|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
ชีวิตดำดิ่งเมื่ออายุ 40 โดยใบไม้แห้ง |
|
คุณคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40” ใช่ไหม ผมก็เคยได้ยินมาเช่นกัน แต่ก็คิดว่าเป็นคติความเชื่อของฝรั่ง แต่คนไทยเราก็นำมายึดถือกันไม่น้อย ผมเองก็เลยพลอยเชื่อตามไปด้วยไม่มากก็น้อย ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะเขาคิดว่าคนเมื่ออายุถึงตัวเลขเท่านี้ อาชีพการงานและครอบครัวคงจะอยู่ตัวแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความเพียบพร้อมของประสบการณ์และวุฒิภาวะ ในส่วนมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายก็ได้อยู่ในตำแหน่งผู้นำที่มีลูกน้องอยู่ในความดูแล คนทำงานค้าขายที่มีธุรกิจส่วนตัวก็คงอยู่ในฐานะที่มั่นคง พร้อมที่จะขยายกิจการให้ใหญ่โตขึ้น แต่ทำไมชีวิตผมถึงไม่ได้เริ่มต้นใหม่อย่างเขาว่ากัน ผมคิดว่าชีวิตผมเริ่มดำดิ่งเมื่อตัวเองอายุ 40 เปรียบเทียบเป็นเส้นกราฟจากจุดเริ่มต้นคือผมเกิดขึ้นมา เส้นจะทะยานสูงขึ้นแล้วมาหักลงเมื่ออายุ 40 ทำไมเหรอครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เริ่มต้นตั้งแต่ผมเกิดมาบนโลกใบนี้ ได้อยู่ในครอบครัวแบบชนชั้นกลางในเมืองที่ค่อย ๆ สร้างฐานะให้ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย คุณพ่อทำงานในบริษัทเอกชนข้ามชาติมีเงินเดือนและสวัสดิการที่ดี สามารถส่งเสียผมเรียนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีได้ และผมเองก็ตั้งใจในการเรียนจนสามารถสอบติดได้ในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียง ซึ่งแน่นอนว่าจะรับประกันในด้านการงานบางส่วน เพราะมีรุ่นพี่ที่ทำงานในสายงานที่ผมเรียนอยู่แล้วจะเรียกว่าระบบอุปถัมภ์ อย่างที่เขาว่ากันก็ได้ แม้บางคนจะบอกว่าระบบนี้กัดกร่อนสังคมไทยไม่ให้มีความก้าวหน้า แต่ผมว่ามันก็มีข้อดีตรงที่ผู้จ้างงานสามารถรู้สึกสนิทใจกับลูกจ้างที่เคยเป็นรุ่นน้องตัวเองมาก่อน ผมก็จำเป็นต้องรับอานิสงส์นี้ไว้ เพราะงานการสมัยนั้นก็ไม่ได้หากันได้ง่าย ๆ นัก ราว 30 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองเราก็ผ่านยุคที่เศรษฐกิจเบ่งบานจากระบอบประชาธิปไตยที่เติบโตขึ้น อย่างสมัยท่านนายกฯ ชาติชาย ที่เปลี่ยนจากสนามรบในอดีตให้กลายเป็นสนามการค้า แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกยึดการปกครองโดยคณะนายทหารที่เรียกตัวเองว่า คณะ รสช. ช่วงที่ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานก็อยู่ในช่วงนี้นั่นเอง ผมคงไม่สามารถบอกได้ว่าผมทำงานที่บริษัทอะไร เพราะกลัวจะถูกเขาฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาทให้เสียชื่อเสียงได้ บอกได้แต่เพียงว่าเป็นเช่นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแบบทั่ว ๆ ไป คือสร้างผลิตผลแล้วก็ขายไปทำนองนี้ แต่ก็แปลกที่ระบบเศรษฐกิจเมืองไทยจะว่าผูกติดกับการเมืองก็ไม่เชิงนัก เพราะจะเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการทหาร บริษัทที่ผมทำงานอยู่ก็สามารถดำเนินกิจการไปได้ แต่จะดีขึ้นถ้าได้มีสัมพันธ์หรือภาษาอังกฤษเรียก Connection กับผลประโยชน์ทางการเมืองในแต่ละยุค ผมว่านี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชนชั้นกลางในเมืองที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจหลักของชาติ จึงมีส่วนร่วมในทางการเมืองแบบอิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับชนชั้นอื่นในชนบทที่การเมืองมีบทบาทต่อเขารุนแรงมากกว่า คือสามารถกำหนดวิถีการดำรงชีวิตได้ ยกตัวอย่างชาวนาถ้าได้รัฐบาลดี เขาก็ชีวิตดีขึ้นตาม แต่ถ้าได้รัฐบาลเลว เขาก็จะลำบากไปด้วย เอาละนอกเรื่องไปเยอะ กลับมาเรื่องของผมดีกว่า ชีวิตการทำงานของผมก็รุ่งเรืองขึ้นตามระยะเวลา จะมีสะดุดบ้างก็ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี 2540 หรือที่เขาเรียกว่า ฟองสบู่แตก บริษัทผมก็แทบจะไม่มีงาน เหมือนเป็นการหยุดพักร้อนแบบไม่มีเงินในกระเป๋า แต่พอเศรษฐกิจฟื้นตัว ชีวิตการทำงานของผมก็กลับสู่ภาวะปกติ และได้พบคู่ใจที่ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัว เธออายุห่างกับผม 10 ปีพอดี เพราะผู้หญิงรุ่นเดียวกันกับผมส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับงานมากกว่าชีวิตครอบครัว เพราะสมัยนี้สิทธิสตรีได้รับการยอมรับมากขึ้น ในบริษัทส่วนใหญ่ผมว่ามีพนักงานหญิงมากกว่าผู้ชายแล้ว แต่การคบหากับผู้หญิงที่อายุห่างกันมากมันก็มีช่องว่างทางทัศนคติ กรอบความคิดอยู่บ้าง ตอนแรกผมคิดว่าพอปรับเข้าหากันได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ มันกลับยิ่งถางออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ไม่สามารถดึงกลับมาได้ ชีวิตครอบครัวผมจึงล้มเหลว ตอนนั้นผมก็อายุประมาณ 30 ช่วงปลายพอดี โชคดีที่ยังไม่มีลูกให้เป็นภาระระหว่างกัน หายนะของชีวิตผมก็เริ่มคืบคลานเข้ามา เนื่องจากตำแหน่งในหน้าที่การงานของผมก็สูงขึ้นตามประสบการณ์การทำงาน จึงมีลูกน้องอยู่ในความดูแล พวกเรามักจะมีกิจกรรมยามว่างจากการงานด้วยการดื่มกินเพื่อสร้างความสามัคคีกลมเกลียว และด้วยนิสัยผมที่เป็นคนใจกว้างก็มักจะไม่เสียดายเงินในกิจกรรมเหล่านี้ โดยลืมนึกถึงการเก็บเงินไว้ใช้ในยามชรา เพราะคนรุ่นผมเขาสำรวจโดยสถิติแล้วจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอีก 10 ถึง 20 ข้างหน้า จึงมีการรณรงค์พร้อมหลักการออมเงินสำหรับคนวัยทำงานกันในตอนนี้ แต่ผมมานึกได้ก็สายเสียแล้ว อีกเรื่องหลังจากเลิกกับแฟนคนก่อน ผมก็พยายามหาคู่ใจคนใหม่ ก็เลือกเอาคนใกล้ ๆ ตัว ก็คือพนักงานบริษัทเดียวกัน แต่ก็มาถูกหลอก สูญเงินไปพอควรด้วย จนกระทั่งเมื่อผมย่างเข้าวัยอายุ 40 ก็มาเกิดความขัดแย้งกับผู้บริหารในบริษัท จริง ๆ มันสะสมมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่เราก็สามารถคลี่คลายปัญหากันไปได้ ผมขอไม่เล่ารายละเอียดดีกว่า เอาแค่ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็แล้วกัน ผมจึงตัดสินใจลาออกมา โดยที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย มีเงินเก็บจำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่มาก ตอนนั้นผมมีความตั้งใจว่าจะทำงานที่เป็นกิจการส่วนตัวสักอย่าง แต่ก็ใช้เวลาตัดสินใจนานไป จนเงินเก็บเริ่มร่อยหรอ ผมจึงลองกลับไปสมัครงานประจำอีก แต่ก็พบส่วนใหญ่จำกัดอายุไม่เกิน 30 ปี ผมจึงหมดสิทธิโดยปริยาย มีแต่บริษัทประกันภัยโทรมาชวนเป็นผู้ขายประกัน ผมคิดว่าเขาคงเชื่อว่าคนมีอายุขนาดผมน่าจะมีคนรู้จักเยอะ มันก็จริง แต่สัจธรรมอันหนึ่งในวงการธุรกิจที่ผมได้รับประสบการณ์มาสอนว่า ถ้าคุณรุ่งเรืองก็มีคนมาล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ถ้าคุณตกต่ำจะหาสักคนมันช่างห่างไกล ผมจึงปฏิเสธไป ผมเลยมาคิดอยากทำงานอิสระตามที่ตัวเองเคยใฝ่ฝันในอดีต คือการเป็นนักเขียน แต่ก็มาพบกับโลกยุคดิจิทัล ที่คนอ่านหนังสือน้อยลง แต่ชอบดูคลิปมากกว่า ผมเลยต้องกลับไปหาเพื่อนร่วมงานในอดีตเพื่อของานมาทำบ้าง อย่างที่เรียกว่าทำงานแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งก็พออยู่ได้แบบถ้ามีงานก็กินอิ่ม แต่ถ้าขาดงานก็กินประหยัด สุดท้ายคุณอาจจะถามว่าไอ้นี้เอาอะไรมาพล่ามอยู่คนเดียว ผมหวังว่ามันอาจจะมีประโยชน์กับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง ให้รู้จักการออมเสียแต่เนิ่น ๆ และอย่าหาเรื่องออกจากงานในช่วงอายุ 40 เพราะจะกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนอีก มันจะยากขึ้น แต่จริง ๆแล้วผมก็ขอบอกว่าจุดมุ่งหมายของการเขียนครั้งนี้ก็เพื่อสารภาพบาปของตัวเอง เหมือนคนไข้โรคจิตที่ได้พูดระบายความในใจให้กับจิตแพทย์เพื่อเป็นการบำบัด ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้มีเพื่อนคุยสักคน คุณจะรังเกียจไหม
Create Date : 07 สิงหาคม 2563 |
Last Update : 7 สิงหาคม 2563 14:45:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2062 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|