ดร. อีริค โฟร์แมน
เขาคือหมอที่เก่งกาจเรื่องงัดแงะบ้านคนไข้!?
Omar Epps รับบท ดร.อีริค ลูกทีมของเฮ้าส์ที่ไม่ชอบBoss ของเขาเอาซะเลย ตัวละครตัวนี้นิสัยอาจจะใกล้เคียงกับเฮ้าส์มากที่สุด(แต่ดันไม่ถูกกัน) เพราะนอกจากเขาจะดื้อๆ เหมือนกันแล้ว พื้นเพชีวิตวัยรุ่นของเขาก็ดูคลุมเครือและยังเป็นความลับ แต่ดร.เฮ้าส์ ก็ดูเหมือนจะรู้ประวัติความเป็นมาของอีริค และยังสามารถเดาใจของเขาได้อย่างแม่นยำ
ดร.เฮ้าส์ มักจะยืมมือให้ดร.อีริค ไปสำรวจบ้านคนไข้นอกสถานที่ประจำ เรียกได้ว่า ดร. อีริค คือฝ่ายภาคสนามของทีมแพทย์ชุดนี้เลยก็ว่าได้
ดร.อัลลิสัน คาเมรอน
เธอคือหมอที่เพียบพร้อม แต่ดันศรัทธาต่อหมอที่ไม่เหมือนหมออย่างดร.เฮ้าส์
บทนี้แสดงโดยดาราสาวที่ไม่ดังนักอย่าง Jennifer Morrison ซึ่งบทของ ดร.อัลลิสัน จะแตกต่างจากลูกทีมคนอื่นๆ ของดร.เฮ้าส์ ที่มักจะไม่ค่อยชอบเขาอย่างออกนอกหน้า แต่อัลลิสันกลับเชื่อมั่นและศรัทธาต่อดร.เฮ้าส์ด้วยใจจริง ซึ่งบางครั้งมันกลับนำผลเสียมาสู่ตัวเธอเองมากกว่าผลดี เพราะเฮ้าส์ย้ำเสมอว่า "Everybody Lies" - - เพราะฉะนั้นอย่ามาเชื่อผม(ดร.เฮ้าส์)ให้มากเลย! - -
บทดร.อัลลิสัน ยังมีปมลึกลับในอดีตอีกมากที่รอการเปิดเผย แต่ที่แน่ๆ ปมนั้นส่งผลให้เธอยังไม่สามารถเปิดใจคบใครเป็นเรื่องเป็นราวได้ในตอนนี้
ดร.โรเบิร์ต เชส
เขาคือหมอที่ไม่เชื่อในพระเจ้า....และเขาคือหมอที่ไม่เคยอยากเป็น "หมอ"
Jesse Spencer รับบทของดร.เชส ได้อย่างใสซื่อ(บทเขาเป็นอย่างนั้น) เขาไม่เคยอยากเป็นหมอ แต่ด้วยพ่อแม่ที่เป็นหมอทั้งคู่ทำให้เขาต้องจำใจเรียนแพทย์ ด้วยผลพวงของกรรมพันธุ์กระมังเขาจึงจบแพทย์เสียได้ แต่เหมือนยังจะไม่หมดเวรหมดกรรมแค่นั้น เมื่อเขาดันต้องมาสังกัดเป็นลูกทีมของดร.เฮ้าส์ จอมปากจัด ชอบแกล้งคนเป็นว่าเล่น......แต่ถึงกระนั้นเหตุการณ์ในแต่ละเคส ทำให้เขาแอบนับถือความสามารถของดร.เฮ้าส์อยู่ในใจไม่ใช่น้อย และในใจที่ลึกขึ้นไปอีกของเขากำลังเทใจให้ ดร.อัลลิสัน หมอสาวแสนสวยอย่างหมดใจ.....เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมคนหนุ่มที่ไม่เคยอยากเป็นหมอ จึงยังเป็นหมอได้จนถึงทุกวันนี้ หุๆ
ดร.ไบรอัน ซิงเกอร์?
จ๊ากกกกกก! เขาเปนด๊อกเตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ!
ล้อเล่นจ้า....อีตาไบรอัน ซิงเกอร์( ผู้กำกับฝีมือดีจาก Usual Suspects , X - men , Superman Return) ไม่ได้ไปเข้าคอร์สเรียนแพทย์เสริมดั้งที่ไหนมาหรอก แต่เขาคือ 1 ในผู้สร้างซีรี่ส์หมอๆ ชุดนี้นั่นเอง.....ซึ่งในซีซั่นแรก(ที่เจ้าของบล็อกเพิ่งดูไป) พี่แกก็อุตส่าห์ลงมากำกับเองถึง 3 เอพิโซด และยังจะมาเล่นเองด้วยในฐานะแขกรับเชิญพิเศษอยู่ 1 ตอน ซึ่งแหม....บทที่แกเล่นก็ไกลตัวเสียเหลือเกินพ่อคุ๊ณ.....แกคงกลัวว่าถ้าโดดลงมาเล่นเป็นผู้กำกับหนังคงจะโดนครหาว่าเล่นเป็นตัวเองดันตัวเองซะงั้น แกเลยเล่นบทผู้กำกับโฆษณาแทนซะเลย ฮา.......
ซึ่งกลิ่นอายแบบหนังของไบรอัน ซิงเกอร์ ที่มักจะนำเสนอแง่มุมของความเป็นมนุษย์มากๆ ก็ยังมีอยู่ครบถ้วนในซีรี่ส์ชุดนี้ แถมบางตอนที่แกกำกับ ก็ยังจะจบหักมุมอีกแน่ะ! และถึงแม้ตอนที่เหลือจะเป็นคนอื่นกำกับ แต่ความเป็นไบรอัน ซิงเกอร์ ก็ยังลอยมาแตะจมูกเราแทบจะทุกตอนทุกเอพิโซดกันเลยทีเดียว
ซึ่งดูท่าไบรอัน ซิงเกอร์คงจะติดใจ เพราะปีนี้เขาก็กำลังจะคลอดซีรี่ส์แนวดราม่าชุดใหม่ออกมาที่มีชื่อว่า Dirty Sexy Money แค่ชื่อซีรี่ส์ก็บ่งบอกสันดานมนุษย์แล้ว
สรุปคร้าบ
ถ้า Grey's Anatomy คือซีรี่ส์เกี่ยวกับศัลยแพทย์ฝึกหัด ที่แฝงปรัชญาการดำรงชีวิตของคนรุ่นใหม่ลงไป
House Md คือซีรี่ส์เกี่ยวกับทีมแพทย์ ที่แฝงปรัชญาชีวิตของคนแทบจะทุกรุ่นตั้งแต่เด็กยันคนเฒ่าคนแก่กันเลยที่เดียว
ซึ่งผมไม่ได้จะมาบอกว่าเรื่องไหนมันดีกว่าใคร เพราะที่จริงแล้วทั้ง Grey's และ House ถึงแม้จะนำเสนอเกี่ยวกับอาชีพแพทย์เหมือนกัน
แต่ประเด็นสำคัญของซีรี่ส์ 2 เรื่องนี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทีเดียว
ใน Grey's อาจจะเน้นเรื่องรักวุ่นๆ อีรุงตุงนังของทีมหมอ(แต่ขอบอกว่าหวานจี๊ดมากนะจ๊ะ)+การใช้ชีวิตและวิธีการมองโลกของคนรุ่นใหม่
ส่วน House จะเน้นไปที่การรักษาคนไข้ วินิจฉัยโรค และแฝงความหมายคุณค่าของชีวิตลงไป ซึ่งตัวซีรี่ส์ House จะไม่ออกมาสรุปตรงๆ โต้งๆ แบบใน Grey's
แต่ House จะทิ้งไว้ให้คนดูคิดสานต่อเองว่า เขาจะได้รับอะไรจากซีรี่ส์ชุดนี้ ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหน สิ่งที่คนดูได้รับจากทั้ง House และ Grey's นอกเหนือจากความบันเทิงแล้วก็ยังมีแง่คิดดีๆ มากมายให้ได้ไตร่ตรองและนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
มีฉากหนึ่งจาก House ที่ผมชอบมากๆ ขอเล่าย่อๆ ประมาณนี้....
