...ส บ า ย ๆ ส ไ ต ล์ มื อ ไ ม่ PRO แ ถ ม ยั ง... LOWFESSIONAL ...

<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 มกราคม 2550
 

สุดท้าย...ที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.

25 มกราคม 2550
แม่ยาย(ซึ่งจริงๆแล้วคือแม่ของภรรยาผม) เช้าของวันนี้ ได้ถูกนำส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการที่หมดสติ หมอวินิจฉัยว่าเป็นอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน...!!!

พี่/น้องที่อยู่ใกล้เป็นผู้นำส่งโรงพยาบาล ด้วยความตกตะลึง และคิดว่าต้องใ้ห้การรักษาคุณแม่ด้วยหมอที่ดีเยี่ยมของจังหวัด จึงดิ่งข้ามโรงพยาบาลของรัฐที่อำเภอ ตรงไปโรงพยาบาลเอกชน ด้วยระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร เมื่อไปถึงหมอ หมอบอกว่าท่านหยุดหายใจมากว่า 20 นาทีแล้ว...

แต่หมอก็กระต้นหัวใจให้เต้นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยเครื่องมือไฟฟ้า(ขออภัยครับ ผมจำชื่อไม่ได้) แล้วใช้เครื่องช่วยหายใจ ช่วยให้คุณแม่ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้อีก...

5 ทุ่มของคืนนั้น...ชีพจรของคุณแม่แผ่วลงจนหายไปในที่สุด แล้วหมอก็กระตุ้นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นของน้องๆ โดยเฉพาะภรรยาผมจะอาการหนักเป็นพิเศษ...

จน 9 โมงเช้าของวันที่ 26 มกราคม 2550 คุณหมอก็เรียกญาติๆเข้าไปพบ บอกว่าคุณแม่ไม่ไหวแล้วนะ นอกจากจะปาฏิหารเท่านั้น เพราะเลือดไม่เลี้ยงสมองนานเกินไป ถึงกระตุ้นให้หัวใจเต้นอีกได้ แต่อวัยวะรอบข้างไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปแล้ว...

คุณผู้อ่านที่รักครับ...นอกจากภรรยาผมกับน้องๆ ซึ่งแน่นอนว่าน้ำตาทะลักทะล้นกันมาทั้งวันแล้ว...ผมซึ่งเดินเข้าเดินออกห้องไอ.ซียู.ก็แทบจะบ้าตายตามไปด้วย เสียงอากาศที่ถูกขับดันด้วยเครื่องช่วยหายใจ ภาพบนจอมอนิเตอร์ที่แสดงการเต้นของหัวใจ บวกกับเสียงคร่ำครวญของญาติๆ ใหนจะเตียงข้องๆที่อาการไม่แพ้กันอีก...ผมปวดหัวตึ้บ นั่งมึนงงไปทั้งวันเลยครับ

อีกครั้งนึงที่ชีพจรคุณแม่หายไปจากจอมอนิเตอร์อีกครั้ง แต่ญาติๆขอร้องคุณหมอว่า ขอให้กระตุ้นขึ้นมาอีกสักครั้งนึงเถอะ เพรายังทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า...

คุณหมอก็บอกว่า ครั้งสุดท้ายก็แล้วกันนะ เพราะไม่อยากทรมานคุณแม่อีกแล้ว การกระตุ้นหัวใจ ก็เหมือนกับการเอาไฟฟ้าไปชอร์ตดีๆนี่เอง ซึ่งญาติๆก็รับปากรับคำกับคุณหมอ...

5 โมงเช้าผ่านไป...เที่ยงผ่านไป...จนถึงบ่าย 2 เศษๆ คุณหมอก็เรียกญาติๆเข้าไปอีกครั้ง รวมทั้งผมด้วย...

บนหัวเตียงมีวิทยุเทป 1 เครื่อง สอบถามได้ความว่าเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นแหละ ถามญาติว่าต้องการมั้ย ที่จะให้ผู้ที่จะจากไป ได้รับฟังเทปธรรมมะ เสียงพระสวดอวยพรเป็นครั้งสุดท้าย...

จริงๆแล้ว กฏการเข้าเยี่ยมในห้องไอ.ซี.ยู.จะเข้าได้ครั้งละ 2 คน และครั้งละ 5 นาที แต่ตอนนี้เป็นกรณีพิเศษ โปรโมชั่นสุดท้ายจริงๆ เลยเข้าไปได้เกือบ 10 คน...

