|
เรื่องของคุณหมอดูลิตเติ้ล (7)
บทที่สิบ สัตว์ที่หายากยิ่งกว่าสัตว์ใด ตอนนี้พุชมี-พูลยูสูญพันธุ์ไปแล้ว นั่นหมายความว่ามันไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่เมื่อนานมาแล้ว เมื่อสมัยที่คุณหมอดูลิตเติ้ลยังมีชีวิตอยู่นั้น มันยังมีหลงเหลืออยู่บ้างในป่าลึกที่สุดแห่งแอฟริกา และแม้แต่ตอนนั้นมันก็ยังหายากเอามากๆ ที่เดียว มันไม่มีหาง แต่มีหัวอยู่ทั้งสองด้าน และมีเขาแหลมอยู่ทั้งสองหัว มันขี้อายและจับได้ยากมาก คนดำจับสัตว์ส่วนใหญ่ได้โดยการย่องเข้าไปด้านหลังขณะที่มันไม่เห็น แต่จะทำอย่างนั้นกับพุชมี-พูลยูไม่ได้ เพราะไม่ว่าเราจะเข้าไปหามันทางด้านไหน มันก็จะหันหน้าเข้ามาหาเราอยู่ดี และนอกจากนั้นมันยังนอนหลับทีละหัวด้วย หัวอีกหัวหนึ่งจะตื่นอยู่เสมอ และคอยเฝ้าระวัง นี่คือสาเหตุที่มันไม่เคยถูกจับ และไม่เคยมีให้เห็นในสวนสัตว์ ถึงแม้นายพรานผู้ยิ่งใหญ่และคนดูแลสวนสัตว์ที่ฉลาดที่สุดมากมายจะใช้เวลาหลายปีในชีวิตตามหาพุชมี-พูลยูในป่าไม่ว่าอากาศจะเป็นเช่นใดก็ตาม แต่ไม่มีตัวไหนถูกจับได้เลยแม้แต่ตัวเดียว แม้แต่ในตอนนั้น นานหลายปีมาแล้ว มันก็ยังเป็นสัตว์อย่างเดียวในโลกที่มีสองหัว
เอาล่ะ ทีนี้พวกลิงก็เริ่มออกตามล่าสัตว์นี้ไปทั่วป่า และหลังจากออกเดินทางไปไกลหลายไมล์ ลิงตัวหนึ่งก็พบรอยเท้าประหลาดใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ และพวกมันก็รู้ว่าพุชมี-พูลยูต้องอยู่ใกล้มากแน่ๆ
จากนั้นพวกมันก็เดินเลาะไปตามชายฝั่งแม่น้ำอยู่ครู่หนึ่ง จนได้เห็นจุดที่หญ้าสูงและหนา จึงเดาว่ามันต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ
ดังนั้นทุกตัวจึงจับมือกันเป็นวงกลมล้อมรอบหญ้าสูงนั้น พุชมี-พูลยูได้ยินพวกมันมา และพยายามจะแหกวงล้อมของลิงออกไปอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ทำไม่ได้ พอมันเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามหนีแล้ว มันก็นั่งลงและรอดูว่าพวกลิงต้องการอะไร
พวกลิงถามมันว่าจะไปกับคุณหมอดูลิตเติ้ล และออกโชว์ตัวในดินแดนคนขาวไหม
แต่มันสั่นหัวทั้งสองและพูดว่า “ไม่มีทางอยู่แล้ว!”
