space
space
space
<<
มิถุนายน 2562
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
space
space
23 มิถุนายน 2562
space
space
space

เรื่องสั้น "เราสามคน"
เราสามคน
                                                                                                     โดยใบไม้แห้ง
                   ตอนสายอากาศครึ้มฝน สมชายกำลังขับรถคันใหม่แบบที่เรียกว่า อีโคคาร์ เขาเพิ่งซื้อมันจากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ชอบรัฐบาลชุดนี้เท่าใดนัก สมชายเป็นพนักงานฝ่ายจัดซื้อ บริษัทส่งออกข้าวแห่งหนึ่ง เขาจึงมีธุระเดินทางไปติดต่อกับโรงสีข้าวในต่างจังหวัดเป็นบางครั้ง วันนี้ก็เช่นกันเขาขับรถมาทางถนนสายหลักบางบัวทอง-สุพรรณบุรี และเลี้ยวซ้ายเข้าสายรองไปทางอำเภอดอนเจดีย์ แล้วฝนก็เทลงมา เขาต้องรีบปิดกระจกข้างรถ เพราะปกติถ้าเขาขับรถออกต่างจังหวัด มาตามถนนสายรองที่รถไม่มาก เขามักเปิดกระจกเพื่อความประหยัดน้ำมัน และรับอากาศบริสุทธิ์เป็นผลพลอยได้บรรยากาศอย่างนี้ฝนก็ตกผิดฤดู เขาคิดกับตัวเองว่าไม่อยากทำงานเลย ตั้งใจว่าจะติดต่อธุระให้เสร็จไวไว ระหว่างนั้นเขานึกได้ว่ามีเพื่อนที่เคยเล่นกันตั้งแต่วัยเด็ก มาประกอบอาชีพเกษตรกรอยู่แถวนี้พอดี เขาจึงแวะจอดรถข้างทาง ค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนคนนี้จากสมุดบันทึกปกหนังเล่มหนาเก่าคร่ำ แน่หละเขาใช้ สมาร์ทโฟน เช่นคนสมัยนี้ แต่สำหรับเพื่อนคนนี้ที่ไม่ได้พบกันนับสิบปี เขาต้องพึ่งสมุดเล่มนี้ ที่เขาถือว่าเป็นสมุดนำโชคที่ช่วยให้เขามีความก้าวหน้าทางการงาน ตั้งแต่เริ่มจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เจอแล้ว สุรเดช อินแสง เจ้าเพื่อนเกลอ สมชายใช้นิ้วจิ้มที่จอสัมผัส สมาร์ทโฟน กดเบอร์โทรหาเพื่อนเก่า เขาใช้ บลูทูธ เหน็บที่รูหู นั่งนิ่งฟังสัญญาณตอบรับ
                   ตอนสายอากาศครึ้มฝนวันเดียวกัน ที่สวนเกษตรแบบผสมผสาน ในอำเภอดอนเจดีย์ บรรยากาศนิ่งสงบอบอ้าว สุรเดชเรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลาย แล้วหันมาทำอาชีพเกษตรกรตามรอยพ่อแม่ที่เป็นชาวนา แต่เขาไม่ได้ทำนาตามบุพการี เพราะปัญหาหนี้สิน ทำให้ที่ดินลดน้อยลงจากการถูกเจ้าหนี้ยึดไป เหลือที่ดินอยู่แค่ประมาณ 5 ไร่กว่าๆ จึงเหมาะแก่การทำการเกษตรแบบผสมผสาน มีผืนนาพอกินสักไร่หนึ่ง แปลงผักสวนครัว และไม้สวนเป็นแนวเพื่อกำหนดสัดส่วนพื้นที่ทั้งหมด แต่ทุกวันนี้อาชีพเกษตรกรของเขาก็ไม่ถือว่ามั่นคงหนัก เพราะไม่สามารถกำหนดปริมาณผลผลิตเพื่อส่งขายได้อย่างต่อเนื่อง และราคาผลผลิตก็ไม่สามารถกำหนดได้ ขณะที่เขากำลังเด็ดพริกในแปลงพืชสวนครัว เพื่อเตรียมให้ขวัญฤดีภรรยาทำเป็นมื้อกลางวัน ฝนก็เทลงมา แน่นอนเขาเป็นเกษตรกรฝนตกลงมาก็ย่อมดีใจ สักพักสมชายโทรเข้ามาพอดี สุรเดชยังใช้มือถือรุ่นเก่า ซิมแบบเติมเงินที่เหมาะสำหรับคนฐานะล่าง
                   “ ฮาโหล ใครครับที่โทรมา ” สุรดชไม่คุ้นกับเบอร์ที่โทรเข้า
                   “ กูเองไง ไอ้ชาย สมชาย เพื่อนมึง จำได้หรือเปล่า ”
                   สุรเดชใช้เวลานึกไม่นาน “ ไอ้ชายเหรอ ลูกตาวัฒน์ ใช่ไหม ”
                   “ ไอ้นี่ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี ล้อชื่อพ่อกูก่อนเลย ” สมชายพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ มาเข้าเรื่องดีกว่า พอดีกูมาติดต่อธุระแถวดอนเจดีย์ รู้ว่ามึงมาเป็นชาวสวนอยู่ ช่วงเที่ยงนี่กูคงเสร็จธุระ ว่าจะเข้าไปหามึงได้ไหม ”
                   “ เข้ามาเลย เดี๋ยวกูจะให้น้องเขาทำอาหารเตรียมไว้ให้มึง ” หลังจากนั้นสมชายถามเส้นทางไปบ้านสุรเดชจนเสร็จเรียบร้อยก็ลาสายกัน
                   ฝนหยุดตกแล้ว แต่บรรยากาศยังครึ้มฝนอยู่ ตามเส้นทางลูกรังผ่านท้องทุ่งนาสองข้างทาง จนลึกเข้าไปเริ่มรกทึบด้วยป่าละเมาะ รถสมชายแล่นช้า ๆ มาตามบริเวณแนวรั้วกระถิน แล้วมาจอดบริเวณที่เว้นช่องว่างไว้สำหรับเป็นประตูบ้าน มีสุรเดชยืนคอยอยู่ เขาแต่งกายด้วยเสื้อหม้อห้อม มีผ้าขาวม้าคาดเอวกางเกงขาก๊วยสีดำ สมชายออกจากรถมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำเขาทิ้งเน็คไทไว้ในรถ ยกมือไหว้เพื่อนด้วยความเคยชินจากการติดต่อธุรกิจเป็นประจำ
                   “ เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ ทำหยั่งกับมาหาเสียง ” สุรเดชไม่รับไหว้ แต่รีบเดินเข้าไปยื่นมือไปจับมือเพื่อนที่กำลังพนมมืออยู่
                   “ พอดีกูติดมาจากทำธุระ เลยไหว้มันไว้ก่อน ” สมชายคลายมือออก แล้วใช้สองมือกุมมือเพื่อนไว้ “ เป็นไงบ้างวะ ไอ้เดช ไม่เจอกันเป็นสิบ ๆ ปีเลยนะเนี้ย ” จากนั้นเขาก็ถอยหลังมาประมาณก้าวหนึ่ง มองดูเพื่อนตั้งแต่หัวจดเท้า “ เหมือนมึงดูผอมลง หรือเปล่าวะ ”
                   สุรเดชไม่เคยสนใจเรื่องรูปร่างตัวเอง เพราะถ้ามีก็กินเยอะ ถ้าขาดก็กินน้อย “ ไม่หรอก มา เข้ามาคุยในบ้าน ” เขาจูงมือเพื่อนพาเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน เป็นทางปูนพาไปสู่ที่จอดรถกระบะคันเก่า อยู่ข้าง ๆ บ้านชั้นเดียวครึ่งปูนครึ่งไม้ หน้าบ้านมีชุดม้าหินตั้งอยู่บนยกพื้น มีหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งคู่นั่งลงคนละฝั่ง