เสียงร่ำไห้...เสียงพระสวดจากเทป เสียงเครื่องช่วยหายใจ และภาพจากจอมอนิเตอร์ มันช่างกัดกินใจของทุกๆคนรอบๆเตียงนั้นซะเหลือเกิน...

การเปลี่ยนแปลงของกราฟในจอค่อยๆห่างลง...ห่างลง...ความสูงของเส้นก็ต่ำลง...ต่ำลงเรื่อยๆ...สวนทางกับเสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้น ดังขึ้น...

สุดท้ายเส้นกราฟก็นิ่งสนิท...คุณแม่จากเราไปอย่างนิ่งสงบจริงๆแล้ว...หลายคนปิดปากกั้นเสียง สะกดน้ำตา...หลายคนปล่อยออกมาสุดอารมณ์ บางคนโผเข้ากอดคุณแม่...

ผม...กลับหลังเดินออกมาด้วยอารมณ์ที่สุดๆเหมือนกัน น้ำตาซึมๆ เดินขาสั่นๆ มานั่งรอที่นอกห้อง...

ผมยังนั่งคิดว่า...อืมมม...ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ สามารถทำให้เรา "เข้าร่วม" ในการสังเกตการการ "จากไป" ได้วินาทีต่อวินาทีเลยหรือนี่...

ท่ามกลางความเศร้าโศกและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในห้อง ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่นั่งคุยกัน เตรียมข้าวของ บางทีก็หยิบผลไม้เข้าปาก เดินไปเดินมา...แตกต่างกับข้างเตียงที่ผมเห็นอย่างสิ้นเชิง...

เลยนึกอยากถามคุณพยาบาลที่ทำหน้าที่ในห้องแบบนั้นบ้างครับ ว่าจริงๆแล้วคุณรู้สึกอย่างไร ที่มีคนไข้กำลังค่อยๆจากไปอยู่ตรงหน้า...ผมสงสัยจริงๆครับ

นอกจากงานเลี้ยงที่บริษัทเกือบทุกงานที่ไม่มีรูปผมแล้ว งานคุณแม่ก็คงจะมีรูปผมน้อยมากๆหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะผมยังคงพก "ไอ้อ้วน" ยี่ห้อโกดัก 3 ล้านพิกเซลของผม เดินถ่ายรูปในงานคุณแม่ทุกวัน ถ่ายทันบ้างไม่ทันบ้าง ติดบ้างไม่ติดบ้างไปตามเรื่อง วันสุดท้ายคงจ้างมืออาชีพมาทำหน้าที่แทน

เอ่ออออ...ขออนุญาตผู้อ่านทุกท่านนะครับ ใหนๆผมก็เป็นคนคอมฯ ก็เลยได้มีส่วนในการใช้คอมฯสำหรับงานคุณแม่นี้ด้วย คือรูปที่ตั้งอยู่นั้น ผมตัดเอามาจากรุปที่ถ่ายกัน 3 คนครับ แล้วนำไปให้ร้านพิมพ์เป็นขนาด 10 x 12 นิ้ว เอามาใช้ในงานได้ทันคืนแรกเลยทีเดียว (ได้รับคำชมเชยจากญาติๆโดยทั่วกัน ภูมิใจเป็นบ้า อิอิ...)

ก็ขอโพสต์รูปสักเล็กน้อย (ใครดูแล้วหดหู่ต้องขออภัยนะครับ)



จากจำนวนพวงหรีดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ภูมิใจมากครับ ที่ได้แม่ยายที่เป็นที่รักใคร่ของทุกๆคน แขกเหรื่อมาในงานกันมากมายครับ เดินถ่ายรูปขาขวิดทุกคืนเลย



นี่ก็เป็นบอร์ดที่ภรรยากับผมทำขึ้น เป็นภาพประทับใจเกี่ยวกับคุณแม่ โดยตั้งแต่ผมซื้อกล้องดิจิตอลตัวนี้มา ไม่ว่างานอะไรก็แล้วแต่ ผมจะต้องรับหน้าที่ในการเก็บภาพทุกงานไป ซึ่งผมก็มานั่งคัดจากในคอม โดยเลือกภาพที่คาดว่าน่าจะมีความหมายลึกซึ้งกินใจ เห็นญาติๆที่มายืนดู ต่างก็ชอบใจกันเป็นแถว... ผมแอบไปยืนๆข้างบอร์ดอยู่บ่อยๆ คอยเช็คเรทติ้งน่ะครับ



นี่แหละครับ ภาพเด่นๆภาพนึงที่ผมคัดออกมา คนเราก็ไม่รู้ล่วงหน้าจริงๆ ว่าภาพๆนึง จะแทนคำอธิบายถึงความรักที่มีต่อกันได้มากมายขนาดนี้ ซึ่งจะปรากฏเด่นชัดมากขึ้น เมื่อวันที่ไม่มีกันและกันแล้วนั่นเอง...



ปิดท้ายบล็อกวันนี้ ขอให้แม่ยายของผมไปสู่สุคตินะครับ...



Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2550 21:16:40 น. 9 comments
Counter : 6722 Pageviews.  
 
 
 
 
อ่านแล้ว นึกถึงเมื่อหลายปีก่อนเลย
ครั้งนั้นผมก็ได้เข้าไปเยี่ยมถึงห้อง icu ด้วย
สายยางที่ใส่เข้าไปในปากเอ่ย
เสียงเครื่องช่วยหายใจเอ่ย
เครื่องวัดชีพจรเอ่ย

ท่านหมอพยายามยื้อชีวิตแม่ผมจนถึงเช้า
แล้วก็ต้องจบด้วยคำถามคล้ายๆกันกับคำถามของแม่ยายของท่าน

คนเราต้องยอมรับความจริง บางทีการปล่อยให้เค้าจากไปอย่างสงบ ย่อมดีกว่าดันทุรังให้เค้านอนอยู่ในห้อง icu

ที่แน่ๆหมอไม่ถอดท่อช่วยหายใจออกให้แน่นอน นอกจากญาติเจ้าของผู้ป่วยจะถอดเอง.... ถึงตอนนั้นใจดั่งหินผาเพียงใจก็ต้องหลั่งน้ำตา...

ปล. ขอให้แม่ยายของท่านไปสู่สุคติด้วยครับ
 
 

โดย: merf1970 วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:14:32:05 น.  

 
 
 
เสียใจด้วยนะคะ
แต่อย่างน้อย พี่ก็ได้ไปดูใจท่านก่อนนะ

ไม่เหมือนหนูหรอก นั่งเรียนพิเศษอยู่ พอเรียนเสร็จ ก็โดนฉกตัวกลับมาบ้าน แล้วเลี้ยวเข้าวัด ลงจากรถได้ก็เห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงในศาลาแล้วทั้งๆที่เมื่อเช้าเพิ่งส่งหนูที่ที่เรียนพิเศษแท้ๆ ทุกวันนี้ยังจำภาพนั้นได้ติดตา



ส่วนคุณพยาบาล ที่เค้าเป็นกันอย่างนั้น เพราะ พยาบาลที่อยู่ที่ห้องไอซียู เค้าเจอกันอย่างนั้นเกือบทุกวันล่ะค่ะ เรียกกันง่ายๆว่า ถ้าใครจะตาย ก็ต้องผ่านห้องนี้ก่อน เค้าก็เสียใจล่ะค่ะ แต่ถ้าต้องมานั่งหน้าเศร้ากันตลอด ก็คงไม่เป็นอันทำงานทำการพอดี


ขอให้คุณยายท่านไปสู่สุขคติค่ะ
 
 

โดย: Lighting Plankton วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:17:42:07 น.  

 
 
 
ผมเคยทำงานอยู่ในห้องนั้นมาก่อนก็พจะทราบบรรยากาศบ้าง

ห้องนี้มีไว้เพื่อสู้ครับ สู้เพื่ออยู่รอด ไม่ได้มีไว้เพื่อยืดการจบชีวิต มีคนเคยบอกผมไว้อย่างนั้น

บางทีการที่เราปล่อยคนไข้ที่ไม่มีโอกาสรอดให้ไปอย่างสงบน่าจะดีกว่าการยื้อเขาไว้ด้วยเครื่องมือสารพัดชนิดนะครับ

บางกรณีควรยื้อเพื่อซื้อเวลารอร่างกายกลับมาปกติเหมือนเดิม แต่บางกรณีก็ไม่เพราะมันเป็นการยืดความตายไม่ใช่การยืดชีวิต

ผมนำประสบการณ์ในห้องนั้นมาถ่ายทอดเป็นเรื่องสั้นกึ่งบทความไว้ที่บล็อกของผม
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=jonykeano&date=05-10-2006&group=10&blog=1

อย่างไรก็ตาม
เสียใจด้วยนะครับ
 
 

โดย: keano (jonykeano ) วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:23:06:13 น.  

 
 
 
ขอบคุณทุกท่านครับ (ไม่ได้มาปิดคอมเม้นท์นะครับ ยินดีต้อนรับท่านอื่นๆอีกเช่นเคย)

จากการที่ผมโตมากขึ้น(พูดง่ายๆก็คือแก่ลงนั่นเอง) ทำให้มุมมองหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป ซึ่งการจากไปของแม่ยายผมในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์กึ่งบังคับ ซึ่งมันทำให้ผม(แอบ)รู้ว่า เออ...ตรูก็ทำได้เหมือนกัน(นี่หว่า...) นับจากนี้ไปครบ 7 วันหลังงานเสร็จ ผมคงมีอะไรมาเพิ่มเติมอีกครับ

อ้อ...สำหรับคุณ keano นั้น...ผมก็อารมณ์เดียวกันเลยครับ กับที่ลิ้งก์ไปให้อ่าน แต่พอผมเขียนของผมไปของผมมา ไหงบานปลายคุมคอนเซ็ปไม่อยู่ซะงั้น...
 
 

โดย: mitrapap วันที่: 29 มกราคม 2550 เวลา:0:34:24 น.  

 
 
 
โอ้! เสียใจด้วยนะคะ ฝากความเสียใจผ่านไปถึงลูก ๆ ของคุณแม่ยาย คุณมิตร ด้วยนะคะ ต้องทำใจค่ะ เกิดแก่เจ็บตาย ใช้เวลาซักพัก ก็คงทำได้ค่ะ
 
 

โดย: dela IP: 58.136.72.58 วันที่: 29 มกราคม 2550 เวลา:17:33:34 น.  

 
 
 
สงสัยอยู่อย่างนึงครับ เรื่องดอกไม้ที่นำมาจัดหน้าผู้วายชนม์

1. คนจัดบอกว่า ห้ามฉีดน้ำหรือพรมน้ำ จะทำให้เหี่ยวไว เพราะต้องเอาไว้ถึง 7 วัน ให้เติมน้ำในกระถางอย่าให้ขาดเป้นพอ

2. ญาติคนนึงบอกว่า ต้องเอาที่ฉีดน้ำฝอยๆมาคอยฉีดไว้นะ ดอกไม้จะได้สดชื่นอยู่เสมอ

3. ญาติของญาติอีกคน บอกว่า ต้องเอาฟอร์เมอลีน มาฉีดแทนน้ำ หรือผสมน้ำเล็กน้อย ดอกไม้จะอยู่ตัวยาวนานนนนน...

ผมอยากได้ข้อสรุปครับ (เป็นที่ถกเถียงกันมากในขณะนี้)
 
 

โดย: mitrapap วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:9:11:23 น.  

 
 
 
จากประสบการณ์ เวลามีใครให้ดอกไม้แล้วอยากให้มันสดนาน ถ้าไม่แช่ใส่แจกัน ก็ต้องเอากระดาษทิชชู่ ซับน้ำแล้วก็พันที่โคนดอกไม้ไว้ค่ะ ปรากฎว่าอยู่ได้หลายวันเหมือนกันนะคะ
 
 

โดย: dela IP: 58.136.50.201 วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:14:33:45 น.  

 
 
 
เข้ามาเสียใจด้วยครับ

เรื่องที่หลีกไม่พ้นครับ ทำใจ สู้ชีวิตกันต่อไปครับ
 
 

โดย: ลุงไม้ (ไม้หลักปักมั่นคง ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:52:15 น.  

 
 
 
พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยในห้องไอซียู เห็นคนไข้ทั้งที่ดีขึ้น และที่จากไปอย่างสงบและไม่สงบ ก็เศร้าใจอยู่ค่ะ ไม่ได้เป็นคนไร้ความรู้สึก แต่ต้องแยกแยะความรู้สึก ต้องมีอุเบกขา และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ไม่งันก็ปฏิบัติงานไม่ได้ค่ะ ต้องไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ความเศร้าโศกนั้น เพราะนอกจากรักษาคนไข้แล้วเราก็ต้องเยียวยา จิตใจคนรอบข้างด้วย
 
 

โดย: thippa IP: 1.46.207.138 วันที่: 14 ตุลาคม 2553 เวลา:12:34:40 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

mitrapap
 
Location :
สระบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




Free Domain Names @ .co.nr!
[Add mitrapap's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com