ทิเบต-เนปาล ตอนที่ 2: พระราชวังโปตาลา (พิพิธภัณฑ์ไร้จิตวิญญาณของชาวทิเบต)
มาเล่ากันต่อถึงทริป "ทิเบต เส้นทางรถไฟ ทะลุเนปาล" ในวันที่ 4 ของการเดินทาง (16/10/12) พระราชวังโปตาลาระหว่างนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟลาซามาโรงแรมที่พักในเมือง ทำเอาพวกเราตื่นเต้น ตื่นตา และตื่นใจกันทั้งคันรถ ช่างงดงาม และยิ่งใหญ่เหลือเกิน (ความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เห็นเจดีย์ชเวดากองสีทองอร่ามที่พม่าในแวบตาแรกเลย) วันพรุ่งนี้พระราชวังโปตาลาที่เราเห็นจะชัดเจนมากขึ้น และจะค่อยๆ ถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำ (ภาพไม่ชัดเอาซะเลย ถ่ายด้วยมือถือระหว่างที่รถแล่นผ่าน ((+_+))) ทิเบตตั้งอยู่บนพื้นที่ราบที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงเฉลี่ยที่ 4,500-5,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ขนาดความยาวจากเหนือถึงใต้ 1,280 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 2,250 กิโลเมตร ทิเบตจึงถูกเปรียบว่าเป็น "หลังคาโลก" กรุงลาซาเป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงที่สุดในโลก สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,600 เมตร แต่ยังสูงน้อยกว่าอีกหลายเมืองในทิเบต วันนี้เราเริ่มต้นโปรแกรมเช้าวันใหม่ในกรุงลาซาเมื่อเวลา 10.30 น. อาจจะดูเหมือนช้าเกินไป แต่ไกด์ให้เหตุผลว่า ด้วยระดับความสูงที่แตกต่างจากบ้านเรามากๆ จึงต้องการให้พวกเราพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ และมีเวลาปรับตัวเข้ากับเมืองนี้ กว่าจะผ่านเข้าไปถึงพระราชวังโปตาลาได้ ต้องผ่านจุดตรวจหลายจุด ห้ามนำน้ำ ของเหลว ของมีคม และไฟแช็คเข้าไป ระดับความปลอดภัยเช่นเดียวกับตอนที่เราจะขึ้นเครื่องบินเลยทีเดียว ภาพผู้คนเดินหมุนวงล้อมนตรา และสวดมนต์ไปเรื่อยๆ เราจะเห็นกันจนชินตา ซึ่งเค้าเชื่อกันว่า การหมุนวงล้อมนตรา 1 รอบ เท่ากับการท่องบทสวดมนต์ 1 เที่ยว อากาศตอนเกือบๆ เที่ยงของกลางเดือนตุลาคมยังคงหนาวสะท้าน ขนาดใส่เสื้อถึง 3 ชั้นแล้วก็ตาม ยังหนาวเข้าไปถึงเนื้อใน ที่สำคัญคือ แดดแรงมากๆ ด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการมาเที่ยวทิเบตสิ่งที่ห้ามลืม คือ แว่นกันแดด และครีมทากันแดด กลับจากทริปนี้หน้าดำขึ้นกันทุกคนเลย บางคนถึงขนาดหน้าลอกด้วย พระราชวังโปตามีทางเข้าออก 4 ทาง แต่ทางเข้าหลักสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ทางทิศตะวันออก ระหว่างทางเดินเข้าไปในพระราชวังโปตาลา มีล้อมนต์ขนาดใหญ่ตั้งเรียงเป็นแถว ผิวรอบนอกวงล้อมนต์จารึกบทสวดมนต์ภาษาทิเบต ภาพพระราชวังโปตาลาจากด้านข้าง จริงๆ แล้วเราสามารถมองเห็นพระราชวังโปตาลาได้จากทุกมุมในเมืองลาซา เพราะที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ และห้ามมีสิ่งก่อสร้างใดๆ สูงเกินกว่านี้ วันนี้สมาชิกเราไม่ครบทีม มีเพื่อนร่วมเดินทางป่วย และขอนอนพักในโรงแรม 1 คน เสียดายแทนจริงๆ พระราชวังโปตาลาเป็นโปรแกรมไฮไลท์ของการมาเที่ยวทิเบตเลย เพื่อนร่วมทางคนนี้ออกกำลังกายก่อนเดินทาง 2 เดือน แต่มาป่วยตอนจะมาเที่ยวนี่ล่ะ จริงๆ แล้ว ถ้าเรารู้ตัวว่าอาการไม่ค่อยดี ก็ควรพักผ่อนแบบนี้นี่ล่ะ เพื่อที่จะให้ร่างกายพร้อมสำหรับวันต่อๆ ไป พระราชวังโปตาลาสูง 13 ชั้น ขนาดของความมหึมาด้านกว้าง 360 เมตร ทางยาว 400 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขามาโปรี (Marpo Ri) หรือเขาแดง ซึ่งมีความสูงกว่า 110 เมตร รวมเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชวังประมาณ 50 ปี ชื่อ "พระราชวังโปตาลา" มาจากคำว่า "โปตาลากา" หมายถึง สรวงสวรรค์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งตั้งตามชื่อของเขา Potalaka อันเป็นที่ประทับของพระอวโลกิเตศวร เนื่องจากเชื่อกันว่าดาไลลามะเป็นนิรนามกายของพระอวโลกิเตศวร หลังจากดาไลลามะองค์ที่ 14 เสด็จลี้ภัยไปอินเดีย พระราชวังโปตาลาก็ตกอยู่ภายใต้ความดูแลของทางการจีน และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 บางคนบอกว่าพระราชวังโปตาลาภายใต้การปกครองของจีนนั้น เป็นเพียงพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่ไร้จิตวิญญาณของชาวทิเบต รัฐบาลจีนได้ทุ่มเงินกว่า 6.8 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อบูรณะซ่อมแซมพระราชวังในปี ค.ศ. 1989 และ 1995 หลังจากนั้นพระราชวังโปตาลาก็ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1997 และควบรวมอารามโจคัง และนอร์บุลิงกะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกในนามกลุ่มโบราณสถานพระราชวังโปตาลา ในปี 2002 ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมอีกครั้งด้วยงบประมาณกว่า 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐ พระราชวังโปตาลาครอบคลุมพื้นที่กว่า 130,000 ตารางเมตร ด้วยความที่ตั้งอยู่บนเขาสูง และอากาศเบาบาง ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติเวลาเดินชมพระราชวัง ในเมื่อเค้าไม่ให้เอาน้ำดื่มเข้ามา เราก็เลยต้องคอยอมลูกอม หรือกินชอคโกแลตอยู่เรื่อยๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น ถ้าใครรู้สึกเหนื่อย เพลีย และหัวใจเต้นเร็ว ต้องหยุดพักทันที ห้ามฝืนเด็ดขาด กว่าจะเดินมาถึงบันไดทางขึ้นพระราชวังได้ ไม่รู้หยุดไปกี่พักแล้ว เหนื่อยง่ายและเหนื่อยเร็วจริงๆ งานนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับอายุเยอะนะ ค่าเข้าชมพระราชวังโปตาลา รวมถึงสถานที่อื่นๆ ในประเทศจีน ราคาแพงมากๆ ทำให้รู้สึกว่า บ้านเราเก็บค่าเข้าสถานที่ต่างๆ กับคนต่างชาติถูกเกินไปมั้ย ฤดูท่องเที่ยว 1 พ.ค. - 31 ต.ค. ค่าเข้าชมพระราชวังโปตาลา CNY 200 (ประมาณ 1,000 บาท) เปิดเวลา 07.30-18.40 น. นอกฤดูท่องเที่ยว 1 พ.