ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
28 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

++++++"วันที่ถอดหมวก" นี่คือหนังสือที่ผมชอบมากที่สุดในปีนี้ (ติดตามอ่านดีๆ ตอนจบมีให้ยืม!)++++++

+-+-+-+-+-อัพเดท - 09/07/07+-+-+-+-+-


วันที่ถอดหมวก-ศิลปะในการปล่อยวาง


หนังสือที่ดีนั้น คุณมีคำจำกัดความยังไงครับ


อ่านสนุก เพลิน มัน ภาพยิ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งแฉเยอะยิ่งดี
ซึ่งนั่นก็เป็นมุมมองของแต่ละคน ไม่มีใครคิดผิดคิดถูก


พูดถึงเรื่องนี้ ผมไปติดใจคำพูดนึงซึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าใครพูด


เขาบอกว่า หนังสือที่ดีนั้น ถ้าอ่านจบแล้วรู้สึกชาไปทั้งตัวแค่นั้นยังไม่พอ
ถ้าดีจริง เวลาอ่านจบต้องเหมือนมีคนมาตบหน้าแรงๆ จนหน้าชา


ที่มาชวนคุยเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
พอดีตอนนี้ผมมีความรู้สึกเหมือนมีคนเอาเท้ามากระทืบที่หน้าผมเป็นสิบๆ ที
และนั่นก็เป็นอาการหลังจากผมอ่านหนังสือเรื่อง "วันที่ถอดหมวก" ของอ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลจบ



หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ผลงานของอ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลครับ
จุดเริ่มต้นก็คงเหมือนแฟนคลับของอ.คนอื่นๆ คือ ถ้าไม่ไปเจอหนังสือแกตามร้านหนังสือมือสองเก่าๆ ก็ต้องไปเจอตามงานหนังสือที่เขาชอบเอามาใส่กระบะลดราคา 50%



ไม่ค่อยมีใครเจอในร้านหนังสือใหญ่ๆ ดีๆ หรอกครับ เพราะหนังสือมีสาระ เขาเอาไปหมกไว้หลังร้าน เคลียร์พื้นที่ให้กับหนังสือแฉดาราหมด



ด้วยความไม่แน่ใจ แรกๆ ก็สั่งออเดิร์ฟมาลองชิมแค่เล่มสองเล่ม
อ่านไปอ่านมาติดใจ
ต้องกลับไปเหมามาอ่านต่ออีกยกชุด



จนถึงทุกวันนี้ผมตามเก็บตามอ่านงานเขียนของอาจารย์ได้เกือบหมดแล้วครับ



ไม่ธรรมดาเลยถ้าคิดว่าหนังสือที่อาจารย์เขียนมีเกินยี่สิบเล่ม แถมแต่ละเล่มที่เขียนถ้าไม่อิงชีวิต การเมืองก็เป็นจิตวิญญาณ ซึ่งล้วนแต่เป็นของย่อยยากสำหรับนักอ่านทั้งนั้น
แถมบางเล่มแม้ใช้เวลาอ่านแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ต้องเอากลับไปคิดหลายวันกว่าจะเข้าใจหมด



สาเหตุหลายคนติดใจงานของแก นอกจากที่แกเป็นนายของภาษา ใช้คำดี อ่านสนุกแล้ว
แกยังมีเอกลักษณ์ทั้งในความคิด การมองโลก และวิธีการเขียน



งานเขียนของอ.มีลักษณะเด่น คือ ชอบเอาตัวเองเป็นตัวเอก
จะเขียนเรื่องไหนก็จะเอาประสบการณ์ตัวเองเป็นตัวอย่าง เป็นตัวอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ง่ายขึ้น
ซึ่งนั่นเป็นคนละความหมายกับคำว่า หลงตัวเอง สร้างภาพเป็นพระเอกโรแมนติกเทือกนั้น
ยิ่งชีวิตผ่านอะไรมาเยอะแยะ การเขียนเปิดตัวเองแบบนี้จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีการสะกิดสะเกาเอาบาดแผลของผู้เขียนมากางแผ่ให้โลกเห็น
คนที่เขียนหนังสือแบบนี้ได้ต้องเป็นคนกล้าที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว



การเขียนหนังสือแบบนี้ก็ก่อให้เกิดปัญหาเหมือนกัน ทำให้เวลาแยกแบ่งประเภทผลงาน งานของอ.จะมีปัญหาเสมอ
ตัวอย่าง คือ มีอยู่ปีหนึ่งที่ผลงานของอ.ผ่านเข้ารอบซีไรท์แต่กลับถูกตัดสิทธิ์ด้วยเหตุผล "ไม่เข้าข่ายเรื่องสั้น" ทั้งๆ เมืองนอกก็มีงานประเภทนี้มานานแล้ว แต่มันอาจใหม่เกินไปสำหรับเมืองไทย
แต่ที่แน่ๆ คือ ถ้าเปลี่ยนจากอาจารย์เป็นนายแดง นายดำซักคน แล้วบอกว่าเป็นเรื่องแต่งนั้นงานที่ออกมานั้นจัดได้ว่าเป็นเรื่องสั้นชั้นดีเลยทีเดียว
น่าเศร้าที่บางครั้งกรอบที่ควรจะวางเพื่อเป็นประโยชน์กลับเป็นตัวมาบีบคั้นเราซะงั้น



สิ่งที่น่าเคารพอีกอย่างคือ ตัวตนของแก สิ่งที่แกคิด สิ่งที่แกเขียนล้วนเหมือนกัน
ความคิดแกจะเป็นอย่างไร สิ่งที่แกเขียนแกก็เป็นอย่างนั้นแหละ ด้วยเหตุนี้เวลากลับไปอ่านงานเขียนหรือบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของแกเวลาเอาไปอ่านจะดุเดือด เลือดพล่าน เมามันมาก
ผมโชคดีที่อ่านหนังสือเรียงจากเล่มเก่าไปหาใหม่
การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือดูหนังของผู้สร้างสรรค์งานเรียงจากชิ้นแรกๆ ไปหาชิ้นหลังๆ นั้นมีข้อดีตรงที่เราสามารถเห็นพัฒนาการทางความคิดของคนคนหนึ่งอย่างเต็มที่
และการอ่านหนังสือของอาจารย์ก็ไม่ผิดจากนี้ เหมือนคนอ่านได้อ่านความคิดที่โตไปพร้อมกับเขาด้วย
จากเล่มแรกๆที่บ้าเลือดเข้าขั้นโหดมันฮา ด่าเช็ด
ตอนหลังสงบขึ้น จนเหมือนหนังคนละม้วน แต่ก็ยังคงมีความคิดที่เฉียบคม เด็ดขาดเหมือนเดิม
เหมือนจับเอาแซม เพคกินพาร์ มากำกับหนังสไตล์ยาสึจิโร่ โอสุอย่างไงอย่างงั้น


เคยมีคนถามว่า ในบรรดาผลงานทั้งหมด คุณชอบหนังสือเล่มไหนมากที่สุด
ผมอาจจะมีเผลอไผลลังเลบ้าง แต่สุดท้ายผมก็มักจะตอบว่า วันที่ถอดหมวก ทุกที
ไม่เกี่ยวว่ามันเป็นเล่มใหม่ล่าสุด ได้อ่านหลังสุด ยังเห่ออยู่ อะไรทั้งสิ้น
แต่ผมชอบที่มันเป็นหนังสือที่เขียนจากมุมมองของ คนที่เติบโตเต็มที่แล้ว (ซึ่งถูกใจวัยกำลังโตแบบผมมาก)

บทความทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมเอาบทความในคอลัมน์ คนกับคน ที่เคยเขียนไว้ในนิตยสาร ค.คน
แม้เนื้อหาหลักจะหนักอึ้ง เพราะเน้นไปที่ความคิดจิตวิญญาณ
แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่รู้เรื่องนะครับ
ตรงกันข้ามเลยครับ จริงๆ แล้วอ่านง่ายมาก เพราะผู้เขียนเอาหลักจิตวิญญาณมาเขียนโดยอธิบายผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน
ธรรมะอยู่รอบตัวคุณ ไม่จำเป็นต้องไปสวดมนต์ภาวนาที่ป่าแห่งไหน ถ้าใจเรารู้ถึงธรรม แม้อยู่ในช่วงเวลาปกติก็บรรลุได้


ก่อนจะบอกต่อว่า หนังสือเล่มนี้มันดีอย่างไร
ผมอยากจะให้เวลาเพื่อนๆ 1 วัน ไปหาอ่านดูก่อน เดี๋ยวจขบ.จะมาเขียนเจาะลึกเนื้อหาในเล่มต่อ
เจาะลึกว่า ทำไมคนที่ใส่หมวกมาทั้งชีวิตกลับยอมถอดหมวกเพื่อหมาตัวเดียว
แล้วก็รายละเอียดการให้ยืมจะมาบอกตอนหน้าแล้วกันนะครับ
ระหว่างนี้ก็อยากให้เพื่อนๆ ช่วยบอกหน่อยว่าเคยอ่านงานของอาจารย์แกหรือเปล่า เรื่องไหนบ้าง
ส่วนตอนนี้ขอเตรียมตัวไปดูคอนเสิร์ตเฉลียงก่อนนะครับ


ขอบคุณคร้าบ...




อัพเดท วันที่ 09/07/2550

ไปหามาอ่านกันมาแล้วใช่ไหมครับ ใครอ่านไม่อ่านไม่รู้ ว่าแล้วก็มาต่อกันเลยดีกว่า
นี่ไม่ใช่เล่มแรกที่อ.เสกสรรค์เปลี่ยนแนวมาเขียนเรื่องจิตวิญญาณ
ก่อนหน้านี้แกก็เคยเขียนแบบชิมลางมาแล้วใน วิหารที่ว่างเปล่า และ ผ่านพบไม่ผูกพัน
เล่มแรกยังพออ่านเข้าใจ เพราะไม่ได้เจาะลึกอะไรมาก จะเน้นเขียนเรื่องไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่มากกว่า
ไม่เข้าใจยังแกลังทำเป็นอ่านข้ามไปอ่านตรงอื่นได้ ไม่ติดขัด
ส่วนผ่านพบไม่ผูกพันนั้น ขอสารภาพตรงๆ ว่า กว่าผมจะอ่านจบนี่หมดยาดมไปหลายกระปุก
ถ้าเปรียบเล่มนี้เป็นอาหารก็สเต็กดีๆ นี่เอง
ถึงอร่อย ล้ำคุณค่าแต่ทั้งเคี้ยวยาก ย่อยยาก เหนียวติดฟัน
ทำเอาคนที่ซื้อเพราะเห็นภาพถ่ายวิวสวยๆ ในเล่มจนนึกว่าเป็นหนังสือท่องเที่ยวมึนไปหลายคนแล้ว
อาจเพราะอาจารย์แกเขียนถึงจิตวิญญาณล้วนๆ จนคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้ดีพอหรือไม่เคยอ่านหนังสือแนวนี้มาก่อน ภูมิต้านทานยังไม่ดี ยังกลืนเรื่องนี้ได้ไม่เต็มที่

แต่อย่าเพิ่งตกใจ ถ้าคุณเคยมึนงงกับ ผ่านพบไม่ผูกพัน ปัญหาเรื่องนั้นจะหมดไปถ้าคุณอ่านหนังสือ"วันที่ถอดหมวก"เล่มนี้


จากพูดถึงจิตวิญญาณเดี่ยวๆ ในเล่มนี้อ.ปรับวิธีการเขียนให้อ่านง่ายขึ้นโดยการใช้เหตุการณ์ง่ายๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ
เป็นการคลี่คลายวิธีการเขียนของอาจารย์
แม้บทความอ่านเผินๆ แล้วเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ จิปาถะ แต่ว่าไม่ได้ไร้แก่นสารเหมือนเปลือกนอก
เพราะเรื่องราวที่เขียนทั้งหมดก็ล้วนมุ่งไปสู่เรื่องราวของจิตใจ และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนนั่นเอง
ไม่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวีรกรรม ความใฝ่ฝัน ความทะเยอทะยานทะเยอทะยาน เดินสู่ความสำเร็จ ฟาดฟันกับความเลวอย่างเลือดสาดเหมือนเล่มเก่าๆ
เล่มนี้เขียนในแนวคนปลงตก เข้าใจชีวิต และเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เข้าใจโลก
ดั่งชื่อภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ ที่ตั้งได้อย่างพอเหมาะพอเจาะว่า The Art of Being Nobody


