแข็งๆ เกร็งๆ ไปบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้หนังเสียหายเลย คาดว่า เขาน่าจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอนจาทำให้เราได้รู้จัก ท่าขา"พระเจ้าตานั่งแท่น" ท่า"บาทาลูบพักตร์" ท่า"นาคาบิดหาง" เป็นต้น ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนไทยแท้ๆ และถูกกรอกลูกกะตาโดยผู้เป็นพ่อให้ดูมวยไทย 7 สีทุกวันอาทิตย์ ก็ยังอดที่จะตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ เมื่อได้เห็นจา พนม แสดงท่าหมัดมวยไทยเหล่านั้นได้อย่างงดงาม. . . .น่านับถือจริงๆ พี่ชาย. . .ส่วนหม่ำ จ๊กมก(รับบทเป็น บักหำแหล่หรือยอร์ช) และภุมวารี ยอดกมล(รับบทเป็น หมวยเล็ก) ก็เป็นส่วนชูรสให้กับหนังได้เป็นอย่างดี(ถึงแม้จะมีเสียงค่อนขอดว่าแคแรกเตอร์สองตัวนี้ไปคล้ายคลึงกับแคแรกเตอร์ในหนังฮ่องกงหลายๆ เรื่องก็เถอะ)โดยเฉพาะพี่หม่ำของเรานั้น ความสามารถด้านบู๊ๆ ก็ใช่ย่อย(ในหนังไม่ได้โชว์มากนัก) แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ อารมณ์ทางด้านดราม่า พี่หม่ำก็เล่นออกมาได้พอเหมาะพอดี เล่นเก่งเชียวล่ะ(ฉากที่โดนทวงค่าเช่าห้อง สีหน้าของของพี่หม่ำบอกอารมณ์ภายในของตัวละคร โดยที่ไม่ต้องแสดงท่าทางอะไรเลย) ส่วนแอ ภุมวารีที่เล่นเป็นหมวยเล็ก ก็ดูดีตรงบทพูดของเธอที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากๆ มากเสียจนเหมือนไม่ได้แสดงและอีกสิ่งหนึ่งที่อยากชมเป็นพิเศษ ก็คือบทหนัง ซึ่งเดิมทีหนังบู๊ทั้งไทยและเทศในช่วงหลังๆ มักจะมีปัญหาในเรื่องตรงนี้มาโดยตลอด แต่องค์บากถือว่าสอบผ่านทั้งที่จริงบทหนังขององค์บากก็ไม่ได้เป็นบทหนังที่แปลกใหม่หรือดีเลิศอะไร แต่คือบทหนังที่สามารถรองรับฉากบู๊ต่างๆ ได้อย่างลงตัวและกลมกลืน (อาจจะมีโดดมาหน่อย ก็ตรงช่วงตุ๊กตุ๊กเรซซิ่ง นั่นล่ะ ที่ดูแล้วงงๆ) หนำซ้ำยังสามารถทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนังอย่างไม่ยากเย็นเลย เห็นได้ชัดว่าคนทำหนังเรื่องนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องบทพอสมควรพี่ปรัช ปรัชญา ปิ่นแก้ว กลับมาคราวนี้เหมือนแกกำลังจับทางถูกแล้ว เพราะเมื่อก่อน ก็เคยทำให้วงการหนังไทยฮือฮาจาก "รองต๊ะ แล่บแปร๊บ" คราวนี้ เขาก็กลับมาทำให้เกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนั้นอีกครั้ง และดูท่าทีว่าจะไม่ได้เป็นแค่ปรากฎการณ์ในเฉพาะเมืองไทยเท่านั้น ตรงนี้ต้องคอยดูกันต่อไป ว่าหนังเรื่องนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน (แต่คาดว่าคงไปได้ไกลมากๆ)สุดท้ายก็ต้องแสดงความยินดีกับพี่ปรัช จา พนม ยีรัมย์ และคุณพันนา ฤิทธิไกร กับตัวหนังที่ออกมา หลังจาก " 15 ค่ำ เดือน 11 " ก็ยังไม่เห็นหนังเรื่องไหน ที่ทำให้รู้สึกรักความเป็นไทยได้เท่านี้ใครอยากดูหนังมันส์ๆ ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุถึงผล หรือต้องการหลักปรัชญาชีวิตอะไรมากนัก หนังสนุกๆ เรื่ององค์บาก ช่วยคุณได้ แต่ถ้าคุณยังลังเลไม่แน่ใจ ขอให้กลอกสายตาขึ้นไปอ่าน ความเป็นที่สุด 10 ประการของหนังเรื่องนี้อีกครั้ง. . . .เพราะ "องค์บาก" คือความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มอีกเรื่อง ที่ผมไม่อยากให้คุณพลาด!
