ข้อควรระวัง!! อาการบ้านหมุนไม่อันตราย แต่อาจถึงตายได้
ข้อควรระวัง!! อาการบ้านหมุนไม่อันตราย แต่อาจถึงตายได้ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงอาการบ้านหมุน คือ มีอาการเวียนศีรษะคลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม หูอื้อ การได้ยินลดลง มีเสียงในหูทรงตัวลำบาก และมักรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่นรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุน หรือรู้สึกว่าตัวเองหมุนทั้งที่ไม่มีการเคลื่อนไหวคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเกิดจากน้ำในหูไม่เท่ากัน จากการศึกษาพบว่า ร้อยละ 50 สาเหตุเกี่ยวกับหู เช่น น้ำในหูไม่เท่ากันพบร้อยละ 10 โดยผู้ป่วยจะมีอาการ หูอื้อ เวียนศีรษะเกิน 20 นาทีแต่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ลมออกหูการได้ยินลดลงจากหูข้างเดียวกัน เป็น ๆ หาย ๆ และเป็นมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะเกี่ยวกับเรื่องนอกหู เช่นความดันโลหิตสูง ไมเกรน เมารถ เมาเรือ การใช้ยาฆ่าเชื้อบางชนิด เป็นต้น ระบุห่วงอาการเกิดขึ้นระหว่างทำกิจกรรมส่งผลเกิดอุบัติเหตุอาจถึงขั้นเสียชีวิต แนะเมื่อมีอาการควรหยุดพักนอนราบบนพื้นที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ระบุรีบรักษาตั้งแต่แรกให้ผลดีกว่า การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญกับผู้ป่วยมากเพราะถ้าได้รับการรักษาในระยะแรกจะได้ผลดีกว่าระยะหลัง ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีความผิดปกติรู้สึกเวียนศีรษะบ้านหมุนไม่ควรคาดเดาอาการแล้วซื้อยามารับประทานเองควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้โรคบ้านหมุนเป็นปัญหาสุขภาพที่สร้างความรำคาญและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมากแม้บ้านหมุนไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตแต่ถ้าอาการบ้านหมุนเกิดขึ้นระหว่างทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักรกลยานพาหนะที่มีความเร็วสูง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยงเมื่อเสียการทรงตัวอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่สร้างความสูญเสียต่อร่างกายหรืออาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อธิบดีกรมการแพทย์กล่าว สำหรับรายที่มีอาการเวียนศีรษะและอาเจียนมากๆจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับทดแทนร่างกายจะขาดน้ำและเกลือแร่ส่งผลทำให้ความดันในเลือดต่ำจนอาจทำให้เกิดภาวะช็อกและอาจเสียชีวิตได้ทั้งนี้ แนะนำว่า เมื่อมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนขณะกำลังทำกิจกรรมต่าง ๆควรหยุดแล้วนั่งพัก เพราะหากฝืนไม่หยุดพักอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้กรณีมีอาการเวียนศีรษะหรือบ้านหมุนมาก ๆควรนอนราบบนพื้นที่ไม่มีการเคลื่อนไหวและมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่งจนอาการทุเลาลงจึงค่อยๆ ลุกขึ้น ถ้ายังรู้สึกง่วง หรือเพลียก็ควรนอนหลับพักผ่อนเพราะหลังตื่นนอนอาการมักจะดีขึ้นนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น การหมุนหรือหันศีรษะไว ๆการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว การก้ม เงยคอ หรือหันอย่างเต็มที่ ความเครียดความวิตกกังวล การอดนอน งดดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เป็นต้น รวมถึงเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้/จบ ................................................................................................................................. ที่มาข้อมูล:กรุงเทพธุรกิจรายวัน
Create Date : 20 มกราคม 2559 |
Last Update : 20 มกราคม 2559 22:40:51 น. |
|
1 comments
|
Counter : 635 Pageviews. |
|
|
|
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