แต่ละบทความก็จะเขียนถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์และจิตวิญญาณในมิติต่างๆ กันไป


อย่างในบทความ "ผู้อื่นในตัวเรา" ที่บอกว่า
บางทีเราอาจใช้ชีวิตตามความคาดหวังคนอื่นมากเกินไป
มากจนทำให้สูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิตของตัวเอง


หรือในตอน "มิตรที่ไม่ใช่เพื่อน" ที่บอกให้เราทราบว่า
แม้นความช่วยเหลือจากมิตรสหายคนรู้จักนั้นจะสำคัญแต่มันก็เป็ฯสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว
ความช่วยเหลือจากคนไม่รู้จักนั่นต่างหากที่สำคัญกว่าและนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดความดีงามของสังคมได้


ในตอน"นอกเหนือการเมือง" อาจารย์พยายามชี้ให้เห็นว่า
การเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น การมองอะไรให้รอบด้านย่อมดีกว่าการมองอะไรแบบสุดขั้
วและวิถีนักรบกับวิถีนักบวชไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน


ในตอน "อีกหนึ่งสายน้ำ" เขาพยายามชี้ให้เห็นว่า
บางคำถามคาใจที่ยังค้างนั้น ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบเพราะมันจะหมดความสำคัญไปเอง


ในตอน "ชีวิตและความกล้าหาญ" เขาบอกว่า
ถ้าจะอยู่ในสังคมที่เป็นอยุ่ทุกวันนี้ได้ จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญมากกว่าเดิม
เพียงแต่ไม่ใช่ความกล้าแบบเดิมๆ ในแบบสังคมเก่า


หรือในตอน"นาฏกรรมแห่งตัวตน "
เขาเล่าเหตุการณ์ตอนไปร้านอาหารแล้วเจอขอทานตาบอดร้องเพลงขอเงินตามโต๊ะ
อ.รู้สึกว่ามันคือการเรียกค่าไถ่ทางจิตวิญญาณโดยใช้ความสงสารเป็นตัวประกัน
เหมือนที่คนในสังคมนี้เป็นโดยใช้ความน่าสงสาร ความน่าเชื่อถือ หรือความหวังดีเป็นตัวประกัน


และยังมีบทความดีๆ อีกหลายเรื่อง
และปิดท้ายเล่มด้วยบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับธรรมะและจิตวิญญาณที่ใส่ไว้เพิ่มเติม เป็นการอุดรอยรั่วและเพิ่มคำอธิบายเวลางงกับบทความในเรื่องได้อย่างดี


ทุกบททุกตอนทำหน้าที่มันได้อย่างดีเยี่ยม
ทุกตอนในหนังสือเขียนด้วยความละเมียด และไม่มีตอนไหนที่ผมไม่ชอบ
แต่ถ้าจะถามถึงตอนที่ชอบที่สุดนั้น คิดว่าน่าจะตรงกับคนอื่นไม่น้อย
ตอนนั้นมีชื่อว่า "วันที่ถอดหมวก"


เนื้อหาในตอนนั้นกล่าวถึงหมาจรจัดตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่อยู่ในธรรมศาสตร์
หมาตัวนั้นชอบนั่งเฝ้าอยู่ที่บันไดทางเข้าคณะที่แกสอน และไล่ทำร้ายแกมาหลายครั้ง
เมื่อสืบค้นสาเหตุก็พบว่า เนื่องจากสมัยก่อนมันเคยไปอยู่แถวสนามหลวงแล้วโดนชาวต่างชาติที่ใส่หมวกถือกล้องทำร้าย เกิดเป็นความฝังใจ โดยมันจะชอบไล่เห่าไล่กัดคนที่ใส่หมวกทุกคนที่พบเห็น
ซึ่งคนที่เคยเห็นตัวจริงหรือเคยเห็นรูปอาจารย์คงร้องอ๋อ เพราะสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอาจารย์ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้องใส่หมวก


ตลอดชีวิตของแกเกี่ยวข้องกับหมวกมาตลอด ทั้งใส่หมวกเพราะเพิ่งสึกตอน 14 ตค. ใส่หมวกในเครื่องแบบทหารตอนเข้าป่าตอนใส่หมวกตกปลาตอนออกทะเล และตอนใส่บังแดดตอนเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัย
มีคนขวางหูขวางตากับหมวกของแกมาก และยิ่งเป็นอย่างนั้นยิ่งไม่เคยมีใครมาบอกให้แกถอดหมวกของแกได้
น่าขำที่สุดท้ายแกต้องมาทบทวนเรื่องการใส่หมวกเพื่อให้ถูกใจหมาแค่ตัวเดียว


บางทีการยอมแตกหักนั้นไม่ยาก การเอาปืนไปไล่ยิงหมา บอกนักการให้กำจัดหมาทิ้งไปเลยนั้นไม่ยาก
การไม่ฆ่าต่างหากที่ยากกว่า
สุดท้ายอาจารย์ก็พบว่า เมื่อเราถอดวางสิ่งนั้นไปแล้ว เราก็จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นอีกต่อไป
การถอดหมวกเพื่อหมา จึงไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดเลย
เราสามารถลองแทนหมวกเป็นอะไรก็ได้ครับ
สมมติว่าแทนหมวกด้วยศักดิ์ศรี
ถ้าเรามีปัญหา มีใครมาดูหมิ่นศักดิ์ศรี ยุ่งกับศักดิ์ศรีเรา เพียงแค่เราถอดคำว่าศักดิ์ศรีทิ้งไป ใครก็มาทำอะไรกับศักดิ์ศรีเราไม่ได้อีกแล้ว
สุดท้าย สิ่งที่บทความนี้ต้องการจะสื่อก็คือ การปล่อยวางนั่นเอง