พวกลิงอธิบายว่ามันจะไม่ต้องถูกขังในสวนสัตว์ แต่ไปยืนให้คนมองเท่านั้น พวกมันบอกว่าคุณหมอเป็นคนที่ใจดีมากแต่ไม่มีเงินเลย และผู้คนก็จะยอมจ่ายเงินมาดูสัตว์สองหัว แล้วคุณหมอก็จะร่ำรวยและสามารถจ่ายค่าเรือที่เขายืมมาใช้เดินทางมาแอฟริกาได้
แต่มันตอบว่า “ไม่เอา พวกเธอก็รู้ว่าฉันขี้อายขนาดไหน ฉันไม่ชอบให้ใครมาจ้องมอง” มันเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
แล้วตลอดสามวันต่อจากนั้นพวกลิงก็พยายามชักจูงมันอย่างเต็มที่
และในตอนเย็นของวันที่สามมันก็พูดว่ามันจะไปกับทุกตัวและดูว่าคุณหมอเป็นคนอย่างไรเสียก่อน
ดังนั้นพวกลิงจึงเดินทางกลับไปกับพุชมี-พูลยู และเมื่อทั้งหมดมาถึงบ้านหลังเล็กที่ทำด้วยหญ้าของคุณหมอ มันก็เคาะประตู
เจ้าเป็ดที่กำลังเก็บของลงหีบก็พูดขึ้นว่า “เข้ามาจ้ะ!”
แล้วชีชีก็พาพุชมี-พูลยูเข้าไปข้างในให้คุณหมอดูอย่างภาคภูมิใจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” จอห์น ดูลิตเติ้ลถามพลางจ้องมองสัตว์ที่แสนแปลกนั้นไม่วางตา
“พระเจ้าช่วย!” เป็ดร้อง “แล้วเวลาตัดสินใจมันจะทำยังไงล่ะเนี่ย”
“ฉันว่ามันดูไม่เหมือนมีใจให้ตัดสินนะ” เจ้าหมาจิพพูด
“คุณหมอครับ” ชีชีพูด “นี่คือพุชมี-พูลยู สัตว์ที่หายากที่สุดในป่าแอฟริกา เป็นสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นในโลกที่มีสองหัว! พาเขากลับบ้านกับคุณหมอ แล้วคุณหมอก็จะร่ำรวย ผู้คนจะพากันมาจ่ายเงินเพื่อดูเขา”
“แต่ฉันไม่ต้องการเงินนี่” คุณหมอพูด
“ต้องการสิคะ” เจ้าเป็ดแด๊บแด๊บพูด “หมอจำไม่ได้แล้วหรือคะว่าเราต้องกระเบียดกระเสียรกันแค่ไหนถึงจะจ่ายค่าเนื้อที่พัดเดิลบีได้ แล้วหมอจะหาเรือลำใหม่ให้กลาสีอย่างที่พูดได้ยังไง ถ้าเราไม่มีเงินไปซื้อ”
“ฉันจะสร้างให้เขาเอง” คุณหมอพูด
“โอย มีเหตุผลหน่อยสิคะ!” แด๊บแด๊บร้อง “หมอจะไปหาไม้และตะปูที่ไหนมาสร้าง แล้วนอกจากนั้นเราจะอยู่กันยังไง กลับไปนี่เราจะจนยิ่งกว่าเดิมอีกนะคะ ชีชีพูดถูกที่สุดแล้ว เอาเจ้าตัวพิลึกนี่ไปด้วยเถอะค่ะ นะคะ!”
“ก็... บางทีที่เธอพูดมาอาจจะถูกก็ได้” คุณหมอพึมพำ “มันต้องเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดใหม่ที่ดีแน่ๆ แต่ เอ่อ...ตัวที่ชื่ออะไรนี่เขาอยากจะไปเมืองนอกจริงๆ หรือเปล่าล่ะ”
“จะไปครับ” พุชมี-พูลยูพูด มันรู้ทันทีเมื่อเห็นหน้าหมอว่าเขาเป็นคนที่เชื่อใจได้ “หมอใจดีกับสัตว์ที่นี่มาก และพวกลิงก็บอกผมว่าผมเป็นตัวเดียวที่ทำได้ แต่หมอต้องสัญญาว่าถ้าผมไม่ชอบดินแดนคนขาว หมอต้องส่งผมกลับนะ”
“อ้อ ได้สิ ได้อยู่แล้วๆ” คุณหมอพูด “ขอโทษนะจ๊ะ แต่เธอต้องเป็นญาติกับตระกูลกวางแน่ๆ ใช่ไหม”
“ครับ” พุชมี-พูลยูพูด “เป็นญาติกับกาเซลล์อบิสซิเนียและชามัวส์เอเชีย ทางฝ่ายแม่น่ะครับ ส่วนปู่ทวดของพ่อผมเป็นยูนิคอร์นตัวสุดท้าย”
“น่าสนใจที่สุด!” คุณหมอพึมพำ แล้วเขาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากหีบที่แด๊บแด๊บกำลังจัดของใส่ และเริ่มพลิกเปิด “ดูซิว่าบุฟฟ่อนพูดอะไร...”