เธอป่วยเป็นโรคที่ทีมหมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่
ครั้นจะรักษาโรคที่พวกเขาสงสัยว่าเป็น ก็อาจจะไปกระตุ้นอาการอีกโรคที่เข้าข่ายว่าเป็นเหมือนกันได้
เธอจึงหมดหวังและปลงชีวิตอย่างสุดแสน
เธอขอให้ดร.เฮ้าส์ปล่อยตัวเธอกลับไปตายอย่างสงบที่บ้าน เพราะเธอคิดว่าการนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นการมีชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี....
สิ่งที่ดร.เฮ้าส์ตอบกลับมา ไม่ใช่การอ้อนวอนให้เธอมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่การชี้แง่มุมงามๆ ของชีวิตให้เธอมีความหวัง
แต่คือคำพูดที่เขาถามกลับไปว่า....
"....ระหว่างที่คุณนอนรอพระเจ้าให้มารับคุณอยู่ที่บ้าน กับการนอนซมทรุดโทรมในนี้เพื่อรอให้พวกผมทำหน้าที่อย่างเต็มศักดิ์ศรี....คุณคิดว่าอย่างไหนคือคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรีกว่ากันล่ะ?...."
สิ้นประโยค ดร.เฮ้าส์ไม่รอฟังคำตอบ หากแต่เดินออกจากห้องคนไข้ไปอย่างเงียบๆ
ทิ้งให้เธอตั้งคำถามถึงชีวิตของตัวเองอีกครั้ง....
ซึ่งคำตอบก็กลับมาหาเธอในวันต่อไป....
วันที่เธอยังมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและไร้โรคภัยใดๆ โดยสิ้นเชิง........
ก่อนเข้า Lost ขอบ่นหน่อย....
เมื่อ 6 ปีที่แล้ว (เอ่อ....ทำไมมันผ่านไปเร็วเช่นนี้หนอ พระคุณเจ้า!)
เป็นช่วงที่ผมรู้สึกเบื่อหนังโรงแบบสุดๆ หนังแผ่นหนังเทปก็ตามดูไม่หวั่นไม่ไหว
อาการเบื่อดูหนัง... คิดว่าหลายท่านคงเคยเป็นสักครั้งหนึ่งในชีวิต
(ในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีหนังนอกกระแสหรือหนังสั้นเกลื่อนเมืองเหมือนยุคนี้เน้อพี่น้อง)
ไอ้ครั้นจะกลับไปดูแต่รายการทีวีบ้านเรา...เอ่อ...ไม่ขอพูดถึงดีกว่า
แล้วอยู่ดีๆ สวรรค์ก็ประทานเทวดาร่างอวบที่ชื่อว่า "ป๋าเต๊ด" ลงมา
มาชี้แนวทางว่า "ลองดูซีรี่ส์ 24 กันซะสิ!"
ชี้แนวทางยังไม่พอ ยังเอารายการหนังหน้าไมค์มาเป็นเครื่องรับประกันอีกแน่ะท่าน
ด้วยคุณงามความดีหลายประการที่ป๋าเต๊ด คุณจ๋อง พี่นราเคยชี้นำบ่อยๆ
จึงได้หาโอกาสนำซีรี่ส์ "24" มาดูแก้ขัดอาการ "ดื้อหนังโรง" ไปพลางๆ
ก่อนที่จะรับรู้ในกาลต่อมาว่า.....
โอ้วววว พระคุณเจ้า! นี่มันคือ "ทางไปสู่นรก" ชัดๆ!
กี่คืนแล้วที่ผมไม่เป็นอันต้องหลับต้องนอน
ต้องฝืนสุขภาพของร่างกายเอวบางร่างน้อย(ที่ปัจจุบัน....อึ๋มขึ้นนิดนึง)
ต้องอดมื้อกิน(หลาย)มื้อ เพราะต้องเก็บตังค์ตามซื้อตามเช่าซีรี่ส์ชุดนี้มาดูต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ก็ 6 ซีซั่นเข้าไปแล้ว
ไหนจะต้องเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวายใจ ว่าซีซั่นหรือเอพิโซดต่อไปจะเดินทางมาถึงเมื่อไหร่
อาการ "ดื้อหนังโรง" หายขาดก็จริง
แต่อาการ "ติดซีรี่ส์จนงอมแงม" ยังแก้ไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
ก่อนหน้านั้นถ้าพูดถึงซีรี่ส์ฝรั่ง....เรื่องแรกที่นึกถึงก็ไม่ต่างจากน้องเมอร์ กับคุณ renton ก็คือ The X - File นั่นเอง
เพราะมันเป็นซีรี่ส์สามัญประจำบ้านจริงๆ ในยุคนั้น....
ช่องเจ็ดได้นำมาฉายอย่างต่อเนื่อง (ถึงแม้บางซีซั่นจะเล่นฉายไม่ครบซีซั่นจริงๆ ก็ตาม)
ความสนุกของ The X - File อยู่ในระดับที่น่าติดตามดี
แต่ความสนุกของ "24" ไม่ใช่แค่น่าติดตาม แต่มันยังสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ มากมายให้กับผม
Series ถ้าพูดกันแบบไทยๆ ก็คือ "ละครทีวี" นี่เอง แต่สิ่งที่ Series ฝรั่งต่างจากละครบ้านเราก็คือ
ข้อ 1. เขาจะฉายเป็นเอพิโซด อาจเป็นทั้งเรื่องราวที่ต่อเนื่อง(24) หรือจบในตอน(CSI) หรือแม้กระทั่งจบเรื่องราวในตอนแต่ยังมีอะไรให้ต่อเนื่อง(Grey's Anatomy)
ข้อ 2. จำนวนการฉายของเขาจะไม่มากเท่าบ้านเรา ใน 1 สัปดาห์ จะมีเพียง 1 เอพิโซดเท่านั้น และระยะเวลาการฉายตลอดซีซั่นก็อยู่ที่ประมาณ 5 - 6 เดือน จำนวนตอนโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 22 - 24 เอพิโซด (จำนวนตอนน้อยกว่าละครไทยบ้านเรา แต่ฉายนานกว่าหลายเท่า)
ข้อ 3. Series จะมีทีมผู้สร้าง ผู้กำกับ ผู้เขียนบท หลากหลายบุคคลมาก ในแต่ละเอพิโซด ก็จะสลับกันทำ ซึ่งส่งผลให้แต่ละเอพิโซดมีสีสันเฉพาะตัวของมัน หลากหลายมุมมองมากขึ้นและแน่นอนเรื่องราวในซีรี่ส์สามารถพลิกผันไปเป็นอะไรก็ได้ที่เราคาดไม่ถึง - - - เช่น ตัวละครหลักตัวนึงอาจต้องตายในซีซั่นที่ 2 ซึ่งอาจสร้างความช็อคต่อคนดู......แต่ในความจริงแล้วเบื้องหลังที่ทำให้ตัวละครตัวนั้นต้องตาย เป็นเพราะว่านักแสดงคนนั้นกำลังตั้งท้องอยู่ หรือมีปัญหากับผู้สร้างอยู่ก็เป็นได้
ข้อ 4. Series Prime Time ส่วนใหญ่ของเขา มักจะถ่ายทำด้วยระบบฟิล์มแบบหนังโรง แถมหลายเรื่องยังบันทึกเสียงเป็นดอลบี้ดิจิตอล 5.1 ซะด้วยซ้ำ ในแง่ลงทุนไม่ต้องพูดถึง ไม่แพ้หนังโรงเลยทีเดียว....