ครับ อ่านแล้วผมก็คิดถึงสิ่งที่ผมเขียนเกี่ยวกับคนเลี้ยงวัวในบลอกอันก่อนๆ
สนใจไปอ่านได้ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=birdwithnolegs&month=06-2007&date=19&group=5&gblog=3 นะครับ
ผมเขียนไว้ว่าถ้าเราไม่มีวัวแล้ว เราก็ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับวัวอีกต่อไป


การปล่อยวางเป็นคนละอย่างกับการไม่รับผิดชอบ
ไม่ใช่โยนทุกอย่างทิ้ง โครม ไม่เอาแล้วโว้ย
แต่คือการมาพิจารณาว่า ไอ้ทั้งหมดที่เราถือจนล้นมือนั้น มีอะไรที่จำเป็นจริงๆ บ้าง
อะไรที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งมันไป
หรืออะไรถือไม่ไหวที่พอปล่อยได้แป๊บนึงก็วางไว้ข้างตัวชั่วคราวก่อน มีแรงมีเวลาแล้วค่อยหยิบมาถือใหม่
รู้ตัวเราให้ดี ว่าเราแบกก้อนหินก้อนไหนแบกอยู่บ้างแล้วหาวิธีจัดการ


ถ้าเรามีปัญหาไม่รู้ว่า หินก้อนไหนควรปล่อย หินก้อนไหนควรถือ
ให้เพื่อนๆ ลองคิดว่า อะไรในชีวิตที่เราต้องการจริงๆ
ลองมองสิ่งต่างๆ ในชีวิตให้ทะลุปรุโปร่ง
เช่น เงินทองที่จริงมันคืออะไร
เงินคือ สิ่งสมมติที่เรากำหนดให้มันมีค่า เพื่อเอาไว้แลกเปลี่ยนกัน
ถ้าเรายังพอมีและใช้มันซื้อของต่างๆ ได้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง
ด้วยความคิดเดียวกัน เราลองมาคิดว่า
ชื่อเสียงคืออะไร
ความรักความชัง คืออะไร
ศักดิ์ศรีของเราคืออะไร
ดูว่าอะไรสำคัญกับเราจริงแล้วปล่อยมัน


แต่พอลองคิดให้ดีๆสุดท้ายชีวิตคนเราอาจจะไม่เหลืออะไรที่สำคัญก็ได้
เพราะสุดท้ายไม่ว่าคุณจะใหญ่คับฟ้าหรือต่ำต้อยแค่ไหน สิ่งที่แบกจะใหญ่เล็กแค่ไหน
สุดท้ายประตูทางออกของชีวิตก็มีอยู่แค่ประตูเดียว
และคุณก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลย...


ถามว่าหนังสือเล่มนี้อ่านง่ายไหม ผมคิดว่าง่ายมาก แต่อ่านแล้วจะเข้าใจซาบซึ้งไหมนั้นก็คงแล้วแต่ลักษณะของคนอ่าน
คนที่อ่านหนังสือพวกนี้แล้วเข้าใจถ่องแท้นั้นจะต้องมีวุฒิภาวะพอสมควร
และถ้าจะให้อ่านแล้วชอบซาบซึ้งกินใจไปเลยนั้น ชีวิตคุณควรจะต้องผ่านประสบการณ์เลวร้ายมาโชกโชนพอสมควร จึงจะรู้สึกอย่างนั้นได้


สรุปแล้วหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร
ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องจิตใจคน เรื่องความสงบในใจ เรื่องความสัมพันธ์มนุษย์ โครงสร้างสังคม
มากกว่าวันนี้หุ้นขึ้นกี่จุด ใครจะได้เป็นนายก หนังเรื่องใหม่ที่เข้าเรื่องอะไรแล้วละก็
ไม่ต้องลังเล นี่คือหนังสือสำหรับคุณครับ
และในความคิดของผม นี่คือ หนังสือที่ผมชอบที่สุดในรอบปีนี้ครับ


**************************************************************************



พออ่านหนังสือดีๆ อย่างนี้เสร็จ สิ่งที่ผมคิดคือ อยากให้คนอื่นได้อ่านบ้าง
คนที่สนใจอยากอ่านแต่ไม่อยากซื้อ อยากเช่า ไม่มีปัญหาครับ เพราะผมจะให้คุณยืมฟรีๆ ครับ
มีข้อแลกเปลี่ยนแค่ เอาหนังสือคุณมาแลกกับผมด้วย เท่านั้นเอง


เรื่องของเรื่อง คือ ผมเห็นโครงการ book tag ของเพื่อนสมาชิกแล้วสนใจมาก อยากเข้าร่วมมากๆ
แต่ด้วยหลายปัจจัยแล้วผมทำไม่ได้ครับ
เนื่องจากทั้งไม่สะดวกในการส่งไปรษณีย์
มีหนังสือที่อยากให้แลกเยอะมากจนกลัวว่าจะยุ่งในการทวงคืน
ผมขอแยกตัวทำโครงการเดี่ยวแล้วกัน


กติกาง่ายๆ คือ ผมมีหนังสือของอ.เสกสรรค์บางส่วนที่อยากจะเอามาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ดังนี้ครับ

(ขอบคุณรูปและคำบรรยายจาก //www.tinhub.net)

-วันที่ถอดหมวก ดังที่บอกไปแล้ว
ราคา 150 บาท





-เพลงเอกภพ
บันทึกการเดินทางที่ไมไ่ด้เพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านตา แต่สำรวจลงไปดินแดนลึกสุดของหัวใจก
จัดเป็นหนึ่งในผลงานเชิงจิตวิญญาณที่ดีเด่นที่สุดของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ทั้งในแง่ของชั้นเชิงทางภาษาและกลวิธีการนำเสนอ
ราคา 190 บาท