ย. - 30 เม.ย. ค่าเข้าชมพระราชวังโปตาลา CNY 100 (ประมาณ 500 บาท) เปิดเวลา 09.00-16.00 น. และจะเปิดขายบัตรแค่ 4,000 ใบต่อวัน และ 100 ใบในทุกๆ 20 นาที แอบหยุดพักด้วยการถ่ายรูป (อีกแล้ว) จริงๆ แล้วคือ เหนื่อย หอบ ยังเดินขึ้นไปข้างบนไม่ไหว แต่ไหนๆ มาถึงที่แล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของพระราชวังนี้ให้ได้ล่ะ จุดสูงสุดของที่นี่มีความสูงถึง 3,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทางเดินภายในตัวพระราชวังจะถูกกำหนดตายตัว และจำกัดเวลาเข้าชมไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยเริ่มนับจากเวลาที่เข้าสู่พระราชวังขาว และภายในพระราชวังไม่มีห้องน้ำ ดังนั้นควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้าไปข้างใน โดยห้องน้ำอยู่ทางขวามือของลานพระราชวังขาว (ถือเป็น travel tips ของการเข้าชมพระราชวังโปตาลาเลยนะเนี้ย) ห้องน้ำบนนี้มีประตูปิดมิดชิด หายห่วงได้สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการเข้าห้องน้ำในเมืองจีน แต่เรื่องกลิ่นนั้นยังคงเอกลักษณ์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น วันนั้นกว่าจะจัดการกับกิจธุระของตัวเองเสร็จ (ปล่อยเบาและถอดเสื้อลองจอห์น) ทำเอาเกือบหมดลมหายใจกันเลย แผนผังภายในพระราชวังโปตาลาที่วันนี้เราจะเดินชมกัน ซึ่งจะชมแค่ 2 ส่วนคือ พระราชวังขาว (White Palace) และพระราชวังแดง (Red Palace) ดาไลลามะองค์ที่ 5 มีพระบัญชาให้สร้างปราสาทนี้ในลักษณะวังซ้อนวัง พระราชวังวงนอก เรียกว่า พระวังขาว เพราะทาสีขาว สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1648 เป็นเขตที่ประทับของดาไลลามะ (ในอดีต) อยู่ทางตะวันตกของลาน และพระราชวังชั้นใน เรียกว่า พระวังแดง ได้ชื่อตามผนังที่ทาสีแดง ซึ่งสร้างหลังวังขาวเกือบ 50 ปี อยู่ทางตะวันตกของพระราชวังขาว เป็นที่ประดิษฐานสถูปที่บรรจุพระศพของดาไลลามะองค์ต่างๆ ปี ค.ศ. 1642 โลซัง กยัตโซหรือดาไลลามะองค์ที่ 5 สามารถควบคุมอำนาจเหนือทิเบตทั้งหมดได้แล้วจัดตั้งรัฐบาลขึ้น พระองค์จึงทรงดำริให้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่ ตามคำแนะนำของ Konchog Chophet ที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณ พระราชวังเดิมถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 637 ต่อมาประมาณกลางศตวรรษที่ 9 ยุคพระเจ้าลงมาทำลายล้างพระพุทธศาสนา ต่อเนื่องด้วยสงครามกลางเมืองในยุคของการแย่งชิงบัลลังก์ของพระเจ้า Namde Osung และพระเจ้า Tride Yumten จึงทำให้พระราชวังนี้ถูกทำลายเสียหายอย่างหนัก และถูกปล่อยรกร้างยาวนานกว่า 800 ปี พระราชวังขาว (White Palace หรือ Karpo Podrang) ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปีจึงแล้วเสร็จ ดาไลลามะองค์ที่ 5 จึงทรงย้ายจากอารามเดรปุงมาประทับที่พระราชวังโปตาลาพร้อมกับคณะรัฐบาลทั้งหมด