คุณเคยฟังเพลง "She" เวอร์ชั่นฝรั่งเศสไหม? (ช่าย. . .เพลงShe ที่ประกอบหนัง Notting Hill นั่นแหล่ะ แต่เวอร์ชั่นฝรั่งเศสนี้ จะเปลี่ยนเสียงร้องจาก. .ชี. . มาเป็น. .แอลลลล. . .นึกเสียงออกไหมล่ะนั่น?คุณเคยดูหนังรักเรื่องไหน ที่เป็นเรื่องรักต่างวัย(หนุ่มห้าว+สาวแก่) แล้วซึ้งบ้างมะ?คุณเคยเห็นฉากล้างจานในหนังเรื่องไหน ที่ทำให้คุณสะเทือนใจบ้างไหม?แล้วคุณ?. . .ฯลฯทั้งหมดที่ว่ามาไม่หมดนี้ Tadpole เค้าทำได้ครับ!Tadpole เป็นเรื่องที่ว่าด้วย ออสการ์ กรับแมน(รับบทโดย แอรอน สแตนฟอร์ด) นักเรียนหนุ่มวัย 15 ปี ที่มักคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่วัยสี่สิบในร่างเด็ก ออสการ์ได้ไปหลงรัก"อีฟ"(ซิกกอร์นี่ย์ วีเวอร์)สาวแก่วัย40ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของเขาเอง เขาตั้งมั่นไว้ว่าในช่วงปิดภาคเรียนที่เหลือ 1 สัปดาห์ เขาจะบอกรักเธอให้ได้ แต่แล้วในค่ำคืนหนึ่ง ก่อนวันที่เขาจะตัดสินใจบอกรักอีฟ ออสการ์ก็ได้ทำสิ่งที่พลาดผิดอย่างมหันต์ เขาได้ไปมีสัมพันธ์สวาทกับ"ไดแอน"(เบเบ นิวเวิร์ธ) เพื่อนสนิทของอีฟ เขาจึงพยายามทำทุกอย่างที่จะปิดบังเรื่องนี้ เพียงเพื่อที่จะได้รู้ในเวลาต่อมาว่า แท้จริงแล้ว เขาก็เป็นได้แค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่รู้จักโต และก็โง่เป็น!หนังตลกร้ายกาจเรื่องนี้ ใช้ทุนสร้างเพียง 150,000 เหรียญ(รวมค่าตัวของซิกกอร์นี่ย์ วีเวอร์แล้วนะ) ถ่ายทำด้วยกล้องดิจิตอล Sony HDCAM ใช้เวลาในการถ่ายทำ 14 วัน และเมื่อหนังได้ไปฉายโชว์ที่ซันแดนส์ปี 2002 ก็ก่อให้เกิดสงครามช่วงชิงลิขสิทธิ์กันขึ้นระหว่าง มิราแม็กซ์ ไฟน์ไลน์ และ ฟ็อกซ์เสิร์ชไลท์ แต่แล้วมิราแมกซ์ ก็ได้ครอบครองไปในราคาซื้อ 5 ล้านเหรียญ!(กำไรอื้อ 33 เท่า!)ผู้กำกับ แกรี่ วินิค (ในงานซันแดนซ์ปีนั้นเขาก็ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย) เคยทำหนังมาแล้ว 5 เรื่องซึ่งก็เป็นหนังอินดี้ทั้งนั้น พอมาถึงเรื่องนี้ก็ใช้กล้องดิจิตอลถ่ายทำเช่นเคย แต่เปลี่ยนจากแนวซีเรียสหดหู่ มาเป็น ตลกขบขัน ที่สร้างความประทับใจเมื่อดูจบ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่Tadpole จะเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์ และคนดูทั่วไปในทุกเทศกาลหนังแกรี่สร้างช่วงขบขันให้กับหนังแทบจะตลอดเรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเรื่องราวนั้น ค่อนข้างจะเอื้อให้เป็นหนังซีเรียส เพราะมีเรื่องราวที่ค่อนข้างผิดศีลธรรมอยู่ แต่ด้วยความน่ารักของบท