รื่นรมย์กับเมืองมรดกโลกอู่หลง (Wulong) @ มหานครฉงชิ่ง (Chongqing) ประเทศจีน
สถานที่ท่องเที่ยว : เมืองมรดกโลกอู่หลง @ มหานครฉงชิ่ง, China พิกัด GPS : 29° 17' 19.66" N 107° 47' 32.49" E
ทริปนี้จองกันด่วนๆ อีกแล้ว...... รู้สึกปีนี้จะได้ไปเที่ยวแบบไม่ได้วางแผนหลายทริปเลยนะเนี้ย พอดีเจ้านายไปเห็นโฆษณาแอร์เอเชียเปิดเส้นทางกรุงเทพ-ฉงชิ่งในหนังสือพิมพ์จีนแล้วก็มาชวนให้ไปเที่ยวด้วยกัน จริงๆ เราเห็นโฆษณาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่ไม่ได้สนใจ เพราะไม่รู้ว่าฉงชิ่งมีอะไรน่าเที่ยว ก็เลยวางเฉยเสีย แต่ไหนๆ เจ้านายมาชวนทั้งที พร้อมบอกว่า ที่นี่หม้อไฟเสฉวนมีชื่อเสียงมากนะ แหม...เอาเรื่องของกินขึ้นมาล่อตาล่อใจขนาดนี้ ไม่ต้องถามอะไรต่อแล้ว ตอบตกลงไปในทันทีทันใด จองวันสุดท้ายของโปรโมชั่น 14/2/12 เดินทางวันที่ 28/4-1/5/12 เป็นช่วงที่มีวันหยุด 4 วันพอดี ไม่ต้องลางาน และที่สำคัญงานนี้ไปแบบฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย เจ้านายใจดีออกให้หมดเลย......ขอบคุณมากนะคะ.... ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วันนี้ขอพาเที่ยวเมืองมรดกโลกอู่หลงอันแสนประทับใจกันก่อน และถ้ามีโอกาสจะพาเที่ยวที่อื่นของมหานครฉงชิ่งนะคะ เมื่อปี 1997 รัฐบาลจีนได้ประกาศให้ ฉงชิ่ง (Chongqing) เป็น 1 ใน 4 มหานครของจีน นอกจากนี้ยังมี เป่ยจิง-ปังกิ่ง (Beijing) ซ่างไห่-เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) และเทียนจิน-เทียนสิน (Tianjin) ส่วนเมืองอู่หลงที่พวกเรามาเที่ยวนั้นเป็นอำเภอหนึ่งของมหานครฉงชิ่ง อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งนี้เราใช้บริการนำเที่ยวท้องถิ่นซึ่งจองกับทางโรงแรมเมื่อมาถึง ราคาประมาณ 2,500 บาท แต่เวลาจองทัวร์นั้นต้องดูรายละเอียดดีๆ ว่าเค้าพาไปไหนบ้าง และค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้นครอบคลุมอะไรบ้าง รถบัสมารับพวกเรา 3 คนที่หน้าโรงแรม แล้วไปรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ การเที่ยวกับคนจีนกลุ่มใหญ่ๆ เป็นอะไรที่ต้องทำใจมากๆ แม้จะมาเที่ยวเมืองจีนหลายรอบ แต่บางอย่างก็เกินใจอดทนจริงๆ ทั้งเรื่องการพูดเสียงดัง การแก่งแย่ง เบียดกระแทก ไม่มีการเข้าแถวเข้าคิว และมารยาท การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเป็นเรื่องปกติของคนจีน แต่มันดันมาพร้อมใจกันสูบบนรถบัสติดแอร์นี่สิ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน เพราะหนีไปไหนไม่รอด..... วันนี้รถติดมากๆ ตรงกับวันหยุดวันแรงงาน คนจีนก็เลยพร้อมใจกันออกเที่ยวนอกเมืองกัน จากปกติใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.จากในเมืองฉงชิ่งมาถึงอู่หลง แต่วันนี้เรานั่งรถกันเกือบๆ 4 ชม.เลย มาถึงนี่ก็บ่ายนิดๆ แล้ว แวะกินข้าวกลางวันกันก่อน (รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว) พูดได้สั้นๆ คำเดียวว่า ไม่อร่อย ในที่สุดก็มาถึงอุทยานแห่งชาติหลุมฟ้าสะพานสวรรค์ ซะที ที่นี่เพิ่งได้รับการรับรองจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี 2007 เป็นสถานที่เที่ยวแนะนำระดับ 5A ของประเทศจีน ประเทศจีนจัดลำดับสถานที่เที่ยวของเค้าตั้งแต่ 1A-5A ยิ่ง A เยอะ ยิ่งน่าเที่ยว อุทยานหลุมฟ้า สะพานสวรรค์เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกกลายเป็นหลุมธรรมชาติขนาดใหญ่ เสียดายว่าคนมาเที่ยวเยอะมากๆ ไกด์ก็เลยบอกว่า อย่าไปเสียเวลารอลิฟท์แก้วเลยนะ กลัวจะไม่ทันเวลา ถ้าเราลงมาด้วยลิฟท์แก้วจะเห็นเหมือนมีหลุมอวกาศขนาดใหญ่ลอยอยู่ท่ามกลางภูเขา และเดินลงมาตามช่องทางจะมีหินงอกหินย้อยระหว่างทางเดินด้วย แต่พวกเราเดินมาอีกทางนึง ทั้งขึ้นและลงบันไดหลายขั้นมากๆ กว่าจะได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติ ทำเอาหอบแฮกกันเลย เราจะได้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของกลุ่มสะพานสวรรค์ (กลุ่มสะพานหินธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย) ซึ่งประกอบด้วย สะพาน 3 แห่ง (Mystical Three Natural Bridges) คือ สะพานมังกรสวรรค์ สะพานมังกรเขียว และสะพานมังกรดำ ตรงนี้เป็นสะพาน 1 คือ สะพานมังกรสวรรค์ (Heavenly Dragon Bridge) ลักษณะเป็นโพรงขนาดใหญ่ เมื่อมองทะลุออกไปคล้ายกับสะพานเชื่อมสวรรค์กับโลกมนุษย์ ข้างๆ กันมีโรงเตี๊ยมโบราณเคยเป็นจุดแวะพักแรมยามค่ำคืนของคนเดินทาง ในสมัยโบราณที่ใช้เป็นเส้นทางลัดจากมณฑลเสฉวนไปมณฑลเหอหนาน และเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์จีนฟอร์มยักษ์ เรื่องศึกโค่นบัลลังก์วังทอง (Curse of The Golden Flower) ของผู้กำกับชื่อดัง จาง อวี้ โหมว โดยมี 3 นักแสดงชั้นนำ คือ โจวเหวินฟะ เจย์โชว์ และกงลี่ เดินถัดมาอีกหน่อยเป็นสะพานที่ 2 คือ สะพานเขียว (Green Dragon Bridge) ลัษณะเป็นหน้าผาทิ่มแทงไปในท้องฟ้า ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ทำให้เรากลายเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ลงไปเลย ชอบเมืองจีนตรงที่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแต่ละที่ของเค้าใหญ่โต อลังการ และยังมีความสมบูรณ์หลงเหลืออยู่นี่ล่ะ ช่องทางเดินผ่านสะพานสุดท้าย คือ สะพานมังกรดำ (Black Dragon Bridge) ลักษณะเป็นโตรกหน้าผาอยู่ในส่วนที่แคบที่สุด แสงผ่านเข้าไปน้อย ทำให้ดูค่อนข้างมืดดำ (ถ่ายรูปออกมาไม่ชัด ก็เลยไม่ได้ลงรูปให้ดูกัน) เดินมาตามทางเดินเรื่อยๆ เราจะเห็น "ทะเลสาบหลุมฟ้า" บางช่วงน้ำเป็นสีเขียรมรกต ใสมากๆ แต่บางช่วงน้ำก็เป็นสีฟ้าๆ สวยมากๆ เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับเรามาก.... คิดว่าน่าจะอารมณ์ประมาณเดียวกับสระมรกตที่กระบี่ของบ้านเรา บางโปรแกรมทัวร์จะจบแค่ที่ "อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้าสะพานสวรรค์" เท่านั้น แต่พวกเราซื้อทัวร์เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องนั่งรถของอุทยานไปอีกจุดหนึ่ง ค่ารถตรงนี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มเอาเอง เห็นคนจีนกลุ่มใหญ่เดินกันเป็นแถวๆ เลย แต่ดูแล้วพวกเราไม่สามารถแน่ๆ ทางขึ้นเขาขึ้นเนินทั้งนั้น เห็นทางเดินแล้วแทบจะถอดใจกันเลยทีเดียว ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด และจุดหมายปลายทางที่ยังอีกยาวไกล แต่ต้องปลุกปลอบกำลังใจให้ตัวเอง และเตือนใจเอาไว้อยู่เรื่อยๆ ว่า "ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ไม่ไปได้ยังไง" กับ "ไหนๆ ก็จ่ายตังค์ไปแล้ว (แม้จะไม่ได้จ่ายเองก็เถอะ) ไม่ไปได้ยังไง" เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน หากเหนื่อยนัก เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้พักแล้ว บางคนอาจเกิดคำถามว่า ถ้าเหนื่อยขนาดนี้แล้วจะไปเที่ยวทำไม แล้วจะมีความสุขกับการท่องเที่ยวมั้ย? คำตอบของเราคือ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล เที่ยวสบายเราก็ชอบ เที่ยวลำบากเราก็พอไหว เพราะอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่ได้รับก็จะแตกต่างกันไป ขอเพียงได้เที่ยวไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร แค่นี้ก็สุขใจมากมายแล้ว เห็นบันไดแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งท้อกันนะคะ อยากบอกว่า ความสวยงามที่เราจะได้พบเจอในเบื้องหน้า จะทำให้เราลืมเหนื่อยกันได้เลย ที่เรากำลังจะไป เรียกว่า "น้ำตกหุบผาสวรรค์ รอยแยกของปฐพี" แค่ชื่อก็ชวนให้อยากรู้อยากเห็นแล้วว่าเป็นยังไง เห็นมีนักท่องเที่ยวหลากหลายวัยเลยที่มาเที่ยวที่นี่กัน ตั้งแต่เด็กน้อยยันผู้สูงอายุ แอบคิดในใจว่า ถ้าเราอายุเยอะขนาดนั้น ไม่กล้ามาเที่ยวลำบากแบบนี้แน่ๆ ใจไม่กล้าพอ ส่วนใหญ่มีแต่คนจีน ไม่ค่อยได้เห็นคนชาติอื่น คนจีนนี่เค้าก็เก่งนะ ทำทางเดินลัดเลาะหน้าผาให้พวกเราเดินได้สะดวก ทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติได้ง่ายยิ่งขึ้น ได้เห็นความงามที่ซ่อนเอาไว้ บางแห่งก็อำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวด้วยกันสร้างลิฟท์แก้ว หรือกระเช้าลอยฟ้า เพื่อจะได้เข้าถึงธรรมชาติได้ไม่ยาก อากาศกำลังเย็นสบายเลย เดินมาเหนื่อยๆ มาเข้าไปยืนใกล้ๆ น้ำตกซะหน่อย ให้น้ำกระเซ็นใส่หน้า เย็นชื่นใจ.... "Natural Oxygen Bar Here" เห็นป้ายนี้แล้วยิ่งอยากเดินเข้าไปข้างใน เข้าไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดซะหน่อย นานๆ จะเข้าถึงธรรมชาติบริสุทธิ์แบบนี้ซะที หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่ในเมื่อถอยกลับไม่ได้แล้ว แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องเดินหน้าต่อไป ถ้าไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา เดินไปเรื่อยๆ ชื่นชมธรรมชาติแบบนี้ ก็ทำเอาเพลินได้เหมือนกันนะ น้ำตกตรงนี้เหมือนโปรยสายลงมาจากฟากฟ้าเลย มองขึ้นไปไม่เห็นว่าไหลผ่านมาจากตรงไหนบ้าง นี่ล่ะที่เค้าเรียกว่า น้ำตกหุบผาสวรรค์ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหยุดพักถ่ายรูปกันเยอะๆ ตอนแรกๆ ก็สงสัยว่าทำไมน้ำที่นี่ถึงเป็นสีฟ้าใสหรือสีเขียวมรกต พอกลับมาก็รีบหาข้อมูลเพิ่มเติม ถึงได้รู้ว่า เกิดจากแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่สะสมอยู่นี่เอง แร่ธาตุที่ว่านี้ก็คือ แคลเซียมคาบอเนต แมกนีเซียม มังกานีส และกำมะถัน แวะพักเหนื่อยเป็นระยะๆ แต่บางเส้นทางก็มีป้ายห้ามเข้าติดเอาไว้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเค้ายังทำทางเดินไม่เสร็จ หรืออยู่ในเขตอันตราย ใกล้จะถึงทางออกแล้ว รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เสียดายที่มีเวลาอยู่ที่นี่น้อยเกินไป อยากมีเวลามากกว่านี้ จะได้นั่งชมวิว ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนอีกเมื่อไหร่ แนะนำสำหรับคนที่อยากมาชื่นชมธรรมชาติสวยๆ แบบนี้ว่า ควรให้เวลาสำหรับที่นี่อย่างน้อย 1 วันเต็มๆ เตรียมร่างกายให้พร้อม ใส่รองเท้าที่กระชับ และสบายเท้า เท่านี้ความสุขก็หมุนวนอยู่รอบๆ ตัวเราแล้ว ทริปนี้ใช้พลังงานมหาศาลในการเดินชมธรรมชาติ แบกกล้อง และถ่ายรูป และใช้พลังงานมหาศาลในการย่อภาพ หาข้อมูล และอัพบล็อก รูปอาจจะเยอะไปนิด แต่อยากให้เพื่อนๆ ได้ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ไปด้วยกันค่ะ
Create Date : 12 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 23 สิงหาคม 2555 17:19:06 น. |
|
53 comments
|
Counter : 17120 Pageviews. |
|
|