|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
กว่าจะเป็นขนมนมเนยของโอ๋เอง
คำเตือน!! โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอ่านผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
การทำขนมถือเป็นงานดิเรกอย่างหนึ่งที่หลายๆคนเลือกทำ นอกจากจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้วยังได้อิ่มอร่อยกับฝีมือของตัวเองล้วนๆแทนที่จะไปเสียเงินซื้อเค้ากิน ถ้าไม่นับรวมกับร้านกาแฟที่มีคนอยากเปิดแล้ว..กิจการเบเกอร์รี่ก็คงเป็นอีกหนึ่งความฝันของใครหลายๆคนรวมทั้งเราด้วย...
จำได้ว่าร้านขนมเป็นความใฝ่ฝันในตอนเด็กๆที่อยากทำนอกเหนือจากอาชีพนักพากย์ที่อยากทำแต่ยังไม่มีโอกาสได้ลอง ถ้าไม่นับรวมกับการเป็นดีเจทำมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบนับไปนับมาก็เป็นสิบปีจนจะแก่ตายอยู่หลังไมค์ ด้วยเพราะบุคคลิกที่ไม่เหมาจะเข้าครัวสักเท่าไหร่นัก เมื่อใครๆได้ชิมฝีมือการทำขนมถึงกับบอกว่า "ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ขนาดนี้" แล้วมันต้องขนาดไหนถึงจะเชื่อล่ะเนี่ย??
ถามว่าก่อนจะเริ่มทำขนมต้องเตรียมอะไรบ้าง?? ไม่ต้องอะไรมากมายหรอกขอแค่เตรียมใจเป็นพอ ใครว่าทำขนมสนุก!! สนุกนะ..ถ้าทำเล่นๆก็คงสนุกดีแต่ถ้าคิดจะยึดการทำขนมเป็นอาชีพ เราบอกได้เลยว่าถ้าใจไม่รักจริงและไม่ถึกพอก็น่าจะมองหางานอื่นดีกว่า...หูย..มันเว่อร์เกินจริงไปรึเปล่าเนี่ย? สำหรับคนอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้ เรารู้แค่ว่าสำหรับสิ่งที่เราตัดสินใจลงไปนี่...อิอิ รู้งี้ไปเขียนนิยายขายดีกว่าเผื่อจะมีผู้จัดมาขอซื้อไปทำละครบ้าง เอิ๊กๆๆๆ
ว่าด้วยเรื่องของการทำขนมแล้วถึงจะไม่ได้มีอุปกรณ์ครบครันเหมือนคนอื่นๆเขาแต่ถ้ามีความตั้งใจจริงเราว่าคงไม่ยากนักที่จะทำเค้กออกมาสักก้อนหนึ่ง มีน้องสาวที่รู้จักคนหนึ่งไม่มีความรู้พื้นฐานเรื่องของการทำขนมอบเลย เราสอนทำขนมทาง msn อุปกรณ์อะไรก็ไม่มีมากมายถูๆไถๆไปตามเรื่อง ยังอุตส่าห์ได้เค้กช๊อคโกแลตหน้านิ่มเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนได้ เครื่องตีไข่ก็ไม่มีต้องใช้ที่ตีไข่แบบที่เป็นสปริงตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูซึ่งก็กินแรงและเวลาพอควรกว่าจะตีไข่ได้ที่ เตาอบก็ไม่มีใช้แบบที่เป็นฝาอบลมร้อนแทน แบบนี้เรียกว่าอุปกรณ์ไม่เอื้อแต่ใจรัก