หันหน้าเข้าหากัน สุรเดชหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาชี้ให้ดูข่าวหน้าหนึ่ง แล้วยื่นให้สมชายที่รับมาดู เป็นข่าวที่มีรูปเพื่อนวัยเด็กของพวกเขาอีกคนคือเริงฤทธิ์ เป็นนักธุรกิจร่ำรวยและชื่อดัง เพราะเป็นกระเป๋าเงินให้พรรคการเมืองพรรคใหญ่พรรคหนึ่ง เคยเป็นที่ปรึกษาให้รัฐมนตรีหลายครั้ง จนสื่อต่างเชิญชวนให้เล่นการเมือง ในที่สุดข่าวใหญ่วันนี้คือเพื่อนเขาได้ตัดสินใจลงเล่นการเมืองในการเลือกตั้งสมัยหน้า
                   “ ไอ้ฤทธิ์เพื่อนเราลงข่าวหน้าหนึ่งอีกแล้ว ” สุรเดชพูดอย่างเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ส่วนสมชายก็พยักหน้ารับเฉย ๆ ไม่พูดอะไร
                   ริมคลองย่อยจากแม่น้ำสุพรรณบุรี มีต้นไทรอายุนับร้อยปีขึ้นอยู่ริมน้ำ ในร่มไทรเด็กชายสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันกำลังเตรียมจะเล่นเกมดีดลูกหิน ประกอบด้วยฤทธิ์ หรือเริงฤทธิ์ เป็นหัวหน้าแก๊งเพราะเป็นลูกของร้านขายของชำในหมู่บ้าน ส่วนเดชหรือสุรเดชดังที่กล่าวแล้วว่าเป็นลูกชาวนา และชายหรือสมชายมีพ่อเป็นครู ฐานะปานกลาง ทั้งหมดเรียนในโรงเรียนชั้นประถมศึกษาแห่งเดียวกัน ฤทธิ์กำลังใช้ส้นเท้าหมุนคลึงพื้นดินเหนียวให้เป็นหลุม วิธีการเล่นก็ให้แต่ละคนโยนลูกหินให้ใกล้หลุม แล้วโอน้อยออก กับเป่ายิงฉุบจนเหลือคนชนะคนเดียวได้เล่นก่อน คือดีดลูกเพื่อนให้ใกล้หลุมออกไป ต่างคนต่างป้องกันไม่ให้ใครมีโอกาสได้ลงหลุมง่าย ๆ และหาโอกาสให้ตัวเองดีดลงหลุมเพื่อเป็นผู้ชนะ แต่ลูกหินที่ใช้เล่นนั้นไม่บังคับ ฤทธิ์ใช้ลูกเหล็ก ชายใช้ลูกหินอ่อน ส่วนเดชใช้ลูกดินเผาทำเอง แต่รู้สึกจะยังไม่รู้วิธีเผาให้พอเหมาะ จึงถูกฤทธิ์ใช้ลูกหินเหล็กดีดจนแตกกระจาย
                   “ เฮ้ย ฤทธิ์ ทำไมต้องดีดแรงด้วย ” เดชตัดพ้อ
                   “ ก็ลูกนายมันอ่อนนี่หวา ”
                   “ อย่างนี้มันไม่ยุติธรรม ” เดชเก็บเศษลูกดินเผาของตัวเองทิ้งไป แล้วนำลูกใหม่ที่เป็นลูกดินเผาเหมือนกันมาวางเตรียมเล่นต่อ
                   “ เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้ามีลูกเหล็กอีกลูกให้นายยืมเล่นก่อน จะได้เสมอกัน ถ้าเกมนี้นายชนะ ข้ายกให้ ” ฤทธิ์ยื่นลูกเหล็กอีกลูกให้เดช แต่เดชยืนลังเลอยู่
                   “ เออ ดี ดี จะได้เจ๊ากัน ” ชายให้ความเห็นพ้อง เดชจึงรับไว้แล้วเล่นต่อไปกันอย่างสนุกสนานตามประสา ส่วนเดชเองยังคงจำความใจกว้างของฤทธิ์มาจนถึงทุกวันนี้
 
                   “ ไอ้ฤทธิ์ หรือท่านเริงฤทธิ์นี่ แม้จะรวยกว่าพวกเรา แต่ในฐานะเพื่อนนี่ ไม่เคยเอาเปรียบกัน และเป็นคนมีน้ำใจ กูว่าถ้าลงเล่นการเมืองนี่น่าจะเหมาะ ” สุรเดชกล่าวอย่างชื่นชม หลังจากสมชายยื่นหนังสือพิมพ์คืนให้
                   “ ก็ต้องลองดูไปก่อน แต่ทุกวันนี้จะเข้าถึงตัวไอ้ฤทธิ์นี่ยากมาก กูเคยติดต่อไปก็ถูกปฏิเสธจากเลขา อ้างว่าไม่ว่างประจำ ” สมชายพูดขณะที่ขวัญฤดีภรรยาของสุรเดช เดินถือถาดน้ำดื่มมาวาง แล้วยกมือไหว้สมชาย สมชายพอรู้จักกับขวัญฤดีแล้ว เมื่อคราวมางานสู่ขอของสุรเดชเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ขวัญฤดีเป็นผู้หญิงร่างเล็กบาง เป็นชาวอีสานที่มารับจ้างทำงานที่นี่จนได้พบกับสุรเดช เธอบอกทั้งคู่ให้คอยสักเดี๋ยว อาหารมื้อกลางวันใกล้เสร็จแล้ว จากนั้นก็เดินกลับเข้าครัวไปทางหลังบ้าน
                   “ ไอ้ฤทธิ์นี่ ถึงจะรวยเป็นพันล้าน แต่ก็ไม่ลืมคนจน ชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนจน ” สุรเดชยังคงชมเพื่อนต่อ
                   “ แต่มึงไม่ได้ยินกระแสข่าวที่ว่าไอ้ฤทธิ์กับนักการเมืองต่างกินหัวคิวจากโครงการของรัฐบาล ” สมชายพูดเบาเกือบเป็นกระซิบ เพราะไม่ทราบว่าขวัญฤดีจะชอบรัฐบาลเหมือนสามีหรือเปล่า จึงอยากให้เป็นเรื่องคุยกันระหว่างเพื่อน ส่วนสุรเดชเองก็เคยได้ยินข่าวนี้มาเช่นกัน แต่ก็ไม่เชื่อทั้งหมด
                   “ ถึงแม้ว่ามันจะโกงกินบ้าง แต่ก็สร้างผลงานที่มีประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย มึงไม่เห็นเหรอ ” สุรเดชยังเชื่อมั่นในตัวเพื่อนเก่า
                   “ ก็เขาเรียกกันว่าโครงการประชานิยม เหมือนเอาเงินไปแจกคนจน แต่ไม่ได้ช่วยเหลือในระยะยาวไง ” สมชายเริ่มพูดเสียงดังขึ้น
                   “ มึงก็คิดแบบพวกในเมือง พวกนักวิชาการ มึงไม่รู้หรอกว่าชาวบ้านอย่างพวกกูเขาได้ประโยชน์จริง ๆ ” สุรเดชก็เริ่มขึ้นเสียงบ้าง
                   “ อ่าว ถ้ามึงคิดอย่างนี้ ในอนาคตประเทศชาติจะไม่ล่มจนหมดเหรอ ทั้งเอางบประมาณไปแจก แล้วยังเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองอีก ” สมชายเบาเสียงลงอีก
                   “ ถ้าอย่างนั้นมึงหาว่าไอ้ฤทธิ์เพื่อนเราเป็นคนขี้โกงงั้นเหรอ ” สุรเดชไม่เบาเสียงด้วย แต่พูดดังขึ้น
                   “ กูไม่ได้ว่าไอ้ฤทธิ์มันขี้โกง แต่ประชานิยมมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาบ้านเมือง ” สมชายขึ้นเสียงบ้าง พอดีกับจังหวะที่ขวัญฤดีถือถาดอาหารเดินเข้ามาพอดี
                   “ แหม พวกพี่สองคนไม่ได้เจอกันนาน มาคุยเรื่องการเมืองก็จะทะเลาะกัน เปล่าๆ ” ขวัญฤดีกล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ พร้อมกับวางสำรับอาหารลง
                   “ ท่านเริงฤทธิ์กับพวกพี่ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จะมาทะเลาะกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไมไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะพี่ฤทธิ์เขาก็ไม่ได้มาอยู่กับเราตรงนี้ด้วย มันไม่ยุติธรรมที่จะไปกล่าวหาเขา ”
ขวัญฤดีพูดไปก็จัดแจงวางจานข้าวและกับข้าวลงบนโต๊ะหิน ส่วนชายทั้งสองคนนั่งฟังนิ่งเป็นรูปปั้น
                   “ อ้าว เจ้าบ้านไม่ชวนแขกทานข้าวเหรอ ” ขวัญฤดีตำหนิสามี จนเขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์
                   “ เออ ๆ ไอ้ชาย เพื่อนรักกินข้าวกันดีกว่า ลองชิมฝีมือเมียข้า ” พูดแล้วก็เอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อน
                   สมชายก็เพิ่งตื่นจากอารมณ์เดือดดาลเมื่อครู่ “ ใช่ ๆ กินข้าวกันดีกว่า ขอชิมฝีมือภรรยาสุดที่รักของเพื่อนเราหน่อย คุณขวัญทานด้วยกันนะ ”
                   ทั้งสามคนทานมื้อกลางวันร่วมกัน ต่างเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันอย่างเป็นกันเอง
                   ลานเกมดีดลูกหิน ใต้ร่มไทรกำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด เดชเพิ่งดีดลูกเหล็กของฤทธิ์พ้นหลุมไป และกำลังเล็งหาเหลี่ยมมุมที่จะดีดให้ลงหลุม ระหว่างนั้นฤทธิ์ได้พูดขัดจังหวะขึ้น
                   “ เดช ถ้านายชนะเกมนี้ เราให้ลูกเหล็กนายตามสัญญาแน่ ไม่ต้องห่วง ” ระหว่างนั้นฤทธิ์
ค่อย ๆ ใช้เท้าเขี่ยลูกเหล็กของเดชออกจากตำแหน่งเดิม แล้วพยักพเยิดกับชายเป็นเชิงรู้กัน
                   เมื่อเดชกลับมาจะเล็งต่อก็จับได้ว่าตำแหน่งลูกเหล็กไม่ได้อยู่ที่เดิม “ เฮ้ยพวกนายเลื่อนลูกหินข้านี่หว่า เมื่อกี้มันไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่ ” ฤทธิ์กับชายหัวเราะร่าที่ได้แกล้งเพื่อน เดชจึงวางลูกเหล็กตรงจุดเดิมแล้วดีดลงหลุมอย่างแม่นยำ เดชกระโดดโลดเต้นดีใจ ที่ได้ลูกเหล็กจากฤทธิ์เป็นกรรมสิทธิ์ ส่วนฤทธิ์กับชายก็มาแสดงความยินดีประสาเพื่อน
                                                                     จบ
 


Create Date : 23 มิถุนายน 2562
Last Update : 23 มิถุนายน 2562 14:43:29 น. 0 comments
Counter : 685 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 4071225
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 4071225's blog to your web]
space
space
space
space
space