ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
11 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
วันมหาโหดในเชียงใหม่..

3 วันมหาโหด

14 ตุลาคม 2551

ออกจากบ้านถึงสถานีขนส่งจังหวัดอุตรดิตถ์ ตี 1 แต่รถ late จาก 01.35 เป็น 02.15 น. ไม่เป็นไรจะหลับรอนะ ตอนนี้ I'Ba กำลังกินขนมที่บริษัทรถนครชัยทัวร์แถมให้จากการซื้อตั๋วคนละ 223 บาท (คงหิวสิท่า) ของีบก่อนนะ

หลังจาก E-Ny นอนหลับแล้ว I'Ba ก็มาบันทึกต่อฮะ และแล้วการเดินทางก็เริ่มต้น วันนี้เป็นวันที่ 13 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นกำหนดเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อพบหมอตามกำหนด (ซึ่งได้โทรเลื่อนนัดไปแล้ว) วันก่อนได้โทรศัพท์ไปถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทเดินรถแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่ามีรถเที่ยวเที่ยงคืน

รถบริษัทนครชัยทัวร์เข้ามาที่สถานีขนส่งเวลา 02.15 น. พอมาจอดที่ท่ารถ คนที่ลงอุตรดิตถ์ลง 2 - 3 คน จากนั้นคนที่ซื้อตั๋วก็เดินเป็นแถวขึ้นไปบนรถและได้ที่นั่งคนละที่กับ E - Ny

เมื่อนั่งที่ได้เรียบร้อยและได้รับผ้าห่มจากพนักงานรถแล้วก็นอนหลับพักผ่อน ตื่นระหว่างทางเป็นระยะๆ จนกระทั่งมาถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ 06.00 น.

หลังจากหยิบกระเป๋าเสื้อขึ้นสะพายและกระเป๋าอีกใบห้อยบ่าแล้ว คนที่มาด้วยได้ให้เกียรติถือขวดน้ำตั้งหนึ่งขวดแนะ คงหนักน่าดู ก่อนจะออกจาก
อาเขต(สถานีขนส่งของเชียงใหม่เขาเรียกอาเขต) ยัยตัวดีก็บอกว่าขอเข้าห้องน้ำก่อน เพราะอยู่บนรถไม่กล้าเข้าคงจะไม่สะดวกมั้ง ก็เลยให้เข้าไปจ่ายค่าห้องน้ำ 3 บาท

หลังจากออกจากห้องน้ำก็เดินควงแขนกันผ่านมาคนที่เป็นคนขับรถรับจ้างบริเวณนั้นๆ ก็ถามว่าจะไปให้ เหมาไปถูกๆ เราได้แต่ปฏิเสธและเดินไปขึ้นรถที่กำลังเข้าคิวรอออกรถเมื่อคนเต็ม

ในการนั่งรถแดงที่ออกจากคิวนั้น คนขับต้องรอให้มีผู้โดยสารให้เต็มก่อน ในรถคันที่ขึ้นนั้น เบาะยาวข้างหลังรถสามารถนั่งได้แถวละ 7 คนและที่ข้างๆ คนขับอีก 1 คนรวมทั้งหมด 15 คน ค่าโดยสารคนละ 20 บาท ถ้าขึ้นรถแบบเหมาอาจจะตกคนละ 60 - 80 บาท หลังจากคนขับรถหาผู้โดยสารจนครบที่นั่งแล้ว ก็ยังจอดรับคนที่หิ้วของพะรุงพะรังอีก 1 คน สรุปแล้วทั้งหมดในรถแดงคันนี้มี 17 คนรวมทั้งคนขับและเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของผู้โดยสารชาวเขา

รถแดงเคลื่อนที่ออกจากอาเขต และไปส่งตามที่ผู้โดยสารแจ้งความประสงค์ตั้งแต่ขึ้นรถครั้งแรกและเป็นหน้าที่ของคนขับรถที่ต้องจำและใช้ความสามารถในการเลือกเส้นทางไปส่งในระยะเวลาที่สั้นที่สุดแล้ว นอกจากได้เงินเร็วแล้วยังประหยัดน้ำมันช่วยลดโลกร้อนไปในตัวด้วย รถแดงขึ้นสะพาน
แล้วลงไปจอดที่หน้าตลาดวโรรส (กาดวโรรส) หลังจากนั้นก็ออกมาตามเส้นทางที่มุ่งเข้าคูเมืองด้านประตูท่าแพ เราสองคนจะลงตรงนี้แหละ แต่แล้วเหมือนคนขับรถจะลืมจอด และอีกในใจผมก็บอกว่าคงจะเลี้ยวไปจอดด้านในคูเมืองกระมังก็ดีจะได้ไม่ต้องเดินไกล แต่ผิดคาด

panda

รถผ่านไปทางประตูเชียงใหม่ จอดให้แม่ลูกชาวเขาลงต่อรถไปจอมทอง(มั้ง) รถขับไปถึงหน้าประตูสวนปรุงเจ้าของรถจอดรถและมาเก็บเงินค่าโดยสาร(เอ๊ะ!! ยังไม่ถึงปลายทางมาเก็บค่าโดยสารแล้ว กลัวผู้โดยสารโกงหรือยังไงไม่ทราบ แต่ก็ยอมจ่ายไปด้วยดี)และถามว่าลงที่ไหนกันบ้าง ผมตอบว่าประตูท่าแพคนขับก็บอกว่า ลืมและตำหนิผมว่าน่าจะกดออดเมื่อถึงที่หมาย ผมไม่ว่าหรอกเพราะผมจ่ายเท่าเดิมแต่ได้นั่งรถไกลขึ้น หลังจากนั้นก็วิ่งรถไปส่งนักศึกษาที่หน้าคณะศึกษาศาสตร์ แล้วก็ไปเติมน้ำมันในเขตของ มช. ตอนนี้ก็มาทราบเหตุผลที่เก็บตังค์ก่อน เพราะเอาเงินมาเติมน้ำมันนี่เอง จากนั้นก็ขับรถมาส่งเราสองคนที่ประตูท่าแพ

panda

ประตูท่าแพ เป็นบริเวณที่กว้างกว่าประตูอื่นๆ ของเชียงใหม่ บริเวณนี้มักถูกใช้เป็นที่จัดกิจกรรมหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรี หรือกิจกรรมเกี่ยวกับหน่วยงานต่างๆ

panda

นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ขายของได้ในวันอาทิตย์(ถนนคนเดิน)เราสองคนเดินถ่ายรูปบริเวณประตูท่าแพและเดินเรียบๆ ถนนไปยังร้านเช่ารถเครื่อง(รถจักรยานยนต์)ตอนนี้เวลาประมาณ 08.00 น. ผู้จัดการร้านที่เป็นผู้หญิงก็เขียนใบเช่าให้พร้อมเรียกเงินค่าประกัน 2,000 บาท ค่าเช่ารถสองวันอีก 300 บาทและแนบบัตรประชาชนเอาไว้ด้วย พร้อมทั้งกรอกหมายเลขโทรศัพท์ไว้ติดต่อด้วย(กรณีรถหายมั้ง!!)

หลังจากเช่ารถเครื่องยี่ห้อ ฮอนด้า สีน้ำเงินทะเบียน งยน 49 หมายเลขเช่า 29 และหมวกกันน้อคที่ไม่มีแผงกั้นลม 2 ใบแล้วก็ขี่ไปตามถนนในคูเมืองไปเลี้ยวที่แจ่งกู่เฮืองแล้วไปแวะเติมน้ำมันที่ปั้มข้างวัดโลกโมฬี จำนวน 70 บาท(ถูกต่อว่าว่าทำไมไม่เติมแก๊สโซฮอล์ ถูกกว่าเยอะ)

จากนั้นก็เลี้ยวรถเข้ามาในคูเมืองอีกรอบและไปตามถนนที่ผ่านประตูสวนดอกและเลี้ยวออกจากคูเมืองไปตามถนนก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปทางโรงพยาบาลสวนดอก(โรงพยาบาลนครเชียงใหม่)

ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปยังโรงแรมกล้วยไม้อพาร์ทเมนท์ เพื่อไปจองโรงแรม จากนั้นออกไปกินข้าวเช้าที่อาคารกิจกรรมใน มช. สองจานราคารวม 32 บาทส่วนน้ำดื่มฟรี บริการเอง จากนั้นก็ซื้อขนมที่ข้างๆ อาคารที่รับประทานอาหารนั้น กลับมาที่โรงแรมเพื่อเช็คอิน ค่าเช่าห้อง 2 คืนเป็นห้องพัดลม 600 บาท ค่าประกันกุญแจอีก 200 บาท หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของเข้าห้องพักและล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมตัวออกไปเที่ยว

โปรแกรมในวันนี้คือ สวนสัตว์เชียงใหม่ไปดูแพนด้า เพราะในระหว่างที่นั่งรอห้องนั้นได้อ่านหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวหมีแพนด้า ในหนังสือพิมพ์บอกว่าในช่วงวันที่ 12 - 17 ตุลาคมนี้ เปิดให้เข้าชมฟรี พอดีเลย โชคดีจัง

ขี่รถเครื่องมาตามถนนสายเข้า มช. ขี่ผ่านเส้นทางตั้งแต่หลัง มช. ผ่านหอนาฬิกา อาคารกิจกรรมคณะวิทยาศาสตร์ ศาลาธรรม ออกหน้า มช. และเลี้ยวซ้ายไปเข้าสวนสัตว์ มีผู้คนมาเที่ยวชมเยอะมาก

my picture

ครั้งนี้สวนสัตว์เปลี่ยนแปลงไปมาจาก 5 ปีที่แล้ว เพราะมีรถรางบริการ มีอาคารทางเข้าที่เป็นทางการและน่าเชื่อถือมากขึ้น มีสวนกล้วยไม้กำลังออกดอกสะพรั่ง และการจัดโซนที่ใหม่น่าดูมากขึ้น เมื่อเราไปจอดรถเครื่องต้องจ่ายค่าจอดรถ 10 บาท หลังจากนั้นเราเดินไปซื้อตั๋วคนละ 50 บาท
(ไหนว่าชมฟรีไง) เดินไปยื่นบัตรให้พนักงานเจาะตั๋ว แล้วเดินเข้าไปข้างในสวนสัตว์

my picture

ที่พบเห็นอย่างแรกก็คือมีช้างพ่นน้ำ เหนือช้างเขียนว่าสวนสัตว์เชียงใหม่ สามภาษา คือภาษาไทย ตั๋วเมือและภาษาอังกฤษ ถ่ายรูปไว้เสียหน่อย
จากนั้นเดินขึ้นเนินมาหน่อยนึงก็ถึงสวนดอกกล้วยไม้ที่กำลังออกดอก ก็ผลัดกันถ่ายคู่กับดอกเอื้อง เอ ชักอยากจะได้รูปคู่เสียแล้วสิ พอดีมองเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังถ่ายรูปเหมือนกันอยู่ ก็เลยวานให้เขาช่วยถ่ายรูปให้ พอเขาถ่ายให้ก็ลองดูรูปที่ถ่าย โอ้โฮ! สวยมาก คนอะไรถ่ายรูปได้เพอร์เฟคแบบนี้
เห็นทั้งเท้าและหัวในรูปเดียวกัน ช่างเหอะไ หนๆ ก็มีรูปถ่ายแล้ว

my picture

หลังจากขอบคุณเขาเรียบร้อยก็เดินไปดูสัตว์อื่นๆ เช่น ลิงแสม ลิงที่กำลังหาเหาให้กันในตอนเช้า

"พี่ๆ ช่วยดูกล้องให้หน่อย ทำไมรูปมันหายไปหมดเลย ผมถ่ายมาตั้งนานแล้ว มันหายไปหมดเลย ดูให้หน่อย"

คนที่ผมวานถ่ายรูปให้นั่นเอง ผมก็หยิบกล้องมาเปิดดูรูปที่เขาถ่าย

"เออ จริงแฮะ ไม่มีรูปสักรูปเลย ก็เลยคลิกไปที่เมนูและกดๆ แล้วลองถ่ายรูปอีก เอ มันก็มีนี่นา

"เดี๋ยวมันก็หาย เมื่อกี๊ผมถ่ายก็ติด แต่แล้วมันก็หาย" เขาบอก

"เอ ไม่น่าจะหายนะ "ผมลองปิดแล้วเปิดกล้องใหม่ รูปที่ถ่ายก่อนนี้ก็มีอยู่นี่ ก็เลยสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะเขาไปกด ฟอร์แมต ในเมนูเข้านั่นเอง ก็เลยบอกว่า ถ่ายเสร็จแล้วไม่ต้องไปกดปุ่มฟอร์แมตนั่นนะ เขารับปากและบ่นว่ารูปที่ถ่ายบนดอยหายไปหมดเลย เสียใจด้วยนะน้อง

หลังจากนั้นก็มานั่งกินขนมให้หายหิวที่ข้างๆ ห้องส่วนตัวของเจ้าสิงโต เจอเขาอีกแล้ว คราวนี้เขาไม่มาขอความช่วยเหลือแสดงว่ารูปคงไม่หายแน่ๆ
หลังจากกินขนมเสร็จก็เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ และมองเห็นสถานีรถราง และเราเองก็เริ่มเหนื่อยและอยากลองนั่งรถรางกับเขาดูก็เลยซื้อตั๋ว(อีกแล้ว ไหนว่าฟรีไง)คนละ 70 บาท ขึ้นได้ทั้ง 4 สถานี

ถึงสถานีไหนก็สามารถลงไปชมสวนสัตว์แล้วมาขึ้นใหม่ก็ได้จนกว่าจะครบทั้ง 4 สถานี

พอขึ้นรถราง มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ได้ยินเสียงรถรางเลื่อนดังแกร็กๆ ระหว่างล้อรถ(มีไหมหว่า)กับรางเหล็ก รถรางมีทั้งหมด 3 คัน เป็นหญิงขับล้วนๆ รถรางมีตู้ทั้งหมด 5 ตู้ ตู้ที่เป็นหัวของรถจะมีจอมอนิเตอร์ที่เอาไว้ดูผู้โดยสารในแต่ละห้อง และผู้ขับหรือบังคับก็จะมีการประชาสัมพันธ์
เกี่ยวกับกรงสัตว์สองข้างทางและใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกันเป็นระยะระหว่างแต่ละสถานีเพื่อไม่ให้อยู่ห่างกันมากและเหมาะสมกับระยะที่เวลาที่ให้บริการ

พอเราลงที่สถานีที่ 3 ก็เป็นสถานีที่ให้ไปชมนกเพนกวิน แมวน้ำ และสัตว์น้ำ ก็เลยแวะไปลองดูและถ่ายรูปมาด้วย แต่ไม่ได้ดูแมวน้ำมันไกลและคนที่มาด้วยไม่อยากเดิน ปวดท้อง(ผ่าตัดมาใหม่(1 เดือนกว่าแล้ว))

มาขึ้นรถรางอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้นั่งที่หัวรถเหมือนคราวที่แล้ว เพราะมีผู้โดยสารอีก 4 คนเข้ามาด้วยไม่ต้องถามคนกลุ่มนี้เลยว่าเขาทำงานที่ไหน อยู่ที่ไหน มีอาชีพอะไร เขายินดีบอกให้ฟังทุกอย่างแม้จะไม่ได้ร้องขอหรือต้องการรับทราบ แต่เขายินดีที่จะยัดเยียดข้อมูลให้เรารู้ให้ได้ เสมือนข่มเราสองคนว่า เขาเรียนจบคณะสัตว์ มานะ เลยทำหน้าที่รักษาสัตว์ และมีพระคุณต่อเหล่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น อยู่กรุงเทพด้วย

และพยายามบอกข้อมูลให้เรารู้ว่า เสือชีตาร์วิ่งเร็วที่สุด แต่ดันจำไม่ได้ต้องให้เพื่อนอีกคนบอกแทน อันนี้ผมก็รู้เพราะสอนเด็กนักเรียนอยู่เหมือนกัน นอกจากจะสร้างความมหารำคาญแล้ว ยังพูดดังกลบเกลื่อนการบรรยายของคนบังคับรถอีกทำให้เราพลาดข้อมูลที่ควรทราบเกี่ยวกับสวนสัตว์

โห ถ้าจบปริญญาตรีแล้วไม่รู้จักมารยาทในการขึ้นรถแบบนี้ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นแบบนี้ อวดภูมิตนเอง อวดรู้ที่มีอยู่นิด ๆ แบบนี้ อย่าอยู่ต่อให้หนักโลกเลย ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าอวดเก่งมากไปกว่านี้เลย สงสารประเทศ และหวังว่าคงไม่ขึ้นคันเดียวกันอีกนะ ขนาดหิมะเทียมยังต้องสงสัยว่าเขาทำทำไม มันจะอยู่ได้เหรอ หลังคาอาคารที่ทำจากโลหะถามว่ามันไม่ร้อนเหรอ ไม่ต้องจบปริญญาก็ตอบได้ว่ามันร้อนแน่ๆ และอีกสารพัดที่จะบรรยายความโง่ในข้อมูลของตนเอง

ถ้าเขาไม่พูดมากก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาจะไม่รู้อะไรมากกมายขนาดนี้ คงจะรู้เฉพาะเรื่องอาชีพตนเองกระมัง อย่างอื่นคงแพ้เด็กประถมหมด

my picture

คราวนี้มาจอดที่บริเวณที่ใกล้กับบ้านหมีแพนด้า พวกเราลงไปอีกครั้งหนึ่งก่อนไปชมหมีแพนด้าได้แวะซื้อมะม่วงน้ำปลาหวานราคา 20 บาท ลุงคนขายถามว่า เอาแบบมันหรือเปรี้ยวเราก็บอกขอแบบเปรี้ยวๆ เลย ลุงก็จัดแจงให้เรียบร้อย มะม่วงที่ซื้อคราวนี้กะว่าจะกินก่อนชม แต่แล้วก็ไม่ได้กิน

พอเดินมาถึงทางเข้าบ้านหมีแพนด้า ยืนลังเลอยู่ด้านหน้าที่ถนน "ไหนเขาว่าชมฟรี ทำไมยังขายตั๋วหน้าตาเฉย" สายตาเลยไปมองที่ป้ายก็เขียนว่า ผู้ใหญ่(คนไทย) 50 บาท เด็ก 20 บาท ว่าแล้วก็ควักตังค์ซื้อ 2 ใบ และถามคนขายตั๋วให้หายสงสัย "ทำไมหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าให้ชมฟรีครับ " ผมบังคับใจถาม

"ให้ชมฟรีเฉพาะเด็กที่ความสูงไม่ถึง 139 เซนติเมตรเท่านั้น"

ผมรับบัตรชมหมีมา 2 ใบแล้วรีบเดินไปตามทางลูกศรที่เขามีบอกไว้
"ชมฟรีเฉพาะเด็ก หนังสือพิมพ์ไม่ได้โกหก เพราะเขาเขียนเท่าที่เขารู้ คนผิดก็น่าจะเป็นคนไปประชาสัมพันธ์เองที่ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าใครที่มีสิทธิ์เข้าชมฟรี แสดงว่าคนที่มาเที่ยวสวนสัตว์จำนวนมากๆ วันนี้และช่วงนี้ก็ต้องได้รับข่าวสารที่ผิดไปจากความจริงเช่นเดียวกับผมหรือเปล่า เสียความรู้สึกเหมือนกัน เหมือนกับถูกหลอก"

ทิ้งความผิดหวังไว้และเดินเข้าไปยังภายในบ้านหมีแพนด้า ระหว่างทาง
เดินที่ที่ที่จัดเอาไว้ให้ไปเหยียบเพื่อฆ่าเชื้อโรค และก่อนเข้าอาคารที่มีหมีอยู่พนักงานให้ผู้ที่จะเข้าชมเก็บอาหารต่างๆ เข้าตู้และใช้เทปสีดำแปะแฟลตของกล้องถ่ายรูป จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเราเข้าไปชม

panda

หมีแพนด้าที่มาดูวันนี้ก็มาอยู่สวนสัตว์เชียงใหม่ครบ 5 ปี และมีสัญญาอยู่ต่อไปอีก 5 ปี มีชื่อที่ทุกคนรู้จักดีแล้วนั่นคือ ช่วงช่วง และหลินฮุ่ย ทั้งสองเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบเสียงดังเพราะตกใจง่ายจึงมีเจ้าหน้าที่คอยปรามเด็กและผู้ใหญ่ที่ส่งเสียงดังอยู่บ่อยๆ และมีป้ายเตือนติดไว้ที่เสา

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ก็ต้องคอยยกป้ายขนาดใหญ่ขึ้นมาเตือนอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน แต่สันนิษฐานว่าคนที่มาชมอาจจะไม่ใช้คนไทยแต่กำเนิดก็เลยไม่รู้จักข้อความในป้ายที่เตือน ยังคงส่งเสียงดังเป็นระยะตามที่คนประชาสัมพันธ์บนรถรางได้แนะนำก่อนที่จะถึงสถานีว่า หมีแพนด้าใช้เวลา 14 ชั่วโมงในการกินไผ่ซึ่งเป็นอาหารหลักและนอกจากนี้ก็กินแครอทและฟักทองเป็นอาหารเสริมด้วย ส่วนการนอนพักผ่อนนั้นใช้เวลา 9 ชั่วโมง อีก 1 ชั่วโมงอันน้อยนิดนั้นเป็นเวลาที่มีค่ามากสำหรับคนเข้าชมเพราะเขาจะเล่นและอึในเวลา 1 ชั่วโมง

วันนั้นเราโชคดีที่ไปในช่วงที่หมีแพนด้าทั้งสองกำลังเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน รู้จักเอาใจผู้ชมโดยการวิ่งเล่นไปรอบๆ ห้องแสดงทั้งสองห้อง เมื่อมันวิ่งไปห้องใด ผู้ชมก็กรูวิ่งกันตามไปจนเจ้าหน้าที่ต้องปรามว่าอย่าเสียงดัง ก็อย่างว่านะครับ คนเขาอยากดูความน่ารักของมันก็เลยติดตามไปทุกแห่งหน ผมเองก็เลยถ่ายภาพความน่ารักเอามาเก็บไว้ดูเล่นด้วย แพนดาที่ดูนั้นตัวใหญ่มาก ถ้าอีก 5 ปีข้างหน้าผมว่าต้องตัวโตกว่านี้แน่ๆ นี่ขนาดยังโตไม่เต็มที่นะเนี่ย

Panda In Chiangmai Zoo

หลังจากใช้เวลาชมความน่ารักของหมีแพนดาแล้ว ก็เลยออกจากที่นั่น ที่ออกมาไม่ใช่เพราะเบื่อชมหรอก แต่เจ้าแพนดาต่างหากที่เหนือย เล่นหยอกล้อกันจนหอบกินน้ำแล้วแยกกันไปพักผ่อนที่ของใครของมัน เราก็เลยออกมาขึ้นรถรางอีกครั้ง เจอคน 4 คนอีกครั้ง

มันจะเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้ คราวนี้ก็วางแผนเอาไว้ว่าจะให้มันขึ้นรถรางก่อน มันขึ้นตรงไหน เราจะไม่ได้ขึ้นตู้นั้นกับมัน เบื่อมันบ่น แต่พอรถมาจอดมันเหมือนจะไม่ขึ้น เราก็เลยขึ้นที่มีคนขึ้นอยู่ก่อนแล้ว กะว่าถ้ามันจะมาขึ้นอย่างมากก็ได้แค่ 2 คน อาจจะทุเลาหูลงไปบ้าง

แต่ก็โชคดีที่ไม่ขึ้นตู้เดียวกันกับเรา รถรางออกจากชานชลาไปจอดที่สถานีที่ 1 ซึ่งใกล้ทางออกสวนสัตว์ที่สุด เราลงตรงนี้และพากันเดินเพื่อจะกลับไปพักผ่อน ก่อนกลับก็ถ่ายรูปคู่ คราวนี้ก็ขอให้เด็กเค้าถ่ายให้ ดีกว่าคนแรกหน่อยหนึ่งแต่ก็โอเค หยวนๆ

กลับมานอนเอาแรงสักพัก ก่อนอกไป(อีกแล้ว)ที่กาดสวนแก้ว ทุกอย่างของกาดสวนแก้วเหมือนไม่ได้พัฒนาอะไรมากกมาย เดินดูสินค้า เครื่องสำอาง โปรแกรมหนัง รองเท้า หนังสือ เสื้อผ้า และไปได้ผ้าเช็ดหน้าราคาผืนละ 10 บาท 3 ผืน ที่แขวนผนังแผงละ 10 บาท 2 แผงฝากพ่อตา และต่างหูที่เขียนป้าบบอกว่าคู่ละ 20 บาทก็กะรวมๆ ว่าทั้งหมดคงจะ 70 บาท เตรียมควัก
ใบร้อยขึ้นมา คนขายบอกว่า 55 บาทก็เลยจ่ายไปหกสิบ ทอนมาห้าบาท ต่างหู 5 ละกัน คิดไปเอง

ออกจากกาดสวนแก้วค่ำมากแล้ว เลยต้องไปซื้อของกินที่กาดธานินท์หน้า วค. เชียงใหม่ ได้อาหารมา 3 อย่างคือซุปหน่อไม้ 15 บาท ลาบ 20 บาท น้ำพริกหนุ่ม 10 บาท ถั่วปากอ้า 10 บาท ถั่งลิสงทอด 10 บาท มะเขือเปราะถุงละ 5 บาท เต้าหู้นมสด 2 กระปุก 30 บาท และข้าวนึ่ง15 บาท กลับมาถึงโรงแรมกินข้าว อาบน้ำและพักผ่อนเอาแรง


Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 23 ตุลาคม 2552 2:06:19 น. 0 comments
Counter : 1418 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.