มาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่ามันได้อะไร มันก็ปล่อยวาง จบที่ความปล่อยวาง เสร็จการงาน ตรงที่เบื่อหน่าย เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย เกิดทุเรศ เกิดสังเวสในตน ว่าเกิดมามันได้อะไร ได้แต่ภาระ มีแต่เป็นภาระ ให้กินแล้วก็เป็นภาระ ไม่ให้กินก็เป็นภาระอีก พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นทุกข์ในตน เห็นทุกข์ดับในตน เลยเป็นสุขในตน จึงว่าคำว่า ทุกขังก็หายไป คำว่าทุกขัง เราไปเอาสุขนอกจากเรา ในเราจึงมีแต่ทุกข์ เราไปเอาสุขข้างนอก เนี่ยแหละเรียกความหลง หลงเพราะไม่เข้าใจธรรมารมณ์ที่พระพุทธเจ้าสอน เลยวุ่นอยู่ตลอด วิ่งหาความสุขอยู่ หาความสุขในโลกนี้ไม่ได้ ก็วิ่งหาความสุขโลกนู้นอีก ก็ไม่สุขอีก วิ่งไปมุมโลกไหนก็ไม่สุขอีก ไม่เห็นตรงไหนที่มีสุข เพราะมันสุขอยู่ในใจเรา เราไปตรงไหน ก็มันสุขอยู่ในใจเรา เรื่องอาหาร ก็กินที่ปากเรา ความรู้สึกอยู่ที่เรา เราไปหาที่ไหน
จึงว่าการหาสิ่งที่เป็นสมุหทัยเป็นหนทางให้เกิดทุกข์ซ้ำซาก ถ้าเราไม่เข้าใจในปัจจุบัน เราก็สร้างกรรมในปัจจุบัน เลยเป็นอนาคตข้างหน้า ที่เราได้อยู่ในปัจจุบัน ที่เราได้ร่างกาย เพราะเราไม่รู้สึกก่อน เราจึงทำความรู้สึก จึงผลมันต้องเกิดอย่างนี้ เมื่อเราไม่เข้าใจตรงนี้อีก เราได้มาแล้วไม่พิจารณา ให้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อสาเหตุไม่เบื่อหน่าย สาเหตุไม่รู้ ก็ได้แต่ทุกข์ ก็ได้แต่ความอยาก ไม่สิ้นความปรารถนา เมื่อยังไม่สิ้นความปรารถนาเนี่ยแหละ จึงไม่จบในการศึกษา เพราะยังปรารถนานั่นปรารถนานี่อยู่ไม่หยุด จะเอาสุขไปข้างหน้าอยู่เรื่อย
พระพุทธเจ้าสอนให้เอาสุขในปัจจุบัน เห็นทุกข์ก็ได้สุขในปัจจุบัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจุบัน แต่เราจะเอาสุขข้างหน้า อนา คาเท กเล ให้เอาปัจจุบัน ปัจจุปันนัง จโย ธรรมมัง ไม่เอา ปรารถนา อนา คาเท กเล อยู่ อนาคตข้างหน้านู้น ปัจจุบัน ไม่เอา ก็ไปเกิดข้างหน้า อนา คาเท กเล นู่น เพราะทำไว้เพื่ออย่างนั้น ทำไว้เพื่อข้างหน้า ไม่ได้ทำไว้ เพื่อปัจจุบัน เลยต้องไปทุกข์ข้างหน้าเรื่อย เพราะไม่เห็นโทษในปัจจุบัน ไม่เบื่อหน่าย ในปัจจุบัน จึง คำว่า ระอา หมายถึง เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในปัจจุบัน เห็นโทษในปัจจุบัน ความทุกข์ในปัจจุบัน กายเป็นที่ตั้งของความทุกข์ เลยไม่สร้างภาระใหม่อีกต่อไป จบแค่ภาระครั้งนี้พอ ไม่สร้างปัญหาขึ้นใหม่ ถ้ามันเกิดอีก มันก็ต้องเป็นอย่างนี้อีก ต้องมานั่งแก้ นั่งปวด นั่งเมื่อย นั่งหนาว นั่งร้อน อยู่อย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เป็นอย่างนี้อีก มันก็ต้องทุกข์อย่างนี้อีก ต้องตายอีก กลับมาเกิด ก็ต้องตายซ้ำซากอีก ตายมาแล้วก็หาประมาณไม่ได้
ต่อไปข้างหน้า ถ้าไม่เบื่อหน่าย ก็ต้องตายหาประมาณไม่ได้ จะต้องให้ซ้ำสักกี่ครั้งกี่หน ถ้าเราเห็นตรงนี้แหละ ก็จบตรงนี้ ไม่ซ้ำ เพราะเห็นโทษ มันจะเห็นโทษของการมีหนี้สิน เมื่อเราเอามาแล้ว ก็จำเป็นต้องใช้ ถ้าเห็นโทษแล้วก็หมดปัญหา ค่อยเปลื้องค่อยผ่อนไป ให้หายไป แต่ไม่สร้างใหม่ เอาแค่ที่มีแล้ว จึงว่าไม่ลืม ระลึกถึงหนี้สิน เจ้าของมีก็เป็นทุกข์เป็นโทษ กายก็ไม่ดี ก็เห็นโทษของกาย เรื่องทุกข์ทุกวัน มันไม่ทำให้หลงว่าเป็นสุขอีก เพราะวันนี้ทุกข์ พรุ่งนี้ก็ต้องทุกข์อีก เพราะยังไม่ตาย ไม่ใช่วันนี้ทุกข์แล้ว พรุ่งนี้ไม่ทุกข์ไม่ใช่
แต่เราคิดว่ามันไม่ทุกข์นี่แหละเป็นปัญหา แต่สุดท้ายก็ต้องทุกข์ ต้องปวด ต้องเมื่อยอยู่นี่แหละ ต้องหนาวต้องร้อนอีก วันนี้เป็นอย่างไร พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนั้น เนี่ยแหละ ถ้าเข้าใจปัจจุบัน ก็เข้าใจอนาคต วันนี้เรากิน เรานอน เราถ่าย พรุ่งนี้ เราก็ต้องกิน ต้องนอน ต้องถ่ายอีก อยู่อย่างนี้จนถึงวันตาย เราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่วันเกิด จนถึงบัดนี้ เราเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด แล้วมันได้อะไร ก็ได้แต่ภาระ แก่ลงไป แก่ลงไป ทุกวันๆ ตายไป แต่ละวันๆๆ แต่ละขณะๆ
พระพุทธเจ้าว่าสติสัมปัชชัญญะ ถ้าเรามีสติ รู้จักว่า เราหายใจเข้า ก็ตาย หายใจออก ก็ตาย ไปชั่วระยะหนึ่งๆ ถ้าเรามีสติรู้ทัน การเกิดการดับของเราอยู่ตลอด นี่แหละเป็นสติสัมปัชชัญญะ วันหนึ่งก็รู้ว่าสิ้นไปวันหนึ่ง เดือนหนึ่งก็รู้ว่าสิ้นไปเดือนหนึ่ง ปีหนึ่งก็รู้ว่าสิ้นไปปีหนึ่ง เรามีแต่ย่างเข้าหาความตาย ที่จะหมดอายุอย่างเด็ดขาด วันไหนก็ไม่รู้ ถ้าเราเห็นอยู่อย่างนี้อยู่ประจำ เราเห็นอย่างนี้ทุกวัน เพราะเราเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่เราไม่ได้ดูทุกวันสิ แม้แต่เราเกิดมาอายุกี่ปี เราได้พิจารณาอย่างนี้บ้างมั้ย ได้กี่วัน ได้พิจารณากี่ครั้ง แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เมื่อเราไม่เคยรู้เรื่องเราเลย ไม่เคยรู้เรื่อง ไม่เคยยกตนมาพิจารณาเลย แล้วเราจะพ้นไปได้อย่างไร เพราะเราไม่เคยทำ เพราะเราไม่เคยดู เราไม่เคยอบรมใจเรา แล้วเราจะเบื่อหน่ายได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ทำเหตุก่อน จึงไม่เป็นผล
ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ พระพุทธเจ้าว่า อย่างช้าเจ็ดปี ทำเอาอย่างนี้เจ็ดปี ต้องได้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในตน ต้องปรากฏความรู้ขึ้นมา คนเรียนหนังสือเจ็ดปี ที่อ่านไม่ออกสักตัว มันเป็นไปไม่ได้ คนพิจารณาเจ้าของอยู่เจ็ดปี ไม่เข้าใจเรื่องตน ไม่เบื่อหน่ายเรื่องตนบ้าง มันเป็นไปไม่ได้ อายุเจ็ดปี มันก้าวไปไม่ใช่น้อย ถ้าเราเห็นอย่างนั้นอยู่ตลอด มันก็ย่อมเป็นผลขึ้น เพราะเกิดความเบื่อหน่าย ย่อมเข้าใจขึ้นมา เพราะเราพิจารณาไปเท่าไร ก็ยิ่งเบื่อหน่ายมาก ยิ่งพ้นทุกข์มาก ไม่สร้างกรรมใส่ตนมาก ไม่หลงอดีต เห็นเป็นภาระกับเรา เป็นมารที่เบียดเบียนเราให้อยู่ไม่มีความสุข ที่จริงแล้วมันเป็นมารหาความสุขไม่ได้
ที่เราว่านั่งให้นานแล้วจะเป็นสุข แต่เดี๋ยวมันก็เจ็บก็ปวดก็เมื่อย นั่งท่านั้นให้มันนาน ก็ไม่ได้ นอนท่านี้ให้สบาย ไม่เท่าไรก็เมื่อยอีก เดินท่านี้ให้สบาย ไม่เท่าไรก็เอาอีก ถ้าเราตามดูตามรู้ตามเห็น ว่าแล้วมันได้อะไร เมื่อเราเข้าใจอิริยาบถเนี่ยแหละ การเข้าใจอิริยาบถของตน ทำอยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ในอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าทำอยู่อย่างนี้ให้เป็นราตรีเดียว ให้เสมอกัน รู้เสมอ เดินเสมอ เดินก็รู้ นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ นอนก็รู้ รู้ตลอด จึงชื่อตรัสรู้ ก็ย่อมเข้าใจ จบการศึกษาไปวันหนึ่งๆ