เราเองเริ่มต้นการทำขนมด้วยการใช้แป้งสำเร็จรูปทำไปตามมีตามเกิดอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง เครื่องตีไข่ก็ไม่มีอุปกรณ์ทำขนมที่มีก็มีพิมพ์เค้ก 1 อัน อ่างผสมกับพายยาง แค่นี้จริงๆ แม่เห็นคงสงสารเลยถอยเครื่องตีไข่มาให้ใช้ ถึงเนื้อเค้กจะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับอวดชาวบ้านชาวเมืองได้มากนัก ด้วยไม่มีพื้นฐานการทำขนมเอาเสียเลย สมัยนู้นมีรายการสอนทำขนมทางโทรทัศน์ถ้ามีโอกาสก็ไม่พลาดที่จะต้องดูแน่ๆ นอกจากดูในทีวีแล้วยังต้องอาศัยหาหนังสือสอนทำเค้กในห้องสมุดอ่านเอา อยากได้สูตรอะไรก็ต้องหา ถ้าเทียบกับเดี๋ยวนี้แสนสบายอยากได้สูตรขนมอะไรก็ถามกูเกิ้ลเอา
ว่างเว้นจากการทำขนมอยู่หลายปีไม่รู้ผีตนไหนเข้าสิงหลงเข้ามาในห้องก้นครัวได้อ่านกระทู้ที่มีคนโพสไว้ เอ่อ! สูตรขนมเยอะแยะเลย..อ่านมันแทบจะทุกกระทู้ที่มี ต้องบอกว่าอ่านแทบทั้งหมดจริงๆทั้งกระทู้เก่าและกระทู้ใหม่แล้วค่อยๆเริ่มจดสูตรที่เพื่อนๆบอกทำแล้วอร่อย สมุดจดสูตรขนมของเราตอนนี้มีสองเล่มมีเป็นร้อยๆสูตร และจะยังจดไปเรื่อยๆถ้าไม่ขี้เกียจ
เมื่อมีสูตรขนมแล้วจะไม่ลองทำก็กระไรอยู่จึงต้องหาอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำขนม เริ่มจากวัตถุดิบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นแป้ง น้ำตาล เนย สารเสริมประเภทต่างๆ รวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆ จากครั้งแรกกล่องเก็บอุปกรณ์เป็นกล่องพลาสติกปิคนิคใบเล็กๆ พอมันอยากลองของมากขึ้นเรื่อยๆกล่องมันก็ใหญ่ตามตัว ต้องยอมรับว่าการคิดที่จะทำขนมมันเป็นการสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง เพราะต้องไปหาอุปกรณ์ต่างๆมาใช้ซึ่งเมื่อเทียบเป็นเงินแล้วก็หลายตังค์อยู่
ของพวกนี้ไม่ได้ซื้อทีเดียวหมด ตอนที่เริ่มทำเค้กก็จะมีแต่ของสำหรับทำเค้กอย่างเดียว พอริจะทำคุกกี้หรือขนมปังก็จะค่อยๆซื้อทีละนิดละหน่อย โดยเฉลี่ยแล้วเราซื้อของเข้าบ้านอาทิตย์ละหน มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความพอใจ ถามว่าจำเป็นต้องมีอุปกรณ์และทำขนมทุกประเภทไหม? ไม่ต้องหรอกเพราะมันไม่จำเป็น ของบางชิ้นตั้งแต่ซื้อมายังไม่ได้ใช้เลยสักครั้ง แต่ถ้าใครอยากจะซื้อก็แล้วแต่ทรัพยากรเงินในกระเป๋า มากน้อยตามฐานะ....