-ฟองเวลา กาพย์กลอนและคำรำพัน
ราคา 100 บาท





-ก่อนสิ้นศตวรรษ รวมบทสัมภาษณ์และคำปราศรัยในช่วงห้าปี พ.ศ.2539-2543
ราคา 210 บาท





-บางสิ่งที่หายไป รวมบทความเกี่ยวกับสัตว์ป่าและธรรมชาติ
ราคา 125 บาท





-มหาวิทยาลัยชีวิต
เหตุการณ์ในเดือนตุลาคม 2516 เป็นการหักมุมครั้งใหญ่ในชีวิตของประเทศชาติ แต่ในนั้นก็มีการหักมุมของชีวิตคนหลาย ๆ คน รวมทั้งตัวผมด้วย
อันที่จริงการต่อสู้ดังกล่าวเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าผมจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ ผมเพียงแต่บังเอิญเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ซึ่งส่งผลกำหนดชีวิตผม มากกว่าที่ผมมีส่วนกำหนดมัน
บางส่วนจากเนื้อเรื่อง
ราคา 110 บาท





-เดินป่าเสาะหาชีวิตจริง
จากคืนวันแห่งราวไพรสู่นาคร
เหตุการณ์เดือนตุลา 2516 ไม่เพียงกำหนดอนาคตของสังคมไทย
หากแต่กำหนดชีวิตหลากหลาย ไม่เว้นแต่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
"เดินป่าเสาะหาชีวิตจริง" จึงมีความหมายอีกนัยหนึ่ง เป็นดั่งเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของสังคมไทยสมัยใหม่
ราคา 95 บาท





-เร่ร่อนหาปลา สัมพันธภาพระหว่างชีวิตและสายน้ำ
ราคา 120 บาท





แถมด้วย
-ฉันจึงมาหาความหมาย-วิทยากร เชียงกูล ที่เขียนไว้ในหัวข้อกวีเมื่อนานมาแล้ว อ่านได้ใน//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=birdwithnolegs&month=04-2007&date=17&group=4&gblog=4
ราคา 140 บาท





-open 52 Matisse Issue
รวมนักเขียน ราคา 250 บาท





-ลม ฟ้า อาหาร (ความเรียงว่าด้วยอาหารและอากาศ)
โตมร ศุขปรีชา ราคา 180 บาท





- ที่เกิดเหตุ: บันทึก 1 ปี ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ราคา 195 บาท





หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนหนังสือ

1.จะไม่ส่งไปรษณีย์ไปให้ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะเป็นการแลกเปลี่ยนผ่านตัวหรือฝากใครมาให้หรือฝากของไว้ที่ที่หนึ่งมีคนดูให้แล้วเอาไปแลกกับคนนั้น
สถานที่ที่สะดวกในการแลกที่สุดคือ ที่โรงหนังเซนจูรี่ อนุสาวรีย์ชัยหรือไม่ก็ตามสถานีรถไฟฟ้าทุกที่
2.ไม่ให้ยืมฟรีนะครับ แต่อยากรบกวนให้เพื่อนๆเอาหนังสือที่ราคาใกล้เคียงกันมาแลก (ถ้าเอารายชื่อหนังสือมาให้จขบ.เลือกผ่านหลังไมค์จะดีมากๆ)
ถ้าราคาขาดเกินกันเยอะ ก็ให้คนที่มีหนังสือราคาน้อยกว่ามัดจำเป็นเงินส่วนต่างของราคา เวลาหนังสือหายจะได้ไม่เสียใจมาก
3.ติดต่อขอแลกผ่านหลังไมค์หรืออีเมลล์ที่ให้ไว้พร้อมบอกชื่อหนังสือของผมและของคุณเองที่อยากเอามาแลกเปลี่ยน
แล้วทางเราจะติดต่อถึงวัน เวลา สถานที่และวิธีมาเอาที่สะดวกทั้งสองฝ่ายอีกที
4.เอาไปอย่าให้เกินเดือนนะครับ เผื่อมีคนต่อคิวเยอะ

ใครสนใจติดต่อได้ที่ otto2py@yahoo.com หรือหลังไมค์มาหาผมก็ได้

ขอบคุณครับ












 

Create Date : 28 มิถุนายน 2550
42 comments
Last Update : 24 มีนาคม 2551 2:16:27 น.
Counter : 2834 Pageviews.

 

หวัดดีวัันหยุดนะคับ

 

โดย: frank3119 30 มิถุนายน 2550 9:33:59 น.  

 

"ธรรมะอยู่รอบตัวคุณ ไม่จำเป็นต้องไปสวดมนต์ภาวนาที่ป่าแห่งไหน ถ้าใจเรารู้ถึงธรรม แม้อยู่ในช่วงเวลาปกติก็บรรลุได้"
เห็นด้วยกับคุณฟ้าดินค่ะ ฆราวาสบางครั้งปฏิบัติตนดีกว่าพระสงฆ์บางรูปเสียอีก ดูเฉลียงเผื่อด้วยนะคะ แล้วจะมาอ่านต่อค่ะ

 

โดย: แซนด์ซี 30 มิถุนายน 2550 9:51:46 น.  

 

ชอบอ่านหนังสือเยี่ยงเดียวกันค่ะ..

แค่คำโปรยก็กินใจแล้ว "วันที่ถอดหมวก - ศิลปะในการปล่อยวาง"

ไม่ต้องยกตัวอย่างถึงคนอื่น แค่เฉพาะตัวเราเอง ก็สวมหมวกหลายใบ ตั้งใจบ้าง บังเอิญบ้าง ก็สุดแต่สถานการณ์..

ปล่อยวาง.. คือความหมายที่ดีของการทิ้งทุกข์

 

โดย: d.. diary 30 มิถุนายน 2550 10:40:06 น.  

 

สวัสดีวันหยุดนะค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจคะ
จะลองไปหามาอ่านดูมั้งคะ
มีความสุขในวันหยุดมากๆ นะค่ะ
รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ หน้าฝนแล้ว

 

โดย: weraj 30 มิถุนายน 2550 12:04:20 น.  

 

สวัสดีวันหยุดจ้าคุณฟ้าดิน
โห... เห็นความรู้สึกของจขบ.กับหนังสือเล่มนี้แล้ว
ชักอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นไงน๊า อิอิ

มีความสุขในวันหยุดจ้า...