ถ้าเรียนอยู่ประจำต้องเข้าใจ ให้มาหลงเหมือนที่เป็นอยู่ มันยาก เพราะความเห็นโทษ ว่ามันได้เกิดภาระเท่านั้น เลยไม่เอา เลยเบื่อ พ้นทุกข์ที่การเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายเมื่อไร ก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น เบื่อหน่ายน้อยก็พ้นน้อย เบื่อหน่ายมากก็พ้นมาก เบื่อหน่ายหมด ก็พ้นหมด พ้นตรงที่ไม่เอา ส่งคืนเจ้าของ เป็นสังโฆขึ้นมา ความรู้สึกก็สักว่าความรู้สึกเท่านั้น ธาตุก็สักว่าธาตุเท่านั้น ธรรมก็สักว่าธรรมเท่านั้น เราไม่ไปผูกพันสิ่งนั้น เพราะทุกอย่างถึงเราจะทำอย่างไรก็ตาม มันยังเฒ่า ยังแก่ ยังทุกข์ ยังปวด ยังเมื่อย จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ตายเหมือนกันทั้งหมด แต่ว่าผู้รู้ไม่ตายซ้ำ ตายหนเดียว ผู้ไม่รู้ตายซ้ำ
เหมือนพระพุทธเจ้าตายหนเดียว สาวกของพระพุทธเจ้าพร ะโสดาบัน ตายอย่างช้าเจ็ดครั้ง พระสกิทาคา ตายอย่างช้าสามครั้ง พระอนาคามีไม่กลับมาตายอีก ไปตายข้างบน พระอรหันต์ไม่ต้องกลับมาตายซ้ำอีก ถ้าเราไม่เข้าใจก็ต้องตายซ้ำซาก หาประมาณไม่ได้ ไม่ได้ตายหนเดียว ต้องตายแล้วตายอีก พระโสดาบันตายอย่างช้าเจ็ดชาติ ส่วนพระโสดาบันที่มีความฉลาด กลับมาตายชาติเดียว เพราะท่านฉลาดมาก ผู้ไม่เข้าใจไม่เบื่อหน่าย ต้องตายซ้ำซาก ตายไม่มีประมาณ
เพราะเราจะหยุดความตายได้ ตรงที่มาเข้าใจตรงนี้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ ก็ต้องมาเข้าใจเบื่อหน่ายตรงนี้ จึงเลิกตาย ถ้าเราไม่เบื่อหน่ายตรงนี้ก็หมดสิทธิ์ ก็ไม่หยุดการตาย เวียนว่ายตายเกิด หยุดไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นโทษการตาย ว่าตายอยู่ไม่หยุด ไม่เห็นโทษการเจ็บ ไม่เห็นโทษของตน ก็ต้องเกิดอีก เพราะเราไม่กลัวเกิด เรากลัวตาย แต่ที่เราตาย เพราะเราเกิด เราไม่คิด ว่าเราเกิดมาเราจึงได้ตาย ถ้าเราไม่เกิดเราก็ไม่ตาย เรากลัวตายทำให้เราเกิดมา เหมือนกลัวจนแต่ไม่ทำงาน ไม่อดทนไม่ทำอะไร เลยต้องมาจนซ้ำอยู่นั่น นี่เหมือนกัน กลัวตาย แต่มาทำให้เกิดทำไม เนี่ยแหละจึงเรียกมิจฉาทิฏฐิ
มันพูดเอาแต่ได้ มันไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงชื่อว่าความหลง มันไม่เห็นตามความเป็นจริง มันกลัวตายทำให้เกิดความตายขึ้นมา มาพิจารณาว่าอะไรที่มันตาย อะไรที่มันเกิด ที่มันเกิดอะไรมันเกิด ที่มันตายอะไรมันตาย อะไรมันเกิด อะไรมันเปลี่ยนแปลง อะไรมันคงที่ ต้องมาพิจารณา ที่ว่าตายๆ มันเป็นอย่างไร ที่ว่ามันเกิด เกิดขึ้นอย่างไร อะไรมันเกิด อะไรมันตาย ถ้ามาพิจารณามากเข้าๆ มาค้นหาตามความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า เอาตนเป็นที่พึ่งของตน จะได้เข้าใจว่ามันมีอะไรในเรา มีอะไรเกิด มีอะไรแก่ มีอะไรเจ็บ มีอะไรตาย ว่าเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร แล้วหาความเป็นตัวตนว่าอยู่ตรงไหน หาความสมหวังของตน ที่ตนปรารถนาจะให้สมหวังมันอยู่ตรงไหน
