เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 

เคนยา : Hell’s Gate ไต่ มุด ล่อง

การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติ Hell’s Gate ซึ่งห่างจากกรุงไนโรบีไปไม่ถึงสองชั่วโมงนับเป็นเรื่องกล้วยๆ นึกอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ขับรถไปได้ แต่สำหรับผมที่ยากยิ่งนักประหนึ่งต้องคำสาป คือ การเดินสำรวจอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ให้ครบถ้วนตามเส้นทางอย่างที่ตั้งใจ มาเที่ยวแล้วก็หลายหนแต่มีเหตุให้ไม่ได้เดินครบรอบทุกทีไป มาไม่ถึงบ้าง มาแล้วเดินไม่ครบรอบบ้าง เกิดอุบัติเหตุเสียก่อนบ้าง น้ำป่าไหลหลากบ้าง มาแล้วอุทยานปิดบ้าง จนเกือบจะเชื่ออยู่แล้วว่าผมชงกับสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน

จนมาครั้งนี้แหละที่อะไรก็เป็นใจทำให้สามารถท่องเที่ยว(ด้วยการเดินเท้า)อุทยานแห่งชาติ Hell’s Gate ได้สมใจ ถึงจะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ถือว่าสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้ว



เมื่อจ่ายค่าเข้าอุทยาน 500 ชิลลิง (เฉพาะผู้ที่มีหลักฐานแสดงตัวว่าทำงานในเคนยานะครับ) และค่ารถอีก 300 ชิลลิง เราหยุดกันหลังจากเข้าไปภายในได้ไม่ถึง 5 นาที มาสะดุดกับบริการไต่เชือกปีนเขาหินที่มาทุกครั้งเห็นทุกครั้งแต่ไม่มีโอกาสได้ลองสักที ไหนๆ คราวนี้กะจัดเต็มอยู่แล้ว จะไม่ยอมพลาดอีก


การจ่ายเงิน 500 ชิลลิงเพื่อปีนเขาหินตามธรรมชาติ โดยมีผู้(ที่ผมเชื่อว่า)เชี่ยวชาญคอยกำกับและควบคุมเชือกอยู่ด้านล่าง


ช่วยให้ผมหลั่งสารอะดรีนาลินได้ดีมากครับ ทั้งตื่นเต้น เร้าใจและหวาดเสียวคละเคล้ากันไป มีอะไรอีกนะที่ทำแล้วได้อารมณ์ประมาณเดียวกัน? มาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านคงว่าผมทะลึ่ง


ดูเหมือนไม่สูงจากที่ต่ำ แต่พอเริ่มไต่ไปได้กลางทาง ขาเริ่มสั่น หัวใจเต้นแรง ลมแรงช่วยแกว่งเชือกไปมาซึ่งไม่ต้องการเลยสักนิดในเวลาแบบนี้ วิวสวยมากแต่ไม่ค่อยกล้าเอี้ยวตาไปมอง แค่พยายามทรงตัวและไต่ขึ้นไปอย่างช้าๆ ก็แย่แล้ว


โดยเฉพาะช่วงที่ต้องถีบตัวสูงขึ้นไปเอามือเกาะร่องหินด้านบนเพื่อดึงตัวขึ้นไปจุดที่สูงที่สุด ทำใจอยู่หลายนาที แม้รู้ดีว่าถึงจับไม่ติดแล้วตกลงมา ก็จะห้อยต่องแต่งอยู่อย่างนั้นอย่างปลอดภัยเพราะเจ้าหน้าที่ด้านล่างคอยผ่อนเชือกอยู่ แต่ถ้าเชือกขาดล่ะ ถ้ากระแทกหินล่ะ ถ้าลมพัดมาล่ะ ถ้านกมาเกาะล่ะ คิดแต่เหตุที่จะทำให้ตกลงไปคอหักตายทั้งนั้น