พระองค์ทรงปกครองทิเบตได้ 40 ปี และสิ้นพระชนม์ลง แต่การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ถูกปิดเป็นความลับกว่า 12 ปี เพราะคณะสงฆ์ทิเบตเกรงว่าเหล่าคนงานที่อุทิศตนเพื่อพระองค์จะเสียขวัญ สิ้นกำลังใจที่จะร่วมกันสร้างพระราชวังต่อ จึงวางอุบายกระจายข่าวออกไปว่า องค์ดาไลลามะบำเพ็ญฌานสมาธิอยู่ในพระราชวัง กระทั่งดาไลลามะองค์ต่อมามีอายุได้ 20 พรรษา จึงมีการเปิดเผยความจริง และทำพิธีสถาปนาดาไลลามะองค์ที่ 6 การเข้าชมพระราชวังต้องถอดแว่นกันแดด และถอดหมวก เพื่อเป็นการให้ความเคารพสถานที่ เสียดายที่สุดที่ภายในพระราชวังนั้นห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด ยังคิดว่า ถ้ามีฝีมือในเรื่องศิลปะซะหน่อย จะขอเวลานั่งวาดรูปเก็บภาพภายในพระราชวังมาฝากซะหน่อยเถอะ พระราชวังแดง (Red Palace หรือ Marpo Podrang) เป็นที่ทำพิธีทางศาสนา ห้องพระ ห้องสวดมนต์ และที่ประดิษฐานสถูปทองคำที่ฝังพระศพของดาไลลามะองค์ที่ 5 และองค์อื่นๆ ภายในพระราชวัง 13 นี้ประกอบด้วยห้องย่อยๆ นับพันห้อง เป็นห้องสวดมนต์ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ รวมทั้งเป็นที่เก็บพระศพขององค์ดาไลลามะองค์ก่อนๆ ข้าวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ด้วยความรู้สึกของเรา ภายนอกดูยิ่งใหญ่แล้ว ภายในก็ยิ่งใหญ่ไม่แตกต่างกัน แต่ในความยิ่งใหญ่นั้นอับ และทึบ รู้สึกอึดอัดมากๆ เต็มไปด้วยกลิ่นธูป และกลิ่นเนยจามรี ทำให้หายใจไม่ออก หรือเป็นเพราะเราไม่คุ้นชินกับสภาพห้อง และอากาศแบบนี้ก็ได้ ลืมบอกไปว่า สิ่งสำคัญที่เราต้องมีติดตัวระหว่างเดินเที่ยวในทิเบต นอกจากลูกอมและชอคโกแลตแล้ว ยังต้องพก "ยาดม" อีกด้วย ส่วนใหญ่เราจะเข้าชมวัดสำคัญ ซึ่งมีลักษณะเหมือนๆ กัน คือ อับและทึบ มีกลิ่นธูป และกลิ่นเนยจามรี เวลาดมไปนานๆ แล้วจะทำให้มึนและเวียนหัวได้ ยาดมช่วยได้เยอะเลย ช่วงเวลาที่น่ามาเที่ยวทิเบต คือ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นอากาศจะหนาวเย็นเกินไป โดยเฉลี่ยแล้วทิเบตอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7.5 องศา และฝนตกน้อย ช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุด คือ ช่วงระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จะมีหิมะตกทั่วประเทศ เดือนมีนาคมถึงเมษายนเป็นฤดูร้อนแสงแดดจัดจ้า แต่อากาศอบอุ่นทำให้หิมะบนยอดเขาละลายไหลลงมาเป็นอันตรายได้ จากด้านนอกพระราชวังโปตาลา เราสามารถมองเห็นเมืองลาซาได้ สังเกตุได้ว่า เมืองลาซาในทุกวันนี้เต็มแน่นไปด้วยตึกรามบ้านช่อง บรรยากาศคล้ายกับเมืองใหญ่ทั่วๆ ไปของจีน รัฐบาลจีนเร่งนำความเจริญเข้ามาสู่เมืองลาซาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง ที่สร้างถนนหลายๆ สายมุ่งหน้าสู่ที่นี่ หรือการสนับสนุนให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาทำการค้า