รวมไปถึงความน่าถีบของตัวแสดงนำ ทำให้หนังออกมาเบาๆ ไม่อึดอัด และเมื่อถึงฉากไคลแมกซ์ในภัตตาคารหรู ช่วงท้ายๆ เรื่อง หนังก็ทำให้คนดูในโรง หัวเราะดังลั่นกับมุขนั้นได้อย่างอยู่หมัด (หลังจากที่นั่งอมยิ้มมาตลอดทั้งเรื่อง)ความดีทั้งหมดคงต้องยกให้ แอรอน สแตนฟอร์ด นักแสดงหน้าใหม่ซิงๆ วัย 25 ปีที่ได้รับบทเป็นออสการ์ เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ที่ฉลาดจนเหลิง (น่าเหลือเชื่อมากตรงที่ว่า ในหนังผมคิดว่าเขาอายุ 15 จริงๆ) เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของออสการ์ในช่วงต้นเรื่อง(ที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว) และในช่วงท้ายเรื่อง(ที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า. . .ตัวเองก็ยังเป็นแค่ไอ้ลูกอ๊อด ที่ไม่รู้จักโต) ได้เป็นอย่างดี และหลังจากแจ้งเกิดใน Tadpole ไปเต็มๆ แล้ว อีกไม่นาน เราๆ ท่านๆ ก็จะได้เห็นไอ้หนุ่มคนนี้ในหนัง X-MEN 2 ซึ่งเขาจะรับบทเป็นไพโร มนุษย์กลายพันธุ์ ที่สามารถสร้างเปลวไฟได้ด้วยมือเปล่า. . .โปรดติดตามละกันส่วนซิกกอร์นี่ย์ วีเวอร์ กับ เบเบ นิวเวิร์ธ ก็สามารถถ่ายทอดความเป็นสาวแก่ทรงสเน่ห์ได้อย่างไม่น่าเกลียด ตรงกันข้าม กลับดูงดงามสมวัยมาก(หรืออ่อนกว่าวัย?) จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม เด็กหนุ่มรุ่นกระเตาะ จึงได้ไปหลงรักสาวแก่อย่างนั้นได้ ซึ่งไม่เหมือนกับหนังบางเรื่อง ที่เป็นเรื่องรักต่างวัยเหมือนกัน แต่เมื่อดูไปแล้ว ก็แทบรับไม่ได้และอีกสิ่งหนึ่งที่เด่นมากๆ ในหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือ มุขอันคมคายในหนัง ไม่ว่าจะเป็นคำคมเท่ห์ๆ ที่ออสการ์ยึดถือมาจากหลักปรัชญาของโวลแตร์(ใครรู้จักงานของโวลแตร์ โปรดชี้แนะผมด้วยครับ ผมอยากหาอ่านครับ) มุขเพลง "She" เวอร์ชั่นเดียวกันกับ Notting Hill ที่ดังขึ้นมาทีไร แทนที่จะซึ้ง กลับขำก๊าก(คุณจะได้ฟัง"She" แบบฝรั่งเศสด้วย) รวมไปถึงบทสนทนาในหนังที่ฉลาดเอามากๆ ที่สามารถเป็นได้ทั้งคำคม เป็นทั้งการตั้งคำถามให้คิด และเป็นทั้งเรื่องที่น่าตลกขบขันในคราวเดียวกัน หนึ่งในไดอะล็อกที่ยอดเยี่ยมนั้น ยกให้ในช่วงที่ออสการ์แวะไปเยี่ยมแม่เลี้ยงถึงห้องทำงานที่คล้ายๆ ห้องแล็บ ได้มีการตั้งคำถามระหว่างสองคนนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากคนเราใช้ "ตับ" มาเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แทนที่จะเป็นหัวใจ! (ซึ่งไดอะล็อกอันนี้เอง ที่นำไปสู่ตอนจบที่สวยงาม น่าประทับใจ)หากคุณเคยชอบ My Big Fat Greek Wedding