"You are cursed, Jack. Everything you touch, One way or another, ENDS UP DEAD !...." ประโยคกระแทกใจแจ๊ค บาวเออร์ จาก "24" Day 6
รวบรวมบทความจากเวบฟิล์ม - คลับ#2 (Retro to Film - Club#2)

ตั้งแต่โยกย้ายตัวเอง
มาปรับลุคใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดเท้าใน Bloggang

ได้พบปะบล็อกของน้องๆ วัยละอ่อนหลายๆ คน......
แล้วนึกครึ้ม.....ไปถึงสมัยตัวเองยังละอ่อนพอกัน
เคยได้เขียนบทความเกี่ยวกับหนังลงเวบ film - club (ไม่ใช่เวบแฟนคลับของฟิล์ม รัฐภูมิเน้อ)

มาวันนี้ได้ลองเข้าไปอ่านทบทวนความทรงจำ
แล้วขำๆ กับความคิดเห็นของตัวเองตอนรุ่นเยาว์
ว่าทำม้าย ถึงได้คิดแรง คิดซึ้งได้ขนาดนั้น

ลองอ่านดูครับ ไม่ต้องรีบ เพราะจะทยอยลง(อายุบทความเหล่านี้ก็ประมาณ 4 - 6 ปีที่แล้วครับ)
และจะไม่มีการแก้ไขต้นฉบับใดๆ เพื่อฟิลลิ่งแบบเด็กๆ จะได้คงอยู่ครบถ้วน แหะๆ(แต่อาจเพิ่มรูปจากหนังเข้าไปให้สวยนิดนึง)
พอลงครบก็คงไม่มีมาให้ดูกันอีกแล้ว(เพราะเขียนลงฟิล์มคลับได้ไม่กี่ปี ก็หยุดลาพักร้อนยาววววว)
สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเวบ film - club มาก่อน คลิกที่นี่ครับ

อ่านขำๆ นะครับ
ผมว่าเด็กๆ สมัยนี้ เขียนดีกว่าตัวผมสมัยโน้นเยอะ อย่างบล็อกน้องนาโน(ตี้-ตีความหนังดีมาก) บล็อกน้องต้น (Unravel คนนี้ไม่เกี่ยวกับหนัง แต่บทความของน้องเขาเขียนสวยมาก) น้องเมอร์(merveillesxx - คนนี้คงไม่ต้องนิยามอะไรกันอีกแล้ว เหอๆ).......

ดูบทความของผมไว้เป็นอุทธาหรณ์ครับ หุๆ


คำเตือน
บทความในสมัยนั้น ผมจะเขียนสปอยล์เรื่องราวของหนังค่อนข้างมากนะครับ





Changing Lanes




วันนี้คุณมีเพื่อน(ไปดูหนัง)แล้วหรือยัง?




ผมชอบดูหนังคนเดียว . . . ทำไมน่ะหรือ ขอแยกเป็นเหตุเป็นข้อสัก 3 ข้อ นะครับ
1. ไม่ต้องไปยืนเถียงกันหน้าโรงกับใคร ว่าจะดูหนังเรื่องไหนดี
2. ไม่ต้องรอให้เวลานัดตรงกัน เพื่อจะดูหนังด้วยกันเพียงเรื่องเดียว
3. ไม่ต้องเสียสมาธิขณะดูหนัง หากเจ้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สงสัยอะไรเกี่ยวกับตัวหนัง
3 เหตุผลข้างต้น ดูเหมือนเป็นเหตุผลของคนที่รักสันโดษ(และรักหนังมาก) แต่ในขณะเดียวกัน. . .มันก็ดูเป็นเหตุผลของคนที่เห็นแก่ตัวด้วย!

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม อากาศร้อนมากๆ (ในเดือนที่ว่ากันว่าเป็นเดือนของฤดูหนาว) ประกอบกับเงินเดือนของพ่อแม่เพิ่งออก ผมเลยพาร่างดำๆ ของตัวเอง เดินเข้าห้างดังย่านบางกะปิ และแน่นอนที่สุด. . .ผมไปคนเดียว

เดินดูของไปสักพักและซื้อเป้มาหนึ่งใบ ผมเองก็ไม่วายขึ้นไปชั้นหกเพื่อแวะดูโรงหนัง (ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะดูหนังอะไรสักเรื่อง) ที่นั่นทำให้ผมเสียตังค์ร้อยบาท เพื่อเข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ที่เวลาฉายของมันพอเหมาะพอดีกับอีตอนที่ผมไปถึงโรงหนังเลย

หนังเรื่องนั้น คือ Changing Lanes
หนังเป็นมาอย่างไร ผมไม่ทราบ ทราบแต่ว่า เบน อัฟเฟล็ค แสดงนำร่วมกับ แซมวล แอล แจ็คสัน และเมื่อดูจากโปสเตอร์น่าจะเป็นหนังแนวแอ็คชั่นธรรมดาเรื่องหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อดูจนจบ ทำให้ผมต้องรีบหาข้อมูลผู้ที่เกี่ยวข้องกับ Changing Lanes ในแทบจะทันที

Changing Lanes เป็นหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับ ผู้ชายสองคน ดอยล์ กิ๊ปสัน(แซมวล แอล แจ็คสัน) กับ เกวิน บาเนค(เบน อัฟเฟล็ก) ที่ต้องมาทำสงครามจิตวิทยากัน อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในช่วงเวลาอันรีบเร่งของแต่ละฝ่าย และสงครามที่เกิดขึ้นนั้นก็นำพาพวกเขาไปสัมผัสกับด้านมืดของตัวเองที่ไม่เคยได้รู้มาก่อน และนั่นก็ทำให้พวกเขาทั้งสองเริ่มมองหาวิธีที่จะขจัดสิ่งชั่วร้ายนั้นออกไปจากจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นสิ่งชั่วร้ายในจิตใจก็กำลังสำแดงฤทธิ์เดชของมันออกมาอย่างเต็มที่และร้ายกาจอีกด้วย