ข้อ 5. ข้อดีอีกประการหนึ่งของSeries ในยุคนี้ก็คือ ได้มีผู้กำกับ ผู้เขียนบทมือทองมากมายที่คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์โรง หันมาเล่นกับวงการซีรี่ส์กันบ้าง เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า "มันสามารถจะพลิกผันเป็นอะไรก็ได้" ไม่มีข้อจำกัดทางความคิดเท่าหนังโรง และที่สำคัญเสียงตอบรับคนดูของแต่ละเอพิโซดก็อาจจะดังชัดเจนกว่าคนดูที่มีต่อ "หนังโรง" หลายๆ เรื่องด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าจะมีใครที่ได้ดู "24" หรือ "Prison Break" แล้วจะบอกกับคุณว่ามันสนุกกว่า Die Hard 4.0 ซะอีก!
เหล่านี้คือข้อแตกต่าง+ข้อดีของซีรี่ส์ฝรั่งที่ได้ผ่านการพิสูจน์จากตัวผมเองมาแล้ว(ตั้ง 6 ปีแน่ะ ฮือๆ ตรูจะพ้นบ่วงกรรมนี้เมื่อไหร่หนอ เอิ๊กๆ)
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า (หากรู้สึกว่าเจ้าของบล็อกขี้บ่นจัง.....คุณเข้าใจ "ถูก" แล้วคร้าบบบบบ)
Lost Season 3
เกาะ คน บาป
หลังจาก "24" เป็นต้นมา ก็ตามดูซีรี่ส์เรื่องอื่นๆ บ้าง
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นติดมากติดมายนักเท่า "24"
จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว.....
Lost ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ซีรี่ส์อีกครั้งให้แก่ข้าพเจ้า
คราวนี้ไม่ต้องไปโทษใคร โทษตัวเองนี่ล่ะ ที่ดั้นด้นหาเรื่องนี้มาดูเอง
Lost ซีซั่นแรก เล่าเรื่องเกี่ยวกับคน 40 กว่าชีวิตที่รอดจากเหตุการณ์เครื่องบินตก
นั่นอาจเป็นเรื่องดีที่เขารอดมากันได้ แต่ดูเหมือนกับว่าเกาะที่พวกเขาอาศัยอยู่เพื่อรอการช่วยเหลือ
ช่างเป็นเกาะที่ มฤตยูงงงวยตะบวยบรรลัย ซะเหลือเกิน....(อย่าเพิ่งงงกับคำวิบัติคำนี้ ในซีรี่ส์มีให้งงกว่านั้นเยอะ)
เพราะบนเกาะนี้มีทั้งหมียักษ์จากขั้วโลกเหนือ(?)วิ่งไล่ตะปบคน
มีสิ่งเร้นลับที่ชอบส่งเสียงโหยหวนขณะแหวกต้นไม้ยักษ์ในดงป่า
มีอุโมงค์ลึกลับที่ใครไม่รู้มาขุดเอาไว้....และอาจมีใครบางคนอยู่ในนั้น
มีหญิงฝรั่งเศสแก่ๆ ที่บอกกับเราว่าเธออยู่บนเกาะนี้มาสิบกว่าปีแล้วไม่มีใครสามารถมาช่วยพวกเขาได้
มีคนเป็นอัมพาต ที่อยู่ดีๆ ก็เดินได้เมื่ออยู่บนเกาะนี้
มีพวก "คนอื่น" ที่พยายามมาลักพาตัวพวกเขาให้ไปอยู่ด้วย บรึ๊ยส์!!!!!!!!!
และยังมีอะไรอีกมาก...ที่ยังรอการเฉลยอยู่
จนทำให้ในทีแรกที่ลุ้นให้พวกเขารอดกลับไปจากเกาะบ้อบอนี้
กลับกลายเป็นลุ้นว่าสุดท้ายแล้ว "เกาะนี้มันคือเกาะอะไรกันแน่"
และเมื่อไหร่จะเฉลยทุกอย่างให้นู๋รู้ซ้ากกกกที...
ซึ่งก็ดูเหมือนซีซั่นที่ 3 นี้ล่ะ ที่ Lost เริ่มเฉลยปมสำคัญๆ ให้เราทราบกันบ้างเสียที....
ถ้าหากมองจากพล็อตเรื่องย่อหลังปกหรือดูแค่บางช่วงบางตอนของซีรี่ส์
คุณอาจจะคิดว่านี่คือแนว ผจญภัย+ลึกลับระทึกขวัญ
แต่เอาเข้าจริงๆ Lost คือซีรี่ส์แนวดราม่าที่พูดถึงบาปในใจของมนุษย์ต่างหาก
ในแต่ละตอนของ Lost มีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์(แต่อาจน่าเบื่อสำหรับใครบางคน)
นั่นคือการเล่า Flash Back ของแต่ละตัวละครก่อนมาผจญกรรมบนเกาะนี้
ว่าพวกเขาเคยไปทำอะไรมากันบ้าง
และช่างบังเอิญจริงๆ ที่ทุกตัวละคร ล้วนแต่เคยก่อบาปกรรมอันเลวร้ายมาแทบทั้งสิ้น
แต่ดูเหมือนจะไม่บังเอิญเท่าไหร่ ที่ยิ่งฉายแต่ละเอพิโซดแต่ละซีซั่นไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่า
สิ่งที่เขาได้กระทำเอาไว้ล้วนส่งผลถึงตัวเขา และที่ไม่คาดคิดก็คือยังส่งผลต่อคนอื่นบนเกาะที่พวกเขาคิดว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วย.....
และเหล่านี้ คือคาแรกเตอร์สำคัญของซีรี่ส์ Lost ที่ผมจะมาบอกว่าพวกเขาเป็นใคร...และจะสปอยล์ในแถบดำ(ลากเม้าส์ดูเองนะจ๊ะ)ให้ทราบว่า....ซีซั่น 3 บาปที่พวกเขาได้ก่อกำลังจะมาสนองคืนพวกเขาอย่างไรกันบ้าง?
