แม่ยาย(ซึ่งจริงๆแล้วคือแม่ของภรรยาผม) เช้าของวันนี้ ได้ถูกนำส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการที่หมดสติ หมอวินิจฉัยว่าเป็นอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน...!!!พี่/น้องที่อยู่ใกล้เป็นผู้นำส่งโรงพยาบาล ด้วยความตกตะลึง และคิดว่าต้องใ้ห้การรักษาคุณแม่ด้วยหมอที่ดีเยี่ยมของจังหวัด จึงดิ่งข้ามโรงพยาบาลของรัฐที่อำเภอ ตรงไปโรงพยาบาลเอกชน ด้วยระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร เมื่อไปถึงหมอ หมอบอกว่าท่านหยุดหายใจมากว่า 20 นาทีแล้ว...แต่หมอก็กระต้นหัวใจให้เต้นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยเครื่องมือไฟฟ้า(ขออภัยครับ ผมจำชื่อไม่ได้) แล้วใช้เครื่องช่วยหายใจ ช่วยให้คุณแม่ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้อีก...5 ทุ่มของคืนนั้น...ชีพจรของคุณแม่แผ่วลงจนหายไปในที่สุด แล้วหมอก็กระตุ้นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นของน้องๆ โดยเฉพาะภรรยาผมจะอาการหนักเป็นพิเศษ...จน 9 โมงเช้าของวันที่ 26 มกราคม 2550 คุณหมอก็เรียกญาติๆเข้าไปพบ บอกว่าคุณแม่ไม่ไหวแล้วนะ นอกจากจะปาฏิหารเท่านั้น เพราะเลือดไม่เลี้ยงสมองนานเกินไป ถึงกระตุ้นให้หัวใจเต้นอีกได้ แต่อวัยวะรอบข้างไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปแล้ว...คุณผู้อ่านที่รักครับ...นอกจากภรรยาผมกับน้องๆ ซึ่งแน่นอนว่าน้ำตาทะลักทะล้นกันมาทั้งวันแล้ว...ผมซึ่งเดินเข้าเดินออกห้องไอ.ซียู.ก็แทบจะบ้าตายตามไปด้วย เสียงอากาศที่ถูกขับดันด้วยเครื่องช่วยหายใจ ภาพบนจอมอนิเตอร์ที่แสดงการเต้นของหัวใจ บวกกับเสียงคร่ำครวญของญาติๆ ใหนจะเตียงข้องๆที่อาการไม่แพ้กันอีก...ผมปวดหัวตึ้บ นั่งมึนงงไปทั้งวันเลยครับอีกครั้งนึงที่ชีพจรคุณแม่หายไปจากจอมอนิเตอร์อีกครั้ง แต่ญาติๆขอร้องคุณหมอว่า ขอให้กระตุ้นขึ้นมาอีกสักครั้งนึงเถอะ เพรายังทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า...คุณหมอก็บอกว่า ครั้งสุดท้ายก็แล้วกันนะ เพราะไม่อยากทรมานคุณแม่อีกแล้ว การกระตุ้นหัวใจ ก็เหมือนกับการเอาไฟฟ้าไปชอร์ตดีๆนี่เอง ซึ่งญาติๆก็รับปากรับคำกับคุณหมอ...5 โมงเช้าผ่านไป...เที่ยงผ่านไป...จนถึงบ่าย 2 เศษๆ คุณหมอก็เรียกญาติๆเข้าไปอีกครั้ง รวมทั้งผมด้วย...บนหัวเตียงมีวิทยุเทป 1 เครื่อง สอบถามได้ความว่าเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นแหละ ถามญาติว่าต้องการมั้ย ที่จะให้ผู้ที่จะจากไป ได้รับฟังเทปธรรมมะ เสียงพระสวดอวยพรเป็นครั้งสุดท้าย...จริงๆแล้ว กฏการเข้าเยี่ยมในห้องไอ.ซี.ยู.จะเข้าได้ครั้งละ 2 คน และครั้งละ 5 นาที แต่ตอนนี้เป็นกรณีพิเศษ โปรโมชั่นสุดท้ายจริงๆ เลยเข้าไปได้เกือบ 10 คน...เสียงร่ำไห้...เสียงพระสวดจากเทป เสียงเครื่องช่วยหายใจ และภาพจากจอมอนิเตอร์ มันช่างกัดกินใจของทุกๆคนรอบๆเตียงนั้นซะเหลือเกิน...การเปลี่ยนแปลงของกราฟในจอค่อยๆห่างลง...ห่างลง...ความสูงของเส้นก็ต่ำลง...ต่ำลงเรื่อยๆ...สวนทางกับเสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้น ดังขึ้น...สุดท้ายเส้นกราฟก็นิ่งสนิท...คุณแม่จากเราไปอย่างนิ่งสงบจริงๆแล้ว...