มารู้จักกันอีกสักนิด.. Tag ส่วนตั๊ว ส่วนตัว (ยังงี้ก็รู้ความลับเราหมดน่ะดิ)
Tag นี้เค้ามีชื่อว่า :: คู่มือทำความเข้าใจตนเอง
ได้รับจากน้องโอ๋มาเป็นอาทิตย์แล้ว พอดีวันนี้หยุดงานก็เลยมีเวลาเยอะหน่อย
ไม่ได้หรอก.. คนกันเองรีเควสมา เราต้องจัดไป อย่าให้เสีย อิอิ
แทคนี้ดั้งเดิมเค้าก็เขียนกันยาว ๆ อยู่นะ โดยเฉพาะของน้องโอ๋ cutie_nitty เขียนได้น่าอ่าน
และยาวมั่ก ๆ ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพี่เอ๋อาจทำให้มันสั้นจุ๊ดจู๋ก็ได้ มันกลายพันธุ์น่ะ
สมัยเด๊ก เด็ก
๑. เจ้าของบล็อกเป็นสาวมีน เกิดเดือนมีนาคม นิสัยตรงตามที่เค้าพยากรณ์เป๊ะ ๆ ๆ ๆ ๆ
อ่อนหวาน อ่อนไหว ช่างฝัน จินตนาการณ์ล้ำเลิศ ความคิดสร้างสรร โรแมนติก ช่างเอาใจด้วยนะ
ปรับตัวให้เข้ากับคน หรือสิ่งแวดล้อมได้ง่าย, แอบมีใจโลเลด้วย แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะ หุหุ
๒. ชื่อเอ๋ ชื่อโหลมาก เหตุผลที่แม่ตั้งให้คือ.. เกิดมาพักใหญ่ยังหาชื่อเล่นให้ลูกไม่ได้
พอดีได้ยินแม่คนนึงเรียกชื่อลูกสาวว่า "เอ๋" ได้ยินดังนี้ ถูกใจแม่ดิชั้นสุด ๆ เลยให้ชื่อนี้ซะเลย
(ก็ตอนตั้งชื่อ ยังตั้งตามคนอื่นเลยอ่ะ แล้วโตขึ้นมาจะไม่ให้ชื่อโหลได้ไงเนาะ..)
๓. เกิดที่ จ.พิษณุโลก มีน้องสาว หนึ่งคน สนิทกันมาก สนิทกันสามคนแม่ลูก แบบสุด ๆ เลย
๔. พอเรียนจบ ป.๑ ครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ก็ตั้งรกรากเรื่อยมา ซื้อบ้าน ทำงาน
เวลาใครถามว่าเป็นคนที่ไหน เลยไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี เพราะรู้เรื่องชลฯ มากกว่า พิษณุโลกซะอีก
๕. นิสัยขี้หึง คงเป็นพรสวรรค์ (ที่ไม่อยากมี) อยู่ในสายเลือดตั้งแต่กำเนิด แม่เล่าให้ฟังว่า...
ตอนเด็ก ๆ ๓ ขวบ พ่อไปทำงานเป็น Camp Boss ที่ต่างประเทศ พอมีงานปีใหม่ พ่อก็เป็นพิธีกร
และมีการประกวดสาวประเภทสองกัน เค้าก็คงเล่นกันสนุกตามประสา และถ่ายรูปคู่กับพ่อมาด้วย
พ่อก็ส่งภาพบรรยากาศงานมาให้ดู พอเราเห็นรูปพ่อกับสาวเทียมคนนั้น ก็ร้องไห้ฟูมฟาย
แล้วไปเดินหากระดาษ กับปากกา มาให้น้าเขียนจดหมายไปบอกพ่อว่า "ให้เลิกกับผู้หญิงคนนี้ทันที"
ฮ่ะ ๆ ๆ เรื่องทั้งหมดเอ๋เองก็จำไม่ได้ เพราะเด็กมาก ๆ แม่กับน้าเล่าให้ฟัง เลยคิดว่ามันคงอยู่ในสายเลือด
๖. เคยได้รับเลือกให้เต้นงานโรงเรียนตอนป. ๑ ต้องเต้นคู่กับหนุ่ม ๆ ด้วย เราก็ดีใจมั่ก ๆ (ตั้งแต่เด็กเลย)
แต่ไม่ได้เต้นกับคนน่ารัก เลยพยายามทำตัวมีปัญหา ครูเลยเปลี่ยนคู่ให้เรื่อย ๆ จนได้คู่กับคนนั้น คิคิ
เริ่มเข้าโรงเรียนละ
๗. พอจบ ป.๑ ก็ย้ายมาเข้า ป.๒ ที่จ.ชลบุรี เป็นโรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน เรียนแบบสบาย ๆ สุด ๆ
คุณครูมักจะให้เด็กท่องสูตรคูณ และครูก็เม้าท์กันว่า "หวยออกอะไร" หรือไม่ก็เอามะเฟืองมาขายให้ นร.
ไม่ก็นั่งให้นร. บีบนวดหลัง ตอนนั้นไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าสบายดี ไม่ต้องเรียนมาก ฮ่ะ ๆ ๆ
๘. แม่เห็นท่าไม่ดีลูกฉ้าน.. ต้องโง่งมแน่ ๆ ขืนอยู่ต่อไป เลยย้ายไปโรงเรียนคาทอลิกแห่งนึง
ในจ. ระยอง ก็ย้ายไปทั้งพี่ทั้งน้อง ไปดูบรรยากาศโรงเรียนวันแรกประทับใจม๊ากกก..แม่หนูอยากเรียนที่นี่
ตอนเดินชมโรงเรียนก็จินตนาการณ์เพ้อไปกับน้องสองคน ว่าเราจะมาอ่านหนังสือกันใต้ต้นไม้นี่นะ โอเค ๆ
๙. แล้วก็สอบเข้าจนได้.. พอเปิดเทอมใต้ต้นไม้ที่กะว่าจะอ่านหนังสือ มันเป็นที่สำหรับวางเครื่องปรุง
ปรุงก๋วยเตี๋ยว !! ก็ต้นไม้นั้นมันอยู่ติดกับโรงอาหารนี่นา เหอะ ๆ ๆ ฝันน้อย ๆ ของสองพี่น้องก็พังทลาย
๑๐. ด้วยความที่สองพี่น้องหนิดหนมกันมาก เลยรอกินข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวัน เพื่อนฝูงไม่ค่อยคบ
อยู่กับน้องสนุกกว่า แต่ก็เคยทะเลาะกันนะ น้องลงมาช้าโมโหหิวขึ้นไปตามที่ห้องเรียน
แล้วก็ปากล่องข้าวใส่น้อง ฮ่ะ ๆ ๆ ไข่ดาว ข้าวสวย กระเด็นเต็มพื้น ตกใจเลยดีกัน และช่วยกันเก็บ ฮ่ะฮ่ะ
๑๑. โรงเรียนคริสต์ ก็เน้นภาษาอังกฤษเนาะ เราก็ชอบภาษาจากที่นี่ ครูก็สอนดี
หนังสือนิทานภาษาอังกฤษเพียบ ครูไทยสอนออกเสียงได้เวอร์มาก ทำให้เราได้สำเนียงดี ๆ มาจนทุกวันนี้
นอกจากนี้พ่อยังชอบพาเพื่อนร่วมงานชาวฝรั่งมาบ้าน และปล่อยให้สองพี่น้องรับรองแขกกันเอง
จำได้ติดใจ ชี้ให้ฝรั่งดู "Dog Black" ฝรั่งบอกม่ายช่าย ๆ เค้าเรียกว่า " Black Dog" เออ..จำ ๆ ๆ
๑๒. เป็นเด็กเซอร์ ไม่สนใจตัวเอง ชุดนักเรียนที่นี่จะเป็นเสื้อแขนยาว แต่แขนเสื้อเอ๋ขาดดดดดดดดด....
เป็นรอยยาว ยาวเป็นคืบเลย แต่ก็ไม่คิดว่ามันน่าเกลียด ก็ใส่เสื้อไปเรียนตามปกติ เป็นเดือน ๆ
ครูคนนึงเห็นว่าใส่มานาน ไม่ซ่อม ไม่ทิ้ง คงทนไม่ไหว..เดินมาบอกว่า "ให้คุณแม่เปลี่ยนเสื้อให้เถอะ"
เหรอ ?? เราถึงรู้สึกตัวว่า "มันน่าเกลียดเหรอ??" ฮ่ะ ๆ ๆ ยัยเบ๊อะ !!
๑๓. แต่ถึงเค้าจะเบ๊อะบ๊ะที่นี่ แต่ทุกสงกรานต์เราจะกลับ จ.พิษณุโลกกัน เป็นอะไรที่รอคอยมาก
เพราะได้เล่นน้ำ และกลับไปทีไร จะมีหนุ่ม ๆ แถวนั้นมาตามเป็นขบวน เรียกว่าเป็น "ดาวบ้านนา" เลยล่ะ
ก็รู้สึกดีนิดนึง (เยอะเลยแหละ) เพราะอยู่ชลฯ ไม่มีใครมอง ก็แน่ล่ะเล่นใส่เสื้อขาดยังงั้นใครจะสน
๑๔. จบโรงเรียนคริสต์ เราก็ไปสอบเข้าโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง เหตุผลหลักเพราะชุดนักเรียนสวย
เป็นกระโปรงสีเทา และไม่ต้องใส่ชายเสื้อทับในกระโปรงด้วย แบบว่าเราไม่มีเอวอ่ะนะ เลยไม่อยากนุ่งทับ
๑๕. จับพลัดจับผลู สอบติดเฉยเลย ดีใจสุด ๆ อีกครั้ง จะว่าไปเรามีดวงเรื่องสอบเข้า กับเรื่องทำงานดี
แต่ไม่มีดวงด้านเสี่ยงโชค เสี่ยงพนันเลย.. แบบว่าดวงต้องลงแรงเอง ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เฮ้อ..
๑๖. ที่สาธิตแห่งนี้ทำให้เจอเพื่อนรัก และมีความทรงจำดี ๆ มากมาย และ Puppy Love ก็เกิดขึ้นที่นี่
๑๗. เค้าเป็นผู้ชายที่น่ารัก มีเสน่ห์ มีเขี้ยว มีลักยิ้ม ร่าเริงสุด ๆ ชอบมาแกล้งเราบ่อย ๆ
จนเราอดคิดไม่ได้ว่าคิดไรกับเราปะนี่ ?
๑๘. แหม..มันก็ใกล้ ๆ คล้าย ๆ ล่ะนะ ถ้าไม่มี "เธอคนนั้น" เข้ามาแทรก..
เธอเข้ามาหลังจากที่เราเปิดเรียน ม.๔ ได้ สอง สามสัปดาห์แล้ว เรียกว่าเข้ามาก็เด่นแล้วล่ะ
นอกจากนี้เธอยังน่ารักโคด ๆ ๆ เทพธิดาจำแลงเลย หน้าตาเหมือนนางเอกการ์ตูนญี่ปุ่นมาก ๆ ไม่ได้โม้
ผมยาวถึงเอว เป็นลอนอ่อน ๆ ผมสีน้ำตาล ทั้งที่ไม่ได้ทำสี และไม่ได้เป็นลูกครึ่ง (ออกจีน ๆ)
จมูกเล็กเรียว โด่ง, ริมฝีปากเล็ก ๆ หยักได้รูป สีชมพู, ผิวขาวเนียน, รูปหน้าแบบในการ์ตูนเลย คางแหลม ๆ
รูปร่างสูงโปร่ง คือเธอมาแบบ "สวยขั้นเทพ" เลยล่ะ.. เป็นดาวโรงเรียนไปเลย พี่ ๆ รุมจีบมากมาย
รวมถึงพ่อหนุ่มร่าเริงของเราด้วย
เค้าไม่ได้จีบตรง ๆ ก็แหย่ ๆ เหมือนแหย่เรางั้นแหละ แล้วเค้าก็ตกลงคบกัน ฮือ ๆ "น้ำตาตก" เลย
๑๙. จากบ้านไป รร.สาธิตนี้ ต้องนั่งรถเมล์ไป ๒ ชม. ทู๊กกกวัน ขากลับอีก ๒ ชม. ไปสายประจำ..
๒๐. เคยโดดเรียนทางหลังโรงเรียน พอเห็นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็วิ่งไปหลบหลังกระท่อมแถวนั้น
คนในกระท่อมเปิดทีวีดูละคร ตัวละครพูดว่า "แกต้องโดนจับได้แน่ ๆ" มาพูดอะไรตอนนี้ฟะ !!
๒๑. ก็เรียน ๆ โดด ๆ เพ้อ ๆ ฮา ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดเรื่องเอ็นทรานส์อะไรเล้ยยย.. เด็กภูธรอ่ะเนาะ
๒๒. พอถึงเวลาสอบโควต้าภาคตะวันออก เราก็ลงสอบไปงั้นแหละ ครูแนะแนวก็ไม่ได้แนะอะไร
๒๓. ผล... สอบติดค่ะ แต่ได้คณะที่ไม่อยากเรียน ร้องไห้ในห้องเรียนเลย ตอนที่ครูมาแจ้งผลว่าสอบติด
๒๔. นร.ในห้องมี ๕๕ คน สอบติด ๙ คน แต่ยัยนี่มานั่งร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่เพื่อนที่เลือกคณะนี้
แต่สอบไม่ติดก็มี พอคิดได้ ก็สงสารเพื่อนเลยหยุดฟูมฟาย แต่ก็ไม่อยากเรียนอยู่ดี...
๒๕. คิดไปคิดมา.. แต่ถ้าไม่เรียนที่นี่ ที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐด้วย ค่าหน่วยกิจก็ถูกมาก ๆ
และเราไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ ไม่ชอบกรุงเทพฯมาก ๆ (แต่ตอนนี้ติดกรุงเทพฯ ไปแล้ว)
เลยตัดใจเรียนก็ได้ คิดแล้วว่าถึงไปเอ็นฯ ก็ไม่ติดชัวร์ ๆ ไม่เคยอ่านหนังสือเลย
๒๖. ตกลงก็เรียนที่นั่น บรรยากาศดีติดบางแสน ตอนแรกเลือกวิชาโทภาษาญี่ปุ่น แต่คนบอกยากส์
เลยไปถอนออก และไปเรียนบริหารธุรกิจแทน..เฮ้อ ถ้ารู้อนาคต คงเรียนญี่ปุ่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเนาะ
๒๗. พอเข้ามหาลัยปีหนึ่ง ได้เป็นสต๊าฟเชียร์ ต้องเคี่ยวเข็ญให้เพื่อน ๆ ปีหนึ่งไปซ้อมเชียร์ และทำให้เต็มที่
เพราะคณะของเรา เป็นคู่แข่งกับคณะพยาบาล มาตลอดเรื่องถ้วยเชียร์
๒๘. พออยู่ในหน้าที่เราจะโหดมาก เพราะอยากทำให้ดีที่สุด และพวกเราก็ทำสำเร็จ
จึงแก้บนด้วยกระกระโดนสระบัวหน้าคณะลงกันหลายสิบคน เป็นความภูมิใจเล็ก ๆ อีกอย่างนึง
๒๙. จากนั้นก็เริ่มฉายแววนักพูด.. ตอนรออาจารย์เข้าสอน ชอบไปยืนพูดหน้าห้อง ไม่รู้พูดอะไรนักหนา
เพื่อน ๆ ก็ขำกันไป บอกให้เราไปทำ "เดี่ยวไมโครโฟน" มันก็ไม่ขนาดนั้น นี่สนิทกันหรอกถึงพูดได้
เลยได้ฉายา "จ๊ะเอ๋ เชิญยิ้ม" โห..ไม่ปลื้มเลย ทำไมไม่แบบ.."สวยประหาร" อะไรแบบเนี้ย??
๓๐. นอกนั้นก็มีโต้วาที, แสดงละคร, เป็นพิธีกร ฝึกสอน ซึ่งช่วงฝึกสอนนี่เพื่อน ๆ ห้องอื่นจะมารอดูเราด้วย
ว่าถึงตาเราสอนหรือยัง เค้าบอกว่าเราสอนสนุก แต่เราก็ชอบสอนเด็ก ๆ นะ หรือว่าเกิดวันพฤหัสด้วย วันครู
ก้าวพ้นวัยเรียน เข้าสู่วัยทำงาน
๓๑. อย่างที่บอก ว่ามีดวงด้านการงาน สอบที่ไหน สัมภาษณ์ที่ไหนมักจะติดเกือบหมด ไม่ค่อยมีพลาด
๓๒. แต่เป็นคนไม่ค่อยอดทน ถ้าทำงานแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบก็จะลาออกทันที หรือหายไปเฉย ๆ
๓๓. เคยทำงานที่โรงพยาบาล ทั้งที่เป็นคนกลัวปี๋ สุด ๆ ถ้าเข้ากะกลางคืน และต้องไปเก็บเอกสารคนเดียว
ใกล้ๆ เที่ยงคืน ต้องผ่านห้องไอซียูด้วย บรื๋อออ.. ถ้าไม่มีคนเอ๋ก็จะมองซ้ายมองขวา แล้ววิ่งป่าราบเลย
บ่ได้โม้ วิ่งแบบวิ่งแข่งอ่ะ แต่วิ่งในตึก หุหุ ไม่สนใจแล้วว่าใส่กระโปรง คัทชู ก็คนมันกลัวนี่นา..
๓๔. นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายงาน แต่ถูกใจที่สุดก็คืองาน สุดท้าย "ล่ามภาษาญี่ปุ่น และเลขานุการ"
๓๕. รู้ตัวเองว่าชอบภาษาต่างประเทศ แต่อังกฤษอย่างเดียวคงหางานดี ๆ ได้ยาก เพราะไม่ได้จบนอกมา
เลยไปเรียนภาษาญี่ปุ่น เรียนคอร์สเร่งรัด สี่เดือนก็ สอบผ่านระดับสาม จากนั้นก็เรียน ๆ หยุด ๆ
รวมเวลาอีก สองปี จึงสอบผ่านระดับ สอง.. พอผ่านปุ๊บ ก็หางานล่ามทันที จริง ๆ หาได้ตั้งแต่ระดับสามแล้ว
แต่ไม่มั่นใจความสามารถตัวเอง เลยขอเรียนต่ออีกหน่อย
๓๖. เริ่มหางานล่ามได้เพียงสองวัน เค้าก็โทรให้ไปสัมภาษณ์มากมาย และก็ได้งานพร้อมกัน ๒ ที่
เราก็เลือกที่หนึ่ง เพราะบรรยากาศโรงงานสวยงาม ดุจดังสนามกอล์ฟ มีต้นไม้ ศาลาพักผ่อน ร่มรื่นมาก ๆ
๓๗. แต่เสียดายทำที่นี่ได้เพียง หนึ่งปี จำต้องลาออก และหอบกระเป๋าตามนายมาญี่ปุ่น
ไม่ได้มาทำงาน แต่มาแต่งงาน..ฮ่ะ ๆ
ความรัก ความรัก เจ้าขา..จู่ ๆ ก็มาไม่ทันตั้งตัว..~~
๓๘. จะเล่าดีมั้ยเนี่ย... เอาคร่าว ๆ แล้วกันเนาะ แบบว่าเจ้าของบล็อกมีนิสัยไม่ค่อยดี + เจ้าชู้เล็กน้อย
โลเลหน่อย ๆ เปลี่ยนใจเยอะ ๆ ฮ่ะ ๆ ๆ แต่ตอนนี้หายหมดแล้ว "หยุด" แล้วจ้า..
๓๙. เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาจีบ มันทำตัวไม่ถูก และไม่ตื่นเต้น ชอบความรู้สึกที่ไปแอบชอบเค้าก่อน
และก็พยายามทำสิ่งดี ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เค้าประทับใจ และให้เค้าชอบเรา มันได้ลุ้น และมีความสุขมั่ก ๆ
๔๐. ส่วนใหญ่คนที่เราหมายตาไว้ ก็จะเป็นดังที่หวังนะ ยกเว้นตอน ม. ๔ ดันไปเจอ
"ดาวโรงเรียน" เข้า..จะเอาอะไรไปสู้ฟะ
๔๑. เคยชอบเด็กเทคนิคโรงเรียนดังแห่งหนึ่ง เค้าจะไปฝึกงานจึงนั่งรอรถหน้าโรงเรียน ส่วนเราก็นั่งรถเมล์
ไปเรียนกับเพื่อน ๆ มากมาย ผ่านทุกวันเวลาเดิม ก็เห็นเค้านั่งทุกวัน น่ารักมากด้วย เพิ่งรู้ตอนหลัง
ว่าเค้าเป็นดาว รร.เค้า ได้ถือป้ายโรงเรียน ทำกิจกรรมเพียบ หล่อ เรียนดี โอ๊ย..เป๊กเอ๋เลย (ชอบคนหล่อ)
๔๒. และแล้วเราก็ทำใสซื่อจีบเค้าสำเร็จ แต่ตอนเด็ก ๆ นิสัยไม่ดีเป็นโรคเบื่อง่าย คบได้ สามเดือน
เจอกัน 2-3 ครั้ง ทุกครั้งจะมีเพื่อนตลอด พอสามเดือนก็เบื่ออย่างรุนแรง ไม่อยากแม้แต่ได้ยินเสียง
เค้าขี่จักรยานมาหาเราที่โรงเรียน เป็นสิบกิโล มารอโรงเรียนเลิก แต่เราไม่มองหน้า เดินหนี ทำเป็นไม่รู้จัก
ทำให้เค้าถึงกับน้ำตาไหล..โธ่เอ๊ย.. ทำยังกะสวยเลือกได้เลยเนาะ (ไม่สวย แต่เร้าจาย เฟ้ยยย..)
๔๓. พอหายเบื่อเราก็กลับไปคืนดี เค้าก็ยอม เป็นอย่างนี้อยู่สามสี่รอบ จนกระทั่ง จบมหาวิทยาลัย
เราทำเค้าร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง ก็ต้องขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ด้วยนะคะ ผิดไปแล้วจริง ๆ
๔๔. จากนั้นเข้าสู่วัยทำงาน ก็เรื่อย ๆ โรคเบื่อก็ยังวนเวียนอยู่ แต่ช่วงที่ไม่มีใคร ก็เงียบไปเลยเป็นปี ๆ
๔๕. เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ทำให้เจอแฟนญี่ปุ่นคนแรก.. คนที่เปลี่ยนแปลงตัวเราให้เรียบร้อยขึ้นมาก
เพราะเค้ามาจากครอบครัวญี่ปุ่นหัวโบราณ คุณพ่อเป็นอาจารย์สอนเขียนพู่กันญี่ปุ่น เคร่งครัดมาก ๆ
และก็ย้ำหนักหนากับลูกชาย ก่อนมาทำงานที่เมืองไทย (ตอนมาไทยอายุ ๒๗ ปี และโสด)
ย้ำว่า "อย่าพาลูกสะใภ้คนไทย กลับมานะ ลูกสะใภ้พ่อต้องเป็นญี่ปุ่นเท่านั้น"
เจอกฏเหล็กมาตั้งแต่ต้น โดยที่เราไม่รู้ตอนเริ่มคบกัน คบกันได้ไม่ถึงปี เค้าก็ได้กำหนดย้ายกลับญี่ปุ่น
ก็พยายามพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็น ว่ารักเราจริง โดยบินมาหาทุกเดือน มีเวลาแค่เสาร์ อาทิตย์ ก็บินมา
๔๖. คบกับคนนี้ ต้องเปลี่ยนตัวเองมาก ๆ ต้องเรียบร้อย ตัดเล็บ ไม่แต่งหน้า ไม่ทำสีผม
ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ตอนแรก ๆ ก็ทำได้ คงอยู่ช่วงโปรโมชั่น แต่ผ่านไปเป็นสองปี สามปี
เริ่มอึดอัด เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา ทำให้รู้ว่า "ถ้ารักใคร ต้องรักที่เค้าเป็นแบบนั้น อย่าคิดให้เค้าเปลี่ยนตัวเอง"
๔๗. อีกทั้งพ่อ แม่เค้า ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมรับได้ และเค้าก็ไม่หนักแน่น ไม่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องเรา
ที่จะบอกพ่อแม่ว่า "เค้าต้องการอยู่กับเรา" จึงตัดสินใจ "แยกทาง" ทั้งที่คบกับมาหลายปี..
๔๘. พอเริ่มงานล่าม อาจเพราะเรามาจากกรุงเทพฯ (ไปซื้อบ้านใหม่ที่ปทุมธานี ไม่มีใครอยู่ชลแล้ว)
แต่งหน้า ทำผม เขียนตา จ๋ามาเลย ขับรถมาทำงาน พูดญี่ปุ่นปร๋อ เลยเป็นจุดสนใจของหนุ่ม ๆ
ตั้งแต่หนุ่มพนักงานในไลน์ , หนุ่มออฟฟิศ, รุ่นน้องเอ็นจิเนียร์, ผู้จัดการ และญี่ปุ่นอีก 2 คน
โฮะ ๆ ๆ เข้าไปใหม่ ๆ ก็หว่านเสน่ไปเรื่อย.. ไม่ใช่ง้านนน..ค่า อย่าเพิ่งเข้าใจผิด
คือเราเป็นคนยิ้มง่าย และขี้เขิน ขี้อาย โดยเฉพาะเข้าไปใหม่ ๆ ยังไม่รู้จักศัพท์เฉพาะทาง
เราเลยต้องหาพวกเอาไว้เยอะ ๆ เอาไว้ช่วยเวลาเราแปลไม่ได้ ผิดยังไงก็ยิ้มไว้ก่อน..เผื่อเค้าจะให้อภัย
(ทากุจิเคยบอกว่า เวลาโมโห และดุลูกน้องจะพูดโดยไม่มองหน้าล่าม
เพราะถ้าหันมาเห็นรอยยิ้มเราทีไรแล้วใจอ่อนทู๊กที..กรี๊ดดดส์) พูดงี้ให้เต็ม 10 เลย ถูกใจเจง ๆ
๔๙. พอทำมาใกล้ ๆ ครบหนึ่งปี ก็เจอกับ "ทากุจิซัง" เห็นครั้งแรกก็ว่าไม่หล่อเท่าไหร่
เพราะแอบกิ๊กญี่ปุ่นคนก่อนอยู่ (เค้ากลับ และทากุจิมาแทน) แต่ทากุจิเป็นที่กรี๊ดของสาว ๆ ในบริษัท
ทั้งในไลน์ และในออฟฟิศ + กับนิสัยชอบเอาชนะของเรา แหม..เราทำงานด้วยกันทุกวัน ใกล้กันทั้งวัน
เพราะทากุจิพูดอักฤษไม่ได้ เลยต้องเรียกใช้ล่ามทั้งวัน เลยทำให้เราหนิดหนมได้ง่ายกว่าคนอื่น
เลยดำเนินการวางแผน.. และทากุจิ ก็หลงกล เดินตามแผนเราอย่างดี และมาตกหลุมรักเรา โดยไม่รู้ตัว
จนทุกวันนี้เค้าก็คิดว่าเค้าเป็นฝ่ายเริ่มชอบเราก่อน ทั้งที่จริง "จอมวางแผน" นั่งอยู่ตรงนี้ ฮ่ะ ๆๆ
๕๐. พอเรียนรู้นิสัยกันได้ไม่นาน คนมันจะคลิก ก็คลิกกันได้เร็ว เราทั้งคู่รู้เลยว่า "ใช่"
ความรู้สึกไม่เหมือนที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เราทั้งสองมีความรู้สึกแบบนี้
"อยากอยู่กับคน ๆ นี้ตลอดไป" ซึ่งทากุจิก็บอกเช่นเดียวกัน
เค้าจึงเอ่ยเรื่อง "การแต่งงาน" ที่ร้านอาหารโรแมนติกริมทะเล ณ พัทยา เมื่อเราคบกันได้ ๒ เดือน
และโทรไปบอกพ่อ แม่ และเพื่อนสนิทที่ญี่ปุ่นว่า "เจอผู้หญิงที่อยากแต่งงานด้วยแล้ว" วิ้ววว..
๕๑. จากวันนั้น วันที่เริ่มคบกัน จนถึงวันนี้ไม่เคยผิดหวังแม้สักนิด ที่เลือกแต่งงานกับทากุจิ
๕๒. ของขวัญมีค่าที่สุด ที่ทากุจิมอบให้คือ "การเลิกสูบบุหรี่" คิดว่าเค้าพูดเล่น แต่เค้าก็หักดิบทันที
ตั้งแต่วันแรกที่เราถึงแผ่นดินญี่ปุ่น ถึงแม้ช่วงแรกเค้าจะหงุดหงิด แต่ก็ผ่านมาได้ ขอบคุณมาก ๆ เลย
๕๓. ตอนนี้บทชีวิตฉากใหม่ก็เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ณ ดินแดนไกลบ้าน สาวที่เคยเอาแต่สบาย ไม่หยิบจับงานบ้าน
งานครัว.. ตอนนี้ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ปรับชีวิต ปรับความคิดใหม่ มีเหงา มีเศร้า มีท้อ มีร้องไห้บ้าง
แต่ไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้ คงเพราะมีเค้าคอยอยู่เคียงข้าง ชีวิตต่อไปนี้ คงต้องเจออะไรอีกมากมาย
ก็จะยิ้มสู้ และอดทน ฝ่าฟันต่อไป ทำให้ได้สักครึ่งหนึ่งของแม่ก็ยังดี.. "หนูจะพยายามค่ะแม่.."
おつかれさま、 ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่อ่านมาจนจบ คงจะล้าสายตาแย่เลย
แทคนี้คงพอทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นเนาะ ที่สำคัญทำให้เจ้าของบล็อกคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ
แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสุข หรือช่วงทุกข์ที่เคยผ่านมา
ขอบคุณน้องโอ๋ ที่ส่งแทคนี้มาให้นะจ๊ะ.. แล้วไว้คุยกันใหม่นะคะทุกคน วันนี้ต้องไป (ฝืน) เข้ายิมซักหน่อย
วันอาทิตย์นี้ต้องไปลองชุดเจ้าสาวแล้ว... ไม่ทันกาลละ ไปก่อนนะคะ "สวัสดีค่ะ" Bye bye ~~
Create Date : 12 มิถุนายน 2552 |
|
29 comments |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 20:19:41 น. |
Counter : 989 Pageviews. |
|
|
|
ย้าว ยาว แต่ชอบอ่าน หนุกดี และพี่เอ๋ (ชื่อโหล) ก้ประทับใจข้อ 12 ที่สุดจ้า
อ๋อ พบกับทากุจิซังแบบนี้นี่เอง