ไล่เรียงลำดับจากซ้ายไปขวานะครับ
1. Mr. Eko เขามาจากแอฟริกาใต้ เดินทางไปออสเตรเลียเพื่อตามหาน้องชาย ขึ้นเที่ยวบินมาด้วยกันกับพวกตัวละครหลักในซีซั่น 1 นั่นแหล่ะ....หากแต่เขานั่งอยู่ส่วนท้ายของตัวเครื่องที่ไปตกอีกฟากของเกาะ ในซีซั่นแรก เราจะยังไม่พบบุรุษร่างทะมึนนี้ จนถึงซีซั่นที่ 2 นั่นแลเขาจึงจะโผล่ขึ้นมาพร้อมกับดาราสาวMichelle Rodriguez......เขาบอกกับเราว่าเขาคือ บาทหลวง แต่ความจริงคือ......(ในแถบดำได้สปอยล์ไว้อย่างชิบหาย!มาก ขอเตือนแล้วกันนะจ๊ะ)
อดีตจริงๆ ของเอโก้ คือหัวหน้าแก๊งอันธพาลในอัฟริกา ครั้งหนึ่งเขาต้องส่งเฮโรอีนล็อตใหญ่เป็นล็อตสุดท้ายเพื่อจะวางมือซะที- - - โดยเขาได้ไปขอร้องน้องชายที่เป็น บาทหลวง ให้ร่วมมือบังหน้าการขนส่งครั้งนี้ แต่น้องชายเค้าปฏิเสธ และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อน้องเขาเสียชีวิตขณะขอร้องให้เขาเลิกกระทำการผิดกฏหมายเช่นนี้เสียที ซึ่งยังไม่ทันที่เขาจะได้ร่างน้องชายกลับมา คนที่ยิงน้องของเขาก็นำศพร่างนั้นขึ้นเครื่องบินมาด้วย จนบินหายลับตาไป ..... และบนเกาะที่เขากำลังผจญอยู่ มีเครื่องบินลำนั้นที่มีศพน้องชายเขาอยู่ตกลงที่นี่ด้วย.... แต่ดูเหมือนน้องชายของเขาจะยังไม่ให้อภัย เพราะอยู่ดีๆ ศพร่างนั้น ก็หายอันตรธานไปอย่างลึกลับ
สุดท้าย....เอโก้ตายในซีซั่นที่ 3 ด้วยฝีมือการทุบร่างกระแทกต้นไม้ของวัตถุอากาศธาตุลึกลับสีดำ!
2. Dr.Jack Shephard พระเอกของเรานั่นเอง เขากับอีกหลายๆ ตัวละครหลักนั่งอยู่ส่วนหน้าของตัวเครื่อง(ซึ่งมีผู้รอดชีวิตมากกว่า) แจ๊ค มีบุคลิกที่เป็นผู้นำมาก เขามีใจให้กับเคท ออสเทน สาวสวยที่มีอดีตลึกลับอันดำมืด.... แจ๊คเดินทางมาออสเตรเลียเพื่อรับศพของผู้เป็นพ่อ ตอนจบซีซั่น 2 เขาและเคทรวมไปถึงซอว์เยอร์ถูกจับตัวไปโดย "คนอื่น" ให้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง.....
สถานที่แห่งนั้น เปิดตัวตั้งแต่ 5 นาทีแรกของซีซั่น 3 อย่างไม่ทันตั้งตัว มันคือที่พักอาศัยที่ไม่ต่างชุมชนชานเมือง(แต่ยังอยู่บนเกาะนั่นแหล่ะ) มีไฟฟ้า เครืองสาธาณูปโภคครบครัน ณ ที่แห่งนี้มีผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกได้ถูก(ลักพาตัว)มาอาศัยอยู่รวมกันอย่างมีความสุข(?) เหตุผลที่ "คนอื่น" จับแจ๊คมา เพราะ "เบน" คนที่เหมือนหัวหน้าชุมชน(แต่อาจไม่ใช่ผู้นำตัวจริง) กำลังป่วยเป็นเนื้องอกในกระดูกสันหลัง เขาต้องยืมมือให้แจ๊คช่วยเหลือเขา เพื่อแลกกับการที่เขาได้กลับบ้าน......อเมริกา
ส่วนบาปในใจแจ๊คก็คือ แจ๊คได้ทำให้พ่อผิดหวังในตัวเขา จากการที่เขาเข้าใจผิดว่าพ่อของเขาไปมีอะไรกับภรรยาของตัวเขาเอง ซึ่งนั่นทำให้พ่อของแจ๊คกลับมาติดเหล้าอีกครั้ง หลังจากที่พยายามจะเลิกอยู่บ่อยครั้ง จนสุดท้ายก็ไปเสียชีวิตที่ออสเตรเลีย... ทำไมต้องเป็นออสเตรเลีย ตัวละครของ "แคลร์ ลิตเติลตัน" คุณแม่ยังสาวมีคำตอบรออยู่!
3. John Locke เป็นคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นมาก(อาจจะดูน่าสนใจกว่าพระเอกด้วยซ้ำ) ซึ่งล่าสุดเขาก็เพิ่งคว้ารางวัล EMMY 2007 สาขานักแสดงสมทบชายซีรี่ส์ดราม่ายอดเยี่ยมไปเมื่อ 2 วันก่อนสดๆ ร้อนๆ จอห์น ล็อค มีบุคลิกที่เป็นผู้นำไม่แพ้แจ๊ค แต่ด้วยความศรัทธาต่อความลึกลับบนเกาะ ทำให้ใครหลายคนมองเขาในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก และทำไมเขาจึงศรัทธาเกาะนี้นัก......
จอห์น ล็อค เคยเป็นอัมพาตเดินไม่ได้มาก่อน และทันทีที่เครื่องบินตกในซีซั่นที่ 1 เขาก็สามารถเดินได้ทันทีอย่างน่าอัศจรรย์ เขาจึงเชื่อเสมอว่าเกาะนี้มีสิ่งที่ควรค่าแก่การศรัทธาอยู่....ซึ่งไม่ว่าเขาหรือใครต้องการอะไร คนคนนั้นก็จะได้รับเสมอจากเกาะเกาะนี้.... ในซีซั่น 3 ได้เฉลยว่า เขาต้องเป็นอัมพาตเพราะถูกผู้เป็นพ่อแท้ๆ แต่เลวชาติชั่ว นอกจากจะหลอกเอาไตจากเขาไปแล้ว ยังผลักเขาตกจากตึกสูงหลายสิบชั้นเพื่อหวังเพียงฆ่าปิดปาก แต่เขาไม่ตาย!? ส่วนผู้เป็นพ่อก็หายตัวลึกลับ จนกระทั่ง "เบน" ผู้นำ(?)ในกลุ่ม "คนอื่น" ก็นำ พ่อ ของเขากลับมาให้เขาเชือดบนเกาะนี้(แต่จะเชือดจริงรึเปล่า ยังไม่บอกจ้า)
ตัวจอห์น ล็อคอาจจะเป็นตัวละครเดียวที่ดูเหมือนไม่มีบาปอะไร ออกจะเป็นผู้ถูกกระทำด้วยซ้ำไป...แต่ในซีซั่น 3 บาปของเขาก็ได้เผยโฉมขึ้น ....(แต่น่าจะเรียกว่าการเอาคืนซะมากกว่า) ตามไปอ่านได้ใน "แถบดำ" ของ "ซอว์เยอร์" ครับ
ไล่เรียงลำดับจากซ้ายไปขวานะครับ
1. Sun หญิงสาวจากแดนเกาหลี ที่ซีซั่น 1- 2 ได้เฉลยให้เราทราบว่า ก่อนขึ้นเครื่องเธอกำลังวางแผนที่จะหนีจาก "จิน" สามีของเธอไปอยู่ที่อื่น... แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเดินทางไปกับ จิน สามีที่เธอ(เคย)รักมากมาย ในซีซั่นแรกเธอหลอกคนดูให้ตายใจว่าเธอพูดอังกฤษไม่ได้เช่นเดียวกับสามี ก่อนจะมาเฉลยช่วงกลางๆ ซีซั่น1 ว่าเธอไปเรียนมาเพื่อนำไปใช้ยามที่เธอหนีไปอยู่กับ......นั่นเอง ในซีซั่น 2 บอกกับเราว่า "ซัน" กำลังตั้งท้องกับจิน ทั้งๆ ที่จินเป็นหมัน(?)....ยิ่งสนับสนุนให้เชื่อทฤษฎีของจอหน์ ล็อคที่ว่า ไม่ว่าใครขออะไรบนเกาะนี้ ก็จะได้อย่างที่ตนต้องการ (ยกเว้นขอกลับบ้านเท่านั้นเอง ที่เกาะนี้ให้ไม่ได้ อิอิ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว....
ซันมั่นใจว่าเธอตั้งท้องกับชายชู้ ที่เธอวางแผนกำลังจะหนีไปอยู่ด้วยกันที่ออสเตรเลีย... แต่เขาดันมาตายซะก่อน ด้วยการฆ่าตัวตายเพราะความละอายใจ ส่วน "จิน" ที่เราคิดว่าเขาไม่รู้ว่าเธอมีชู้ อันที่จริง เขารู้มานานแล้ว และรู้ด้วยว่า ลูกในท้อง นั้นเป็นลูกของชู้ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา...
ซึ่งในกาลต่อมาในท้ายซีซั่น 3 ก็ได้มีการเฉลยว่า คนที่เป็นพ่อของเด็กก็คือ "จิน" สามีที่เป็นหมันนั่นล่ะ.....อ้าว! เป็นหมันแล้วมามีลูกได้ยังไง....ตัวละคร "จูเลียต" มีคำตอบรอคุณอยู่.....
2. Kate Austen นางเอกของเรื่องนี่เอง เธอคือผู้ต้องหาที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด ในซีซั่น 1 - 2 ได้เฉลยกับเราว่าเธอไปก่อคดี "ฆ่าพ่อเลี้ยง" ของตัวเอง เพราะคิดว่าเป็นการป้องกันแม่เธอไม่ถูกทำร้าย และหวังเงินประกันนำไปใช้เลี้ยงชีพกับแม่ของเธอ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อแม่ของเธอ ไม่เห็นว่าสิ่งที่เธอทำเป็นสิ่งถูกต้อง .... เธอกับแจ๊คมีสัมพันธ์ทางใจต่อกัน..... แต่......
ในซีซั่น 3 เคทดันเจือกไปมีเซ็กส์กับซอว์เยอร์ คู่กัดกับพ่อพระเอกแจ๊ค.... ย้าง ยังไม่พอ อีตาแจ๊ค ก็ถูกล่อ(โดย"คนอื่น")ให้มาเห็นภาพบาดตาบาดใจด้วยตาตัวเองเสียด้วย งานนี้พ่อแจ๊คเห็นท่าจะไม่ให้อภัยเคทหรืออยากให้สองคนนั้นครองรักกันก็มิทราบได้... เขาจึงพยายามที่จะปล่อย 2 คนนั้นไปส่วนตัวเองก็กลับมาเป็น "โดดเดี่ยวผู้น่ารัก" อีกครั้ง แต่ไม่แน่ตัวละครที่ลึกลับอย่าง "จูเลียต" อาจจะช่วยเยียวยาแผลใจให้เขาก็ได้....
3. Jin สามีชาวเกาหลีของซัน เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ แต่กำลังพยายามเรียนรู้อยู่ในซีซั่นนี้... ตัวละครของจินในความรู้สึกของผม ค่อนข้างเป็นตัวละครที่ไม่มีอะไรให้พูดถึงเท่าไหร่นักในซีซั่นนี้....งั้นขอข้ามไปเลยละกัน.....อ้อ บาปของเขาก็คือ เขาเคยฆ่าคนตามคำบัญชาของพ่อตา
ในที่สุดก็มีสปอยล์เกี่ยวกับตัวละคร "จิน" ซะได้ จากที่เราเคยทราบว่าจินมีพ่อเป็นชาวประมง แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่ ซีซั่นนี้เฉลยว่าแม่ของจินนอนกับผู้ชายไปทั่วและอาจเป็นโสเภณี....ซึ่งยังเป็นแม่ที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลยด้วยซ้ำ(สังเกตไหมว่ามีกี่คนที่มีปมกับพ่อแม่ตัวเองในเรื่อง LOST) นอกจากไม่เลี้ยงดูแล้วยังจะมาตามขอค่าปิดปากจำนวน 400000 เหรียญจาก "ซัน" อีก.....
อ้อ... "จิน" ยังไม่ทราบว่าลูกในท้องของ "ซัน" แท้จริงแล้วเป็นลูกแท้ๆ ของเขาเอง....เขายังคิดเสมอว่าเป็นลูกชู้.... ในขณะที่ "ซัน" ก็นึกว่าจินไม่รู้ว่าเธอเคยมีชู้.....อืมสับสนอลหม่านดีแท้...
ไล่เรียงลำดับจากซ้ายไปขวานะครับ
1. Hugo 'Hurley' Reyes ฮิวโก้ คือตัวละครที่ "สะอาด" ที่สุดของซีรี่ส์ชุดนี้ เขาแทบจะไม่เคยได้ก่อบาปใดๆ เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดทุกที ก็คือการซื้อล็อตเตอรี่หมายเลข "4,8,15,16,23 และ 42" ที่เขียนติดกัน เขาถูกรางวัลแจคพ็อตมูลค่า 156 ล้านเหรียญก็จริง แต่มันกลับนำมาแต่เรื่องซวยๆ ตั้งแต่บ้านไฟไหม้ แม่ขาหัก หรือแม้กระทั่งการที่เครื่องบินตกเขาก็คิดว่าเป็นอาถรรพ์ของหมายเลขนี้....
ซึ่งหมายเลขที่ว่า... ดูจะไม่มีอาถรรพ์ต่อตัวเขาเองเมื่อมาอยู่บนเกาะนี้ ถึงแม้ใจหนึ่งจะอยากกลับบ้านแต่ใจหนึ่งเขาก็สบายใจที่ได้อยู่ที่นี่... แต่แล้วคนใกล้ชิดเพื่อนสนิทมากของเขาบนเกาะนี้ที่ชื่อว่า "ชาร์ลี" ก็กำลังจะตายไป....ตกลงว่าเลขอาถรรพณ์นี่มันยังตามหลอกหลอนเขาหรือไม่ต้องตามดูซีซั่นต่อไป
2. Claire Littleton คุณแม่ลูกอ่อนผู้ยังสาว เธอเคยวางแผนจะทำแท้งเพราะคนเป็นพ่อไม่ยอมรับผิดชอบ แต่แล้วเธอก็ต้องเปลี่ยนใจเดินทางมายังอเมริกา เพื่อที่จะคลอดลูกและยกลูกของเธอให้ใครคนหนึ่ง.....
และในซีซั่น 3 ได้เฉลยว่าพ่อของแจ๊ค ก็คือพ่อแท้ๆ ของแคลร์....สรุปก็คือ แจ๊คและแคลร์เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน โดยที่พวกเขายังไม่รู้ตัว! อืม...ปมบาปอีกอันนึงที่บอกเราในซีซั่นนี้ก็คือ เธอเคยขับรถด้วยความประมาทจนทำให้แม่ของเธอต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา....
ตัวละคร "แคลร์" ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำบางอย่างของ "คนอื่น" ซึ่งเข้าไปอ่านเฉลยได้ที่สปอยล์ของตัวละคร "จูเลียต" ครับ(จูเลียตเธอกุมความลับไว้เยอะมาก)
3. Charlie Pace อดีตนักร้องวงร็อคที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก กำลังจะเดินทางกลับอเมริกาหลังจากลงทุนมาเยี่ยมพี่ชายที่ออสเตรเลียเพื่อขอร้องให้กลับไปฟอร์มวงดนตรีกันอีกครั้ง แต่พี่เขาไม่เล่นด้วย เพราะกำลังมีความสุขกับชีวิตครอบครัว.... และชาร์ลีก็เหมือนนักดนตรีตกอับทั่วไป...เขาติดยา
ในซีซั่น3 ชาร์ลีถูกทำนายโดยผู้ได้รับญาณวิเศษจากเกาะอย่าง เดสมอนด์ เขาบอกกับชาร์ลีว่าชาร์ลีจะต้องตาย! ไม่ว่าจะหนียังไง ก็หนีไม่พ้น นอกเสียจากว่าเดสมอนด์จะต้องตามช่วยเหลือเขาไปเสียทุกครั้ง แล้วเดสมอนด์จะช่วยเขาได้ทุกครั้งหรือไม่ ชาร์ลีจะรอดตายตลอดหรือเปล่า คำตอบคือ...โอกาสนั้นมีน้อยเต็มที่...และการตายของเขาก็น่าจะเป็นการตายที่สมศักดิ์ศรีที่สุดในบรรดาตัวละครที่เสียชีวิตไปจากซีรี่ส์ชุดนี้...(แต่อาจไม่ตายจริงก็ได้!)
