วัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
วัดพระธาตุศรีจอมทอง
chiangmai
เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม ถนนสายเชียงใหม่-ฮอด หมู่ที่ 2 ตำบลยางหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไปทางทิศใต้ประมาณ 58 กิโลเมตร
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีา เมื่อ พ.ศ. 2470 ต่อมา ได้รับพระราชทานยกขึ้น เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2506
ตามตำนาน พระบรมธาตุศรีจอมทองกล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 1995 โดยมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชื่อ นาสร้อย กับนาเม็ง ทั้งสองเป็นผู้มีจิตศรัทธา ในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งและได้ค้นพบพระบรมธาตุที่มีลักษณะเป็นพระทักขิณโมลีธาตุ คือ พระบรมธาตุพระเศียรเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า และได้สร้างวัดขึ้นบริเวณยอดดอยจอมทอง
ต่อมา พ.ศ. 2009 มีคหบดี 2 คน ชื่อนายสิบและนายสิบถัว ได้สร้าง เจดีย์และวิหารขึ้น และได้นิมนต์พระสารีบุตรเถระ มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัด
วัดนี้ได้รับการดูแลโดยกษัตริย์มาโดยตลอด ดังเช่นในสมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์ลำดับที่ 14 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ. 2038-2068) โปรดฯ ให้สร้างพระวิหารจัตุรมุขขึ้น โดยมีมณฑปปราสาทตั้งอยู่กลางวิหาร เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ในองค์เจดีย์ แต่สำหรับที่นี้พระสารีริกธาตุบรรจุอยู่ภายในพระโกศ และประดิษฐานไว้ในมณฑปปราสาทกลางพระวิหารจัตุรมุข
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เดิมชื่อ วัดพระธาตุเจ้าศรีจอมทอง ตั้งอยู่ถนนเชียงใหม่ - ฮอด หมู่ 2 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 58 กิโลเมตร วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็น พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 บริเวณที่ตั้ง เป็นเนินดินสูง ประมาณ 10 เมตร เรียกกันมาตั้งแต่อดีตว่า ดอยจอมทอง ตามประวัติสันนิษฐานว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 20 แต่จากลักษณะทางศิลปกรรมของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัด ปรากฏเป็นลักษณะของศิลปกรรม ในสมัยหลัง พุทธศตวรรษที่ 24 ซึ่งเป็นห้วงระยะเวลาของยุคฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่
พ.ศ. 1994 สร้างบนดอยจอมทอง ชื่อว่า วัดพระธาตุเจ้าศรีจอมทอง ทางทิศตะวันตกมีทิวเขาอินทนนท์ และลำน้ำแม่กลาง พ.ศ. 2470 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2506 ได้รับพระราชทานยกฐานะวัดขึ้นเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร พ.ศ. 2524 เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ของกรมการศาสนา พ.ศ. 2538 เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ของ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ
พระธาตุศรีจอมทองเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ พระธาตุ ส่วนที่เป็น พระเศียรเบื้องขวาของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีขนาดโตประมาณ เมล็ดข้าวโพด สันฐานกลมเกลี้ยง สีขาวนวลเหมือน ดอกบวบ หรือ สีคล้ายดอกพิกุลแห้ง ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 218
chiangmai
ปัจจุบัน พระธาตุ ถูกบรรจุไว้ในพระโกศ 5 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายใน พระวิหารจตุรมุข ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส คล้ายพระเจดีย์ กว้าง 4 เมตร สูง 8 เมตร ตามประวัติว่าสร้างขึ้นโดย พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือ พระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังราย เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2060วัดพระธาตุศรีจอมทอง เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญมากวัดหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นทั้งพระอารามหลวง และเป็นทั้งที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
ที่ตั้งของวัดคือบ้านลุ่มใต้ ถนนสายเชียงใหม่ - ฮอด หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านหลวง อำเภอ จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศใต้ประมาณ ๕๘ กิโลเมตร
ตามตำนานที่กล่าวถึงความเป็นมา ของพระบรมธาตุศรีจอมทอง สรุปใจความได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพุทธพยากรณ์ไว้กับพญาอังครัฏฐะ ผู้ครองอังครัฏฐะ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณดอยจอมทองว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปภายหน้าจะเป็นที่ประดิษฐานพระทักษิณโมลีธาตุ ( พระเศียรเบื้องขวา ) ของพระองค์ ต่อมาภายหลังเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว โทณพราหมณ์ได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่กษัตริย์ทั้ง ๘ นคร ซึ่งในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราทรงได้พระทักษิณโมลีธาตุไว้ พระมหากัสสปะเถระเจ้าประธานฝ่ายสงฆ์ จึงได้กราบทูลมัลลกษัตริย์ถึงพุทธพยากรณ์ที่พุทธองค์เคยตรัสไว้ มัลลกษัตริย์ทราบดังนั้นจึงถวายพระบรมธาตุแด่พระมหากัสสปะเถระ ซึ่งท่านก็ได้อัญเชิญพระบรมธาตุวางไว้บนฝ่ามือ แล้วอธิษฐานอาราธนาพระบรมธาตุให้เสด็จไปยังดอยจอมทอง เพื่อประทับอยู่ในโกศแก้วอินทนิลภายในเจดีย์ทองคำ ที่พญาอังครัฎฐะได้สร้างถวายไว้
ตำนานยังได้กล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว ๒๑๘ ปี พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ( พระเจ้าอโศกมหาราช ) ได้เสด็จมายังดอยจอมทองและทรงขุดคูหาเป็นอุโมงค์ แล้วอัญเชิญพระบรมธาตุจากพระสถูปมาประดิษฐานในอุโมงค์แห่งนั้น พร้อมทั้งอธิษฐานให้พระบรมธาตุปรากฏให้เห็นเฉพาะผู้ที่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ต่อมาเมื่อ พ . ศ . ๑๘๘๕ สามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อนายสอยและนางเม็ง ซึ่งเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ค้นพบพระบรมธาตุจอมทองในลักษณะที่เป็นพระทักษิณโมลีธาตุ คือเป็นพระธาตุจอมพระเศียรเบื้องขวาของพระพุทธเจ้ามีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด สัณฐานกลมเกลี้ยง สีดอกพิกุลแห้ง หรือสีดอกบวบ บรรจุในโกศทองเหลือง หล่อทองปิดทองสัณฐานกลม กว้าง ๑ ศอก สูง ๑ เมตร ชั้นในเป็นผอบเงินและผอบทองลงยาประดับเพชร
ทว่าตำนานอื่นได้กล่าวถึงข้อความในตอนนี้แตกต่างออกไปว่า สามีภรรยาทั้งคู่ได้สร้างเสนาสนะก่อพระเจดีย์และสร้างพระพุทธรูป ๒ องค์ ไว้บนดอยจอมทองด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา และถือว่าเสนาสนะเหล่านั้นเป็นปฐมอารามของวัดพระธาตุศรีจอมทอง โดยปรากฏเนื้อความในตำนานว่า
คนทั้งหลายมีนายสอยและนางเม็งเป็นประธานจึงสร้างศาลา และก่อเจดีย์ที่ดอยต้นทองข้างบนถ้ำคูหาที่นั้น เหตุนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อวัดนั้นว่า วัดจอมทอง ดังนี้แลฯ แต่ในขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบว่ามีพระบรมธาตุสถิตอยู่ จนกระทั่งมีชีปะขาวคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในวัดได้ฝันเห็นเทวดามาบอกว่า ใต้พื้นวิหารมีพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า จึงนำความไปบอกเจ้าอาวาสและทำการอธิษฐานอัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นมาประดิษฐานในวิหาร
ต่อมาในปี พ . ศ . ๒๐๐๙ มีคหบดี ๒ คน ชื่อนานสิบเงินและนายสิบถัว ได้มาสร้างเจดีย์และวิหารชั่วคราวซึ่งมุงด้วยหญ้าคาขึ้น แล้วนิมนต์พระสารีปุตตรเถระ ( บางตำนานว่าชื่อพระสริปุตตะเถระ ) มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัด ซึ่งบางตำรากล่าวว่าในขณะนั้นชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดหลวง และ
เมื่อประมาณปี พ . ศ . ๒๐๑๓ หลังจากที่เจ้าอาวาสองค์แรกมรณภาพแล้ว ชาวบ้านได้อาราธนาพระภิกษุชื่อเทพกุลเถระมาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๒ ซึ่งท่านได้ทำการเปลี่ยนหลังคาวิหารซึ่งมุงด้วยหญ้าคานั้นให้เป็นกระเบื้อง เหตุการณ์สำคัญของวัดพระธาตุศรีจอมทองได้เกิดขึ้นในสมัยเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ หรือพระมหาธรรมปัญโญ คือพระบรมธาตุได้เสด็จออกจากถ้ำคูหา แสดงปาฏิหาริย์เป็นที่อัศจรรย์แกคนทั้งหลาย แล้วจึงสถิตอยู่ใน พระเกศโมลีของพระพุทธรูปองค์หนึ่งในพระวิหาร พระมหาเถรเจ้าธรรมปัญโญจึงอัญเชิญมาบรรจุในโกศงาช้างและเก็บรักษาไว้สืบมา โดยเหตุการณ์ในตอนนี้มีข้อความปรากฏในตำนานเพิ่มเติม ซึ่งคล้ายกับตำนานข้างต้นที่อ้างถึงชีปะขาว
โดยมีใจความว่าในสมัยที่พระธรรมปัญโญเป็นเจ้าอาวาสวัดอยู่นั้น ชาวบ้านได้นำพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่องค์หนึ่งมาจากวัดท่าแย้มซึ่งเป็นวัดร้าง แล้วนำมาประดิษฐานที่วิหารของวัด ภายหลังเจ้าอาวาสทราบจากชีปะขาวคนหนึ่งว่ามีถ้ำอยู่ที่พื้นดินใต้วิหาร และได้รับคำแนะนำว่าควรทำการสักการบูชาพระบรมธาตุเพื่อให้แสดงปาฏิหาริย์จึงจะเป็นมงคล เมื่อพระธรรมปัญโญปฏิบัติตามกลับไม่เห็นผลใด ๆ จนกระทั่งเดือน ๖ เหนือ ( เดือน ๔ ของภาคกลาง ) ขึ้น ๑๕ ค่ำ จ . ศ . ๘๖๑ ( พ . ศ . ๒๐๔๒ ) จึงเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นปรากฏให้ชาวบ้านศรีจอมทองได้เห็น คือมีแสงสว่างปกคลุมพระวิหารไว้หมดแล้วแสงนั้นก็หายไป วันรุ่งขึ้นพบว่าประตูพระวิหารเปิดอยู่และส่วนยอดโมลีของพระพุทธรูปองค์ที่นำมาจากวัดท่าแย้ม หลุดออกจากพระเศียรตกลงมาอยู่ที่หน้าตัก เมื่อเปิดพระโมลีดูก็พบว่ามีพระบรมธาตุอยู่ภายใน ท่านเจ้าอาวาสจึงห่อพระบรมธาตุเก็บไว้ในโมลีของเศียรพระพุทธรูปอย่างเดิม
ต่อมาพระเมืองแก้ว กษัตริย์ลำดับที่ ๑๔ แห่งราชวงศ์มังราย ( ครองราชย์ระหว่าง พ . ศ . ๒๐๓๘ ๒๐๖๘ ) ได้โปรดฯให้สร้างพระวิหารจัตุรมุขขึ้น โดยมีมณฑปปราสาทตั้งอยู่กลางวิหารจัตุรมุขนั้น เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ แต่เมื่อสิ้นรัชกาลของพระเมืองแก้ว วัดพระธาตุศรีจอมทองก็ร้างไปและกลับคืนสภาพเป็นวัดอีกครั้ง จากนั้นชาวบ้านจึงไปอาราธนาพระญาณมงคลจากวัดทุ่งตุมมาเป็นเจ้าอาวาสในปี พ . ศ . ๒๑๐๐ เนื้อความในตำนานกล่าวอีกว่าในช่วงปี พ . ศ . ๒๓๑๔ ๒๓๒๒ พระบรมธาตุเจ้าได้หายไปเป็นเวลาถึง ๙ ปี เมื่อเจ้าพระญาวชิรปราการ ( พระญาจ่าบ้าน ) กระทำพิธีอาราธนาพระบรมธาตุจึงเสด็จกลับมาประดิษฐานในมณฑปปราสาทอย่างเดิม ตราบถึงทุกวันนี้