ที่เราเที่ยวหาจากวันเกิดจนถึงบัดนี้ ที่ให้มันได้สมหวังให้มันแน่ๆ เกิดมาอายุเท่าไรแล้ว พอจะแน่ๆพอจะสมหวังไม่ให้ทุกข์อีกต่อไป มันมีตรงไหนบ้าง ที่ว่าไม่ให้ทุกข์อีกต่อไป ที่ว่าเป็นอมตะไม่ต้องวุ่นวาย ให้มันแน่นอนสักอย่าง ให้พอเป็นที่พิ่งที่อาศัยได้ มันแน่ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป มันมีตรงไหนบ้าง ที่เราเที่ยวหาตั้งแต่วันเกิด จนถึงบัดนี้ ที่ว่าไม่ต้องทุกข์อีก ไม่ต้องวุ่นวายอีก ที่เป็นหนึ่งเดียว ที่ไม่เปลี่ยนแปลง มันมีมั้ย ใจเราที่ไม่เปลี่ยนแปลงมันมีตรงไหนบ้าง ถ้าเรามาตรวจมาค้นหา ความเป็นจริงในตน จะได้เกิดความรู้สึกขึ้นมา มีอยู่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะพระพุทธเจ้าทำมาแล้ว แล้วมาสอน มีอยู่ เป็นอมตะ มีอยู่ แต่เราหาเท่าไร ไปหาข้างนอก ไม่เจอ เพราะเราหาผิดที่ เพราะทุกข์อยู่ที่เรา เราไปหาความสุขที่อื่น พระพุทธเจ้าสอนย่นขึ้นมา ให้หาความสุขที่ทุกข์มันดับ มาเข้าใจความสุขที่ทุกข์ดับ พอทุกข์ดับ ตรงไหน ก็เกิดความสุขเป็นอมตะขึ้นมาตรงนั้น จะรู้ขึ้นมาทันทีว่าเราจะไม่ตายอีกแล้ว เราตายแค่นี้ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะได้เป็นอมตะตรงนั้น ตรงไหนทุกข์มันดับคาผู้รู้ ตรงนั้นไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย ตรงนั้นเป็นอมตะ เพราะตรงนั้นไม่เกิดไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตายอีก ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรแก่ ไม่มีอะไรเจ็บ ไม่มีอะไรตาย ตรงนั้น มันรู้ขึ้นมาทันทีว่า ตรงนี้เป็นอมตะ แต่ธรรมที่ยังเหลืออยู่ ตรงนั้น ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แต่ตรงนี้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย รู้ขึ้นมาเลย บุคคลเบื้องต้น เห็นอย่างนั้น
ถ้าบริกรรมมาก มันอยู่ไม่ได้ที่ไม่รู้เนี่ย มันจะรู้หมด ถ้าขี้เกียจบริกรรมอย่าไปหวัง พอติดคำบริกรรมเป็นส่วนเสริมขึ้นมา ให้จิตชอบท่องพุทโธ ชอบบริกรรมเท่านั้น จะได้เข้าใจเรื่องเยอะ รู้เรื่องตนเยอะ ว่าตนบกพร่องมากขนาดไหน แต่ว่าถ้ายังไม่ติดคำบริกรรม มันไม่เห็นความบกพร่องของตน สำคัญตรงนั้น ว่าไม่เห็นความบกพร่องของตน เมื่อไม่เห็นความบกพร่องของตน ไม่รู้ไปแก้ตรงไหน มันไม่มีจุดแก้ จึงชื่อว่าความหลงขึ้น จะแก้ไม่รู้จะแก้ตรงไหน เพราะไม่เห็นความบกพร่อง
จึงพระพุทธเจ้าให้เห็นโลกบกพร่องอยู่เนืองนิจ โลกนี้หาความสมบูรณ์ไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าโลกก็บกพร่องอยู่เนืองนิจ ตราบใดที่มีสติเห็นความบกพร่องของเจ้าของอยู่ ตลอด นั่นแหละ ตราบใดที่จ้องจับผิดเจ้าของอยู่ตลอด จะได้ถูกตลอด ตราบใดเราไม่จ้องจับผิดเจ้าของ นั่นแหละคือความประมาท แบกความตายอยู่ต่อไป เพราะถือว่าเราดีแล้ว คนที่ถือว่าเจ้าของดีแล้ว เนี่ยแหละตัวประมาท ถ้าตราบใด ถือว่าเรายังไม่ดีอยู่ เราแก้เราอยู่ตลอด เนี่ยเราจะได้เป็นคนดี ถ้าตรงไหน เราถือว่าเราดีแล้ว เราไม่ทำเลย เพราะมันถือว่าดีอยู่แล้ว เลยมันหาได้ดีไม่ นี่แหละคำว่าโลกบกพร่องอยู่เนืองนิจ เจ้าของคิดว่าดีอยู่แล้ว ไม่คิดจะแก้เจ้าของ จึงได้ทุกข์ซ้ำซาก ทุกข์แล้วทุกข์เล่า ไม่มีวันจบ เพราะไม่เห็นโทษตนเนี่ยแหละ
หาว่าตนถูก หาว่าตนดี อยู่นี่แหละ ถ้าเห็นว่าเจ้าของผิดอยู่ตลอด บกพร่องอยู่ตลอด คอยจับผิดเจ้าของตลอด มันก็ดีตลอด จึงเกิดความระวัง เกิดสติ เกิดปัญญา จึงว่าทุกข์สมควรกำหนดรู้ ที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ว่าทุกข์ทางกาย ไม่ว่าทุกข์ทางใจ เมื่อเรามีสติจ้องจับอยู่กับเจ้าของอยู่ตลอด เป็นมหาสติ เป็นมหาปัญญา จึงเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมาได้ เมื่อเราเห็นความผิดพลาดของเรา ถ้าเราเห็นว่าเราถูกแล้ว เราก็ไม่ทำอะไร มันสบายเสียแล้ว ดีแล้ว ก็เลิกทำ เพราะมันเห็นว่าสบายเสียหมด เท่ากับปล่อยให้เราบกพร่อง เป็นที่มาทำให้ไม่พ้นทุกข์ เรากลัวว่าเราจะเผลอ เรากลัวว่าเราจะผิด เราจะลุยน้ำลุยโคลน เรากลัว เราเห็นหนาม เรากลัวไปเหยียบหนามก็ต้องระวัง ความระวังของตน ต้องแก้ไขตน ดูแลตน จึงชื่อว่าทำตนเป็นที่พึ่งของตน ธรรมะเป็นอย่างนี้ คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ สอนให้เราแก้เรา ให้เราเข้าใจเรา ให้เราจ้องจับผิดเรา ไม่ใช่จ้องจับผิดคนอื่น ถ้าเราจ้องจับผิดคนอื่นแล้วมันได้อะไรแก่เรา ได้แต่เพื่อนโกรธกันเปล่าๆ เพราะเขาไม่ได้ปวารณาตัว
พระพุทธเจ้าสอนวันออกพรรษาให้เป็นวันปวารณา พระไม่ต้องสวดปาฏิโมกข์ ให้เตือนกันได้ ว่ากล่าวกันได้ เป็นพุทธบัญญัติ ให้สั่งสอนกันได้ ไม่ว่าผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก หรือผู้น้อยสั่งสอนผู้ใหญ่ ตักเตือนให้สติซึ่งกันและกัน ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน ถ้าเขาไม่ปวารณา เราไปเตือนเข้าก็เป็นความผิดพลาดเพราะ ไม่รู้ว่าเขาต้องการแบบไหน เราไปทำขึ้นมาก่อน ถ้าเขาพอใจก็อย่างหนึ่ง ถ้าเขาไม่พอใจก็เป็นเหตุให้เกิดความทะเลาะวิวาท เลยพระพุทธเจ้าบัญญัติวันออกพรรษาให้ปวารณากัน กันความทะเลาะวิวาท ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ที่ว่าในโลกเกิดการทะเลาะ เพราะเราไปสอนเขา ไปว่าเขา อยากให้เขาดี อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ เมื่อเขาไม่ปวารณาตัว เราไปพูดเขาก็ไม่รับ
ที่ว่าสีแดง สีเหลือง สีนั้น สีนี้ จึงว่าเกิดการผิดพลาด ไม่ตรงกับหลักการที่พระพุทธเจ้าสอน เพราะไม่ยอมรับ ก็เกิดการทะเลาะวิวาท เพราะไม่ได้คิดจะแก้ ถ้าคนที่ระลึกถึงความบกพร่องของตน ว่าตรงไหนตนผิด ว่าตรงไหนตนถูก เมื่อหูได้ยินเสียง ตาได้เห็นรูป คำพูดที่พูดออกมา ไม่ว่าเขาจะพูดดี ไม่ว่าเขาจะพูดไม่ดี เราจะมาพิจารณาตามความเป็นจริง ว่าเราบกพร่องตามที่เขาว่าเราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างนี้หรือปล่าว ถูกหรือไม่ถูก ถ้าเราฉลาดในเรา ถ้าเขาพูดดีเราก็ได้ความฉลาด ถ้าเขาพูดเสีย เราก็ได้ความฉลาด เพื่อนด่าก็ได้ความฉลาด เพื่อนยอก็ได้ความฉลาด เพราะพระพุทธเจ้า สอนว่า พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อะไร ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ แล้วทำจิตให้ผ่องแผ้ว เป็นผู้ตื่น ตื่นจากดี ตื่นจากชั่ว
เพราะเพื่อนให้สติ เขาพูดดีก็ได้สติ เขาด่าแม่ ก็ได้สติ อยู่ที่ความฉลาดของเรา ถ้าเราสกปรกอยู่ เขาบอกให้เราจะได้ล้างออก เพื่อนดูถูก หรือเพื่อนดูผิด คนละอย่างกัน ถ้าเพื่อนดูถูก เราจะได้แก้ ถ้าเพื่อนดูผิดเราก็ไม่ต้องแก้ เพราะเราถูกอยู่จะไปแก้อะไรอีก ถึงเขาว่าผิดเราก็รับได้ ถ้าเขาว่าเราถูก เราจะได้แก้ไขต่อไปข้างหน้า เราผิดเขาเตือน เราจะได้ไม่ต้องผิดซ้ำ
พระพุทธเจ้าเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อมาปลุกสัตว์ให้ตื่น เพราะสัตว์หลับอยู่ สัตว์ไม่รู้สึก ว่าทุกข์เป็นอย่างไร ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์ตั้งอยู่อย่างไร ใครทำให้ตนทุกข์ จึงพระพุทธเจ้ามาปลุกสัตว์ สอนสัตว์ให้ตื่น ไม่ต้องเห็นทุกข์ว่าเป็นสุขเหมือนแต่ก่อน จึงเรามาสวดว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า เอาพระธรรมเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า เอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า ว่าเป็นพุทธัง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ขอเป็นทาสของพระธรรม ขอเป็นทาสของพระสงฆ์ เพราะพระพุทธเจ้ามาปลุกสัตว์ให้ตื่น ท่านตรัสไว้ดีแล้ว มาสอนสัตว์โลก ท่านสอน ตรงไหนที่สมควรทำ ท่านก็บอกไว้ ตรงไหนที่ไม่สมควรทำท่านก็บอกไว้ ให้ทำตนเป็นที่พึ่งของตน ทุกข์อยู่ที่ไหนสมควร กำหนดอยู่ที่ทุกข์นั้น เกิดความรู้สึกตรงไหน ทำให้แจ้งในความรู้สึกนั้น
เมื่อเขาเตือนเขาพูดขึ้นมา หรือเขาด่า เขาว่า จะได้มาศึกษาว่าจริงเท็จอย่างไร อย่ามาโกรธ อย่ามาดีใจ อย่ามาเสียใจ เอาความฉลาดตรงนั้น การรู้เท่าทัน รู้ทันหู รู้ทันตา ที่ตาดูรูป ที่หูได้ยินเสียง ว่ามันเกิดความรู้สึกอย่างไร เมื่อเขาพูดมา หูเราได้ยินแล้ว ใจเราเกิดความรู้สึกอย่างไร แล้วมาพิจารณา ความจริงมันจริงอย่างไร เขาพูดดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม เขาพูดเสียก็ตาม สรรเสริญก็ตาม มาพิจารณาว่ามันถูกหรือมันผิด ถ้าถูกไม่มีปัญหา ถ้าผิดให้แก้ไขตน จึงว่า พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ด้วยความเบิกบานตลอด อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วตลอด ไม่ยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยู่ในพรหมวิหาร กล้าพิสูจน์กับใจตนตลอดว่า ใจตนเป็นอย่างนั้น ใจตนเป็นอย่างนี้
คำสอนพระพุทธเจ้า ให้เรากล้าท้าทาย ให้พิสูจน์กับตนเอง ว่าใจเราหนักแน่นขนาดไหน เป็นอมตะขนาดไหน ตรงไหนที่ไม่เกิด ตรงไหนที่ยังเกิดอยู่ ตรงไหนที่ดับแล้ว ตรงไหนที่มั่นคง ตรงไหนที่เป็นหลัก มันรู้เฉพาะตนเป็นปัจจัตตัง ว่าตรงนี้เป็นอมตะ ตรงนี้ไม่เกิด ตรงนี้ไม่เจ็บ ตรงนี้ไม่ตาย ตรงนี้มีแต่สุขตลอด ตรงนี้มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ถ้าเราเข้าใจเรา ต้องเข้าใจเรื่องของตน เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ว่าบุคคลที่เท่านั้นเป็นอย่างนั้น บุคคลที่เท่านี้เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้หมดแล้ว ต้องมาเข้าใจตามความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นกับตน แล้วก็เบื่อหน่ายตน เข้าใจตน แล้วได้ความสุขในตน ไม่เอาความสุขนอกตน เลยเป็นอมตะ มั่นคง ไม่มีการทุกข์อีกต่อไป ตรงไหนที่ยังเข้าไม่ถึง ก็ยังต้องวุ่นวายอยู่ตลอด การเห็นตน เห็นอย่างนั้น การพ้นพ้นอย่างนั้น การเข้าใจ เข้าใจอย่างนั้น ได้ความสุขเป็นอมตะอย่างนั้น
มีความเพลิดเพลิน รื่นเริงเป็นพรหมวิหาร กล้าหาญ รื่นเริงใจโลดโผน ไม่สะสกสะท้าน เพราะเห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ภูมิใจในการตายของตน เมื่อตายเมื่อไรที่ตรงนั้น ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ไม่กลัวตาย แต่กลัวเกิด ใจกลัวเกิด ใจไม่กลัวตาย สุขกับไม่มีภาระ เป็นสุขที่ผ่องแผ้ว สุขที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เรื่องของความผ่องแผ้ว ที่มันได้แล้ว ไม่ต้องรักษา จบการศึกษา ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปกำหนดอะไรทั้งสิ้น เป็นอมตะ เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ต้องไปทำท่าอะไรทั้งสิ้น ตรงไหนที่ยังมีอยู่ ต้องตั้งท่า คอยจับจ้องเจ้าของอยู่เสมอ คอยจับผิดเจ้าของอยู่ตลอด พอหูกระทบเสียง ตากระทบรูป ผู้อื่นถือว่าเป็นครูของตน ให้มาแก้ ภูมิใจได้เห็นกรรมของตน เขาพูดดีก็ เห็นกรรมของตน เขาพูดไม่ดีก็ เห็นกรรมของตน ภูมิใจได้ใช้กรรมของตน เขาว่าเราให้เขาสบายใจ เขามีความสุขแล้ว
เพราะว่าเมื่อเรามีหนี้สิน เปิ้นมาเอาหนี้คืนเราก็ให้เขาเสีย ที่เปิ้นมาว่าเรา เขามาทุบตีเราก็ให้เขาทุบตีเสีย เขามาฆ่าเราก็ให้เขาฆ่าเสีย ถ้าเห็นความสุขแล้วมันรับได้ทั้งหมด เพราะมันมีแล้ว ไม่ว่าเขามาทวงอะไร จ่ายได้ทั้งสิ้น แม้ชีวิตก็จ่ายได้ คำว่าพรหมวิหาร กล้าหาญ ให้เขาฆ่า คำว่าโต้ตอบจะไม่มีอีกต่อไป เปิ้นมาขอหนี้คืน เราเคยฆ่าเขา เขามาขอชีวิตคืน ก็ให้ไปเถอะ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้น ได้ใช้หนี้หมดไปแล้ว หมดปัญหา เราหมดหนี้หมดสินแล้ว เพราะเราทุกข์กับหนี้สินอยู่ เปิ้นมาเอาชีวิตคืนก็เอาไป เปิ้นมาเอาด่าคืนก็เอาไป มันทนได้ทั้งหมด เพราะมันมีแล้ว ใจมันมีความสุขแล้ว เห็นแต่โทษทั้งหมดเลย
การรู้ตัวให้รู้อย่างนั้น จึงว่าพรหมวิหาร เศรษฐี มีจ่าย ทนได้ รับได้ตลอด ใจที่เห็นความจริงแล้ว เพราะเห็นว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เมื่อเราสร้างกรรมอันใดไว้ เขาย่อมมาเอาอันนั้น เขาให้เราดีก็ยอมรับ เขาให้เราเสียก็ยอมรับ คือรับได้ทั้งหมด เมื่อเขาติดหนี้เราแต่ปางก่อน เขาก็มาจ่ายหนี้เรา เราติดหนี้เขาแต่ปางก่อน ก็จำเป็นต้องจ่ายหนี้ให้เขา มันเป็นเรื่องธรรมดา จึงว่าโลกนี้เป็นอย่างนั้น ที่ไม่มีหนี้สินต่อกันและกัน มันไม่มีนะ ผู้ที่เกิดมา ถ้าเราไม่มีหนี้สิน เราไม่ได้เกิดนะ เพราะเราสิ้นกรรมไปแล้ว เข้าใจหมดแล้ว