สรุปว่าถึงยอดเขาในที่สุด อากาศบริสุทธิ์และวิวรอบตัวสวยมาก ดีไปเสียทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ดันไม่มีกล้องหรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถถ่ายรูปได้ติดตัวขึ้นไปเลย ได้แค่เพียงถ่ายด้วยตาและเซฟไว้ที่ใจครับ (ฮิ้ววววววว)


แม้ตอนลงจะง่ายกว่าตอนขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ใช้เวลาและความพยายามอยู่พอสมควร จะดีตรงที่เสียวมากขึ้นเนี่ยแหละเพราะปล่อยตัวฟรีลงมาเลย


เอาชีวิตลงมาจากยอดเขาได้แล้วจึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ด้วยทิปและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก สำหรับคนอ้วนหรือตัวใหญ่มากๆ ซึ่งที่เคนยามีอยู่ดาษดื่น เขาจะผูกตัวเขาไว้กับหินก้อนใหญ่เพื่อช่วยถ่วงน้ำหนัก โชคดีเราสองคนน้ำหนักรวมกันไม่ถึงร้อยโล เจ้าหน้าที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก


หลังกิจกรรมเรียกน้ำย่อย เรามาถึงบริเวณจุดเริ่มเดินของ จะเรียกว่าอะไรดีละ ร่องน้ำ ทางเดิน ช่องเขาหรือถ้ำ เอาเป็นว่าภาษาอังกฤษเรียกว่า gorge ซึ่งหลายคนออกเสียงผิดเป็นจอร์จและผมจะเรียกว่าช่องเขาก็แล้วกัน วันนี้ตั้งใจแล้วว่าจะไม่บ่นไม่ว่าจะเดินนานหรือไกลแค่ไหนก็ตาม อยากมาเอง ขืนยังจะมาบ่น เดี๋ยวเพื่อนที่มาด้วยกันจะตีศอกใส่หน้าเอาได้


ภูเขาหินทรงสูงในรูปนี้ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการเดิน แต่มีเรื่องเล่าว่าฝรั่งนายหนึ่งซึ่งชอบปีนเขาโดยไม่มีอุปกรณ์เป็นชีวิตจิตใจได้ปีนไปจนถึงยอด ปรากฏว่าเมื่อถึงยอดแล้วไม่สามารถลงได้ด้วยตัวเอง (แค่ขึ้นไปก็บ้าพอแล้ว อย่าคิดจะลงเลย) จึงเดือดร้อนเจ้าหน้าที่ต้องเรียกเฮลิคอปเตอร์จากไนโรบีมารับไปสู่ที่ปลอดภัย นั่งรอเฮลิคอปเตอร์บนยอดที่ทั้งเย็นทั้งน่าหวาดเสียวไปถึงเจ็ดชั่วโมง เรื่องบ้าท้าความตายแบบนี้ยกให้พวกฝรั่งบ้าพลังไปเลยครับ


จากภูเขาทรงสูง เราค่อยๆ ไต่หน้าผาลงไปถึงทางเดินในช่องเขาด้านล่าง ซึ่งมีเพียงทางเดินแคบๆ ชันๆ และเชือกไนล่อนที่คงบาดมือนักเดินป่ามาแล้วหลายคนให้เกาะ เท่านั้นไม่พอ รองเท้านี่ก็ชวนให้ลื่นจัง สิ่งที่ไม่บังควรมักจะเกิดในช่วงที่ไม่ต้องการเสมอ


ไกด์ซึ่งเราจ้าง 500 ชิลลิ่งให้นำทางเล่าให้ฟังว่าทางเดินที่แห้งแล้งแห่งนี้ เมื่อช่วงหน้าฝนเดือนเมษาที่ผ่านมาได้คร่าชีวิตนักเรียนที่มาเดินล่องถ้ำไป 7 คน โดยน้ำป่าที่ไหลหลากโดยไม่ทราบล่วงหน้าในระหว่างที่นักเรียนกว่า 50 คนกำลังเดินทัศนศึกษาในช่องเขาดังกล่าว หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากมีฝนตกเพียงเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จะสั่งให้ปิดส่วนนี้ของอุทยานทันที


ช่องเขายามไม่มีน้ำหลากช่างสวยงาม ดูเงียบสงบไร้พิษสง เป็นความวิจิตรของธรรมชาติในระยะทางประมาณ 3 กม.