หลายคนปิดปากกั้นเสียง สะกดน้ำตา...หลายคนปล่อยออกมาสุดอารมณ์ บางคนโผเข้ากอดคุณแม่...ผม...กลับหลังเดินออกมาด้วยอารมณ์ที่สุดๆเหมือนกัน น้ำตาซึมๆ เดินขาสั่นๆ มานั่งรอที่นอกห้อง...ผมยังนั่งคิดว่า...อืมมม...ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ สามารถทำให้เรา "เข้าร่วม" ในการสังเกตการการ "จากไป" ได้วินาทีต่อวินาทีเลยหรือนี่...ท่ามกลางความเศร้าโศกและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในห้อง ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่นั่งคุยกัน เตรียมข้าวของ บางทีก็หยิบผลไม้เข้าปาก เดินไปเดินมา...แตกต่างกับข้างเตียงที่ผมเห็นอย่างสิ้นเชิง...เลยนึกอยากถามคุณพยาบาลที่ทำหน้าที่ในห้องแบบนั้นบ้างครับ ว่าจริงๆแล้วคุณรู้สึกอย่างไร ที่มีคนไข้กำลังค่อยๆจากไปอยู่ตรงหน้า...ผมสงสัยจริงๆครับนอกจากงานเลี้ยงที่บริษัทเกือบทุกงานที่ไม่มีรูปผมแล้ว งานคุณแม่ก็คงจะมีรูปผมน้อยมากๆหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะผมยังคงพก "ไอ้อ้วน" ยี่ห้อโกดัก 3 ล้านพิกเซลของผม เดินถ่ายรูปในงานคุณแม่ทุกวัน ถ่ายทันบ้างไม่ทันบ้าง ติดบ้างไม่ติดบ้างไปตามเรื่อง วันสุดท้ายคงจ้างมืออาชีพมาทำหน้าที่แทนเอ่ออออ...ขออนุญาตผู้อ่านทุกท่านนะครับ ใหนๆผมก็เป็นคนคอมฯ ก็เลยได้มีส่วนในการใช้คอมฯสำหรับงานคุณแม่นี้ด้วย คือรูปที่ตั้งอยู่นั้น ผมตัดเอามาจากรุปที่ถ่ายกัน 3 คนครับ แล้วนำไปให้ร้านพิมพ์เป็นขนาด 10 x 12 นิ้ว เอามาใช้ในงานได้ทันคืนแรกเลยทีเดียว (ได้รับคำชมเชยจากญาติๆโดยทั่วกัน ภูมิใจเป็นบ้า อิอิ...)ก็ขอโพสต์รูปสักเล็กน้อย (ใครดูแล้วหดหู่ต้องขออภัยนะครับ)จากจำนวนพวงหรีดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ภูมิใจมากครับ ที่ได้แม่ยายที่เป็นที่รักใคร่ของทุกๆคน แขกเหรื่อมาในงานกันมากมายครับ เดินถ่ายรูปขาขวิดทุกคืนเลยนี่ก็เป็นบอร์ดที่ภรรยากับผมทำขึ้น เป็นภาพประทับใจเกี่ยวกับคุณแม่ โดยตั้งแต่ผมซื้อกล้องดิจิตอลตัวนี้มา ไม่ว่างานอะไรก็แล้วแต่ ผมจะต้องรับหน้าที่ในการเก็บภาพทุกงานไป ซึ่งผมก็มานั่งคัดจากในคอม โดยเลือกภาพที่คาดว่าน่าจะมีความหมายลึกซึ้งกินใจ เห็นญาติๆที่มายืนดู ต่างก็ชอบใจกันเป็นแถว... ผมแอบไปยืนๆข้างบอร์ดอยู่บ่อยๆ คอยเช็คเรทติ้งน่ะครับ นี่แหละครับ ภาพเด่นๆภาพนึงที่ผมคัดออกมา คนเราก็ไม่รู้ล่วงหน้าจริงๆ ว่าภาพๆนึง จะแทนคำอธิบายถึงความรักที่มีต่อกันได้มากมายขนาดนี้ ซึ่งจะปรากฏเด่นชัดมากขึ้น เมื่อวันที่ไม่มีกันและกันแล้วนั่นเอง...ปิดท้ายบล็อกวันนี้ ขอให้แม่ยายของผมไปสู่สุคตินะครับ...
ครั้งนั้นผมก็ได้เข้าไปเยี่ยมถึงห้อง icu ด้วย
สายยางที่ใส่เข้าไปในปากเอ่ย
เสียงเครื่องช่วยหายใจเอ่ย
เครื่องวัดชีพจรเอ่ย
ท่านหมอพยายามยื้อชีวิตแม่ผมจนถึงเช้า
แล้วก็ต้องจบด้วยคำถามคล้ายๆกันกับคำถามของแม่ยายของท่าน
คนเราต้องยอมรับความจริง บางทีการปล่อยให้เค้าจากไปอย่างสงบ ย่อมดีกว่าดันทุรังให้เค้านอนอยู่ในห้อง icu
ที่แน่ๆหมอไม่ถอดท่อช่วยหายใจออกให้แน่นอน นอกจากญาติเจ้าของผู้ป่วยจะถอดเอง.... ถึงตอนนั้นใจดั่งหินผาเพียงใจก็ต้องหลั่งน้ำตา...
ปล. ขอให้แม่ยายของท่านไปสู่สุคติด้วยครับ