นายสำรวย ลิขสิทธิพันธุ์ นักวิชาการประมง ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง) เปิดเผยว่า แมงดาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทที่ 1 แมงดาถ้วยหรือแมงดาหางกลม ลักษณะกระดองมีสีน้ำตาลอมแดง หางมีหน้าตัด เป็นรูปครึ่งวงกลม สันหางเรียบไม่มีหนาม ขนาดความยาวรวมหาง 25-30 ซม. ตัวที่มีพิษจะมีตาสีแดงก่ำ และมีขนปกคลุมทั้งตัวเรียกว่า เหรา หรือแมงดาไฟ แหล่งที่พบเห็นตามชายฝั่งน้ำตื้นพื้นโคลน ปากแม่น้ำหรือตามลำคลองป่าชายเลน
ประเภทที่ 2 แมงดาจาน หรือแมงดาหางเหลี่ยม ลักษณะกระดองมีสีน้ำตาลอมเขียว หางมีหน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ด้านบนมีสันและหนามเรียงกันเป็นแถวคล้ายฟันเลื่อย ขนาดความยาวรวมหาง 40-50 ซม. สามารถบริโภคได้ แหล่งที่พบตามพื้นทะเลห่างชายฝั่งออกไป หรือพื้นทราย ส่วนการบริโภคไข่ของแมงดาถ้วยที่เรียกว่า เหรา หรือแมงดาไฟนั้น อาจมีพิษถึงตายได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์กันยายน หลังจากรับประทานเข้าไปภายใน 30 นาที-1 ชั่วโมง จะมีอาการท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการชาที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และแขนขากล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และช็อกหมดสติ หากได้รับพิษมากมีอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว โดยเป็นพิษกลุ่มเทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ซึ่งพิษกลุ่มนี้จะไม่สลายตัวหรือถูกทำลาย แม้จะทำให้สุกก่อนบริโภค หากได้รับพิษ การปฐมพยาบาล ทำการล้างท้อง ทำให้อาเจียน และควรใช้เครื่องช่วยหายใจ แล้วรีบนำคนป่วยส่งโรงพยาบาล ข้อควรระวัง ไม่ควรนำแมงดาถ้วยมาเป็นอาหาร
นพ.นพฤทธิ์ อ้นพร้อม ผอ.โรงพยาบาลระยอง กล่าวว่า ในจังหวัดระยองมีชื่อเสียงในเรื่องของการจำหน่ายอาหารทะเลสด ๆ ตามแนวชายหาด และร้านอาหาร นักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาบริโภคอาหารทะเลกันอย่างมาก จึงขอแจ้งเตือนการบริโภคแมงดาทะเล ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์มิถุนายน เนื่องจากไข่แมงดามีพิษ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์กันยายน แต่สำหรับคนที่ชอบรับประทานแมงดาทะเลแล้ว ถ้าพบว่าหลังจากการบริโภค แล้วรู้สึกมีอาการชาที่ปาก หายใจไม่ออก ให้ทำการล้างท้อง ล้วงคอทำให้อาเจียน และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด การใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นการรักษาเบื้องต้นเพื่อช่วยให้คนไข้หายใจได้ หลังจากนั้นก็รักษาตามอาการแบบเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษโดยทั่วไป ในปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษแมงดาทะเล.