เคนยา : The Rift Valley รอยแยกแห่งกาฬทวีป
สวัสดีครับ แฟนๆ ผู้ติดตามอ่านบล็อกของผมทุกท่าน ไม่แน่ใจว่ามีแฟนประจำอยู่หรือเปล่า แต่สัญญาว่าจะพยายามอัพเดทบล็อกเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อกันไปข้างหนึ่ง ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ผม แต่ถึงเข้ามาดูมาอ่านแล้วไม่คอมเมนต์ก็ไม่เป็นไรนะครับ ยินดีต้อนรับทุกท่าน ตั้งแต่กระทู้นี้เป็นต้นไป ที่ท่องเที่ยวที่เก็บภาพมาเล่าให้ฟังส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดคงเป็นสถานที่น่าสนใจในเคนยาหรือประเทศแอฟริกาใกล้เคียง เพราะตอนนี้ผมได้มาตั้งรกราก (อย่างน้อยก็สามสี่ปี) ที่ประเทศนี้ คงตั้งหน้าตั้งตาทำงานและในขณะเดียวกันหากมีเวลาว่าง คงตั้งหน้าตั้งตาเสาะแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวแปลกๆ น่าสนใจมาลงเว็บบล็อกของตัวเองด้วย จากกระทู้ก่อนหน้านี้ จะเฉลยว่าเมืองหลวงของประเทศเคนยา คือ กรุงไนโรบี ภาษาอังกฤษใช้ว่า Nairobi เมืองหลวงของประเทศนี้ไม่ติดทะเล แต่อยู่บนเนินเขาสูง พี้นที่สูงกว่าส่วนอื่นๆ ทำให้อากาศดีตลอดทั้งปี กลางวันเย็นสบาย กลางคืนและตอนเช้าเย็นมากสำหรับผม หากใครเคยจินตนาการแอฟริกาเอาไว้ว่าร้อนตับแตก ที่นี่คงเปลี่ยนความคิดท่านได้
โม้มากไปอีกแล้ว กว่าจะได้เข้าเรื่อง ถือเป็นการให้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับหลายท่านที่อาจไม่รู้จักประเทศนี้เท่าใดนัก สถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่ผมมีโอกาสได้ไปหลังจากมาอยู่นี่ได้ครึ่งเดือนชื่อว่า The Rift Valley จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญทราบว่า เป็นรอยแยกของทวีปแอฟริกา ครั้งหนึ่งเคยมีนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ทวีปแอฟริกาเคยจะแยกออกจากกัน โดยรอยแยกจริงๆ ก็คือ หุบเขาที่มีความกว้างและขนาดมหึมา กินพื้นที่จำนวนมาก
ที่แห่งนี้ห่างจากตัวเมืองไนโรบีประมาณ 70 กม. ใช้เวลาขับรถชมวิวเรื่อยๆ ไม่ถึง 1 ชม. จากลักษณะภูมิประเทศตอนที่ผมไปถึงประมาณ 10 โมงเช้า จะเห็นหุบเขาขนาดความกว้างหลายสิบกิโลเมตรทอดตัวไปเป็นแนวยาวสุดสายตา
จากมุมนี้ สังเกตดีๆ จะมองเห็นแนวขอบภูเขาด้านหนึ่งอยู่ไกลๆ อีกด้านหนึ่งก็คือฝั่งที่ผมยืนถ่ายภาพอยู่ เป็นแนวคู่ขนานกันไปเรื่อยๆ คาดว่าถ้ามองจากที่สูง พวกดาวเทียมหรือเครื่องบินเนี่ยจะเห็นเลยว่ามันเป็นรอยแยกของทวีปแอฟริกา มองไปเผินๆ มันดูเหมือนพื้นที่ราบทะเลทรายอยู่เหมือนกัน เพราะมันมีขนาดความกว้างและความยาวมหาศาลมาก
ตรงกลางรอยแยกตอนหนึ่ง จะเห็นภูเขาไฟดับแล้วลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ โดดเด่นมากเพราะมีเพียงลูกเดียวบริเวณนั้น ชื่อว่าภูเขาลองโกน็อต (Mount Longonot) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน Rift Valley มองจากด้านนี้จะสวยที่สุดเพราะจะเห็นปล่องภูเขาไฟ
ซูมเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นปากปล่องภูเขาไฟอย่างชัดเจน สวยงามแปลกตาเป็นอย่างมาก บ้านเราหาดูไม่ได้แน่ๆ ดูเหมือนใกล้ แต่จริงๆ ห่างออกไปเป็นสิบกิโลเลยทีเดียว บวกกับสภาพถนนเป็นผืนทะเลทรายอันเร่าร้อน ใช้เวลาเดินทางลงไปหลายชั่วโมง ผมเลยตัดสินใจชมความงดงามจากจุดชมวิวนี้ก็พอ กิจกรรมที่พอจะมีได้แถวภูเขาลองโกน็อต อาทิ เดินถ่ายภาพ ปีนเขา แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นกลางแดดเปรี้ยง มองไปแล้วแทบไม่เห็นร่มไม้ ใครสนใจก็เชิญตามสบาย
หันกล้องมาทางด้านขวาเลยภูเขาลองโกน็อตไปหน่อย สามารถมองเห็นทะเลสาบไนวาชาอยู่ไกลๆ ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้ถ้าผมจำไม่ผิดมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศนี้ ห่างจากจุดที่ผมถ่ายภาพออกไปอีกประมาณ 20 กม. เป็นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งเช่นกัน มีกิจกรรมให้ทำอยู่พอสมควร สัญญาว่าจะเอามาลงให้ดูกันในโอกาสต่อไป ขอให้เข้ามาอัพเดทกันเรื่อยๆ แล้วกันครับ
มีสถานที่ท่องเที่ยว มีจุดชมวิว มีนักท่องเที่ยว ก็ต้องมีร้านขายของที่ระลึกของคนท้องถิ่น เรียกได้ว่า พอมีนักท่องเที่ยวมานี่แทบจะโดนรุมเลยครับ นานๆ คงมีคนหลงมาสักทีหนึ่ง วิธีการเรียกลูกค้าก็ตามสไตล์คนแอฟริกา มีทั้งผิวปาก ร้องเรียก เข้ามาประชิด สะกิด จนถึงดึง หลายท่านอาจไม่ชอบ แต่มันเป็นอย่างนั้นเอง ของที่มีขายก็เหมือนร้านของที่ระลึกในเมืองครับ พวกสัตว์แอฟริกาแกะสลักจากไม้และหินดำ (black stone) หนังแกะ (ยังไม่ฟอก เผลอๆ ซื้อไปบ้านเราเสียค่าฟอกแพงกว่าค่าหนังแกะอีก) ราคาแล้วแต่จะต่อรองนะ เท่าที่ถามดู หนังแกะผืนละประมาณ 500 บาท
โถๆ เจ้าแกะน้อย อีกไม่นานคงโดนถลกหนังมาวางขายตามร้านขายของที่ระลึกริมทาง แกะนี่เขาก็เลี้ยงไว้แถวใกล้ๆ ร้านละครับ ประมาณเอาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวและบอกเป็นนัยว่าที่นี่มีหนังแกะขาย แบ๊ะๆๆ
ร้านขายของอีกร้านหนึ่ง ของที่ขายก็ไม่ต่างกันมาก ระหว่างที่พวกเราแวะซื้อของที่ระลึกร้านนี้กัน คนขายจากร้านอื่นก็มานั่งรอหน้าร้านกันเป็นแถว ประมาณว่า ถ้าเราออกมาแล้วจะได้แวะดู แวะซื้อของเขาบ้าง นานเท่าไหร่ก็รอหน้าร้าน ไม่กล้าเข้ามาในเขตร้านเลย เหมือนเกรงใจกัน
ขอจบด้วยภาพสิงสาราสัตว์ทำจากหินดำ ขัดจนเป็นมัน คิดว่าน่าจะเป็นงานแฮนด์เมดนะครับ เพราะเห็นมีคนนั่งขัดสาธิตอยู่หน้าร้าน คนไทยที่มาเที่ยวนิยมซื้อสัตว์พวกนี้ไปเป็นของฝาก ของโชว์ ซื้อครั้งหนึ่งเป็นฝูงเลยครับ เอาไปจัดเป็นสวนสัตว์ย่อมๆ ได้เลย ราคาแล้วแต่ความสามารถในการต่อรอง ตัวเล็กประมาณ 50 บาท ตัวใหญ่ก็ 100 บาท ห่อดีๆ แล้วกันจะได้ไม่แตกหักเสียหายก่อนกลับเมืองไทย อ้อ ลืมแนะนำไปว่า หากท่านจะมาเที่ยวที่ Rift Valley ขอให้มาตั้งแต่ช่วงเช้าถึงบ่าย เพราะอากาศดี เห็นวิวชัดเจน หากตกเย็นแล้วอากาศเย็น ลมแรง วิวก็จะเป็นพระอาทิตย์ตกดิน มองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่ถ้าจะเอาโรแมนติก พอได้อยู่
Create Date : 07 มกราคม 2552 |
|
18 comments |
Last Update : 7 มกราคม 2552 17:40:27 น. |
Counter : 3943 Pageviews. |
|
|
|
ชื่นชมสุดเหนี่ยว