เริ่มแรกของการลองผิดลองถูกในการทำขนมเราใช้ฝาอบลมร้อนจากที่อบขนมแล้วหน้าไหม้หน้าแตก ปรับกันอยู่นานกว่าจะอบแล้วใช้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้ฟอล์ยปิดหน้า หน้าขนมอาจจะไม่ค่อยเรียบก็เท่านั้นเองแต่ถ้าเทียบกับเตาอบธรรมดาแล้ว..ฝาอบลมร้อนใช้เวลาในการอบน้อยกว่าเตาอบอยู่มาก
ความร้อนสม่ำเสมอทั่วกันทั้งหมด แต่ต้องลดอุณหภูมิลงเพราะมันเป่าลงหน้าขนมตรงๆ อุณหภูมิปกติในการอบเค้กจะอยู่ราวๆ 170-200 องศา C แต่ถ้าใช้เตาอบลมร้อนต้องลดลงมาต่ำกว่านั้น ของเราความร้อนอยู่ที่ประมาณ 150 องศา C ซึ่งแต่ละเตาความร้อนที่เหมาะสมในการอบจะต่างกันไป
ใช้ฝาอบลมร้อนอยู่สักพักก็ริมองหาเตาอบที่จะเอามาอบขนมเป็นเรื่องเป็นราวเสียที เตาอบยี่ห้อยอดนิยมในห้องก้นครัวคงหนีไม่พ้น OTTO เราเดินเข้าออกอยู่หลายห้างมาจบการขายที่แมคโคร พนักงานขายบอก OTTO ไม่ค่อยทนไม้ทนมือซึ่งดูแล้วมันก็บอบบางจริงๆแหละ เทียบกับยี่ห้ออื่นที่ราคาพอๆกันแล้วดูจะแพงไปด้วยซ้ำ เรามาถูกใจเตาอบ TOMEX ตรงที่มันสวย แน่นหนา และที่สำคัญมีสูตรทำขนมแถมด้วย ราคาสองพันต้นๆก็พอจะซื้อได้
แบบนี้ค่อยดูเป็นมืออาชีพหน่อย ถอยเสร็จก็ประเดิมด้วยการอบเค้กซะเลย..เนื้อขนมที่ได้ดูนุ่มฟูดีแต่ก็นั่นแหละใช้เวลาอบนานกว่าของเดิม...อุปกรณ์ดีแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะขยันลองสูตรใหม่ๆแบบวันเว้นวัน ช่วงนั้นค่าไฟที่บ้านบานตะไท อิอิ พ่อบ่นประจำ... "มันจะขยันทำขนมอะไรกันนักหนา" ทำให้นึกถึงตอนที่ซื้อรถใหม่ล้างรถวันเว้นวันจนค่าน้ำพุ่งกระฉูด แต่ตอนนี้ล้างรถสองเดือนหนนึงเพราะมัวแต่ไปทำขนมขายอ่ะนะ
เราทำขนมแบบนี้อยู่เกือบปีเมื่อทำบ่อยเข้าจะกินเองก็เริ่มเอียน รู้ละ..ให้แม่เอาไปขายที่ทำงานดีกว่า อิอิ ขนมชนิดแรกที่ทำใส่ถุงไปขายคือขนมปังไส้หมูหยอง หนึ่งถุงมีสองชิ้น นวดแป้งหนึ่งครั้งจะได้แป้งโดที่แบ่งออกมาแล้วประมาณ 35 ก้อน นวดมันสองเท่าเลย (นวดมือด้วยนะ) ครั้งนั้นเอาขนมปังใส่ถุงไปให้แม่ที่ทำงานสามสิบถุงเห็นจะได้ ขับรถออกมาได้ไม่ถึงห้านาทีแม่โทรมาบอกว่า "ขนมปังหมดแล้ว" เจ๊ยยยยย อะไรมันจะเร็วขนาดนั้น นวดแป้งแทบตายขายแป๊บเดียวหมดเกลี้ยงเลย
หลังจากนั้นก็มีลูกค้ามหาวิทยาลัยที่เราทำวีดีทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยให้สั่งขนมปังไปงานปฐมนิเทศ (แหะๆ ก่อนนี้เอาเค้กไปสวัสดีปีใหม่พี่เลยถามว่าทำขนมปังไหม? อิอิ เพื่อเงินก็ทำหมดแหละ) ออเดอร์คือขนมปังไส้หมูหยองและไส้ครีมจำนวน 150 ชิ้น ตายล่ะ!! นวดแป้งกันเพลินเลย วันนั้นเรานวดแป้ง พักแป้ง อบแป้ง ใส่ถุง เสร็จเช้าเลย...แม่เจ้า..ถึกมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะนวดแป้งด้วยมือได้เยอะขนาดนั้น