หนังเรื่องนี้ก็น่ารักน่าหยิกไม่แพ้กัน (หรืออาจจะชนะขาด!) เพียงแต่ ด้วยความที่มันเป็นหนัง ที่ถ่ายจากกล้องดิจิตอล ที่จะมีการสั่นไหวของภาพบ่อยๆ ในบางฉาก อาจทำให้คุณเวียนหัวไปบ้าง แต่เมื่อผ่าน 15 นาทีของหนังไปได้แล้ว เตรียมรอรับมุขอันแพรวพราวของหนังเรื่องนี้ได้เลยอยากให้ดูกันนะครับ เพราะผมเชื่อแน่ว่า "ตับ" ของคุณจะรักหนังเรื่องนี้เข้าอย่างจัง!หมายเหตุ : ดู น.ส.พ. วันนี้ พบว่า Tadpole ไม่มีโปรแกรมฉายที่ลิโด้ซะแล้ว น่าเสียดายครับ งั้นรอดูทางวีดีโอ หรือ วีซีดีก็แล้วกันนะครับ ไม่อยากให้พลาดของสนุกๆ ครับอัพเดทเพิ่มเติมปี2007: ผกก. แกรี่ วินิค ณ ปัจจุบันนี้ เขาได้มีผลงานผ่านตาเราแล้ว 2 เรื่อง คือ 13 going 30 และ Charlotte’s Web นั่นแล(เป็นผกก. อีกคนที่ผมคิดว่าเขาทำหนังได้โอเค...ยังไม่เคยทำผลงานแย่ๆ จนเข้าขั้นรับไม่ได้สักทีครับ)
2 รอบ กับหนังรักเรื่องเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตผม แต่กับครั้งนี้ "กุมภาพันธ์" เป็นเหตุผลที่ออกจะแปลกๆ สักหน่อย ที่ทำให้ผมไปดูหนังรักไทยๆ เรื่องนี้ถึงสองรอบรอบแรก . . . (ดูกับคนใกล้ชิดที่สุดในเวลานี้)เราเดินไปที่โรงหนังพร้อมกัน ในบ่ายร้อนๆ ของวันแห่งความรัก เราเคยแต่จับมือกัน แต่ไม่เคยกอด หรือจะบอกคำว่า"รัก" อาจเป็นเพราะเราเพิ่งรู้จักกันได้แค่สามเดือนเราจองตั๋วเสร็จแล้ว เราพากันไปที่แม็คโคร เพื่อจะจ่ายค่าโทรศัพท์เธอ..นั่งรอผม ผมเห็นว่าเธอเหม่อ. . .เราเดินกลับมาที่โรงหนัง เดินจับมือกันบ้างบางครั้ง คล้ายเป็นการยืนยันว่าเรายังมาด้วยกันเข้าไปในโรงหนัง เรานั่งแถว G เรานั่งติดกัน พูดคุยกันบ้างตามประสาเมื่อหนังฉาย เราก็นั่งดูเงียบๆ ฉายไปไม่ทันจะครึ่งเรื่อง เธอบ่นว่า. . .หนาวผมจับมือเธอ บีบเบาๆ ตามเคยเธอไม่พูดอะไรหนังผ่านไปจนจบ ผมเห็นว่าเธอร้องไห้นิดๆ แต่ไม่เห็นหยดน้ำตาผมถามว่า "หนังดีไหม?"เธอตอบว่า "ก็ซึ้งดี. . ."เมื่อเดินออกมาจากโรง ที่ส่วนใหญ่มักมาเป็นคู่ ผมสังเกตคู่อื่นๆ กับ เราผมพบความแตกต่างบางอย่าง ความแตกต่างที่ผมรู้สึกได้ แต่นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร. . ."รู้มั้ย? ว่าพระเอกนางเอก เค้ารักกันตอนไหน" เธอถามผมขณะยืนรอรถเมล์ ผมหันไปมองเธอ เธอไม่มองมาทางผม คล้ายๆ ว่ายังเหม่อ"ไม่รู้สิ. . ."กลับมาบ้าน ผมก็นั่งเล่นนอนเล่นตามประสาคนชอบว่าง อยู่ดีๆ ภาพในหนัง "กุมภาพันธ์" ก็แวบเข้ามาในหัวผมหลับตา นึกถึงประโยคบางประโยคในหนังผมนึกถึงเธอ และใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งจากไปนานแล้ว"รู้มั้ย? ว่าเรารักกันตอนไหน. . ."ผ่านไปสองวัน ถึงคืนวันอาทิตย์ ได้ฟังคำสัมภาษณ์ ของพี่ต้อม ยุทธเลิศ ผู้กำกับฝีปากกล้า ที่มาพูดถึงหนังเรื่องนี้ ผ่านคลื่น 104.5 FAT RADIO คำพูดของพี่เค้าบางคำ รวมไปถึงคำติชมของคนที่ได้ดูแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจไปดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ ในวันรุ่งขึ้นแต่ครั้งนี้ ผมไปคนเดียว. . .รอบที่สอง . . . (ดูคนเดียวกับอีกหลายคู่ในโรงหนัง)ด้วยตัวหนัง และบรรยากาศในโรง ทำให้ผมรู้สึกร่วมกับตัวหนัง มากกว่ารอบแรกและยังทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่ง ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ เธอ ผมกำลังเป็นอะไร?คนคนหนึ่งคนนั้น ได้จากผมไปนานแล้ว และที่สำคัญ ผมกับเค้า อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต แต่ทำไมผมยังไม่เคยลืม. . .ดูหนังจบ นั่งฟังเพลง "ลมหายใจ" ที่ร้องโดย ธีร์ ไชยเดช พร้อมๆ กับคิดไปตามเพลงผมพบคำตอบ ของคำว่ารัก. . .กลับมาที่บ้าน เปิดคอมพ์ เตรียมตัวจะพิมพ์งาน แต่ก็ไม่วายเปิดดูเวบบอร์ดพันธ์ทิพย์ที่นั่น มีบางคนมาตั้งกระทู้ถามว่า "จี" กับ "ไอ" ไปรักกันตอนไหน?ผมอ่านกระทู้นั้น รวมไปถึงคำตอบของหลายๆ คนที่เข้ามา แต่ผมก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร. . .เพราะในชีวิตจริงๆ ของใครคนหนึ่ง ก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าไปรัก เขา คนนั้นตอนไหน แล้วรักเพราะอะไร?เพราะเขาเป็นคนนิสัยดีหรือ? (ไม่หรอก. . .เค้าทิ้งผมไปนะ)เพราะเขาหน้าตาดีหรือ? (ไม่หรอก. . . เธอ ในตอนนี้ของผมยังดูดีกว่า)เพราะเขา. . .ฯลฯ มากมาย. . .เกินจะตั้งคำถาม"ไม่รู้". . .คือคำตอบเดียว ที่ผมมี. . .ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่ต้องรู้หรอกว่ารักกันตอนไหน รักเพราะอะไร แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่ารักเขาตอนไหน รู้ว่ารักเพราะอะไร ผมก็อยากให้คุณถามตัวเองด้วยว่า. . .คุณรักเขาจริงๆ หรือ?ผมปิดคอมพ์ และหลับตา. . .รอบสุดท้าย . . .(ไม่ได้ไปดูหนัง. . . . . แต่กำลังดูใจตัวเอง)ป.ล. ต้องขออภัยด้วยที่บทวิจารณ์ชิ้นนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว หากอยากทราบว่าผมรู้สึกกับหนังเรื่องนี้อย่างไร บอกสั้นๆ ว่าชอบครับ ให้ 8 เต็ม 10แต่ถ้าอยากหาอ่านคำวิจารณ์อื่นๆ ให้คลิกได้ที่เวบข้างล่างนี้ แล้วคลิกต่อไปที่ FEB BOARD ครับลิงค์ที่เกี่ยวข้อง: //www.februarymovie.com/
พี่เติ่งเขียนดีกว่าผมเย้ออ..
ผมติดโรคขี้เกียจน่ะครับ แหะๆๆๆ