 

โดย: fonrin 30 มิถุนายน 2550 13:39:04 น.  

 

ต้องลองหามาอ่านมั่งแระ

 

โดย: :: ปลาทองน้อยๆตัวสีส้ม :: (mix_9001 ) 30 มิถุนายน 2550 20:08:19 น.  

 

สวัสดียามเย็นนะค่ะ
แวะเอาบุญมาฝากค่ะ สาธุ
เชิญแวะไปเยี่ยมที่บล๊อกนะค่ะ
ฝันดีล่วงหน้าค่ะ

 

โดย: weraj 1 กรกฎาคม 2550 19:49:17 น.  

 

อืม... เป็นหนังสือที่น่าสนใจจังค่ะ ต้องไปหามาอ่านมั่งละ

 

โดย: Beee (Beee_bu ) 1 กรกฎาคม 2550 20:22:15 น.  

 


*** หวัดดีจ้า แวะมาเยี่ยม และจะมากระซิบว่า..หลับฝันดีนะจ้า ***

 

โดย: หน่อยอิง 1 กรกฎาคม 2550 21:31:51 น.  

 

หลังดูคอนเสิร์ตแล้ว "ถอดหมวก" ได้ยัง

ปล่อยวางนะเพื่อน...555

 

โดย: calcium_kid (calcium_kid ) 2 กรกฎาคม 2550 17:02:39 น.  

 

ต้องไปหาบ้างล่ะครับ ขอบคุณที่แนะนำหนังสือดีๆนะครับ

 

โดย: pilok 3 กรกฎาคม 2550 19:19:45 น.  

 

อยากไปดูเฉลียง เสียดาย

 

โดย: This road is mine 4 กรกฎาคม 2550 9:21:09 น.  

 

ก็เหมือนอย่างที่คิดว่านั่นหล่ะ หนังสือดี ๆ มักจะอยู่หลังร้านจริง ๆ

และที่สำคัญถ้าหากอยากได้หนังสือดี มีสาระต้องเดินหาซื้อตามตลาดนัดเสาร์-อาทิตย์ซิ มีเยอะเลย....(แปลกเน๊าะ..)

 

โดย: อนันตลัย 4 กรกฎาคม 2550 22:53:16 น.  

 

ตอบคำถามว่าไม่เคยอ่านครับ

หนังสือที่ผมชอบอ่านมันแล้วแต่อารมณ์ช่วงนั้นๆ ครับ
ตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลา ก็ได้อ่านคอลัมน์สั้นๆ จากมติชนสุดฯ และรีดเดอร์ไดเจสท์
ถ้ามีเวลาหน่อยก็จะชอบอ่านวรรณกรรมเด็ก เพราะมันเบิกบานดี
การจะอ่านอะไรหนักๆ นี่คงต้องพร้อมจริงๆ ครับ
ถ้าวันไหนสมาธิกระเจิงแล้วไปอ่านอะไรที่ต้องตีความมันคงไม่มีประโยชน์
และผมว่าผมมีแนวโน้มจะชอบเรื่องแต่ง มากกว่าเรื่องจริงนะครับ
ก็คงแค่อยากปล่อยให้ตัวเองฝัน ในช่วงเวลาสั้นๆ สักพักหนึ่ง

 

โดย: พลทหารไรอัน 5 กรกฎาคม 2550 17:52:54 น.  

 

จำไม่ได้ว่าเคยอ่านงานของอาจารย์หรือเปล่า แต่ใน ค.คน นั้นเคยอ่านบ้าง แล้วแต่ว่าจะได้ซื้อ ค.คน มาอ่านหรือเปล่า แต่ผมอ่านแล้วก็ชอบครับ เพราะอาจารย์แกเอาเรื่องใกล้ๆ ตัวมาเขียนให้อ่านแบบง่ายๆ แต่ถ้าคิดตามแล้วมันก็มีเรื่องให้คิดเยอะ

แปลกเหมือนกันที่ผมอ่านหนังสือแนวหนักๆ แบบนี้ตอนเรียนมัธยมเสียเยอะ เข้าใจว่าเป็นช่วงกำลังค้นหามั้งครับ พอโตๆ มากลับอ่านหนังสือแนวนี้น้อยลง เข้าใจว่าพอเริ่มเข้าสังคมมากขึ้น ผมก็เลยห่างหายจากหนังสือที่มีแนวคิดเป็นเชิงอุดมการณ์มากๆ พบเห็นได้น้อยหรือปฏิบัติจริงได้ลำบากในสังคม

ถ้าเล่มนี้เป็นการรวมบทความของอาจารย์จาก ค.คน ล่ะก็ น่าหามาอ่านจริงๆ แหละครับ

 

โดย: คนทับแก้ว 6 กรกฎาคม 2550 10:54:39 น.  

 

อ่านที่คุณฟ้าดินเขียนแล้ว อีกไม่นานคงได้ฤกษ์อัญเชิญหนังสือของอ.ที่เราวางไว้บนหิ้งลงมาอ่านละคะ
ท่าจะเหมาะสำหรับวัยกำลังโต 555

["การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือดูหนังของผู้สร้างสรรค์งานเรียงจากชิ้นแรกๆ ไปหาชิ้นหลังๆ นั้นมีข้อดีตรงที่เราสามารถเห็นพัฒนาการทางความคิดของคนคนหนึ่งอย่างเต็มที่"]

...อืม การที่มีผู้อ่านติดตามอ่านผลงานของนักเขียนสักคน จนมองเห็นจุดนี้ของเขา เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขาด้วยเหมือนกันค่ะ

 

โดย: walk in dream (walkin ) 6 กรกฎาคม 2550 11:16:25 น.  

 

อ่านแล้วแอบคิดต่อนิดหน่อย
เอ? จะเป็นคนถอดหมวก
หรือว่าจะเป็นหมาตัวนั้นหนอเรา

แนะนำอีกเล่มนะ ผ่านพบไม่ผูกพัน
เล่มนี้ก็เจ๋งดี

 

โดย: มึนดี IP: 124.157.229.151 7 กรกฎาคม 2550 9:35:03 น.  

