Group Blog
ตุลาคม 2552

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
Been กับ Bean, Of กับ Off, Sell กับ Sale คำคู่เหล่านี้ คุณออกเสียงเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร?
Been กับ Bean, Of กับ Off, Want กับ Won’t, Sell กับ Sale คำคู่เหล่านี้ คุณออกเสียงเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร?

โอ๊ย...สับสนในหัวใจเพราะไม่รู้ว่าคำคู่เหล่านี้คนอเมริกันเขาออกเสียงแตกต่างกันอย่างไร?

คำศัพท์ภาษาอังกฤษบางคำที่เขียนคล้ายกัน คนไทยอย่างเราๆ ออกเสียงเหมือนกันเปี๊ยบเลย แต่จริงๆ แล้วคนอเมริกันเขาออกเสียงมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตแบบต้องใช้แว่นขยายส่องดูแล้วละก็ แทบไม่เห็นความแตกต่าง แต่วันนี้ผมมีคำตอบมาให้เลิกสับสนในหัวใจกันแล้วครับ

เริ่มจาก

1) Been vs Bean

คำว่า “been” ที่เป็นกิริยาช่อง 3 ของ verb to be ชาวอเมริกาจะอ่านว่า “บิน” ครับ ไม่ใช่สระอี อย่างที่คนไทยมักอ่านว่า “บีน”แต่ดันเป็นสระอิ เหมือนนก “บิน” ได้ในภาษาไทยเลยล่ะครับ (แต่ชาวอังกฤษเขาอ่านว่า “บีน”นะครับ)

ส่วน Bean ที่แปลว่า ถั่ว เราอ่านว่า บีน นั่นแหละครับ ถูกต้องแล้ว

2) Color vs Collar

คำว่า “Color” ที่แปลว่า “สี” เราอ่านว่า “คะ-เล่อร์” คือโอตัวแรกออกเสียงเป็นสระอะ

ส่วนคำว่า “Collar” ที่แปลว่า “ปลอกคอ” เราต้องอ่านว่า “ค้า-เล่อร์” คือออกเสียงตัวโอเป็นสระอาครับ

3) Costume vs Custom

คำว่า “Costume” เราอ่านว่า “ค้าส-ทยูม” โดยออกเสียงตัวโอเป็นสระอา แปลว่า เครื่องแต่งกาย ส่วน “Custom” อ่านว่า “คั้ส-เติ่ม” ออกเสียงตัวยูเป็นสระอะ แปลว่า สิ่งที่ทำเป็นกิจวัตร

4) Dessert vs Desert

2 คำนี้ เรามักจะใช้สับสนเพราะหน้าตามันคล้ายกันมาก แต่ถ้าสังเกตให้ดีต่างกันที่มี s กี่ตัว ถ้ามี s 2 ตัว คือ “Dessert” เราจะอ่านว่า “ดิ-เซิ่ร์ด” โดยเน้นพยางค์หลัง แปลว่า “ของหวาน” ที่เรากินกันหลังอาหารมื้อหลัก(ที่เป็นของคาว)นั่นแหละครับ

ส่วนอีกตัวคือ “Desert” เราอ่านว่า “เด๊ส-เซิร์ด” เน้นพยางค์แรก แปลว่า ทะเลทราย ไหนๆ ก็ดูละเอียดแบบทุกรูขุมขนแล้ว ก็ขอให้สังเกตอีกนิดว่าตัว s เราออกเสียงเป็นตัว z ทั้ง 2 คำเลย

วิธีการที่ผมใช้จำเพื่อกันความสับสนในการใช้ 2 คำนี้คือให้จำว่า ในเมื่อเราชอบกินของหวาน เราอยากกินเยอะๆ เลยต้องใส่ s เข้าไป 2 ตัวไงครับ ใครจะเอาไปใช้บ้างก็เชิญเลยนะครับ ไม่หวงแต่อย่างใด

5) Of vs Off

ดูเผินๆ 2 คำนี้น่าจะออกเสียงเหมือนกัน แต่ฝรั่งเขาออกกันอย่างนี้ครับ “of” อ่านว่า “อ๊อฟ” โดยออกเสียงตัว f หลังสุดเป็นเสียงตัว v คือต้องเอาฟันบนกัดริมฝีปากล่างด้านใน พร้อมพ่นลมออกมาให้มีแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย (บางคนอาจคิดว่า...อะไรจะยุ่งยากขนาดนี้ แต่ถ้าใครออกเสียงตัว v อย่างถูกต้องอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหาครับ)
ส่วน “off” อ่านว่า “อ๊อฟ” โดยออกเสียงตัวท้ายเป็น f คือเหมือน ฟ.ฟันนั่นแหละครับ ไม่ต้องมีแรงสั่นสะเทือนเหมือนเราออกตัว v

