ข้อมูลจากเว็บไซต์พยากรณ์อากาศของอังกฤษ weatheronline.co.uk ระบุว่าดัชนีความเข้มข้นของรังสีอัลตราไวโอเล็ต (ยูวีอินเด็กซ์) ในประเทศไทยช่วงระหว่างวันที่ 14-21 เมษายน อยู่ที่ 12 โดยดัชนีนี้วัดค่าจากปริมาณของรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังที่คาดว่าจะส่องมายังพื้นผิวโลกในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อยู่บนจุดสูงสุดของท้องฟ้า (ราวเที่ยงวัน) ข้อมูลจากเว็บไซต์ระบุว่า ความเข้มข้นสูงสุดของรังสียูวีเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละปี โดยความรุนแรงสูงสุดอยู่ในจุดครีษมายัน (ซัมเมอร์โซลสทีซ) ที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุด (โซลสทีซ) คือจุดสูงสุดทางเหนือที่เกิดขึ้นในราววันที่ 21 มิถุนายน และมีความรุนแรงต่ำสุดในช่วงเหมายัน ที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุดคือ จุดสุดทางใต้ในราววันที่ 22 ธันวาคม โดยค่ายูวีอินเด็กซ์มีตั้งแต่ 0 ในตอนกลางคืนไปจนถึง 11 หรือ 12 และอาจสูงกว่านี้ได้ในเขตร้อน หรือภายใต้ภาวะที่ท้องฟ้าโปร่ง
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์พยากรณ์อากาศของอังกฤษระบุด้วยว่า ความรุนแรงของรังสียูวีมีความเสี่ยงเป็นอันตรายต่อสภาพผิวหนังแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งสภาพผิวเป็น 4 แบบ คือผิวขาว ผิวสีแทน ผิวสีน้ำตาล และผิวดำ โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ระบุว่าคนผิวสีน้ำตาลคือคนเอเชียและคนอเมริกากลางและละตินอเมริกาส่วนใหญ่ จะมีความเสี่ยงปานกลางต่อความเข้มข้นของรังสียูวีที่ระดับ 6-9 และเสี่ยงสูงต่อความเข้มข้นของรังสียูวีที่ระดับ 10 ขึ้นไป ซึ่งผิวหนังสามารถเกิดไหม้ได้หากสัมผัสกับรังสียูวีในแสงแดดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาราว 30 60 นาที
คำแนะนำคือ พยายามอย่าให้โดนแสงอาทิตย์โดยตรงโดยให้ใส่เสื้อผ้าปกปิดผิวหนังหรือทาครีมกันแดดที่มีค่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด (เอสพีเอฟ) 15 ขึ้นไป
ทั้งนี้นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศที่มีค่ารังสียูวีอยู่ในระดับ 12 เช่นเดียวกันในช่วงนี้ยังประกอบไปด้วย ซาอุดีอาระเบีย ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ พม่าและติมอร์เลสเต
...................................................................................................................................
ขอนำเนื้อหาจากมติชนรายวัน มารวบรวมไว้เพื่อกาศึกษา
อย่ากลัวออกแดด! หลังเว็บอังกฤษชี้รังสียูวีไทยสูงสุด หมอผิวหนังย้ำคนผิวคล้ำได้เปรียบ
เมื่อวันที่ 14 เมษายน นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีเว็บไซต์พยากรณ์อากาศของอังกฤษ weatheronline.co.uk ระบุว่า ดัชนีความเข้มข้นของรังสีอัลตราไวโอเล็ต(ยูวีอินเด็กซ์) ในประเทศไทยช่วงระหว่างวันที่ 14-21 เมษายน อยู่ที่ 12 ซึ่งเป็นความเสี่ยงสูงที่อาจส่งผลต่อผิวหนัง ว่า ถึงจะมีการวัดดัชนีความเข้มข้นดังกล่าว แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องหวาดวิตกจนไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศร้อนอยู่แล้ว และคนไทย รวมทั้งคนเอเชียจะมีสีผิวที่เข้มกว่าคนยุโรป ทำให้เม็ดสีมีความเข้มกว่า ป้องกันรังสียูวีได้มากกว่า ดังนั้น การทาครีมป้องกันแสงแดดก็สามารถช่วยได้ แต่อาจไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด หรือค่าเอสพีเอฟ(SPF) 30 ขึ้นไป เพราะค่าเอสพีเอฟ 15 ขึ้นไปก็สามารถป้องกันได้แล้ว รวมทั้งสวมเสื้อผ้าแขนยาว ใส่หมวก หรือกางร่ม รวมทั้งสวมแว่นตาก็ป้องกันได้
นพ.นภดล กล่าวอีกว่า รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสียูวี มีอยู่ 3 ชนิด คือ 1. รังสียูวีซี (UV C) เป็นรังสีที่อันตรายที่สุด แต่จะไม่ถึงพื้นโลก เนื่องจากจะมีโอโซนกั้นอยู่ โดยรังสีนี้หากถูกผิวหนังจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ และอาจกระทบต่อดวงตา เป็นต้อกระจกได้ 2.รังสียูวีบี (UV B) มาถึงผิวโลก และมีผลต่อผิวไหม้ได้ หรือที่เรียกว่า ซันเบิร์น แต่ป้องกันได้ โดยการทาครีมกันแดด และ3.รังสียูวีเอ (UV A) จะทะลุเข้าไปภายในผิวหนัง ทำให้แก่เร็วขึ้น แต่ทั้งหมดไม่ใช่ว่าต้องหวาดวิตกเกินเหตุ เพราะไม่ว่าจะมีค่าดัชนีเท่าใด การป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดดมากเกินไปย่อมส่งผลดี ซึ่งปัจจุบันครีมกันแดดก็มีทั้งป้องกันรังสียูวีเอ และยูวีบี ประเด็นคือ ต้องทาให้ถูกต้อง โดยบีครีมออกมาประมาณ 1 ข้อนิ้ว ทาทั่วหน้าและทิ้งห่างสัก 5 นาที ทาซ้ำประมาน 2 รอบ และหากต้องออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ หรือเล่นน้ำทะเลก็ควรทาซ้ำบ่อยๆ
จริงๆแล้ว ครีมกันแดดทามากก็เป็นสารเคมี ทางที่ดีควรมีร่ม สวมหมวกควบคู่ด้วยจะดีกว่า เพราะการถูกแดดมากเกินไปก็ไม่ส่งผลดีต่อผิว ไม่จำเป็นต้องดัชนีเท่าใด แต่ป้องกันก่อนดีที่สุด อย่างคนที่ทำงานกลางแจ้งก็ต้องป้องกันตัวเอง มีร่ม มีหมวก สวมเสื้อผ้าแขนยาว และสวมแว่นกันแดด ก็จะช่วยนอกจากผิว ยังช่วยป้องกันสายตาจากการถูกแสงจ้าด้วย นพ.นภดล กล่าว