หรือตั้งรกรากที่นี่ แม้แต่ช่วงเดินลงเราก็ยังต้องหยุดพักอยู่เรื่อยๆ เหนื่อยเหมือนเราเดินมาไกลมากแล้วเลย ทั้งๆ ที่แวะถ่ายรูปเป็นระยะๆ แล้วนะ วงล้อมนต์ที่อยู่ด้านข้างพระราชวังโปตาลา ยาวเหยียดเลย ภาษาทิเบตที่อยู่ข้างกำแพง เขตปกครองตนเองชนชาติทิเบต (Tibet Autonomous Region) เป็นเขตปกครองพิเศษภายใต้การยึดครองของจีน ตั้งแต่ปี 2493 ดังนั้นในเมืองทิเบตปัจจุบันเราจะเห็นภาษาจีนอยู่เหนือภาษาทิเบตบนแผ่นป้ายต่างๆ จีนได้ปกครองทิเบตแบบปิดลับมานานหลายสิบปี เพิ่งจะมาเริ่มผ่อนปรนให้คนภายนอกเข้ามาท่องเที่ยวได้ในปี 2543 คนทิเบตไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองหรือผู้คนในชนบทมักจะอยู่กับการสวดมนต์ "โอม มณี ปัทเม หุม" บทสวดมนต์สั้นๆ แปลว่า โอ มณีในดอกบัว คือ การน้อมจิตระลึกถึงปัญญาและกรุณาที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น คนทิเบตเชื่อว่า หากท่องมนต์นี้วันละร้อยครั้งพันครั้ง จะทำให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวด ดังนั้น นอกจากท่องมนต์ด้วยวาจาแล้ว จึงมีการใช้ล้อมนต์ในการสวดด้วย วันต่อมาพวกเราร้องขอให้ไกด์พามาถ่ายรูปด้านหน้าพระราชวังโปตาลาบ้าง เค้าให้เวลาแค่ 20 นาที เราต้องใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ถ่ายรูปมาให้ได้มากที่สุด และมุมดีๆ ที่จะได้เห็นพระราชวังโปตาลาในมุมสูงต้องข้ามถนนมาอีกฝั่ง ขึ้นป้อมปราการเล็กๆ พร้อมเสียเงิน 2 CNY พระราชวังโปตาลาเป็นที่ประทับของดาไลลามะตั้งแต่องค์ที่ 5 จนถึงองค์ที่ 14 ก็กลายเป็นเพียงตำนาน เมื่อกองทัพแดง (เรดการ์ด) ของจีนบุกเข้ายึดครองในทิเบตในปี พ.ศ. 2493 ส่งผลให้เกิดจราจลในกรุงลาซา ในที่สุดวันที่ 31 มีนาคม 2502 ดาไลมะองค์ที่ 14 ต้องเสด็จออกจากพระราชวังโปตาลาไปลี้ภัยในประเทศอินเดีย จนถึงทุกวันนี้ พวกเราแวะมาถ่ายรูปกันตอนเย็นๆ เพื่อนร่วมทริปบางส่วนสมัครใจที่จะรออยู่บนรถมากกว่า เนื่องจากเราได้เที่ยวมาทั้งวันแล้ว เริ่มจะเพลียๆ กัน แต่พวกที่ชอบถ่ายรูปก็ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่กันต่อไป เต็มอิ่มกับการถ่ายรูปพระราชวังโปตาลากันมากๆ ขนาด 1 ทุ่มแล้วฟ้ายังสว่างอยู่เลย แต่อากาศเย็นมากๆ ประมาณ 9 องศา แถมมีลมอีกต่างหาก ดีนะที่มื้อเย็นของเราเป็นสุกี้เห็ดเลิศรส รีบขึ้นรถไปโซ้ยของร้อนๆ ดีกว่า อัพบล็อกอย่างช้าๆ เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของทิเบตเยอะๆ ไม่แน่ใจว่าจะอัพบล็อกทริปทิเบต-เนปาลได้กี่ตอน แต่จะพยายามมาเล่าให้จบทริป ขอบคุณที่ยังคงติดตามกันค่ะ ตอนที่ 1: นั่งรถไฟไต่หลังคาโลก "ชิงไห่-ทิเบต" ในที่สุดฝันก็กลายเป็นจริง (Click!!!)
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2555 |
|
76 comments |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2556 14:33:25 น. |
Counter : 16017 Pageviews. |
|
|
|