6) Potty vs Party

คำว่า “potty” อ่านว่า “เพาะ-ดิ” ใช้กับเด็กๆ เวลาจะไปเข้าห้องน้ำ จะบอกว่า “go potty” ส่วน “party” อ่านว่า “พ้าร์-ดิ” คืองานปาร์ตี้ที่เราเรียกกันนั่นแหละครับ สังเกตให้ดีจะเห็นว่าเราออกเสียงตัว t เป็น ด.เด็กนะครับ

7) Sell vs Sale

คำแรก “sell” เป็นคำกิริยา แปลว่า ขาย เราอ่านว่า “เซล” โดยให้อ่านตัวอีเป็นสระเอะสั้นๆ น่ะครับ ส่วน “sale” เป็นคำนามแปลว่า การขาย เราอ่านว่า “เซล” ให้ลากเสียงสระเอยาวๆ เลยครับ ดังนั้น 2 คำนี้จะออกเสียงสระต่างกัน คำหนึ่งเสียงสั้น ส่วนอีกคำลากเสียงสระยาว

8) Series vs Serious

คำแรก “series” ที่แปลว่า ซีรี่ส์ เช่นเราชอบดูซีรี่ส์เกาหลี คำนี้แหละครับ อย่าลืมว่าต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ เราอ่านว่า “ซี้-รี่ส์”

ส่วน “serious” เราอ่านว่า “ซี้-ริ-อัส” 3 พยางค์เลยนะครับ คนไทยชอบใช้คำนี้ทับศัพท์อยู่เหมือนกัน ที่แปลว่า ซีเรียส, จริงจัง

9) Want vs Won’t

“want” ต้องอ่านว่า “ว้อนท์” แปลว่า ต้องการ ส่วน “won’t” เราอ่านว่า “โว้นท์” มาจากคำเต็มๆ ว่า “will not” แปลว่า จะไม่

10) Warm vs Worm

“warm” อ่านเป็นสระออว่า “ว้อม” แปลว่า อบอุ่น ส่วน “worm” อ่านเป็นสระเออว่า “เวอม” แปลว่า หนอน

11) Where vs Were

“where” อ่านว่า “แวร์” เป็นสระแอ แปลว่า ที่ไหน ส่วน “were” อ่านว่า “เวอร์” เป็นสระเออ เป็นกิริยาช่องที่ 2 ของ are นั่นเอง

12) Wonder vs Wander

“wonder” เราอ่านว่า “วั้น-เด่อร์” แปลว่า ประหลาดใจ, สงสัย ส่วน “wander” ต้องอ่านว่า “ว้าน-เด่อร์” แปลว่า เดินเรื่อยเปื่อย

13) Woman vs Women

“woman” อ่านว่า “วุ้-เมิ่น” เป็นรูปเอกพจน์ แปลว่า ผู้หญิงคนเดียว ส่วนถ้ามีผู้หญิงหลายคน เราเขียนว่า “women” ซึ่งกลับอ่านว่า “วิ-มิน”

เป็นยังไงบ้างครับ วันนี้เรา Zoom in เข้าไปดูรายละเอียดของการออกเสียงของชาวอเมริกันกันอย่างละเอียดยิบ เรียกได้ว่าถ้าฟังอย่างผิวเผนอาจจะไม่เห็นความแตกต่าง ต้องฟังอย่างละเอียดยิบจึงจะทราบได้ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะครับ

สุดท้ายขอประชาสัมพันธ์นิดนึง ว่าตอนนี้ผมมี twitter แล้ว ดูด้านขวาของ blog ได้ สัญญาว่าจะ update ข่าวคราวให้ได้ทราบกันบ่อยๆ จะได้ไม่มีคนมาต่อว่าว่าหายหน้าไปไหนอีก แล้วเข้ามาชม blog ผมบ่อยๆ แล้วกัน บางที ผมจะแทรกเกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษลงใน twitter ของผมไว้ด้วย ใครอยากจะ add เป็น follower ก็เชิญเลยนะครับ ช่วงนี้เพิ่งหัดใช้ (ค่อนข้างเชยน่ะครับ) อาจจะมีติดขัดอะไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



Create Date : 25 ตุลาคม 2552
Last Update : 25 ตุลาคม 2552 14:15:06 น.
Counter : 5634 Pageviews.

6 comments
  
ขอบคุณครูเฟียตค่ะ ที่แบ่งปันความรู้ ทำให้ฉลาดขึ้นอีกเยอะเลย
ขอสมัครเป็นแฟนคลับด้วยคนค่ะ


โดย: au_jean วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:9:58:16 น.
  
คุณครูขา...
หนูลงทะเบียนเป็นลูกศิษย์คุณครูแล้วนะคะ

อิอิ
โดย: pupae (สวยสมหญิง ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:55:11 น.
  
สวัสดีค่ะ อาจารย์เฟียต
ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะคะ แวะมารับอาหารสมองจาก blog ของอาจารย์อีกแล้วค่ะ ได้ความรู้นำไปใช้เยอะแยะเลย อาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์สอบ final กลัวเรื่องเขียน essay อย่างเดียว
class อื่นยังพอจะเดาได้บ้าง แต่สำหรับเรียงความนี่ เดาบ่ได้เลยค่ะ
รอดู youtube อยู่นะคะ ขอให้สำเร็จไวไวและขอเป็นกำลังใจให้คนที่ทำอะไรดีดีให้กับสังคมค่ะ

ขอพรธรรมมะคุ้มครองนะคะ&ขอให้อาจารย์และทีมงานทุกท่านมีความสุขกาย&สุขใจค่ะ



โดย: ปุ้ย IP: 69.171.164.75 วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:49:56 น.
  
ตอบคุณปุ้ย
ขอให้โชคดีในการสอบอาทิตย์หน้านะครับ เตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดเดี๋ยวความมั่นใจจะมาเองครับ
โดย: KruFiat วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:26:02 น.
  
Blog คุณเฟียตมีประโยชน์นะครับ ให้อะไรหลายๆ อย่างกับผู้อ่าน แต่ถ้าจะเข้ามาแลกเปลี่ยนเสวนาเป็นระยะก็คงไม่ว่ากันนะครับ ที่ต้องออกตัวอย่างนี้เพราะเกรงว่าจะเข้ามาเพื่อ discredit แต่สำหรับคนๆ นึงที่ชอบภาษาอังกฤษ ถ้าเห็นอะไรที่ยังไม่ถูกต้องก็อยากจะช่วยกันแก้ไข

ในข้อ 6 เสียว t แบบอเมริกัน ไม่ใช่เสียง ด แต่อาจจะใกล้เคียงมากจึงทำให้คิดว่าเป็น ด ไป เนื่องจากฐานเสียงเดียวกัน เข้าใจว่าคุณเฟียตอาจจะอยากจะให้ผู้อ่านไม่คิดมากหรือเปล่าเลยอธิบายอย่างนั้นไปเลย หากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้เข้าใจผิดได้ การเปล่งเสียง d และ t, ด และ ท นั้นต่างกันทั้งในแง่ของสัทศาสตร์และหลักปฏิบัติจริงๆ

เสียง t ที่เหมือน ด มากของอเมริกันบางตำราเรียกว่า reduced t คือเป็น t ที่แตะแค่ปลายลิ้น ไม่มีลักษณะของความเป็นเสียง explosive มากเหมือนกับ t ในกรณีที่เป็นพยัญชนะต้ส เช่นในคำว่า take เป็นต้น

การบอกว่า t แบบอเมริกันคล้าย ด สามารถพูดได้ แต่หากบอกว่าเป็น ด เลย เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและจะทำให้เข้าใจกันผิด

ขอบคุณครับ
โดย: Cup of Tea IP: 202.183.155.81 วันที่: 12 มกราคม 2554 เวลา:9:44:44 น.
  
ขอบคุณนะคะ...พี่จะติดตามอ่าน blog ของคุณ
โดย: tar IP: 171.100.202.46 วันที่: 5 กรกฎาคม 2555 เวลา:14:10:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KruFiat
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 304 คน [?]



ครูเฟียต ธีรเจต บุญพยุง
"หากคุณพูดภาษาไทยได้ คุณก็ควรจะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเรียนรู้ภาษาด้วยวิธีธรรมชาติเหมือนกัน"
ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook 4| | | ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook | | |3