+-+-+-+แนะนำสุดยอดหนังสือ(1): Design + Culture คัลเจอร์ออกแบบ (ไม่) ได้+-+-+-+
อาจเป็นเพราะช่วงนี้อากาศดี และผมมีเวลาว่างมากเป็นพิเศษ ทำให้ผมอ่านหนังสือได้มากกว่าที่เคยอ่าน ล่าสุดผมก็เพิ่งอ่านจบไป 5 เล่ม ได้แก่ -อ่าน(ไม่) เอาเรื่องของชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ -อ่านผิด ของมุกหอม วงษ์เทศ -ในเขาวงกต ของมุกหอม วงษ์เทศ -เสียงพูดสุดท้าย รงค์ วงษ์สวรรค์ บทสัมภาษณ์โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์ -ดีไซน์ + คัลเจอร์ของประชา สุวีรานนท์ (อันนี้อ่านรอบสอง) ส่วนตอนนี้กำลังปลุกปล้ำกับ -หนังอาร์ทไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ของธนา วงศ์ยานนาเวช (อันนี้อ่านยากสุดๆ) -ข้างหลังโปสการ์ด ของหลานเสรีไทย (136) (เหลือครึ่งหลังที่อ่านยากกว่าครึ่งแรกมาก) -โฉมหน้าศักดินาไทย ของจิตร ภูมิศักดิ์ -เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน ของฮารูกิ มูราคามิ เนื่องจากหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านจบไป มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจอยู่มากพอสมควร เลยเกิดอาการขยันชั่วคราว อยากเก็บถ้อยคำและเนื้อหาสาระในหนังสือมาบอกกล่าวให้เพื่อนๆ ชาวบลอกฟัง เผื่อใครที่ยังลังเลใจว่าจะอ่านดีหรือเปล่า จะได้หาโอกาสไปลองหามาอ่านดู Design + Culture ดีไซน์ + คัลเจอร์ ประชา สุวีรานนท์ สนพ. ฟ้าเดียวกัน 300 บาท 328 หน้า
สมแล้วที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบ หนังสือเล่มนี้ออกแบบปกและรูปเล่มได้สวยงามมาก ในเล่มมีภาพประกอบ 4 สีมากมาย การจัดรูปเล่มดูสะอาดตา ฟอนต์สวยงาม ไม่เห็นตัวสะกดผิด มีบรรณานุกรม ที่มาของภาพ และดัชนีครบถ้วน ง่ายต่อการสืบค้นต่อไป มาดูที่หน้าปกกันก่อน หน้าปกดูสวย เด่นสะดุดตา และชวนให้ตีความต่อ (ประชาเป็นคนออกแบบปกเอง) โดยหน้าปกใช้พระจันทร์ข้างแรมแทนตัว D สื่อถึง Design และใช้พระจันทร์ข้างขึ้นแทนตัว C สื่อถึง Culture ซึ่งในความคิดผม การใช้รูปข้างขึ้นข้างแรม น่าจะสื่อถึงว่า ทั้ง Design และ Culture เป็นสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวโยงและสะท้อนถึงกัน ดั่งดวงจันทร์ดวงเดียวกันแต่สะท้อนเงาคนละซีก สื่อถึงเนื้อหาในเล่ม ที่ไม่ได้เขียนถึงเรื่อง ดีไซน์ ประมาณว่า การออกแบบคืออะไร เคล็ดลับการออกแบบให้เตะตาคนต้องทำอย่างไรบ้างแต่เพียงอย่างเดียว หนังสือเล่มนี้ยังพูดถึง"คัลเจอร์" หรือวิธีคิดวิธีมองโลกที่อยู่เบื้องหลังนักออกแบบด้วย แถมยังชี้ชวนให้เราเห็นสิ่งที่กว้างไกลไปกว่าเรื่องของการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง วัฒนธรรม อุดมการณ์ (ส่วนนี้นำมาจากคำนำของสำนักพิมพ์) โดยมองเรื่องทั้งหมดนี้โดยมองจากการออกแบบ พูดง่ายๆ คือ ใช้การวิเคราะห์ดีไซน์ เป็นเครื่องมือสื่อผ่านไปวิเคราะห์คัลเจอร์นั่นเอง
อ่านแล้ว อย่านึกว่าจะเป็นเรื่องอ่านยาก ประเภทดีไซน์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย (ผมอ่านหนังอาร์ทไม่ได้มาเพราะโชคช่วยของธนา วงศ์ยานนาเวชยังไม่จบเพราะติดที่ความยากในสำนวนและเนื้อหาของหนังสือ) ตรงข้าม หนังสือเล่มนี้อ่านเข้าใจง่าย แถมอ่านแล้วเพลินมาก เผลอๆ เอาติดไปอ่านบนรถไฟ นั่งยังไม่ทันถึงจุดหมายก็จบแล้ว ต้องชมประชาว่า เป็นคนเขียนหนังสือที่มำให้คนอ่านอ่านอ่านแล้วลื่นไหล ใช้สำนวนดี แปลงเรื่องเข้าใจยากหรือเรื่องที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นเรื่องเข้าใจง่าย แถมเขียนได้ครอบคลุมทุกด้าน อย่าง ตอน London Underground Map สำนึก มุมมอง และอุดมการณ์ในแผนที่ ประชาเขียนครอบคลุมถึงประวัติของแผนที่รถไฟใต้ดินอังกฤษ ใครเป็นผู้ออกแบบ แรงบันดาลใจ การนำไปใช้ต่อ มีแนวคิดอะไรซ่อนอยู่ในแผนที่นี้ แผนที่นี้เปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร การนำแผนที่นี้ไปพลิกแพลงต่อมีในรูปแบบใดบ้าง เรียกว่าครอบคลุมมากเท่าที่จะบทความสั้นๆ บทความนึงจะครอบคลุมได้ อ่านจบเหมือนเราได้เข้าไปฟังเลคเชอร์จากอาจารย์เก่งๆ สักคนเลยทีเดียว ทุกบท ทุกตอนมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ผมขอยกตัวอย่างบทที่ผมชอบมากๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ครับ
-ในตอน Earthrise โลกทั้งใบ (ไม่ใช่) ของนายคนเดียว ประชาชี้ให้เราเห็นว่า รูปโลกที่ถ่ายจากยานอวกาศโดยยานอพอลโล่ 8 ซึ่งเป็นรูปถ่ายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ กลับกลายเป็นรูปที่ส่งผลสะเทือนมหาศาลในการกระตุ้นให้เกิดความสนใจในปัญหามลภาวะของโลก และในเวลาเพียง 18 เดือนหลังจากที่รูปนี้เผยแพร่ออกไป ขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติก็เริ่มต้นขึ้น รูปนี้ถูกตีความอย่างมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกันว่า รูปนี้ทำให้โลกดูเหมือนดาวดวงเล็กๆ ที่มีความบอบบางและโดดเดี่ยว เหมือนเป็นสิ่งชีวิตที่ถูกคุกคาม จำเป็นต้องมีการดูแล
-ในตอน War is over! ดีไซน์เพื่อสันติภาพ ประชาชี้ให้เห็นว่า โปสเตอร์เรียบง่ายที่แทบไม่มีการดีไซน์ และมีข้อความเป็นตัวพิมพ์สีขาวดำเพียงแค่ War is Over! If you want it. Happy Christmas from John & Yoko. นั้นมีความสุดยอดยังไงและส่งผลต่อสังคมในเรื่องสงครามได้อย่างไร
-ในตอน Pictogram มนุษย์ห้องน้ำกับความหมายของ 14 ตุลาคม ประชาชี้ให้เห็นว่า การที่โลโก้วัน 14 ตุลา ประชาธิปไตยเลือกใช้มนุษย์ห้องน้ำเป็นสัญลักษณ์ มีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ มนุษย์ห้องน้ำใช้แทนสถิติ สื่อถึงคนที่ถูกลดทอนมิติต่างๆ ออกไปจนเหลือเพียงคนที่มีแต่ความเยือกเย็น เป็นกลางๆ ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น เหมือนกับภาพจำของ 14 ตค. คือ ภาพถ่ายการชุมนุมที่ส่อว่ามีผู้ร่วมชุมนุมเป็นเรือนแสน แต่ภาพแสดงแง่มุมของความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของกระบวนการกลับไม่มีออกมาเลย
-ในตอนคุณกับกู, You กับมึง ศิลปะแห่งการทึกทัก ประชาชี้ให้เห็นว่า โฆษณาใช้หลักการดึงให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม หรือทึกทักให้ผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายกลายเป็นคู่สนทนาได้อย่างไร
-ในตอน Minimalism เนื้อแท้ของการลดทอน ประชาพาไปชมหลักการของ Minimalism และชี้ให้เห็นความ irony ว่า Minimalism มักจะมากับราคาที่แสนแพง บ้านที่เรียบง่ายกลับมีงบประมาณการดูแลสูง อีกทั้งเมื่อ Minimalism กลายเป็นเครื่องหมายแสดงตัวตนหรืออัตลักษณ์ เนื้อแท้ของ Minimalism จึงไม่ใช่สงบเสงี่ยมเจียมตัวหรือประหยัดเรียบง่าย แต่กลับมีความหมายไปในทางตรงข้าม นั่นคือ ซับซ้อนและสูงส่ง ถ้าจะพอเพียงก็เป็นความพอเพียงแบบ อภิสิทธิ์ชน -ในบทความที่ผมชอบที่สุด รถถัง ปลดปล่อยหรือปราบปราม? ประชามองว่า เมื่อก่อน เราสามารถมองรถถังในรูปแบบของผู้ปลดปล่อย (เช่น เหตุการณ์รถถังของอเมริกาและรัสเซียไปปลดปล่อยประเทศในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) พอหลังจากนั้น รถถังมักถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐเผด็จการในหลายประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมากับการรัฐประหาร ทำให้รถถังกลายเป็นเครื่องมือปราบปรามประชาชนจนเป็นเครื่องหมายของความรุนแรงและการรุกรานในที่สุด (เช่นเหตุการณ์ที่รัสเซียเอารถถังที่เคยใช้ปลดปล่อยเชโกสโลวาเกียช่วงสงครามโลกไปปราบปรามเชโกสโลวาเกียในปี 1968, เหตุการณ์เทียนอันเหมิน, 14 ตค. 2516, 6 ตค. 2519) ความหมายของรถถังจึงขึ้นอยู่กับคำอธิบายหรือบริบทที่ผู้ดูใส่ลงไปในภาพ ยิ่งผู้ดูมีอำนาจมหาศาลค้ำจุนหนุนหลัง (ไม่ว่าจะเป็นขั้วสังคมนิยมเผด็จการหรือทุนนิยมเสรี) ความหมายของรูปถ่ายก็ย่อมถูกบิดผันไปตามใจผู้ดูกลุ่มนั้น ประชามองเหตุการณ์ประชาชนไปถ่ายรูปกับรถถังและประชาชนเอาดอกไม้ไปให้ทหารในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กย.ว่า อยู่ที่ว่าประชาชนเลือกที่จะมองมุมไหน คืนที่ 19 กย. ตอนปฎิบัติการนั้น ภาพอาจจะยังไม่นิ่งว่าจะเป็นฝั่งไหน แต่พอล่วงเข้าเช้าวันต่อมา จากปรากฏการณ์ที่ประชาชนไปถ่ายรูปกับรถถังแสดงให้เห็นว่า รถถังกลายเป็นผู้ปลดปล่อย แต่พออะไรๆ เริ่มเลยเถิด เช่นมีโคโยตี้ หลายฝ่ายจึงมองว่า นี่เป็นปฏิกิริยาแบบไทยๆ คือ ชอบทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องเล่นๆ ประชากล่าวว่ารถถังกับรัฐประหารมีความหมายกระแสหลักที่สื่อแล้วเข้าใจทั่วไป แต่มันก็ถูกสถาปนาขึ้นมาโดยการใส่บริบทบางอย่างลงไปบนความหมายเดิมๆ และจะไม่นิ่งตราบใดที่ยังมีการอ่านและตีความที่หลากหลาย ซึ่งสุดท้ายใครกำลังควบคุมความหมายของรูป การตีความของใครจะมีชัยชนะ จะยังคงเป็นคำถามที่ต้องยกขึ้นมาอีกเรื่อยไป นอกจากนั้น ประชายังเขียนบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิเช่น -พาไปรู้จัก ผลงาน และสิ่งที่อยู่ข้างหลังแนวคิดของนักออกแบบชื่อดังอย่างอลัน เฟลทเชอร์, แซกมายสเตอร์, ปิแยร์ แบร์นารด์, ฟิลิปป์ สตาร์กและแนวคิดมานุษยวิทยาดีไซเนอร์ของ IDEO -พาไปรู้จักแนวคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเครื่องหมายสวัสดิกะ, กำปั้น, แผนที่ -พาไปดูการออกแบบที่วางถ้วยในรถยนต์, แปรงสีฟัน, ตัวพิมพ์ SR Fahtalaijone, พิพิธภัณฑ์ยิวที่เบอร์ลิน -พาไปรู้จักนิตยสาร Colors และการ์ตูนตินติน