Sayid Jarrah อดีตทหารอิรัก เดิมทีเขาเป็นทหารกองสื่อสารโทรนาคม แต่แล้วก็มีเหตุพลิกผันให้เขาต้องกลายมาเป็นหน่วยสืบสวนของกองทัพ ที่มีวิธีไต่สวนโดยการทรมานคนเป็นหลัก แต่ "ซายิด" ก็ละอายใจต่อสิ่งที่เขากระทำมาก นั่นคือ... ปมบาปของเขา....ตัวละครนี้ ไม่มีอะไรให้สปอยล์อ่ะครับ
James 'Sawyer' Ford ในซีซั่นแรกเรารู้จักเขาในชื่อ "ซอว์เยอร์" ส่วนซีซั่นที่ 3(แต่มีเกริ่นมาตั้งแต่ซีซั่น 2 แล้วเหมือนกันครับ) เราจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขามีชื่อว่า เจมส์ ฟอร์ด... ซอว์เยอร์ แอบชอบเคท จะเรียกว่าแอบคงไม่ได้ เพราะจะว่าไปเขาก็แทะโลมเธอต่อหน้าธารกำนัลนั่นล่ะ... แต่เคทดูจะมีใจให้กับแจ๊คมากกว่าในซีซั่นแรก จนมาซีซั่นนี้ล่ะ ที่เขาจะสมหวังซะที...
ปมบาปของเขา คือ ตอนเด็กๆ พ่อแม่ของเขาต้องฆ่ากันตาย(กี่คนใน Lost แล้วหนอที่มีปมกับพ่อแม่ตัวเอง)เพราะแม่ของเขาไปมีชู้กับนักต้มตุ๋นที่หลอกเอาเงินของครอบครัวไปจนหมดตัว นักต้มตุ๋นคนนั้นมีชื่อว่า "ซอว์เยอร์" และนั่นก็ทำให้เขาตามล่าผู้ชายคนนี้ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังจะเป็นผู้ชายแบบซอร์เยอร์ที่เขาตามหา(จนในกาลต่อมาเขาถึงขนาดใช้ชื่อ "ซอว์เยอร์" แทนชื่อจริงของตัวเองซะเลย)... ในที่สุดซอว์เยอร์ก็กลายเป็นพวกต้มตุ๋นผู้หญิงที่เป็นพวก Desperate Housewives เหมือนที่ชายชู้ของแม่เขาเคยเป็นนั่นเอง...(มีสปอยล์แหลกราญในแถบดำจ้า...)
ในที่สุดเขาก็หา "ซอว์เยอร์ตัวจริง" เจอซะที ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ "พ่อ" ของ จอห์น ล็อค นั่นเอง และจอห์น ล็อคก็ได้กระทำบาปสำคัญลงไปในซีซั่นนี้ เมื่อล็อคได้จับตัว "ซอว์เยอร์ตัวจริง - พ่อของจอห์นล็อคนั่นล่ะ" ให้มาพบกับ "ซอว์เยอร์เลียนแบบ - เจมส์ ฟอร์ด"....เพราะจอห์น ล็อครู้ดีว่าชายหนุ่มคนนี้แค้นเคือง "ซอว์เยอร์ตัวจริง"แค่ไหน....ซอว์เยอร์(เจมส์ ฟอร์ด)ฆ่าพ่อของจอห์น ล็อค ในขณะที่ล็อคก็บอกซอว์เยอร์หลังจากที่ฆ่าพ่อ(เลวๆ)ของตัวเองว่า...."ขอบคุณ"....ส่วนทำไมจึงต้องฆ่า....เบนจามินหัวหน้าของ "คนอื่น" ได้ยื่นข้อเสนอกับล็อคว่า ถ้าเขาสามารถฆ่าพ่อของตัวเองได้ "เบนจามิน" จะยอมบอกความลับของเกาะนี้ให้เขาฟัง
Desmond Hume ในซีซั่น2 "เดสมอนด์" คือตัวละครสำคัญเลยก็ว่าได้ ซึ่งในซีซั่นที่ 2 นั้นได้เฉลยว่า เขาคือคนที่อยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อคอยทำหน้าที่กดปุ่มทุก 108 นาที แล้วใส่รหัสเป็นตัวเลขซึ่งก็เป็นตัวเลขเดียวกันกับหมายเลขอาถรรพณ์ของ "ฮิวโก้" วันหนึ่งเขากดปุ่มไม่ทัน ส่งผลให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดยักษ์ยิงขึ้นไปบนฟ้าและโดนเครื่องบินสายการบินโอเซียนิค ไฟลท์ 815 (เครื่องบินที่หมอแจ๊คโดยสารมานั่นล่ะครับ)โดยบังเอิญ(?) เดสมอนด์ที่จริงแล้วไม่ใช่คนขององค์การDharma หรือคนของพวก "คนอื่น" แต่เขาเป็นเพียงคนที่มีนิสัยเหมือนจอห์น ล็อค นั่นคือ ศรัทธาต่อบางสิ่งบางอย่างที่หาคำตอบไม่ได้ ..... และดูเหมือนสิ่งที่เขาศรัทธากำลังจะชี้แนวทางอะไรบางอย่างในซีซั่น 3 นี้ (คำตอบมีอยู่ในสปอยล์)
หลังจากการระเบิดครั้งใหญ่อีกครั้งในปลายซีซั่นที่ 2 "เดสมอนด์" กลับมาพร้อมญาณวิเศษที่สามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ญาณนั้นจะมาในรูปแบบจิ๊กซอว์ให้เขา(และคนดู) ค่อยปะติดปะต่อกันเอง แต่ภาพลางที่เขาเห็นชัดที่สุดก็คือ การตายของชาร์ลี เขาพยายามช่วยเหลือแก้ไขให้ชาร์ลีรอดตายทุกครั้งไป จนกระทั่งครั้งสุดท้าย(ในเอพิโซดสุดท้ายที่ยาวที่สุดในบรรดาซีรี่ส์ที่เคยดูมา) ภาพลางนั้นบอกกับเขาว่า ถ้าเขาไม่ปล่อยให้ชาร์ลีตาย....ก็จะไม่มีใครออกไปจากเกาะนี้ได้!
"เดสมอนด์" มีคนรักมาก่อน เธอชื่อว่า "เพนนี" ซึ่งเป็นคนที่ร่ำรวยมาก ในตอนจบของซีซั่น 2 เราพบว่าเพนนีกำลังจ้างทีมตามหาเดสมอนด์ทุกวิถีทาง และในตอนจบของซีซั่น 3 เธอก็ค้นพบเสียทีว่าเกาะบ้านี้อยู่ที่ตรงไหนของโลก...
แต่ทว่านอกจาก "เพนนี" ที่ตามหาเกาะนี้แล้ว
ยังมีกลุ่มคนอันตรายลึกลับกลุ่มหนึ่ง(ไม่ใช่กลุ่มคนของ"คนอื่น"นะครับ)ตามหาด้วยเช่นกัน.... แล้วพวกเขาก็หาเจอก่อนด้วย!
Juliet Burke เป็นตัวละครใหม่ของซีซั่นนี้ครับ เธอกุมความลับไว้หลายประการ จูเลียตไม่ใช่คนขององค์การ Dharma แต่เธอเป็นคนของ "คนอื่น" และตัวละครนี้นี่เองที่เริ่มมาเฉลยอย่างหมดเปลือกว่าเกาะนี้คือเกาะอะไร และมีวัตถุประสงค์อะไรทำไมต้องคอยลักพาตัวพวกเขาด้วย ตามไปดูรายละเอียดได้ในสปอยล์แถบดำจ้า
ก่อนมาที่เกาะนี้ เธอเคยเป็นสูตินรีแพทย์ ที่ทำการวิจัยบางอย่าง ซึ่งการวิจัยของเธอก็ไปเข้าตาพวก "คนอื่น" พวกเขาทาบทามเธอให้มาร่วมงานกับ "คนอื่น" หลังจากที่พบว่าเธอสามารถทำให้พี่สาวของเธอตั้งครรภ์ได้ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเคมีบำบัดมา(พี่สาวเธอเพิ่งหายจากการเป็นมะเร็ง และโดยปกติผู้หญิงที่ผ่านเคมีบำบัดมาจะส่งผลให้มดลูกมีปัญหาเป็นหมัน ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้)
เธอถูกหลอกให้เข้าใจว่ามาร่วมโครงการ "มิททีลอส ไบโอไซน์" ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิสนธิ แต่เมื่อมาถึงเกาะพิศวงนี้จริงๆ เข้า เธอกลับพบว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
"บนเกาะเกาะนี้ ผู้หญิงตั้งท้อง(บนเกาะ)จะต้องตายไปพร้อมกับลูกทุกคน...."
การที่ "เบนจามิน" ทาบทามให้เธอมาร่วมงาน เพราะหวังว่าเธอจะทำให้คนในชุมชนของเขาสามารถมีทายาทสืบต่อไปได้ แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ จูเลียตขอให้เบนส่งเธอกลับบ้าน(ตอนที่เธอเดินทางมายังเกาะเธอถูกบังคับให้กินยาสลบ)เพราะเธออยู่ที่นี่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เบนก็บอกว่าพี่สาวของเธอกลับมาป่วยเป็นมะเร็งอีกครั้งและกำลังจะตายไปพร้อมกับลูกในท้อง ถ้าเธอยังอยู่กับพวก "คนอื่น" เบนสัญญาว่าจะช่วยให้พี่สาวของเธอหายจากการเป็นมะเร็งอีกครั้ง...
แต่หลังจากนั้นผู้หญิงตั้งท้องทุกคนที่อยู่บนเกาะ ก็ต้องมีอันเป็นไปถึง 9 รายในช่วงระยะเวลา 3 ปี จนกระทั่งเมื่อการมาถึง(หรือการตก)ของเครื่องบินโอเซียนิค ไฟลท์ 815 ทำให้พวก "คนอื่น" เริ่มมีความหวังว่าพวกเขาอาจมีทายาทสืบต่อไปได้ แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขาเองก็ตาม!
- - - อ้อความลับมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งบนเกาะนี้ก็คือ ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บนเกาะนี้จะตั้งท้องได้ง่ายมาก เพราะตัวอสุจิของผู้ชาย(ซึ่งปกติมีประมาณ 60 - 80 ล้านตัว) จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า!เมื่อมาเสพสังวาสกันบนเกาะนี้.... และนั่นคือคำตอบว่าทำไม "ซัน" จึงตั้งท้องกับ "จิน" ที่เป็นหมันได้... และแน่นอนการที่ซันตั้งท้องบนเกาะ ส่งผลให้เธออาจตายได้ถ้าจะคลอดลูกบนเกาะนี้ ส่วนทำไม "แคลร์" จึงสามารถคลอดลูกบนเกาะนี้ได้ เพราะเธอตั้งท้องมาจากที่อื่นก่อนที่เครื่องบินจะตกบนเกาะนี้ และเธอยังถูกลักพาตัวไปในซีซั่นแรกเพื่อไปฉีดเซรุ่มที่สามารถทำให้เธอคลอดออกมาอย่างปกติได้ แต่เซรุ่มนั้นมีฤทธิ์แค่ 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ามันกำลังจะหมดฤทธิ์ในซีซั่น 3 นั่นเอง (การดำเนินเวลาของแต่ละซีซั่นจะอยู่ที่ 1 เดือน ซีซั่นที่ 3 ก็เท่ากับว่าพวกเขาติดอยู่บนเกาะมาแล้วประมาณ 3 เดือนนั่นเอง)
Benjamin Linus(ขอเรียกสั้นๆ ว่าเบน) เขาเป็นตัวละครที่สำคัญมากเช่นกัน หลังจากที่กุมความลับไว้ตั้งแต่ซีซั่น 2 มาซีซั่น 3 เค้าจะมาบอกเราอย่างหมดเปลือกว่าเค้าเป็นใครมาจากไหนและกลุ่มของ"คนอื่น" มีที่มาอย่างไร.....เบนเคยบอกกับเราในซีซั่น 2 ว่าเขาเกิดบนเกาะนี้ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น.....ถ้าอยากรู้ความจริง(สปอยล์นั่นล่ะ)ลากเม้าส์กันได้เลยครับพี่น้อง
"เบน" ลืมตาดูโลกในย่านพอร์ทแลนด์ แม่ของเขาเสียชีวิตขณะคลอดเขานั่นเอง ทำให้พ่อของเบนรังเกียจเขา พ่อของเบนถูกว่าจ้างให้มาทำงานกับองค์การDharma ตั้งแต่ปลายยุคศตวรรษ ' 70 - 80
ซึ่งซีซั่น 3 ได้เฉลยว่าองค์การDharma ได้เข้ามาทำการทดลองทางวิทยาศาตร์บนเกาะนี้ โดยได้สร้างอุโมงค์ไว้เพื่อควบคุมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดยักษ์ของเกาะ ได้จับหมีขั้วโลกมาทำการทดลองไอคิวของมันบางอย่าง ได้สร้างกำแพงโซน่าร์เพื่อป้องกันอสูรกายที่มีรูปร่างเป็นควันทะมึนสีดำ...ซึ่งเจ้าอสูรกายนี้สามารถสร้างภาพลวงตาเป็นคนหรือใครที่เราเคยรู้จักได้...