สถานที่ภายในวัด
พระอุโบสถ
chiangmai
สร้างสมัยท่านเจ้าคุณสุวรรณโมลีฯ(สุวรรณบรมธาตุบริหาร) เดิมภายในพระอุโบสถมีประพุทธรูปสามองค์สร้างด้วยไม้แกะสลัก พระประธานในพระอุโบสถเป็นปางถวายเนตร ซึ่งแตกต่างจากพระอุโบสถในล้านนาทั่วไป บริเวณประตูทางเข้าพระอุโบสถได้ฝังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ตามประเพณีของล้านนา จึงไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีขึ้นไปยังพระอุโบสถ ภายในมีรูปวาดฝาผนังแสดงตำนานพระธาตุศรีจอมทอง และรูปเทวดาในชั้นต่างๆ
หอพระไตรปิฎก
chiangmai
สร้างสมัยท่านเจ้าคุณสุวรรณโมลีฯ(สุวรรณบรมธาตุบริหาร) อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นอาคารสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ สำหรับเก็บพระไตรปิฎก มาบรูณะใหม่ประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ แล้วเสร็จ พ.ศ.๒๕๓๖ สมัยพระครูสุวิทยธรรม
พระเจดีย์บริวาล(พระธาตุน้อย)
wat Jomthong ไม่มีระบุว่าได้สร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าอายุประมาณ ๓๐๐ ปี ได้รับการบอกเล่าว่าสร้างโดยชาวพม่า เมื่อครั้งปกครองนครเชียงใหม่ ศิลปะเป็นแบบมอญ-พม่า สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นคู่กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ ให้เกิดการสมดุลกัน ภายในบรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่ไม่ได้บรรจุพระธาตุไว้ภายใน
โฮงหลวง สร้างเมื่อปี ๒๔๗๕ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ-สามเณร โดยเจ้าคุณสุวรรณโมลีฯ(สุวรรณบรมธาตุบริหาร) เจ้าคณะอำเภอจอมทองในสมัยนั้นร่วมกับพระครูพุทธศาสน์สุประดิษฐ์ (อินถา ทาริโย) พร้อมชาวบ้าน เดิมเป็นศาลาไม้ มีห้องเฉพาะด้านตะวันออกและด้านใต้ ด้านตะวันออกเป็นที่พักของเจ้าอาวาส ด้านใต้เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ-สามเณร มีเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ เสา ๑๐๘ ต้น ส่วนด้านล่างยังไม่มีการต่อเติมเหมือนในสมัยนี้ ใช้สำหรับศรัทธาญาติโยมมาพักอาศัยและทำอาหารเวลามีงานประเพณีอัญเชิญและสรงน้ำพระธาตุ ภายหลังได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์และการต่อเติมให้มีห้องพักมากขึ้น โดยท่านเจ้าคุณพระสุพรหมยานเถร(ทอง สิริมงฺคโล) เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๐ ปัจจุบันเป็นกุฏิของท่านเจ้าคุณสุวรรณเมธี(แสวง ปญฺญาปโชโต ป.ธ.๗) ห้องสมุดสุวรรณเมธี และเป็นที่อยู่อาศัยของสามเณร
น้ำบ่อแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ข้างหอระฆังหน้าศาลาพักสงฆ์ บริเวณวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร มีตำนานเล่าว่าก่อนเกินอาเพศ หรือศึกสงครามน้ำในบ่อจะล้นขึ้นมา น้ำจะมีสีแดง เล่ากันว่าก่อนเกินสงครามโลกครั้งที่สอง ในสมัยเมื่อยังไม่มีระบบน้ำประปา ใช้น้ำในบ่อในการอุปโภคภายในวัด ด้านบนของบ่อน้ำเคยเป็นที่พักของท่านเจ้าคุณสุวรรณโมลีฯ(สุวรรณบรมธาตุบริหาร) ต่อมาสร้างเป็นแท็งค์เก็บน้ำ แต่ในปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้ว
chiangmai
wat Jomthong
wat Jomthong
ที่มา
//www.watphradhatusrichomtong.com/index.html
Create Date : 23 ตุลาคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2553 21:53:55 น. |
Counter : 1509 Pageviews. |
|
|
|