และอื่นๆ อีกมากมาย มีคนกล่าวไว้ว่า หนังสือที่ดีคือ หนังสือที่พอคุณอ่านจบแล้วรู้สึกเหมือนมีค้อนมาทุบที่หัว (ผมจำคนกล่าวประโยคนี้ไม่ได้) ซึ่งพอผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมรู้สึกเหมือนมีค้อนปอนด์นับสิบ มารุมทุบที่หัวผมเต็มไปหมด ความรู้สึกประมาณนั้นเลยครับ อาการที่ผมเป็นหลังอ่านจบ คือ ผมมักจะคอยสังเกตสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวมากขึ้น และมองดูลักษณะการออกแบบของสิ่งต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรมากขึ้นเช่นกัน
ตอนนี้บทความ Design Culture ยังถูกตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์เรื่อยๆ และเป็นคอลัมน์ที่ผมจะพลิกอ่านเป็นลำดับที่ 3 ในเล่ม (ต่อจากคอลัมน์ของคำ ผกาและหนุ่มเมืองจันท์) ถึงตอนนี้ผมก็รอให้สนพ.ออก ดีไซน์คัลเจอร์เล่มสองอยู่ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนเพราะขนาดหนังสือรวมบทกวีจิตร ภูมิศักดิ์เล่ม 3 ที่สนพ.ฟ้าเดียวกันบอกว่าจะออกปลายปี 2551 จนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ก็คงได้แต่รอต่อไป
แนะนำให้ไปหามาอ่านกันครับ อ่านจบแล้วคุณจะเชื่อว่า ดีไซน์มีพลังต่อสังคมมากกว่าที่คุณคิดจริงๆ ใครเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว หรือยังไม่เคยอ่านก็ได้ มีความเห็นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ หมายเหตุ-ขอพูดถึงประชาเล็กน้อย ผมติดตามผลงานของประชามานานแล้ว ตั้งแต่ แล่เนื้อเถือหนัง เล่ม 1-2 ซึ่งในความเห็นผม ผมคิดว่าเป็นหนังสือรวบรวมบทวิจารณ์หนังที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมาเล่มหนึ่ง ประชาฉีกรูปแบบการวิจารณ์หนังแบบเดิมๆ ด้วยตีความสิ่งที่อยู่ระหว่างบรรทัดในหนัง รวมถึงนำสี่เหลี่ยมสัญศาสตร์มาใช้วิเคราะห์ในบางตอน เหมือนเป็นหนังสือ "อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง" ของอ.ชูศักดิ์เวอร์ชั่นภาพยนตร์ เป็นหนังสือที่ทำให้ผมรู้สึก provoking กับบทวิจารณ์ภาพยนตร์อีกครั้ง หลังจากอ่านบทวิจารณ์ภาพยนตร์ด้วยความรู้สึกเฉื่อยชามานาน หรือผลงานในอีกนามปากกาของเขาอย่างเรณู ปัญญาดี ซึ่งเป็นหนังสือในดวงใจผมอีกเล่ม หนังสือเล่มนี้มีการใช้รูปแบบการ์ตูนจากหนังสือเรียนสมัยก่อน มาถ่ายทอดเนื้อหาที่กัด จิก สังคมและวัฒนธรรมไทยในรูปแบบตลกร้ายได้อย่างเมามันมาก อ่านแล้วอดหัวเราะหึๆ ให้กับความโหดร้ายของมุขตลกในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ ส่วนเล่มนี้คงไม่ต้องรอเล่ม 2 เพราะประชาไม่ได้เขียนเรณู ปัญญาดีต่อแล้ว แต่อันที่จริง ประชาเขียนเรณู ปัญญาดีลงในวารสาร"อ่าน"อยู่ แต่ด้วยความที่สารสารเล่มนี้ออก 3 เดือนต่อเล่ม กว่าจะรวมเป็นเล่มได้คงรอจนหงำเหงือก (ยิ่งกว่ารอ Berserk จบ) ตอนต่อไปโปรดติดตาม ในเขาวงกต และ อ่านผิด ของมุกหอม วงษ์เทศ เร็วๆ นี้
Free TextEditor
Create Date : 20 มิถุนายน 2552 |
|
15 comments |
Last Update : 20 มิถุนายน 2552 5:42:27 น. |
Counter : 3923 Pageviews. |
|
|
|
เดี๋ยวกลับมาแก้ฟอนต์เย็นนี้นะครับผม