แต่แล้ววันหนึ่ง "เบน" ในวัยเด็ก ได้น้อยใจและโกรธพ่อที่ต่อว่าเขาที่เป็นต้นเหตุทำให้แม่ตาย เขาแอบหนีออกไปจากบ้านจนไปพบแม่(?) ยืนอยู่อยู่อีกฝั่งของกำแพงโซน่าร์ (กำแพงนี้ถ้าไม่ทำการปลดรหัสควบคุม หากใครเดินผ่านไปก็จะถูกรังสีโซน่าร์ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต)เขาพยายามจะตามแม่ไป แต่แม่บอกเขาว่ายังไม่ถึงเวลา
วันนึง "เบน" ในวัยเด็กได้แอบลอบกดรหัสเพื่อข้ามไปอีกฝั่งของกำแพง เมื่อไปถึงเขาได้พบบุรุษลึกลับ ที่เป็นชาวเผ่าพื้นเมืองของเกาะ(?...ตรงนี้ยังเป็นปริศนาอยู่) และนั่นก็ทำให้เขาได้ผูกพันกับชาวเผ่าพื้นเมืองมานับตั้งแต่นั้น...และนำมาซึ่ง..."การสังหารหมู่ 40 ศพ"
เบนในวัยหนุ่ม(ปลายๆ)ได้ทำการสังหารหมู่องค์การ Dharma ทั้งองค์การ(รวมไปถึงพ่อเขาเองด้วยที่เขาได้ปลิดชีพด้วยตัวเขาเอง) และเบนก็ได้กลายเป็นหัวหน้าของชุมชน "คนอื่น"
กาลเวลาผ่านไป คนในชุมชนไม่สามารถมีทายาทสืบเผ่าพันธุ์ได้(อาจจะเป็นเพราะบาปกรรมหรือพลังลึกลับบนเกาะก็ตามแต่) เบนพยายามรวบรวมค้นหานักวิทยาศาตร์ที่เก่งด้านการปฏิสนธิวิทยาให้มาร่วมงานกันแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ จนกระทั่งเครื่องบินโอเซียนิค 815 ได้มาตกที่อีกฟากของเกาะ ทำให้เขาเริ่มมีความหวังอีกครั้ง เพราะบนเครื่องบินลำนั้นมีทั้งหมอ(แจ๊ค) และผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง(แคลร์)รวมอยู่ด้วย....
สปอยล์ส่วนสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจบที่ช็อคและค้างคากันเข้าไป!
ข้อ1 ในปลายซีซั่น 3 ได้มีนักบินหญิงคนหนึ่ง โดดร่มตกที่เกาะนี้ เธออ้างว่าเป็นผู้กู้ภัยที่มาตามหา "เดสมอนด์" แต่ในความจริงแล้ว เธอไม่ใช่! แต่เธอเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเข้ามาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 40 ศพ อย่างที่เบนเคยก่อมาแล้ว
ข้อ2จอห์น ล็อค นำศพของพ่อเขามาให้เบน เพื่อให้เบนทำตามสัญญาที่ว่าจะบอกความลับทุกอย่างบนเกาะนี้ เบนพาล็อคไปหาชายลึกลับ(ที่ล่องหน?) เราไม่ทราบอะไรมากจากชายลึกลับคนนี้นอกจากที่ว่าเขาเป็นผู้นำของเบนอีกที โดยเขามีชื่อว่า "เจค็อบ" และประโยคจากเจค็อบที่มีแต่จอห์น ล็อคที่ได้ยิน...เจค็อบพูดว่า "ช่วยฉันด้วย"
ข้อ3ในตอนจบของซีซั่น 3 แจ๊คสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ แต่คนที่มารับพวกเขาอาจเป็นใครบางคนที่อันตรายกว่าพวก "คนอื่น" ของเบนด้วยซ้ำไป!
สุดท้ายตอนจบ ในเอพิโซดสุดท้ายที่มีความยาวถึง 1 ชั่วโมง 22 นาที (ปกติซีรี่ส์นี้จะความยาวที่ 42 นาที) ได้จบอย่างหักหน้าคนดูแบบเรามาก เพราะมันเฉลยว่า Flash Back ที่เราเห็นในตอนสุดท้ายนี้ทำให้เราคิดไปเองก่อนว่ามันคือ Flash Back ของแจ๊คขณะอยู่ในแอลเอ เมื่อมาถึง 5 นาทีสุดท้ายซีรี่ส์กลับบอกเราว่าที่เราเห็น Flash Back ของแจ๊คมาทั้งหมดในช่วง 1 ชั่วโมง 22 นาทีนั้น เป็นเหตุการณ์ในอนาคตของแจ๊คหลังจากออกมาจากเกาะนั้นได้แล้วต่างหาก!!! โอว์ พระคุณเจ้าจบได้ฉลาดมาก! เรียกได้ว่าตอนนี้ตอนเดียวก็สามารถทำลายล้างความคิดของแฟนซีรี่ส์บางกลุ่มที่ตั้งทฤษฎีว่า "พวกเขาที่อยู่บนเกาะกำลังอยู่ในโลกของวิญญาณ" ลงไปอย่างสิ้นเชิง (ผมเองก็เคยแอบคิดแบบนั้นนะเนี่ย หึๆ) แต่ว่าแจ๊คในอนาคตที่รอดมาจากเกาะนั้นได้ ดูเหมือนจะทนทุกข์ทรมานซะยิ่งกว่าบนเกาะเสียอีก เขาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไม่ต่างจากพ่อเขาเอง และดูเหมือนว่าการที่เขาออกมาจากเกาะ เป็นเพราะเขาได้ตัดสินใจกระทำบางอย่างที่ผิดพลาดไป(ตัวซีรี่ส์ยังปิดไว้อยู่)... จนเขาได้ขอร้องให้เคท(ซึ่งกลายเป็นของชายอื่น) กลับไปด้วยกันที่เกาะอีกครั้ง หลังจากที่เขาไปพบศพของใครคนหนึ่งเข้า(ซีรี่ส์ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร) ...... หูยยยไม่ตามดูต่อได้ไงเนี่ย ฮือๆ
สรุปคร้าบ
Lost ปี 3 สำหรับผม สนุกกว่าปี 2 มากครับ ผมว่าปี 2 เป็นอะไรที่พยายามเปลี่ยนไปเป็นแนวแอ๊คชั่น+ไซไฟซึ่งมันไม่เหมาะสำหรับซีรี่ส์นี้เลย
สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดสำหรับซีรี่ส์ Lost ก็คือ ความเป็น Drama ของมัน ที่หากจะดูเอาสนุกก็ได้(เพราะมีหักมุมกันทุกตอน) หรือจะดูแบบตีความก็ได้(ทำไมทุกตัวละครจึงมีปมรุนแรงกับพ่อแม่ตัวเอง)
ยังไม่ต้องพูดถึงตอนจบของซีซั่นนี้ ที่เรียกได้ว่า"น่าสนใจ"มากๆ สำหรับการพลิกบทบาทการแสดงของ Matthew Fox ที่เล่นเป็น แจ๊ค คาดว่าซีซั่นหน้า คงจะเปิดโอกาสให้เขาโชว์ฝีมือการแสดงได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเท่าที่เห็นในตอนสุดท้ายของซีซั่น 3 เขาสามารถเล่นบทเคร่งเครียดเป็นไอ้ขี้เมาได้เข้าตากรรมการมากครับ.....
ลาละครับ ทิ้งรูปไว้รูปนึงจากเอพิโซดที่ 9 Stranger in a Strange Land
หลังจากที่แจ๊คเคยบอกเคทว่า เขาได้รอยสักที่แขนมาจาก "ภูเก็ต" ซีซั่น 3 ก็ได้เฉลยว่าเขาได้มาจากสาวไทย(แต่ไหว้แข๊งแข็งตลกมาก) เธอมีชื่อว่า "อัจฉรา" รับบทสาวไทยโดย เอ่อ...."ไป่ หลิง"! ดูจากรูป นั่นคือตอนที่ทั้งคู่พบกันครั้งแรก โดยสาวไทยกำลังสอนหมอแจ๊คให้ "ชักว่าว"!!!!!
Create Date : 19 กันยายน 2550 |
Last Update : 23 กันยายน 2550 16:17:04 น. |
|
58 comments
|
Counter : 7069 Pageviews. |
|
ทำออกมาได้เท่ดี ชวนให้อยากดู
.....เป็นหนังเเผ่น เดียวจบก็สู้ไหว
แตเป็นซีรีย์ หลายเเผ่นคงต้องคิดอีกนาน