 

ดีจังที่นำมาแนะนำ เป็นน้ำจิ้มก่อน เล่มนี้ยังไม่ได้อ่านเหมือนกัน พลาดแน่ ๆ ถ้าคุณไม่แนะนำ
ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
(มีความสุขในตการอ่านนะคะ)

 

โดย: แพรจารุ 7 กรกฎาคม 2550 23:25:40 น.  

 

 

โดย: weraj 8 กรกฎาคม 2550 11:34:16 น.  

 

แล้วจะรีบหาซื้อมาวางต่อคิวโดยไวครับ

 

โดย: เจ้าชายไร้เงา 8 กรกฎาคม 2550 12:38:53 น.  

 

โอ้... คุณฟ้าดินจ๋า
อยู่ตจว.งั้นขอสละสิทธิ์การยืมน๊า
เพราะเดินทางไม่สะดวกจ้า

มีความสุขมากๆนะคะ

 

โดย: fonrin 9 กรกฎาคม 2550 7:19:16 น.  

 

ผมเป็นพวกอ่านหนังสือแนวไม่หนักกบาลน่ะครับ อยากอ่านงาน อ.เสกสรรค์ เหมือนกัน แต่ก็กลัวจะอ่านไม่รู้เรื่อง จนป่านนี้เลยยังไม่ได้ชิมลางเลยซักเล่ม 555+

บังเอิญเป็นแฟนหนังสือแนวฆ่ากันเลือดสาดน่ะครับ
แต่ก็ไม่แน่ เดี๋ยวเวลาผ่านไปอีกสักหน่อยอาจจะได้ลอง แล้วรักเลยก็ได้

 

โดย: nanoguy 9 กรกฎาคม 2550 9:02:59 น.  

 

สวัสดีครับคุณฟ้าดิน
ขอบคุณมากครับที่จะให้ยืมหนังสือ

 

โดย: ลุงกล้วย 9 กรกฎาคม 2550 9:24:30 น.  

 

น่าสนใจดีคะ ขอบคุณที่เเนะนำโครงการนี้มานะคะ


เป็นคนไม่ค่อยอ่านหนังสือเเนวนี้เท่าไหร่ (อ่านเเต่อะไรที่ไม่ต้องคิดมาก) เเต่พอได้อ่านบางส่วนที่คุณเกริ่นเอาไว้ ก็คิดว่าน่าสนใจมากๆ

ไม่เเน่ใจว่าจะเเลกหนังสือได้รึเปล่า เพราะว่ากลัวไม่มีเวลาว่างจะอ่านคะ เเล้วอีกอย่างก็ไม่ค่อยจะมีหนังสือเเนวนี้ที่บ้าน (มีเเต่ของวินทร์ บางเล่ม) ไม่รู้ จขบ. อยากอ่านบ้างรึเปล่า...กลัวไม่ค่อยจะมีเล่มที่น่าสนใจให้อะคะ

เเต่ก็ขอบคุณที่เเนะนำมานะคะ

 

โดย: This road is mine IP: 161.200.255.162 9 กรกฎาคม 2550 10:47:26 น.  

 

เดี๋ยวแวะไปยืม

 

โดย: calcium_kid 9 กรกฎาคม 2550 13:30:59 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะ แค่พี่อยู่เชียงใหม่
อย่างไรก็ขอชื่นชมโครงการแลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่าน เพราะหนังสือที่อยากอ่านบางครั้งก็หาไม่ได้จริง ๆ

 

โดย: แพรจารุ 9 กรกฎาคม 2550 14:05:08 น.  

 

โอโห บล็อกยาวมากๆ เลยค่ะ ขอกลับบ้าน กทม. ก่อนนะคะแล้วจะตั้งใจอ่านอีกที ใช้เน็ตร้านคาเฟ่ ตจว. นี่ช้ามากๆ + เด็กเล่นเกมเสียงดังไปหมด อ่านไม่สะดวกค่ะ

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 9 กรกฎาคม 2550 15:09:57 น.  

 

ยาวมากๆ เลยครับ
เดี๋ยวคืนนี้จะตั้งใจอ่านอีกรอบครับ

----- ----- -----
คุณ ฟ้าดิน ครับ

ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณประภาส ชลศรานนท์ เลยครับ
แกชอบเอาเรื่องราวตำนานต่างๆ จากทุกมุมโลกมาเล่าสู่กันฟังใน "คุยกับประภาส" เสมอๆ
แต่เรื่อง "นรสิงหาวตาร" นี้ผมไม่เคยเห็นแกเอามาเล่านะครับ
ถ้าแกเอามาเล่าคงได้มุมมองที่ สนุกๆ แปลกๆ และน่าสนใจมากๆ เลยล่ะครับ

ขอบคุณที่เยี่ยมที่ กายแก้ว's blog เสมอๆ นะครับ

 

โดย: กายแก้ว 9 กรกฎาคม 2550 17:38:16 น.  

 

สวัสดีค่ะ แวะมาแย้ว ตามคำเชิญ แต่ว่า... หนังสือแนวนี้ นู๋ว่านู๋อ่านไม่เข้าจัยแน่ ๆ เยย งุงิ

ตอนนี้กะลังลุยอ่านหนังสือที่บ้านที่ซื้อมาเยอะแยะแต่ยังอ่านไม่หมดซักทีอยู่ค่ะ

 

โดย: Beee (Beee_bu ) 9 กรกฎาคม 2550 19:09:00 น.  

 

คุณฟ้าดินขยันเขียนมากเลยเนอะ
อ่านแล้วก็อยากหา 'วันที่ถอดหมวก' มาอ่านบ้าง
ไม่ค่อยกล้ายืมเพราะเป็นคนไม่รักษาหนังสือเลยค่ะ
แต่ถ้าไปร้านหนังสือคราวหน้า..เล่มนี้ไม่พลาดแน่ๆอ่ะ
ขอบคุณที่แนะนำนะค้า

 

โดย: idLer IP: 124.120.157.138 9 กรกฎาคม 2550 21:25:54 น.  