“ฉันสังเกตนะจ๊ะ” เป็ดพูดขึ้น “ว่าเธอพูดด้วยปากเดียวเท่านั้น อีกหัวหนึ่งพูดได้ด้วยหรือเปล่าจ๊ะ”
“อ๋อ ได้สิ” พุชมี-พูลยูพูด “แต่ฉันจะเก็บอีกปากไว้กินเป็นส่วนใหญ่น่ะ อย่างนั้นฉันจะได้พูดตอนกินอาหารได้โดยไม่หยาบคายไงล่ะ พวกเราสุภาพเสมอล่ะ”
พอเก็บของเสร็จและทุกอย่างพร้อมเดินทางแล้ว พวกลิงก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้คุณหมอ และสัตว์ทั้งหมดในป่าก็มาด้วย และพวกมันก็มีสับปะรด มะม่วง และน้ำผึ้ง และของดีๆ ทุกชนิดให้กินและดื่ม
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็ลุกขึ้นและพูดว่า
“เพื่อนๆ ทั้งหลาย ฉันไม่ค่อยมีความสามารถในการพูดอะไรยาวๆ หลังอาหารเหมือนบางคนนัก และฉันก็เพิ่งกินผลไม้และน้ำผึ้งเข้าไปมากมาย แต่ฉันอยากจะบอกพวกเธอว่าฉันเศร้ามากที่ต้องจากดินแดนที่แสนสวยของพวกเธอไป เพราะฉันมีเรื่องต้องไปทำที่ดินแดนคนขาว ฉันจึงต้องไป หลังจากฉันไปแล้ว โปรดจำไว้ว่าอย่าปล่อยให้แมลงวันลงจับอาหารก่อนที่เธอจะกิน และอย่านอนบนพื้นดินเวลาที่ฝนกำลังจะมา ฉัน...เอ่อ...เอ่อ...ฉันหวังว่าพวกเธอทั้งหมดจะอยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป”
พอคุณหมอหยุดพูดและนั่งลง ลิงทุกตัวก็ปรบมือกันอย่างยาวนานและพูดแก่กันว่า “ให้พวกเราจดจำกันตลอดไปว่าเขาเคยนั่งกินอาหารกับเราที่นี่ ใต้ต้นไม้เหล่านี้ เพราะแน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”
และกอริลล่าผู้ยิ่งใหญ่ ที่แขนขนรุงรังมีความแข็งแกร่งเท่าม้าเจ็ดตัวก็กลิ้งหินก้อนใหญ่ไปที่หัวโต๊ะและพูดว่า
“ให้ก้อนหินนี้เป็นเครื่องบอกตำแหน่งเหตุการณ์นี้ไปชั่วนิรันดร์”
และแม้จนกระทั่งวันนี้ หินก้อนนั้นก็ยังคงอยู่ในใจกลางป่าลึกนั้น และพวกแม่ลิงทั้งหลายที่เดินทางผ่านป่ามากับครอบครัว ก็ยังคงชี้ก้อนหินนั้นจากบนกิ่งไม้ และกระซิบบอกลูกๆ ว่า “ชู่ว์! นั่นไงล่ะ ดูสิ ที่นั่นคนขาวผู้แสนดีเคยนั่งกินอาหารกับพวกเราในปีแห่งการเจ็บป่วยครั้งใหญ่!”