หินถูกแกะสลักด้วยน้ำและลมนับล้านปี


สมเป็นไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติ Hell’s Gate


ป้ายห้ามเขียนกำแพงนี้คงเอามาติดช้าไป พวกมือบอนขีดเขียนชื่อตัวเองลงบนแผ่นหินจนแทบไม่มีที่ว่างแล้ว น่าจะนั่งอ่านชื่อเผาพริกเผาเกลือแช่งเป็นรายตัวไป ไม่ได้สร้าง จ่ายเงินเล็กน้อยเข้ามาเที่ยว แล้วยังมาทำลายของที่ไม่ใช่ของตัวเองหรือของบรรพบุรุษอีก


ไกด์ยังคงพาเราเดินต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ตกลงกันก่อนเริ่มเดินแล้วว่าวันนี้จัดเต็ม


มีวิวสวยๆ ให้ปีนป่ายถ่ายรูปกันตลอดเส้นทาง


น้ำใสไหลเย็นที่เห็นนี้ไม่เย็นนะครับ ร้อนจี๊ดๆ เลย เป็นน้ำร้อนใต้พิภพ


ไม่ร้อนอย่างเดียวยังทำให้พื้นแถวนั้นถูกเคลือบด้วยตะไคร่น้ำไหลลื่นไปด้วย ไม่แนะนำร้องเท้าแตะอย่างแรง แต่เพื่อนในกลุ่มคนนึงดันใส่มา บอกแล้วว่าสิ่งที่ไม่บังควรมักจะเกิดในช่วงที่ไม่ต้องการเสมอ


ภูมิประเทศจากช่องเขาสูงๆ แคบๆ เริ่มเปลี่ยนไปเป็นช่องเขาที่กว้างขึ้นจนมองเห็นเป็นทางน้ำอย่างเห็นได้ชัด 


ดูจากสภาพแล้วคาดว่าในฤดูน้ำหลากดินคงถล่มอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่รู้ว่าน้ำพัดพาดินพวกนี้ไปเก็บไว้ที่ไหน


หมดช่วงช่องเขาเราน่าจะได้เดินกันมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 กม. คราวนี้เริ่มเข้าป่าเข้าพง เริ่มนานและเริ่มงง


ไกด์บอกมีของดีอยู่ข้างหน้า ทนอีกหน่อย ผมยังเดินไหวอยู่ครับ แต่อาการโรคกระเพาะนี่ซิส่งเสียงโครกครากประกอบการเดินตลอดเส้นทาง ว่าแล้วกระเดือกช็อคโกแล็ตเข้าไปหนึ่งแท่ง


ระหว่างช็อคโกแล็ตกำลังถูกย่อยด้วยน้ำย่อยอย่างมีความสุข ว้าย กรี๊ด เกือบเผลอไปเหยียบงูอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นงูในเคนยามาก่อนเลย คงเพราะอากาศในเมืองหลวงและอีกหลายเมืองที่หนาวเย็น เจ้าตัวนี้เป็นงูตัวแรกที่ผมเห็นในธรรมชาติในเคนยา ไกด์สาธยายเรื่องงูต่อว่าแถวนี้มีงูพอสมควร แบล็คแมมบาก็มี คนเคนยาเขาคงไม่มีสำนวนเข้าป่าอย่าถามหาเสือ


และแล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ไกด์ตั้งใจพาพวกเราเดินมา จริงๆ เดินต่อได้อีกถ้าอยากจะกลับออกจากอุทยานค่ำมืด