 

สวัสดีครับ

ตอนที่เขียนบล็อกนี้
ผมไม่เศร้าเลยแม้แต่น้อย
มีความสุขมากครับ

......................

เข้ามาที่บล็อกคุณยิ่งชอบ
เพราะชอบอะไรเหมือนกัน
ผมอ่านงานอาจารย์เสกสรรค์ทุกเล่มครับ
เหมือนโตมาโดยมีครูอีกคนที่ชื่อเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ถ้าอ่านงานของอาจารย์มาเรื่อยๆจะพบว่ามันไม่ต่างกับชีวิตจริงของคนบางคน
ตั้งแต่วัยรุ่นที่ความคิดร้อนแรง
เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่เข้มข้น
เข้าสู่วัยชราที่นิ่งและเข้าใจชีวิต

อ่านงานช่วงนี้ของอาจารย์แล้วนึกถึงนักบวชที่ไม่ได้ห่มเหลือง
แต่บวชที่จิตไปเรียบร้อยแล้ว

ผมชอบ "ผ่านพบไม่ผูกพัน"
แต่"วันที่ถอดหมวกก็เขียนแนะนำไว้ในบล็อกหนังสือของผม
เหมือนกัน

รวมถึงงานของพี่วรพจน์ทุกเล่ม ผมชอบมากครับ

ดีใจที่ได้รู้จักนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) 10 กรกฎาคม 2550 7:33:15 น.  

 

สนใจจะแลกค่ะ
ขอแอดบลอกไว้ก่อนนะคะ ...
แล้วจะกลับมาใหม่ ..
ไปหาฟนังสือก่อนนะ

 

โดย: ซซ 10 กรกฎาคม 2550 8:13:20 น.  

 

สวัสดีค่ะ
แวะมาทักทายและขอบคุณที่แวะไปทักทายและฝากข้อความไว้ช่วงที่วิไม่อยู่ ขอบคุณมากๆเลยนะค้ะ

 

โดย: ชะตาฟ้า 11 กรกฎาคม 2550 7:11:54 น.  

 

แวะมาทักทายคะ มีความสุขมากๆนะคะ

 

โดย: mintny_n 11 กรกฎาคม 2550 12:05:51 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะคุณฟ้าดิน เรื่องที่จะให้ยืมหนังสือ เกรงใจค่ะเดี๋ยวจะไปยืมห้องสมุดอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก

 

โดย: แซนด์ซี 11 กรกฎาคม 2550 16:09:23 น.  

 

หนังสือน่าสนใจค่ะ แต่วิธีการยืมดูยุ่งไปสักหน่อย เห็นจะไม่สะดวกค่ะ
เพราะอยู่ตจว.ด้วยสิ

 

โดย: printcess of the moon 11 กรกฎาคม 2550 17:38:08 น.  

 

วีค่อย ๆ อ่าน
แต่ละข้อความของพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ
อย่างละเอียดและตั้งใจที่สุด
ทุก ๆ คน
มีน้ำใจต่อวีมากเหลือเกิน
ซึ้งใจมากค่ะ

บางคนปลอบใจ
โดยการถ่ายทอด
ประสบการณ์จริง
ทั้งที่เกิดจากญาติพี่น้อง
และแม้แต่เกิดกับตัวเอง

ในเมื่อทุก ๆ คนที่เคยผ่าน
เหตุการณ์แบบนี้มา
ก็ผ่านมาได้อย่างดี
ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิด
ความอยากสู้ค่ะ

นับว่าช่วยให้เกิดกำลังใจ
และหายท้อไปได้มากจริง ๆ ค่ะ

วีจะเข้มแข็งค่ะ
เพื่อพ่อ เพื่อตัวเอง
และเพื่อไม่ให้ผู้ที่มาให้กำลังใจ
ทุก ๆ คน
ต้องผิดหวังค่ะ

อย่าลืมช่วยส่งใจช่วย
พ่อของวีด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sodnaisoi

แวะรับคำขอบคุณจากใจวี
ที่ความคิดเห็นที่ 99 ค่ะ


 

โดย: โสดในซอย 11 กรกฎาคม 2550 22:39:09 น.  

 

เขียนถึงวันที่ถอดหมวกได้น่าสนใจมากครับ
จนผมคิดว่าถ้าแวะไปร้านหนังสือครั้งหน้าจะไปหามาอ่าน

สำหรับโครงการแลกเปลี่ยนหนังสือผมขอสละสิทธิ์นะครับ
เนื่องจากค่อนข้างหวงหนังสือตัวเองครับ

 

โดย: พลทหารไรอัน 12 กรกฎาคม 2550 1:36:04 น.  

 

แวะเข้ามาทักทายค่ะ และมาส่งข่าวว่า

เสร็จจากงานคุณนายแล้วล่ะ
แต่ก็ยังเหลือเคลียร์ข้าวของในบ้านจะเอาไปบริจาคน่ะค่ะ

ช่วงนี้ก็คงไม่ได้เข้ามาเล่นบ่อยนัก แต่ว่างเมื่อไหร่ก็จะรีบมาทักทายนะคะ

ขอบคุณที่แวะไปให้กำลังใจกันนะคะ

 

โดย: หัวใจสีชมพู 12 กรกฎาคม 2550 13:04:35 น.  

 




สวัสดีวัยหยุดคะ
แวะมาเยี่ยมและบอกว่าอัพบล๊อกเสร็จแล้วนะค่ะ
เชิญเข้าชุมนุมได้ อิอิ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆๆๆ เลยฮับ
รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ
มีความสุขมากๆๆ นะค่ะ

 

โดย: weraj 14 กรกฎาคม 2550 13:26:20 น.  

 

 

โดย: Thug IP: 125.25.213.105 27 มกราคม 2551 22:12:46 น.  

 

หลงเข้ามา คิดว่า เราอ่านหนังสือแนวเดียวกัน

ขอยืมภาพหนังสือ ขอบคุณ วันหลังขอมาแชร์กันนะคะ

 

โดย: โมกสีเงิน 13 พฤษภาคม 2551 9:54:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.