จากนั้น เมื่องานเลี้ยงเสร็จสิ้นลง คุณหมอกับสัตว์เลี้ยงของเขาก็เริ่มเดินทางกลับไปยังชายฝั่งทะเล และพวกลิงทั้งหลายก็ช่วยกันขนหีบและกระเป๋าเดินทางไปส่งเขาจนถึงเขตแดนของดินแดนของมัน
บทที่สิบเอ็ด เจ้าชายผิวดำ พอถึงริมแม่น้ำทุกคนก็หยุดบอกลากัน
ซึ่งเป็นเรื่องที่กินเวลานานมาก เพราะลิงตั้งหลายพันตัวนั่นต่างก็อยากจับมือกับจอห์น ดูลิตเติ้ลทุกตัว
หลังจากนั้น เมื่อคุณหมอและสัตว์เลี้ยงของเขาเดินทางกันต่อไปตามลำพังแล้ว โพลินีเชียก็พูดว่า
“เราต้องเดินกันไปเงียบๆ และพูดเบาๆ เพราะเรากำลังเดินทางผ่านดินแดนจอลลิกิงกิ ถ้าพระราชาได้ยินเรา พระองค์ก็จะส่งทหารออกมาจับเราอีก เพราะฉันแน่ใจว่ายังทรงโกรธเรื่องที่ฉันใช้เล่ห์กลกับพระองค์อยุ่”
“ที่ฉันสงสัยก็คือ” คุณหมอพูด “เราจะไปหาเรือที่ไหนกลับบ้านกัน... เอาเถอะ บางทีเราอาจจะเจอที่ไม่มีใครใช้กองอยู่บนหาดสักลำก็ได้ เขาว่า ‘ไม่เห็นน้ำอย่าตัดกระบอก’”
วันหนึ่ง ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังเดินทางผ่านส่วนที่ลึกที่สุดของป่า ชีชีก็ออกเดินล่วงหน้าไปเพื่อมองหามะพร้าว และในตอนที่มันไม่อยู่นั้น คุณหมอกับสัตว์ที่เหลือซึ่งไม่รู้จักเส้นทางในป่าดีนักก็หลังเข้าไปในป่าลึก พวกเขาเดินดุ่มไปมา แต่ก็หาทางออกไปยังชายฝั่งทะเลไม่ได้เลย
เมื่อชีชีหาพวกเขาไม่เจอก็ร้อนใจมาก มันปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูง พยายามมองหาหมวกทรงสูงของคุณหมอจากยอดไม้ มันโบกไม้โบกมือและตะโกน มันร้องเรียกชื่อสัตว์ทุกตัว แต่ไม่มีประโยชน์เลย ทุกคนดูจะหายตัวไปกันหมด
แต่ที่จริงแล้วพวกเขาหลงทางกันอย่างขนานใหญ่ พากันเดินออกจากเส้นทางไปไกล และป่าก็หนาทึบไปด้วยพุ่มไม้และเถาวัลย์จนบางครั้งแทบจะขยับไม่ได้เลย จนคุณหมอต้องเอามีดพกออกมาถางทาง พวกเขาย่ำลงไปในปลักโคลนเปียกๆ ถูกรากเลื้อยเส้นโตๆ ของต้นปากแตรพันเท้า ถูกหนามเกี่ยว และเกือบจะเสียล่วมยาไปในพุ่มไม้ถึงสองครั้ง ดูเหมือนความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นไม่มีวันหยุด และพวกเขาก็หาเส้นทางเดินไม่เจอเอาเลย
ในที่สุด หลังจากมะงุมมะงาหราอย่างนี้อยู่หลายวันจนเสื้อผ้าขาดและหน้าตามีแต่โคลนแล้ว พวกเขาก็เดินตรงเข้าไปในสวนด้านหลังของพระราชาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนของพระราชาพากันวิ่งออกมาจับพวกเขาไว้ทันที
แต่โพลินีเชียบินเข้าไปแอบบนต้นไม้ในสวนโดยไม่มีใครสังเกต ส่วนคุณหมอและสัตว์อื่นๆ ก็ถูกนำไปเข้าเฝ้าพระราชา
“ฮ่าๆ!” พระราชาทรงพระสรวล “แล้วเจ้าก็ถูกจับอีกจนได้! คราวนี้พวกเจ้าหนีไปไม่ได้แน่ เอาพวกมันกลับไปใส่คุกและเพิ่มกุญแจเป็นสองเท่า คนขาวคนนี้จะต้องขัดพื้นห้องครัวของข้าไปตลอดชีวิต!”