หนังได้ทีมนักแสดงที่มีคุณภาพอย่างคับคั่ง และใช้งานได้คุ้มถึงแม้บางคนจะโผล่มาไม่กี่ฉากก็ตาม และหนึ่งในความเซอร์ไพรส์ก็คือ อแมนด้า พีท สาวเซ็กซี่จากหนังที่ไม่ค่อยจะเวิร์กอย่าง Evil Women และ Whipped ก็สามารถแสดงเป็นภรรยาของเกวินได้ดีอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะฉากในร้านอาหาร ฉากนั้นทำให้เราทึ่ง. . .ซึ้ง และต้องมาหงายหลังตอนที่เธอพูดจบประโยคนั้น ที่ลงเอยได้อย่างหักมุมเหลือร้าย (ฉากตอนนี้เฉียบมากครับ ขอบอก) อีกคน แซมวล แอล แจ๊กสัน ก็เล่นได้ดีตามเคย ส่วน เบน อัฟเฟล็กนั้น เล่นดีบ้างไม่ดีบ้าง ตามมาตรฐานของเขานั่นแหล่ะครับ

ผกก. โรเจอร์ มิเชลล์ที่เคยทำให้คนไทยได้เคลิ้มกับจูเลีย โรเบิร์ตใน Notting Hill มาแล้ว ในเรื่องนี้เขาได้เปลี่ยนแนวมากำกับหนังไซโคทริลเลอร์ได้ในระดับดี อาจไม่โดดเด้งมาก แต่ก็สามารถทำให้เราดูสนุก ลุ้นได้จนจบ (เครียดแต่ก็สนุกครับ)

และเมื่อดูจบ สิ่งหนึ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้(ไม่ทราบว่าคนอื่นที่ดูจะคิดเหมือนกันหรือปล่าว) ความเป็นมิตรภาพนั้น สามารถแก้ปัญหาที่ดูเหมือนยุ่งยากให้กลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปได้ การที่หัดคิดถึงคนอื่นเสียบ้างอย่ามองแต่ว่าตัวเราถูกแล้ว ก็สามารถทำให้เราแสงสว่างแห่งชีวิตได้ง่ายๆ หากกิ๊ปสัน ไม่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสนิทในช่วงท้ายเรื่อง หรือ เกวิน ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับ ดอยล์ กิ๊ปสัน กันตรงๆ อย่างเปิดอก

สองคนนี้อาจฆ่ากันตายไปแล้วก็ได้!

เป็นหนังที่ดูสนุกลุกนั่งสบายครับ ไม่เสียดายตังค์แน่นอน ตอนนี้ผมกำลังยุเพื่อนๆ ที่เรียนนิติฯ ให้ไปดูหนังเรื่องนี้ เผื่อจะได้ข้อคิดดีๆในการเป็นทนายกลับมาบ้างน่ะครับ

คุณเองก็เถอะ ถ้าสนใจหนังเรื่องนี้ ก็ลองพาเพื่อนๆไปดูบ้างสิครับ . . . คงไม่อึดอัดเท่าไหร่หรอกน่า

ความสันโดษไม่มีในโรงหนังนะครับ. . .






HERO




ยุทธจักรย้อมสี เพลงกระบี่โรมานซ์

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ทราบข่าวว่า จางอี้โหมวกำลังจะทำหนังจีนกำลังภายในในแบบฉบับของตัวเอง ก็ทำให้ผมเฝ้ารอหนังเรื่องนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจางอี้โหมวเอง ผมก็นับถือเขาในฐานะจอมยุทธคนหนึ่งที่มีความสามารถเก่งกาจด้านการทำหนังให้ออกมาสวยสดงดงาม ราวกับภาพวาดของจิตรกรจีน และถ้าหากภาพวาดนั้นออกมาเป็นหนังกำลังภายใน มันจะสวยสดงดงามตระการตาปานใด ผมก็ยังไม่อาจจะจินตนาการเอาเองได้เลย

และแล้วภาพวาดนั้นก็สำเร็จออกมา ให้เราๆ ท่านๆ ได้ยลโฉมก่อนฮอลลีวู้ด(ที่เป็นเป้าหมายหลักของจางอี้โหมวและนายทุน) ถึงแม้ผลตอบรับจากคนดูที่คาดหวังอยากดูหนังบู๊มันๆ สักเรื่อง จะไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนัก แต่กับตัวผมเองนั้น ต้องขอบอกว่าชอบมากครับ

ฟ้าเวิ้ง หิมะเหิน และกระบี่หัก คือเหล่าจอมยุทธที่เก่งกาจที่หวังจะโค่นล้มอำนาจกษัตริย์แห่งฉิน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ตั้งรางวัลไว้เป็นทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ และสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ หากใครคนนั้นสามารถกำจัดสามจอมยุทธนั้นออกไปจากแผ่นดินได้
และแล้วเมื่อ นิรนาม ได้ขอเข้าเฝ้าและอ้างว่าตนสามารถกำจัดสามจอมยุทธนั้นได้ พร้อมได้นำเอาอาวุธประจำตัวของเหล่าจอมยุทธนั้นมาเป็นหลักฐานด้วย กษัตริย์ฉินจึงได้ให้นิรนามเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของการสังหารครั้งนี้ และเรื่องราวเหล่านั้นของนิรนาม ก็นำมาซึ่งตำนานและความหมายของวีรบุรุษที่แท้จริง. . .

ตัวหนังเล่าเรื่องไปอย่างเนิบๆ ไม่รีบเร่ง หนำซ้ำยังทำให้มันซับซ้อนทั้งที่บางเรื่องก็ไม่น่าจะซ้อนทับกันซะขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเสียงบ่นจากคนดูในโรงเป็นระยะๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่ภาพของหนังออกมาอย่างสวยสดงดงาม รวมไปถึงจุดคลี่คลายของหนังที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว และโรแมนติกมาก(ในสายตาผม) ก็ทำให้อดปลื้มไม่ได้กับความเป็นเอเชียของเราว่ามันมีความลึกซึ้งกินใจเพียงใด ในแต่ละสิ่งละอย่างนั้นเอเซียเราก็นำมาเปรียบเปรยได้อย่างคมคาย บางอย่างที่เรามองว่าเป็นของพื้นๆ ไม่มีคุณค่า แต่ถ้ามองกลับกัน เราอาจจะพบความหมายสำคัญที่ซ่อนอยู่ เช่น อักษรลักษณ์สีแดงบนผืนผ้า เพลงกระบี่บนผืนทราย ผืนผ้าสีเขียวที่ขาดสะบั้นลงในระหว่างการต่อสู้ของกระบี่หักและกษัตริย์ฉิน หรือแม้กระทั่งเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกษัตริย์ฉินในการทำสงครามครั้งนี้

Hero ไม่ใช่หนังที่ทุกคนจะต้องชอบ หรือดูแล้วสนุก แต่มันคือหนังดีที่มีคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้ผมจะชอบหนังเรื่องนี้มาก แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมจางอี้โหมวไม่ทำหนังให้ดูง่ายและสนุกกว่านี้ ในเมื่อตัวเขาเองคาดหวังจะให้ Hero เป็นหนังทำเงินและคว้าออสการ์ อีกทั้งผลงานทั้ง 3 เรื่องก่อนหน้านี้ ก็ล้วนเป็นหนังดีที่ดูง่ายๆ สบายๆ แต่พอมาทำหนังทุนสูงหวังกำไรอย่าง Hero กลับทำออกมาให้ดูเข้าใจยากไม่น่าจะเข้ากับตลาด
เอ๊ะ! หรือว่าผมกำลังเข้าใจเจตนารมณ์ในการทำหนังเรื่องนี้ของเขาผิดไป

คำคำเดียว หรือ สิ่งของสิ่งเดียวกัน ก็สามารถตีความได้หลากหลายแง่มุม
หากพูดถึง "สีเขียว" คุณนึกถึงอะไร?
คุณอาจจะนึกถึงธรรมชาติ ความสงบนิ่ง ความสบาย
แต่รู้มั้ยครับ จางอี้โหมวบอกความหมายของสีเขียวไว้ว่าอย่างไร. . .

"มันคือความอิจฉาริษยา และกิเลสตัณหาในใจของมนุษย์" ครับ!

และนั่นอาจเป็นคำตอบ(งงๆ) ของการทำหนังอย่าง Hero ให้ออกมาอย่างที่เห็นก็เป็นได้





องค์บาก


>

หลังคืนมหัศจรรย์บั้งไฟพญานาค ไทยเรายังมี"นาคาบิดหาง"ไว้ให้ชื่นใจ



คุณเชื่อไหม ว่าหนังบู๊ไทยๆ เรื่องนี้ ได้รวบรวมความเป็นที่สุดไว้ 10 ประการ
1. นี่คือหนังบู๊ไทย ที่ดูสนุกที่สุด
2. นี่คือหนังที่ดีที่สุด ของผู้กำกับ ปรัชญา ปิ่นแก้ว
3. นี่คือหนังบู๊ที่มีพระเอกที่เก่งที่สุด
4. นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง(ในจำนวนอันน้อยนิด) ที่ดูแล้วคุ้มค่าตั๋วที่สุดในรอบหลายปี
5. นี่คือหนังบู๊ไทย ที่มีงานด้านภาพโดดเด่นที่สุด
6. นี่คือหนังบู๊ ที่มีฉากเปิดเรื่องที่สวยงามที่สุด
7. นี่คือหนังบู๊ที่รวบรวมท่าหมัดท่าขาแม่ไม้มวยไทยไว้มากที่สุด
8. นี่คือหนังบู๊ไทย ที่มีดาราตลกเล่นหนังได้เก่งที่สุด
9. นี่คือหนังบู๊ที่พระเอกไม่ได้มีมือไว้ถือปืน และใช้หมัดกับเท้าเป็นอาวุธที่รุนแรงที่สุด
10. นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่ทำให้คนดู ภาคภูมิใจกับความเป็นไทยอย่างถึงที่สุด!

นับเป็นบุญตาของผมจริงๆ ที่ได้ชมภาพยนตร์มันส์ๆ เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ในตอนแรกออกจะกลัวสักหน่อยว่าหนังอาจออกมาไม่ค่อยดีนัก ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะผกก. ปรัชญา ปิ่นแก้ว ก็ห่างวงการหนังไปนาน(ในด้านการกำกับน่ะครับ) อีกทั้งเรื่องท้ายสุดของเขา "เกิดอีกที ต้องมีเธอ" ก็ไม่ใช่หนังที่น่าพอใจมากนัก

แต่เมื่อดูเรื่องนี้จบ พบว่า หนังออกมาดีเกินคาดจนถึงขั้นดีมากเลยก็ว่าได้ ก็ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะดูหนังแอ๊คชั่นสักเรื่อง แล้วไหลลื่นไปกับเรื่องราวของมัน แต่องค์บากทำได้ และลงตัวกลมกลืนเป็นอย่างมากเสียด้วยสิ (โดยเฉพาะช่วง 30 นาทีแรก. . . . สนุกม๊ากกกกกก)

จา พนม ยีรัมย์ หนุ่มวัย 26 ปี จากแดนอีสานใต้ ถึงแม้จะใหม่ในด้านการแสดงเป็นตัวจริง แต่หน้าตา แววตา และท่าทางก็ยังถือว่าแสดงได้น่าพอใจ แต่อาจมีปัญหาตรงน้ำเสียงที่ยังดูแข็งๆ เกร็งๆ ไปบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้หนังเสียหายเลย คาดว่า เขาน่าจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน
จาทำให้เราได้รู้จัก ท่าขา"พระเจ้าตานั่งแท่น" ท่า"บาทาลูบพักตร์" ท่า"นาคาบิดหาง" เป็นต้น ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนไทยแท้ๆ และถูกกรอกลูกกะตาโดยผู้เป็นพ่อให้ดูมวยไทย 7 สีทุกวันอาทิตย์ ก็ยังอดที่จะตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ เมื่อได้เห็นจา พนม แสดงท่าหมัดมวยไทยเหล่านั้นได้อย่างงดงาม. . . .น่านับถือจริงๆ พี่ชาย. . .

ส่วนหม่ำ จ๊กมก(รับบทเป็น บักหำแหล่หรือยอร์ช) และภุมวารี ยอดกมล(รับบทเป็น หมวยเล็ก) ก็เป็นส่วนชูรสให้กับหนังได้เป็นอย่างดี(ถึงแม้จะมีเสียงค่อนขอดว่าแคแรกเตอร์สองตัวนี้ไปคล้ายคลึงกับแคแรกเตอร์ในหนังฮ่องกงหลายๆ เรื่องก็เถอะ)
โดยเฉพาะพี่หม่ำของเรานั้น ความสามารถด้านบู๊ๆ ก็ใช่ย่อย(ในหนังไม่ได้โชว์มากนัก) แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ อารมณ์ทางด้านดราม่า พี่หม่ำก็เล่นออกมาได้พอเหมาะพอดี เล่นเก่งเชียวล่ะ(ฉากที่โดนทวงค่าเช่าห้อง สีหน้าของของพี่หม่ำบอกอารมณ์ภายในของตัวละคร โดยที่ไม่ต้องแสดงท่าทางอะไรเลย) ส่วนแอ ภุมวารีที่เล่นเป็นหมวยเล็ก ก็ดูดีตรงบทพูดของเธอที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากๆ มากเสียจนเหมือนไม่ได้แสดง

และอีกสิ่งหนึ่งที่อยากชมเป็นพิเศษ ก็คือบทหนัง ซึ่งเดิมทีหนังบู๊ทั้งไทยและเทศในช่วงหลังๆ มักจะมีปัญหาในเรื่องตรงนี้มาโดยตลอด แต่องค์บากถือว่าสอบผ่านทั้งที่จริงบทหนังขององค์บากก็ไม่ได้เป็นบทหนังที่แปลกใหม่หรือดีเลิศอะไร แต่คือบทหนังที่สามารถรองรับฉากบู๊ต่างๆ ได้อย่างลงตัวและกลมกลืน (อาจจะมีโดดมาหน่อย ก็ตรงช่วงตุ๊กตุ๊กเรซซิ่ง นั่นล่ะ ที่ดูแล้วงงๆ) หนำซ้ำยังสามารถทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนังอย่างไม่ยากเย็นเลย เห็นได้ชัดว่าคนทำหนังเรื่องนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องบทพอสมควร

พี่ปรัช ปรัชญา ปิ่นแก้ว กลับมาคราวนี้เหมือนแกกำลังจับทางถูกแล้ว เพราะเมื่อก่อน ก็เคยทำให้วงการหนังไทยฮือฮาจาก "รองต๊ะ แล่บแปร๊บ" คราวนี้ เขาก็กลับมาทำให้เกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนั้นอีกครั้ง และดูท่าทีว่าจะไม่ได้เป็นแค่ปรากฎการณ์ในเฉพาะเมืองไทยเท่านั้น ตรงนี้ต้องคอยดูกันต่อไป ว่าหนังเรื่องนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน (แต่คาดว่าคงไปได้ไกลมากๆ)

สุดท้ายก็ต้องแสดงความยินดีกับพี่ปรัช จา พนม ยีรัมย์ และคุณพันนา ฤิทธิไกร กับตัวหนังที่ออกมา หลังจาก " 15 ค่ำ เดือน 11 " ก็ยังไม่เห็นหนังเรื่องไหน ที่ทำให้รู้สึกรักความเป็นไทยได้เท่านี้

ใครอยากดูหนังมันส์ๆ ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุถึงผล หรือต้องการหลักปรัชญาชีวิตอะไรมากนัก หนังสนุกๆ เรื่ององค์บาก ช่วยคุณได้ แต่ถ้าคุณยังลังเลไม่แน่ใจ ขอให้กลอกสายตาขึ้นไปอ่าน ความเป็นที่สุด 10 ประการของหนังเรื่องนี้อีกครั้ง. . . .

เพราะ "องค์บาก" คือความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มอีกเรื่อง ที่ผมไม่อยากให้คุณพลาด!





Tadpole




รักแรก(?) ที่มาพร้อมเพลง"She" และ "ตับ" !


คุณเคยฟังเพลง "She" เวอร์ชั่นฝรั่งเศสไหม? (ช่าย. . .เพลงShe ที่ประกอบหนัง Notting Hill นั่นแหล่ะ แต่เวอร์ชั่นฝรั่งเศสนี้ จะเปลี่ยนเสียงร้องจาก. .ชี. . มาเป็น. .แอลลลล. . .นึกเสียงออกไหมล่ะนั่น?
คุณเคยดูหนังรักเรื่องไหน ที่เป็นเรื่องรักต่างวัย(หนุ่มห้าว+สาวแก่) แล้วซึ้งบ้างมะ?
คุณเคยเห็นฉากล้างจานในหนังเรื่องไหน ที่ทำให้คุณสะเทือนใจบ้างไหม?
แล้วคุณ?. . .ฯลฯ

ทั้งหมดที่ว่ามาไม่หมดนี้ Tadpole เค้าทำได้ครับ!

Tadpole เป็นเรื่องที่ว่าด้วย ออสการ์ กรับแมน(รับบทโดย แอรอน สแตนฟอร์ด) นักเรียนหนุ่มวัย 15 ปี ที่มักคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่วัยสี่สิบในร่างเด็ก ออสการ์ได้ไปหลงรัก"อีฟ"(ซิกกอร์นี่ย์ วีเวอร์)สาวแก่วัย40ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของเขาเอง เขาตั้งมั่นไว้ว่าในช่วงปิดภาคเรียนที่เหลือ 1 สัปดาห์ เขาจะบอกรักเธอให้ได้ แต่แล้วในค่ำคืนหนึ่ง ก่อนวันที่เขาจะตัดสินใจบอกรักอีฟ ออสการ์ก็ได้ทำสิ่งที่พลาดผิดอย่างมหันต์ เขาได้ไปมีสัมพันธ์สวาทกับ"ไดแอน"(เบเบ นิวเวิร์ธ) เพื่อนสนิทของอีฟ เขาจึงพยายามทำทุกอย่างที่จะปิดบังเรื่องนี้ เพียงเพื่อที่จะได้รู้ในเวลาต่อมาว่า แท้จริงแล้ว เขาก็เป็นได้แค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่รู้จักโต และก็โง่เป็น!

หนังตลกร้ายกาจเรื่องนี้ ใช้ทุนสร้างเพียง 150,000 เหรียญ(รวมค่าตัวของซิกกอร์นี่ย์ วีเวอร์แล้วนะ) ถ่ายทำด้วยกล้องดิจิตอล Sony HDCAM ใช้เวลาในการถ่ายทำ 14 วัน และเมื่อหนังได้ไปฉายโชว์ที่ซันแดนส์ปี 2002 ก็ก่อให้เกิดสงครามช่วงชิงลิขสิทธิ์กันขึ้นระหว่าง มิราแม็กซ์ ไฟน์ไลน์ และ ฟ็อกซ์เสิร์ชไลท์ แต่แล้วมิราแมกซ์ ก็ได้ครอบครองไปในราคาซื้อ 5 ล้านเหรียญ!(กำไรอื้อ 33 เท่า!)

ผู้กำกับ แกรี่ วินิค (ในงานซันแดนซ์ปีนั้นเขาก็ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย) เคยทำหนังมาแล้ว 5 เรื่องซึ่งก็เป็นหนังอินดี้ทั้งนั้น พอมาถึงเรื่องนี้ก็ใช้กล้องดิจิตอลถ่ายทำเช่นเคย แต่เปลี่ยนจากแนวซีเรียสหดหู่ มาเป็น ตลกขบขัน ที่สร้างความประทับใจเมื่อดูจบ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่Tadpole จะเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์ และคนดูทั่วไปในทุกเทศกาลหนัง
แกรี่สร้างช่วงขบขันให้กับหนังแทบจะตลอดเรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเรื่องราวนั้น ค่อนข้างจะเอื้อให้เป็นหนังซีเรียส เพราะมีเรื่องราวที่ค่อนข้างผิดศีลธรรมอยู่ แต่ด้วยความน่ารักของบท รวมไปถึงความน่าถีบของตัวแสดงนำ ทำให้หนังออกมาเบาๆ ไม่อึดอัด และเมื่อถึงฉากไคลแมกซ์ในภัตตาคารหรู ช่วงท้ายๆ เรื่อง หนังก็ทำให้คนดูในโรง หัวเราะดังลั่นกับมุขนั้นได้อย่างอยู่หมัด (หลังจากที่นั่งอมยิ้มมาตลอดทั้งเรื่อง)

ความดีทั้งหมดคงต้องยกให้ แอรอน สแตนฟอร์ด นักแสดงหน้าใหม่ซิงๆ วัย 25 ปีที่ได้รับบทเป็นออสการ์ เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ที่ฉลาดจนเหลิง (น่าเหลือเชื่อมากตรงที่ว่า ในหนังผมคิดว่าเขาอายุ 15 จริงๆ) เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของออสการ์ในช่วงต้นเรื่อง(ที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว) และในช่วงท้ายเรื่อง(ที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า. . .ตัวเองก็ยังเป็นแค่ไอ้ลูกอ๊อด ที่ไม่รู้จักโต) ได้เป็นอย่างดี และหลังจากแจ้งเกิดใน Tadpole ไปเต็มๆ แล้ว อีกไม่นาน เราๆ ท่านๆ ก็จะได้เห็นไอ้หนุ่มคนนี้ในหนัง X-MEN 2 ซึ่งเขาจะรับบทเป็นไพโร มนุษย์กลายพันธุ์ ที่สามารถสร้างเปลวไฟได้ด้วยมือเปล่า. . .โปรดติดตามละกัน

ส่วนซิกกอร์นี่ย์ วีเวอร์ กับ เบเบ นิวเวิร์ธ ก็สามารถถ่ายทอดความเป็นสาวแก่ทรงสเน่ห์ได้อย่างไม่น่าเกลียด ตรงกันข้าม กลับดูงดงามสมวัยมาก(หรืออ่อนกว่าวัย?) จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม เด็กหนุ่มรุ่นกระเตาะ จึงได้ไปหลงรักสาวแก่อย่างนั้นได้ ซึ่งไม่เหมือนกับหนังบางเรื่อง ที่เป็นเรื่องรักต่างวัยเหมือนกัน แต่เมื่อดูไปแล้ว ก็แทบรับไม่ได้

และอีกสิ่งหนึ่งที่เด่นมากๆ ในหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือ มุขอันคมคายในหนัง ไม่ว่าจะเป็นคำคมเท่ห์ๆ ที่ออสการ์ยึดถือมาจากหลักปรัชญาของโวลแตร์(ใครรู้จักงานของโวลแตร์ โปรดชี้แนะผมด้วยครับ ผมอยากหาอ่านครับ) มุขเพลง "She" เวอร์ชั่นเดียวกันกับ Notting Hill ที่ดังขึ้นมาทีไร แทนที่จะซึ้ง กลับขำก๊าก(คุณจะได้ฟัง"She" แบบฝรั่งเศสด้วย) รวมไปถึงบทสนทนาในหนังที่ฉลาดเอามากๆ ที่สามารถเป็นได้ทั้งคำคม เป็นทั้งการตั้งคำถามให้คิด และเป็นทั้งเรื่องที่น่าตลกขบขันในคราวเดียวกัน หนึ่งในไดอะล็อกที่ยอดเยี่ยมนั้น ยกให้ในช่วงที่ออสการ์แวะไปเยี่ยมแม่เลี้ยงถึงห้องทำงานที่คล้ายๆ ห้องแล็บ ได้มีการตั้งคำถามระหว่างสองคนนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากคนเราใช้ "ตับ" มาเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แทนที่จะเป็นหัวใจ! (ซึ่งไดอะล็อกอันนี้เอง ที่นำไปสู่ตอนจบที่สวยงาม น่าประทับใจ)

หากคุณเคยชอบ My Big Fat Greek Wedding หนังเรื่องนี้ก็น่ารักน่าหยิกไม่แพ้กัน (หรืออาจจะชนะขาด!) เพียงแต่ ด้วยความที่มันเป็นหนัง ที่ถ่ายจากกล้องดิจิตอล ที่จะมีการสั่นไหวของภาพบ่อยๆ ในบางฉาก อาจทำให้คุณเวียนหัวไปบ้าง แต่เมื่อผ่าน 15 นาทีของหนังไปได้แล้ว เตรียมรอรับมุขอันแพรวพราวของหนังเรื่องนี้ได้เลย

อยากให้ดูกันนะครับ เพราะผมเชื่อแน่ว่า "ตับ" ของคุณจะรักหนังเรื่องนี้เข้าอย่างจัง!

หมายเหตุ : ดู น.ส.พ. วันนี้ พบว่า Tadpole ไม่มีโปรแกรมฉายที่ลิโด้ซะแล้ว น่าเสียดายครับ งั้นรอดูทางวีดีโอ หรือ วีซีดีก็แล้วกันนะครับ ไม่อยากให้พลาดของสนุกๆ ครับ

อัพเดทเพิ่มเติมปี2007: ผกก. แกรี่ วินิค ณ ปัจจุบันนี้ เขาได้มีผลงานผ่านตาเราแล้ว 2 เรื่อง คือ 13 going 30 และ Charlotte’s Web นั่นแล(เป็นผกก. อีกคนที่ผมคิดว่าเขาทำหนังได้โอเค...ยังไม่เคยทำผลงานแย่ๆ จนเข้าขั้นรับไม่ได้สักทีครับ)





กุมภาพันธ์




เคยถามตัวเองไหม . . .ว่า รักเขาตอนไหน



2 รอบ กับหนังรักเรื่องเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตผม แต่กับครั้งนี้ "กุมภาพันธ์" เป็นเหตุผลที่ออกจะแปลกๆ สักหน่อย ที่ทำให้ผมไปดูหนังรักไทยๆ เรื่องนี้ถึงสองรอบ


รอบแรก . . . (ดูกับคนใกล้ชิดที่สุดในเวลานี้)

เราเดินไปที่โรงหนังพร้อมกัน ในบ่ายร้อนๆ ของวันแห่งความรัก เราเคยแต่จับมือกัน แต่ไม่เคยกอด หรือจะบอกคำว่า"รัก" อาจเป็นเพราะเราเพิ่งรู้จักกันได้แค่สามเดือน

เราจองตั๋วเสร็จแล้ว เราพากันไปที่แม็คโคร เพื่อจะจ่ายค่าโทรศัพท์

เธอ..นั่งรอผม ผมเห็นว่าเธอเหม่อ. . .

เราเดินกลับมาที่โรงหนัง เดินจับมือกันบ้างบางครั้ง คล้ายเป็นการยืนยันว่าเรายังมาด้วยกัน

เข้าไปในโรงหนัง เรานั่งแถว G เรานั่งติดกัน พูดคุยกันบ้างตามประสา

เมื่อหนังฉาย เราก็นั่งดูเงียบๆ ฉายไปไม่ทันจะครึ่งเรื่อง เธอบ่นว่า. . .หนาว

ผมจับมือเธอ บีบเบาๆ ตามเคย

เธอไม่พูดอะไร

หนังผ่านไปจนจบ ผมเห็นว่าเธอร้องไห้นิดๆ แต่ไม่เห็นหยดน้ำตา

ผมถามว่า "หนังดีไหม?"

เธอตอบว่า "ก็ซึ้งดี. . ."

เมื่อเดินออกมาจากโรง ที่ส่วนใหญ่มักมาเป็นคู่ ผมสังเกตคู่อื่นๆ กับ เรา

ผมพบความแตกต่างบางอย่าง ความแตกต่างที่ผมรู้สึกได้ แต่นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร. . .

"รู้มั้ย? ว่าพระเอกนางเอก เค้ารักกันตอนไหน" เธอถามผมขณะยืนรอรถเมล์ ผมหันไปมองเธอ เธอไม่มองมาทางผม คล้ายๆ ว่ายังเหม่อ

"ไม่รู้สิ. . ."


กลับมาบ้าน ผมก็นั่งเล่นนอนเล่นตามประสาคนชอบว่าง อยู่ดีๆ ภาพในหนัง "กุมภาพันธ์" ก็แวบเข้ามาในหัว

ผมหลับตา นึกถึงประโยคบางประโยคในหนัง

ผมนึกถึงเธอ และใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งจากไปนานแล้ว

"รู้มั้ย? ว่าเรารักกันตอนไหน. . ."


ผ่านไปสองวัน ถึงคืนวันอาทิตย์ ได้ฟังคำสัมภาษณ์ ของพี่ต้อม ยุทธเลิศ ผู้กำกับฝีปากกล้า ที่มาพูดถึงหนังเรื่องนี้ ผ่านคลื่น 104.5 FAT RADIO คำพูดของพี่เค้าบางคำ รวมไปถึงคำติชมของคนที่ได้ดูแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจไปดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ ในวันรุ่งขึ้น

แต่ครั้งนี้ ผมไปคนเดียว. . .



รอบที่สอง . . . (ดูคนเดียวกับอีกหลายคู่ในโรงหนัง)

ด้วยตัวหนัง และบรรยากาศในโรง ทำให้ผมรู้สึกร่วมกับตัวหนัง มากกว่ารอบแรก

และยังทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่ง ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ เธอ

ผมกำลังเป็นอะไร?

คนคนหนึ่งคนนั้น ได้จากผมไปนานแล้ว และที่สำคัญ ผมกับเค้า อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต แต่ทำไมผมยังไม่เคยลืม. . .

ดูหนังจบ นั่งฟังเพลง "ลมหายใจ" ที่ร้องโดย ธีร์ ไชยเดช พร้อมๆ กับคิดไปตามเพลง

ผมพบคำตอบ ของคำว่ารัก. . .



กลับมาที่บ้าน เปิดคอมพ์ เตรียมตัวจะพิมพ์งาน แต่ก็ไม่วายเปิดดูเวบบอร์ดพันธ์ทิพย์

ที่นั่น มีบางคนมาตั้งกระทู้ถามว่า "จี" กับ "ไอ" ไปรักกันตอนไหน?

ผมอ่านกระทู้นั้น รวมไปถึงคำตอบของหลายๆ คนที่เข้ามา แต่ผมก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร. . .

เพราะในชีวิตจริงๆ ของใครคนหนึ่ง ก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าไปรัก เขา คนนั้นตอนไหน แล้วรักเพราะอะไร?

เพราะเขาเป็นคนนิสัยดีหรือ? (ไม่หรอก. . .เค้าทิ้งผมไปนะ)

เพราะเขาหน้าตาดีหรือ? (ไม่หรอก. . . เธอ ในตอนนี้ของผมยังดูดีกว่า)

เพราะเขา. . .ฯลฯ มากมาย. . .เกินจะตั้งคำถาม

"ไม่รู้". . .คือคำตอบเดียว ที่ผมมี. . .

ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่ต้องรู้หรอกว่ารักกันตอนไหน รักเพราะอะไร แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่ารักเขาตอนไหน รู้ว่ารักเพราะอะไร ผมก็อยากให้คุณถามตัวเองด้วยว่า. . .คุณรักเขาจริงๆ หรือ?

ผมปิดคอมพ์ และหลับตา. . .



รอบสุดท้าย . . .(ไม่ได้ไปดูหนัง. . . . . แต่กำลังดูใจตัวเอง)




ป.ล. ต้องขออภัยด้วยที่บทวิจารณ์ชิ้นนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว หากอยากทราบว่าผมรู้สึกกับหนังเรื่องนี้อย่างไร บอกสั้นๆ ว่าชอบครับ ให้ 8 เต็ม 10
แต่ถ้าอยากหาอ่านคำวิจารณ์อื่นๆ ให้คลิกได้ที่เวบข้างล่างนี้ แล้วคลิกต่อไปที่ FEB BOARD ครับ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง: //www.februarymovie.com/





ยังมีต่อ.... โปรดตามอ่านในบล็อกหน้าจ้า.....


อ่านต่อ คลิกที่นี่ - - - > Retro to Film - Club # 3



Create Date : 04 กันยายน 2550
Last Update : 5 กันยายน 2550 3:25:25 น. 6 comments
Counter : 1113 Pageviews.

 
อ่าน "กุมภาพันธ์" แล้วจะร้องไห้...

พี่เติ่งเขียนดีกว่าผมเย้ออ..
ผมติดโรคขี้เกียจน่ะครับ แหะๆๆๆ


โดย: nanoguy วันที่: 5 กันยายน 2550 เวลา:21:35:30 น.  

 
ถ้าให้เขียนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับหนังเท่าไหร่ แต่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวทีไร มักจะโดนชมทุกทีไม่รู้ทำไม



โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:4:14:59 น.  

 
[ต่อจากหน้า Retro #1]
+ พี่ก็ชอบดูหนังคนเดียว ... ด้วยเหตุผลที่คล้ายๆ เติ้งเลยครับ อ้อ และอีกอย่างหนังที่พี่อยากจะดู จะไม่ค่อยมีใครรู้จักและอยากดูด้วย ... ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นหนังที่คนทั้งกลุ่มอยากดู แต่พี่อยากดู (ถ้าเป็น ณ ภาวะปัจจุบันนี้) พี่จะไม่ยอมเสียงตังค์ เสียเวลา เข้าไปนั่งดูด้วยกับพวกเค้าเป็นอันขาด ... ถึงจะเกรงใจ แต่พี่จะบอกว่า "ขอแยกไปดูเรื่อง (__XXX__) ที่ผมอยากดูละกัน ... แล้วเด๋วดูจบมาเจอกันที่หน้าโรง
... แล้วก็มีอีกเรื่องนึง จำได้แม่นเลยว่านัดดู Billy Elliot กับเพื่อนคนนึง (มันชอบดูหนังที่มีประเด็นพ่อ-ลูก อ้ายเราก็อุตส่าห์ชวน) ... ปรากฎพี่ไปรอมันอยู่หน้าโรงจนถึงเวลาหนังฉายไปแล้วมันก็ยังมาไม่ถึง สุดท้ายพี่เลยหนีมันเข้าโรงไปก่อนเลยอ่ะครับ เหอๆๆ

+ กร๊ากกกก สำนวน "ร่างดำๆ" นี่อ่านแล้วได้ใจมั่กๆ ... เห็นภาพเลยอ่ะครับ 555
+ อ้าว ... เติ้งจบนิติเหรอเนี่ย? เพิ่งรู้นะคับเนี่ย
+ Chaning lanes พี่ก็ดูนะครับ ... จำได้แต่ว่าดูสนุกใช้ได้ แต่รายละเอียด เลือนๆ ไปแว้วเหมือนกัน (คิดดู ลืมแม้กระทั่ง อแมนด้า พีท ขวัญใจคนนึงของพี่ เหอๆๆ)
+ Hero ยังไม่ได้ดูครับ
+ องค์บาก คงไม่ดูแน่ๆ เพราะพี่ไม่ถูกกับหนัง Martial arts ... เอ่อ ว่าแต่ ....... ช้างกรูอยู่หนายยยยยยย
+ แต่ปรากฏว่าพี่ได้ดู Tadpole แฮะ! มันเข้าในโรงที่เฮาส์ครับ ... รายละเอียด ก็เลือนๆ ไปอีกแล้วเช่นกัน แต่จำได้ว่าดูไปยิ้มไปอ่ะครับ

+ หุๆ ... อ่าน 'กุมภาพันธ์' (ซึ่งพี่ยังไม่ได้ดู) แล้วอินตามเยยอ่ะครับเติ้ง เหอๆๆ
... ก็จริงเนาะ ความรัก บางทีมาเมื่อไหร่ มาได้ยังไง ไม่มีใครบอกได้ ... ต่อเมื่อได้มีเวลาใคร่ครวญความรู้สึกในหัวใจตัวเอง ... เมื่อนั้นแหละ ถึงเพิ่งจะรู้ว่ามันคือ 'ความรัก' (แม้ว่าบางทีมันอาจจะสายไปแล้วก็เป็นได้)


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:13:52:18 น.  

 
^
^
แก้คำผิด บรรทัดที่ 2 (อ่านแล้วงงอ่ะ)
"หนังที่คนทั้งกลุ่มอยากดู แต่พี่ไม่อยากดู"


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:13:56:37 น.  

 
เพ่วิน
- เีดี๋ยวนี้ผมก็ดูคนเดียวบ้าง ดูเป็นกลุ่มบ้างแล้วแต่จังหวะกับแนวหนังครับ ถ้าหนังเรื่องไหนน่าจะดูกันแบบหมู่มากได้ ก็จะพากันไปครับ(อย่างล่าสุดก็ไปดูบ้านผีสิงกับสายลับฯ กับเพื่อนเก่า 5 คนกัน) แต่ถ้าเรื่องไหนมันไม่ใช่แนวคนอื่นๆ ก็ดูคนเดียวดีกว่า เหมือนเดิม หึๆ
- ร่างดำๆ ??? เหอๆ น่าจะลบทิ้งนะนั่น...
- หมายถึงเพื่อนที่สนิทต่างคณะที่เรียนนิติฯอ่ะครับ....
- มันเข้าเฮ้าส์ด้วยเหรอครับ งงแฮะ เฮ้าส์ยังไม่มีไม่ใช่เหรอครับ ตอนนั้น...เอ?
- เป็นอีกบทความที่ผมโคตรอาย.... แต่เป็นส่วนนึงของชีวิตผมที่ลบไม่ได้จึงไม่ลบทิ้งครับ....เน่ามะ


โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:17:49:49 น.  

 
^
^
พี่ดูที่เฮ้าส์แน่ๆ ครับจำได้ ... แต่ที่จำไม่ได้ก็คือ ไม่แน่ใจว่าเป็นโปรแกรมปกติหรือฟิล์มบุฟเฟ่ต์-I กันแน่ ... ถ้าเป็นโปรแกรมปกติ คงอยู่แป๊บเดียวแบบคนไม่ทันได้เห็นแหละครับ ... และก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเฮาส์ชอบเอาหนังเก่าเก็บ (บางที 6-7 ปี ยังตกใจ!) มาฉาย ... ต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์เก่าๆ ของเฮาส์ครับ
(ที่พี่ชัวร์ เพราะพี่ไม่มีของ (เครื่องเล่น DVD) ดังนั้นพี่ดูเรื่องนี้ในโรงแน่นอน และถ้าจำไม่ผิด บรรยากาศตอนที่ดูนั่นคือโรงเฮาส์ครับ)


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:19:00:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หัวใจของผมทำด้วยเซลลูลอยด์คร้าบบบบบ
รายการ Blog ที่Update ล่าสุด
ชอบBlogไหนคลิกที่รูปได้เลยครับ
รีวิวซีรี่ส์ 1 Litre of Tears
คลิปเปิดตัว 24 DAY 7
เป็นตุเป็นตะกับบอดี้ ศพ 19
มันติดมาจากในโรง#3
เพลงสุดโหยหวนจากหนัง The Brave One
รีวิวซีรี่ส์ HouseMD และเฉลยปม Lost
Retro to Film - Club

เพลง เธอทั้งนั้น
ให้เจ้าหลาน Bay
Group Blog
 
 
กันยายน 2550
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
4 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.