จุดหมาย คือ น้ำพุร้อนจากใต้พิภพที่ใหญ่ที่สุดของอุทยานแห่งนี้


เข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง ได้ยินทั้งเสียงน้ำที่พุ่งจากใต้ดิน (แต่ถูกเอาหินปิดไว้ คงกลัวฝรั่งบ้าเอาหน้าไปรับน้ำมั้ง) ได้กลิ่นกำมะถัน ได้รับไอความร้อน รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน


เคนยามีการนำความร้อนใต้พิภพมาใช้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันครับ โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติ Hell’s Gate นี้มีโรงผลิตไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพขนาดใหญ่


ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอแล้วก็หันหัวกลับครับ


ไกด์คงอยากให้เราเห็นวิวครบทุกมุม จึงไม่เลือกที่จะกลับทางเดิม


เออ วิวสวยจริงไรจริง ไกด์นี่ช่างรู้ใจคนชอบถ่ายรูป กะว่าเดี๋ยวจะทิปหนักๆ


ที่ไหนได้พอเดินถึงบ้านแก แกบอกให้พวกเราเดินต่อกันไปที่ทางออกเอง แกจะขอแวะบ้านก่อน อ้าว กรรม


เราเดินกันจวนจะถึงทางออกอยู่แล้ว พี่แกจึงตามมาทัน ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงมาเลย สงสัยแวะโซ้ยข้าวต้มกลางวันที่บ้าน


เหนื่อยโฮก เดินกันน่าจะมากกว่า 10 กม. ใช้เวลาไปเกือบ 4 ชม. เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาถึงรถรีบเปิดท้ายเอาโค้กกระป๋องที่แช่มาในน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบๆ มาซดกันแบบไม่เกรงใจคอหอยเลย เข้าใจสัจธรรมการต้องมีโค้กคู่โลกเพราะเหตุนี้นี่เอง เหมือนเอาน้ำเย็นราดขี้เถ้าร้อนๆ แสบซ่านซาบซ่าที่อะไรก็ไม่สู้


กะว่าเดินเสร็จเที่ยง ปาเข้าไปตอนบ่ายสองกว่า นอกจากเหนื่อยโฮกแล้ว ยังหิวโฮกด้วย ขับรถสุ่มหาของกินไปในตลาดท้องถิ่นที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งมีขายแต่ nyama choma หรือเนื้อสัตว์ย่างไฟไม่ปรุงรส สั่งเนื้อทุกประเภทที่เขาย่างขายมาดับความหิว เนื้อสารพัดอย่าง ผมมาติดใจไก่บ้านย่างสูตรท้องถิ่นเขาอร่อยล้ำเลิศจริงๆ ครับ เหนียวนุ่มกลมกล่อมบอกไม่ถูก ผมถึงกับยกให้เป็นไก่ย่างที่อร่อยที่สุดของเคนยาในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาและถึงขนาดต้องกลับไปซ้ำอีกไม่กี่วันต่อมา

หากชอบเดินป่าให้น่องโป่ง ชอบถ่ายภาพวิวสวยๆ ลงเฟซบุกให้คนมาไลค์ และไม่แคร์สัตว์ใดๆ ที่นี่เหมาะสมกับท่านอย่างยิ่งครับ



 




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2555
1 comments
Last Update : 30 ธันวาคม 2564 22:18:56 น.
Counter : 2366 Pageviews.

 

เจองูตัวเล็กจิ๊ดเดียวก็ว๊ายกรี้ด....ซะแล้วกลับมาเมืองไทยงูใหญ่ปากช่อง เอ๊ย..ไก่ย่างโคราชรออยู่น่ะ!

 

โดย: นพ IP: 58.9.79.131 21 ตุลาคม 2555 17:27:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Thaisoloclub
Location :
Rome Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




Friends' blogs
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.