ดังนั้นคุณหมอและสัตว์เลี้ยงจึงถูกนำไปที่คุกและปิดประตูขังไว้ และคุณหมอก็ถูกสั่งว่าในตอนเช้าเขาจะต้องเริ่มขัดพื้นห้องครัวแล้ว
ทุกคนต่างเป็นทุกข์กันอย่างมาก
“เรื่องนี้น่ารำคาญจริงๆ” คุณหมอพูด “ฉันต้องกลับไปที่พัดเดิลบีจริงๆ นะ กลาสีที่น่าสงสารนั่นจะต้องคิดว่าฉันขโมยเรือเขาไปถ้าฉันไม่รีบกลับบ้าน... สงสัยจังว่าบานพับประตูนั่นหลวมหรอืเปล่า”
แต่ประตูก็แข็งแรงดีและถูกล็อคอย่างแน่นหนา ดูไม่มีทางจะออกไปได้เลย แล้วกั๊บกั๊บก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ตลอดเวลาที่กล่าวมานี้โพลินีเชียยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่ในต้นไม้ในสวนของพระราชวัง ไม่พูดอะไรเลย เอาแต่กะพริบตา นี่เป็นสัญญาณไม่ดีของโพลินีเชียเสมอ ทุกครั้งที่มันไม่พูดอะไร เอาแต่กะพริบตา แปลว่าต้องมีใครบางคนทำเรื่องเดือดร้อน และมันกำลังคิดวิธีจัดการทุกอย่าให้เรียบร้อยเหมือนเดิม คนที่สร้างความเดือดร้อนให้โพลินีเชียหรือเพื่อนของมันมักจะต้องมาเสียใจทีหลังเสมอ
ไม่นานนักมันก็มองเห็นชีชีเหวี่ยงตัวมาตามต้นไม้ และยังคงมองหาคุณหมออยู่ พอชีชีเห็นมันก็รีบมาที่ต้นไม้ที่มันเกาะอยู่ และถามว่าคุณหมอเป็นยังไงบ้าง
”คุณหมอและสัตว์อื่นๆ ถูกคนของพระราชาจับไปขังอีกแล้ว” โพลินีเชียกระซิบ “เราหลงทางในป่าและดุ่มเข้ามาในสวนของพระราชวังโดยไม่รู้ตัว”
“แต่เธอนำทางให้พวกเขาไม่ได้รึไง” ชีชีถาม แล้วมันก็เริ่มต่อว่านกแก้วที่ยอมให้ทุกคนหลงทางระหว่างที่มันไปหามะพร้าว
“เป็นความผิดของเจ้าหมูโง่นั่นแท้ๆ” โพลินีเชียพูด “เอาแต่วิ่งออกนอกเส้นทางไปหารากขิง แล้วฉันก็ต้องวุ่นวายกับการตามจับมันกลับมาจนเลี้ยวซ้ายแทนที่จะเลี้ยวขวาตอนที่เราไปถึงบึงน้ำ ชู่ว์! ดูนั่นสิ! เจ้าชายบัมโปกำลังเข้ามาในสวน! อย่าให้เขาเห็นเรานะ อย่าขยับ ไม่ว่านายจะทำอะไรก็ตาม!”
แน่นอนว่าที่เปิดประตูสวนเข้ามาก็คือเจ้าชายบัมโป โอรสของพระราชานั่นเอง ทรงหนีบหนังสือเทพนิยายเล่มหนึ่งมาด้วย ทรงเดินฮัมเพลงเศร้าๆ มาตามทางเดินโรยกรวด จนถึงม้านั่งหินที่อยู่ใต้ต้นไม้ที่นกแก้วกับลิงซ่อนอยู่พอดี เจ้าชายทรงนั่งลงที่ม้านั่งหินและเริ่มอ่านนิทานให้ตัวเองฟัง
ชีชีกับโพลินีเชียเฝ้ามองเขาอยู่ โดยทำตัวให้เงียบและนิ่งที่สุด
ครู่หนึ่งผ่านไปเจ้าชายก็วางหนังสือลงและถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้าเพียงแต่ข้าเป็นสิงโต ข้าก็จะแข็งแกร่งและกล้าหาญ!” เจ้าชายเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเลื่อนลอยเหมือนฝัน
ตอนนั้นเองเจ้านกแก้วก็พูดขึ้นดังๆ ด้วยเสียงเล็กๆ แหลมสูงเหมือนเด็กผุ้หญิงเล็กๆ ว่า
“บัมโปเอ๋ย ผู้ที่สามารถเปลี่ยนท่านให้เป็นเจ้าชายสิงโตผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญอาจมีอยู่จริง”
เจ้าชายสะดุ้งลุกจากม้านั่งและมองไปรอบๆ
“ข้าได้ยินเสียงผู้ใดกันนี่” เจ้าชายพูดด้วยภาษานิทาน “ดังว่าเสียงอันไพเราะประดุจเสียงเทพธิดาดังแว่วมาจากซุ้มไม้โน้น! ประหลาดแท้!”
“เจ้าชายผู้ทรงศักดิ์เอย” โพลินีเชียพูด นั่งนิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าชายบัมโปเห็นมัน “ท่านกล่าววาจาได้ตรงความจริงแท้ เพราะนี่คือข้า ทริพซิทิงก้า ราชินีแห่งมวลเทพธิดา ผู้กำลังพูดกับท่าน ข้ากำลังซ่อนตัวอยู่ในกุหลาบตูม”
“โอ บอกข้าเถิด ราชินี” บัมโปร้องพลางปรบมือด้วยความยินดี “ใครกันที่อาจช่วยให้ข้าเป็นสิงโตได้”
“ในคุกของบิดาท่าน” นกแก้วพูด “มีพ่อมดผู้เรืองนามอยู่ ชื่อของเขาคือจอห์น ดูลิตเติ้ล เขาช่ำชองนักในเรื่องหยูกยาและเวทย์มนต์ แลได้แสดงฤทธิ์เดชมาแล้วมากหลาย แต่กระนั้นองค์กษัตริย์บิดาท่านก็ยังปล่อยเขาถูกจองจำอยู่เนิ่นนาน จงไปหาเขาเถิด บัมโปผู้หาญกล้า จงซุ่มไปอย่างเงียบๆ เมื่อตะวันตกดิน และ ดูเถิด ท่านจะได้เป็นเจ้าชายสิงโตผู้ห้าวหาญและแข็งแกร่งจนไม่อาจมีหญิงงามนางใดต้านทานได้! ข้าได้พูดพอแล้ว บัดนี้จำต้องกลับไปยังดินแดนเทพธิดา ลาก่อน!”
“ลาก่อน!” เจ้าชายร้อง “ขอขอบคุณเป็นพันครั้ง ทริพซิทิงก้า!”
แล้วเจ้าชายก็นั่งลงบนม้านั่งอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า รอเวลาพระอาทิตย์ตกดิน
Create Date : 25 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 13:22:37 น. |
|
0 comments
|
Counter : 585 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
the grinning cheshire cat
|
|
|
|
|
|