นี่เรามาเกิด เพราะเราไม่เข้าใจ เรายังไม่เห็นโทษ เราใช้หนี้บ้าง กู้หนี้บ้าง มันทำทั้งสองอย่าง หนี้เก่าก็ไม่หมด หนี้ใหม่ก็สร้างไปหน้า ก็ได้ทั้งบุญและบาป บุญก็ทำ บาปก็เอา เลยไม่จบ ถ้าไม่สร้างบาป ทำบุญเป็นเครื่องอยู่ก็หมดปัญหา การเห็นธรรมเป็นอย่างนั้น เพราะมันรับได้ มีอุเบกขาเป็นเครื่องอยู่ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา ถ้าไม่ไหว ก็อุเบกขา ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม ก็เป็นอย่างนั้น ใจที่มันเข้าใจตน ไม่มีโทษอีกต่อไป เป็นอโหสิกรรม ใจไม่หวังอะไร ใจสิ้นหวัง ก็เป็นอโหสิกรรม เป็นจิตผ่องแผ้ว เขาว่าดีก็จิตผ่องแผ้ว เขาว่าไม่ดีก็จิตผ่องแผ้ว อยู่กับความผ่องแผ้ว ไม่เอาดีและไม่ดี
เรื่องดีไม่ดีเป็นเรื่องโลก สำหรับโลก แต่ถ้าใจไม่เอาสักอย่าง มันเป็นเรื่องของเขา ใจมันผ่องแผ้ว อยู่กับความฉลาด อยู่กับความรู้ สิ้นกรรม สิ้นไป รับได้ทั้งหมด รู้ชัด เข้าใจเจ้าของ สมบูรณ์อยู่ตรงนั้น ไม่ไปหวังตรงอื่น อยู่กับโลกก็ไม่หวัง สักว่าอยู่ไปเท่านั้น อยู่กับเขา สักว่าอยู่ไปเท่านั้น อยู่ไปเป็นอโหสิกรรม สิ้นไปเฉพาะหน้าในปัจจุบัน ไม่มีอดีต อนาคตก็ไม่มี เหลือแต่วิบากขันธ์ ที่เรามาเกิด แก่ ต่อไปอีกข้างหน้า อยู่ไปตามกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน แต่กรรมใหม่ ไม่ให้ผล ถึงมีก็แก่ ถึงไม่มีก็แก่ สักว่าธรรมเท่านั้น สักว่าธรรมตั้งอยู่ สักว่าธรรมเท่านั้น ดับไป อะไรเกิดขึ้นก็เป็นธรรมทั้งหมด สักว่าธรรมเท่านั้นเกิดขี้น สักว่าธรรมตั้งอยู่ สักว่าธรรมเท่านั้น ดับไป ไม่เป็นสัตว์โลก ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น
ใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจ ไม่ใช่เรา เป็นธรรมเท่านั้น รูปธรรม เป็นนามธรรม เท่านั้น ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันเลย ไม่เป็นสองเป็นสามเหมือนเมื่อก่อน คือทำงานพร้อมกันหมด ปากพูด ใจก็พูด จิตก็พูดพร้อมกันหมด เสมอต้นเสมอปลาย ไม่คุ้มดีคุ้มร้ายเหมือนเมื่อก่อน มันเสมอกันหมด ปากพูดอย่างไร ก็ใจเป็นอย่างนั้น ไม่เหลือ ไม่แซงหน้าแซงหลังเหมือนเมื่อก่อน ก็สมบูรณ์อยู่ตรงนั้น ตรงไหนที่เข้าถึง มันพร้อมกันหมด พร้อมเป็นขั้นๆ เป็นชั้นๆ เป็นตอนๆ พร้อม ปากอย่างไร ใจอย่างนั้น จิตอย่างนั้นอันเดียวกัน ตรงกันเปะเลย
ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องของเรา คน ปากพูด ใจแซงหน้าแซงหลัง มันยังไม่รวม ก็จำเป็น มีแต่เรื่องเยอะเลย นั่นแหละกรรมของเรา เราไม่รู้เรื่องเรา ใจเราเป็นอย่างไร เราไม่รู้ เนียแหละเราคุมมันไม่ได้ ยังเข้าไม่ถึง เนี่ยคำว่าสังโยชน์ ความรู้สึก ตนเองห่างไกลจากตน ไม่ใช่ห่างไกลจากคนอื่น ตนไม่เข้าใจตน ตนไม่รู้เรื่องตน เลยตนหลงตน ตนก็ไม่เชื่อตน เนี่ยแหละ ตนไม่ไว้ใจตน ก็ตนก็ทุกข์กับตนเนี่ยแหละ ไม่ได้ทุกข์กับคนอื่น มันไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น คนอื่นมันไม่ได้มาแทนกันได้ เหตุอยู่ที่ตน ก็ต้องดับที่ตน อะไรก็เรื่องของตน กรรมใครกรรมมัน เรื่องของเราทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น จบการศึกษาในเรา ไม่ใช่จบการศึกษาที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่ครู ที่อาจารย์ ที่คนอื่น ไม่ใช่ เอาละพอ
ยังไงต้องขอเวลามาอ่านอีกทีค่ะ
คุณกิ่งคงเป็นอีกคนที่ท่าทางจะหลงรักอิตาลีเหมือนกัน
ว่าแต่ว่าถ้าว่างคนทางนี้ก็อยากเห็นบรรยากาศที่แคนาดาบ้างนะคะ