นอกจากจะหาสูตรขนมจากในห้องก้นครัวแล้ว เวลาไปซื้อวัตถุดิบเบเกอรี่ก็จะมองหาข่าวการสัมมนาจากบริษัทขายวัตถุดิบต่างๆ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ไหนก็จะไป เพราะนอกจากจะได้กินข้าวฟรีแล้วยังได้สูตรขนมและเทคนิคต่างๆมาด้วย ตรงนี้ทำให้เรานำมาใช้ประยุกต์กับขนมที่ทำมีรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ประสบการณ์แบบนี้ต้องค่อยๆเก็บเกี่ยวเรื่อยๆว่ากันเป็นเดือนเป็นปี ถึงตอนนี้ก็ยังต้องไปสัมมนาเรื่องขนมอยู่ดี เพราะการเรียนรู้มันไม่มี่ที่สิ้นสุดจริงๆ
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ทำมาหากินเป็นเรื่องเป็นราวเสียที จะขายขนมแล้วต้องทำยังไงล่ะ จะซื้อเครื่องผสมอาหารกับเตาอบมาใช้ก็กลัวจะใช้ไม่เป็น ไปหาที่เรียนดีกว่า เราเลือกที่จะไปเรียนทำขนมที่วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ห้องหนึ่งๆรับคนไม่เยอะกลัวว่าจะไปสมัครเรียนไม่ทัน ไปมันวันแรกแปดโมงเช้าเลย สมใจล่ะ ได้เป็นนักเรียนเลขที่หนึ่งในแผนกคหกรรม ขนมอบ 1 เรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง มีคนถามว่าทำไมไม่ไปเรียนทำขนมที่สถาบันศิลปศาสตร์การอาหารของอาจารย์ยิ่งศักดิ์ ก็เราแค่จะไปเรียนใช้เครื่องผสมกับเตาอบเท่านั้นสูตรเราไม่สนใจ ฉะนั้นเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน
ห้องเรียนขนมอบ 1 ที่วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่มีนักเรียนทั้งรุ่นเล็กและนักเรียนรุ่นป้ามานั่งเรียนกันเต็มไปหมด อาจารย์ผู้สอนคืออาจารย์อมรรัตน์ อินทรลิป ชนิดของขนมก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ว่าสัปดาห์นี้จะสอนทำขนมอะไร อาจารย์ที่เราไปเรียนด้วยออกจะเสียงดังแสบแก้วหูไปสักหน่อย เช้าๆอาจารย์จะชอบของขึ้นแต่ถ้าสายๆหน่อยค่อยยังชั่ว
เราไปเรียนเพื่อต้องการกอบโกยความรู้จากอาจารย์เท่าที่จะทำได้ จึงไม่แปลกที่จะต้องถามว่า อะไร ทำไม เพื่ออะไร และอย่างไร จนพี่ในกลุ่มที่สนิทกับอาจารย์แอบมากระซิบให้ฟังว่า "อาจารยบอกพี่ว่าเช้าๆให้เอาแกไปห่างๆหน่อย เช้าๆถามอาจารย์มากอาจารย์เสียสมาธิ" เวรกรรม!! ก็มาเพื่อหาความรู้อ่ะนะถามมากก็ไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็จะไม่ค่อยถามอะไรอาจารย์สักเท่าไหร่ออกแนวน้อยใจเล็กๆ "ไม่ถามก็ได้..ไม่เห็นอยากรู้เลย" หนึ่งเดือนผ่านไปเริ่มรู้งาน เช้าๆอาจารย์จะขี้หงุดหงิดใครอย่าเข้าใกล้เชียว สายๆหน่อยค่อยไปวุ่นวายกะแกได้
เวลาประมาณสามเดือนที่ไปเรียนทำขนมไปสายแทบทุกวัน หลังๆดูอาจารย์จะเอ็นดูเราเป็นพิเศษ เวลาเราไปสัมมนาทำขนมมาก็จะมาเล่าให้อาจารย์ฟังว่าเขาสอนอะไรมาบ้าง อยากจะบอกว่าเทคนิคในการทำขนมของอาจารย์แต่ละคนต่างกันไป อาจจะมีจุดที่คล้ายกันอยู่บ้างตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำมาใช้มากน้อยแค่ไหน
ฃ
จะเห็นได้ว่าพัฒนาการในการทำขนมของเราดีขึ้น (หุหุ ไม่อยากจะชมตัวเอง) เห็นอะไรมาก็จะนำมาใช้บ้าง บ่อยครั้งที่ไปเดินห้างจะแถไปแถวๆขนมอบ ดูว่าชาวบ้านทำอะไรหน้าตายังไงเราจึงได้เทคนิคและรูปแบบขนมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อเรียนจบหลักสูตรขนมอบ 1 ที่วิทยาลัยสารพัดช่างจะช้าอยู่ใยหาเงินได้แล้วสิ..กลุ่มของเราที่เรียนมีเจ็ดคน เราและเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนถอยเครื่องผสมอาหารและเตาอบกันคนละชุด สองคนนั่นซื้อที่เชียงใหม่แต่เราซื้อที่โรงงานกล้วยน้ำไท กรุงเทพ
โชคดีโทรไปเจอเฮียที่เป็นเจ้าของต่อราคาได้ที่ชุดละสามหมื่นบาท เป็นเครื่องผสมอาหารขนาดสิบลิตรหนึ่งเครื่องและเตาอบสองถาดอีกหนึ่งเครื่อง นอกจากจะฟรีค่าส่งและรับประกันหนึ่งปีแล้วยังไม่วายขอของแถมอีก..เราได้ถาดใบใหญ่มาสองใบ โอนเงินไปอีกสามวันรับของ..จัดส่งถึงบ้านโดยนิ่มซี่เส็ง ราคาถูกกว่าของเพื่อนประมาณสามพันบาท
ภายใต้ชื่อกล้วยน้ำไท..ถ้าจำไม่ผิดในกรุงเทพมีอยู่สี่กล้วยน้ำไท เราโทรถามราคาทั้งสี่ที่รวมทั้งยี่ห้ออื่นๆด้วย แต่ละที่ราคาไม่เท่ากันนะแม้แต่ของกล้วยน้ำไทเองก็ยังราคาไม่เท่ากันเลย กล้วยน้ำไทสาขาที่เราซื้อ (พระโขนง) ราคาถูกที่สุดถามได้ความว่าที่นั่นเป็นโรงงาน ส่วนที่อื่นเป็นตัวแทนจำหน่ายราคาจะสูงกว่า
เล่ามายืดยาวกว่าจะได้ทำขนมมันลำบากยากเย็นเหลือเกิน มาเข้าเรื่องของการทำขนมดีกว่า ทุกวันนี้สูตรในดวงใจของเราจะมีสูตรที่เด่นๆอยู่พอสมควร ที่เหลือจะเป็นการนำสูตรที่มีมาประยุกต์เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เกิดความหลากหลาย ช่วงแรกๆที่ทำขนมขายได้มีโอกาสกลับไปเจออาจารย์อมรรัตน์ อาจารย์บอกเราว่าช่วงที่ขายดีให้รีบกอบโกย เพราะมันจะขายได้ไม่นาน...เราคงไม่เอาขนมของเราไปเทียบกับขนมยี่ห้อดังที่แสนจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ฉะนั้นการตัดสินใจคงอยู่ที่ตลาดทั่วๆไปที่ขายกันอยู่
แรกเลยก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าที่อาจารย์พูดถึงมันหมายความว่าไง แต่ตอนนี้เริ่มมองออกแล้ว..ที่อาจารย์บอกว่ามันจะขายได้ไม่นานคือธรรมชาติของคนไทยจะเห่ออะไรก็เห่อเป็นพักๆ ถ้าเลิกเห่อแล้วก็จะเงียบเลย ครั้งแรกเราเริ่มจากการขายขนมปังไส้หมูหยอง ทำไปขายเท่าไหร่ก็จะเกลี้ยงหมดพอขายไปสักพักคนเริ่มเบื่อหมูหยอง เราก็จะทำไส้อื่นไปขายอีก..คนก็จะไปเห่อไส้อื่นอีก เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ
ถ้าทำโบต้าทาร์ตไปก็จะแย่งกันซื้อโบต้าทาร์ตขนมชนิดอื่นก็จะเบาๆไป ตรงนี้เราจะบอกคนที่เริ่มกิจการเบเกอรี่ว่า ขนมที่ทำต้องไม่ได้มีแค่ชนิดเดียวอาจจะมีสักสองถึงสามชนิดเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกทาน และจะต้องไม่หยุดรูปแบบของขนมไว้แค่เท่าที่เรียนหรือศึกษามาเท่านั้นมันต้องมีการปรับให้มีรูปแบบใหม่ๆเพื่อให้ดูแปลกตาบ้าง ขนมปังไส้หมูหยองที่ทำเป็นลูกกลมๆอาจจะทำให้เป็นแบบยาวๆ ราดด้วยมายองเนสนิดหน่อยก็ทำให้คนรู้สึกแปลกใหม่และอยากลองมากขึ้น..ทั้งที่มันก็เป็นผีตัวเดียวกันนั่นแหละ แต่มันหลอกกันคนละแบบเท่านั้นเอง
หรือนำเอาขนมที่มีมาปรับเข้าด้วยกัน เช่นเค้กเนยถ้าเอาขนมปังมาห่อก็จะได้ขนมปังไส้เค้ก เศษๆขอบๆของเค้กเนยเอามาผสมกับผงโกโก้ ลูกเกด และน้ำผึ้ง ห่อด้วยขนมปังก็จะได้ขนมปังไส้ช๊อคโกแลต
เบื่อทำขนมปังเองจะซื้อขนมปังแซนวิชมาทำเป็นแซนวิชทูน่าก็เห็นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ช่วงไหนเทศกาลทำขนมเอาใจคุณลูกค้าสักหน่อย สูตรเค้กที่มีจับมาใส่ถ้วยแต่งหน้าด้วยน้ำตาลสีๆก็ดูถูกใจกันดี
ตอนนี้เราส่งอยู่ประมาณห้าที่ไม่รวมกับที่แม่และเราขายเอง ลูกค้าแต่ละที่อาจจะมีชอบต่างกันไปบ้าง แต่ที่เหมือนกันคือทุกที่จะเห่อของใหม่..มีขนมชนิดใหม่ๆหรือที่ไม่ได้กินนานแล้วก็จะเหมาซื้อกัน ขำลูกค้าหลายๆคนถามถึงขนมด้วยเพราะลูกที่บ้านสั่งมา "แซนวิชทูน่ามีมั้ย??ลูกสาวพี่สั่ง" "ขนมปังไส้เค้กไม่มีเหรอ? แฟนพี่สั่ง" ตกลงว่าถ้าลูกเมียไม่สั่งก็คงจะไม่ได้ซื้อมั้งเนี่ย อิอิ
เหนื่อยนะ..ทำขนมให้ชาวบ้านกินเนี่ย เพราะมากคนก็มากความ แต่ถ้าทำแล้วคนซื้อชมค่อยหายเหนื่อย ก่อนนี้ทำขนมเพราะชอบแต่ตอนนี้ทำเพราะหยุดขายไม่ได้ บางทีงานหลักเยอะๆไม่ได้ทำขนมไปส่งก็มีลูกค้าโทร.มาบ่น "อะไรกันขายแล้วรวยจะเลิกขายแล้วรึไง???" ที่บ้านเลยกลายเป็นเหมือนโรงงานนรกแรงงานเถื่อนก็หาเอาแถวนี้แหละ อิอิ ป๊ะป๋าเราเอง ช่วยงานโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าแรง
ตอนนี้เรายังมีแรงก็คงจะไม่แปลกถ้าจะทำขนมจนสว่าง..เพราะเรายังมีความสุขที่ได้ทำ..มีความสุขที่ได้ลอง
สาระต่างๆมีอยู่รอบตัว...ว่ากันว่าสถานที่หนึ่งมีวิธีที่จะไปถึงหลายวิธี บางคนถนัดที่จะเดิน บางคนถนัดขี่จักรยาน แต่บางคนอยากจะวิ่ง เคล็ดลับการทำขนมก็เช่นเดียวกันเค้กหนึ่งอย่าง..แต่มีหลายเคล็ดลับ ขนมปังหนึ่งอย่าง..นวดแป้งได้หลายวิธี แต่วิธีที่ดีที่สุดเราคงตอบไม่ได้หรอก..เพราะมันมีปัจจัยและองค์ประกอบที่ต่างกัน เทคนิคที่ดีของเราอาจจะไม่ใช่เทคนิคที่คนอื่นทำแล้วออกมาดีก็ได้ อยากให้ได้ลองแล้วปรับเองมากกว่าแล้วลองเอามาเทียบดูว่าผลลัพท์ที่ได้เป็นอย่างไร สไลต์ของใครก็ขึ้นอยู่กับคนนั้น..บางทีมันใช้ร่วมกันไม่ได้ แต่เราอยากจะเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้รวมทั้งตัวเราเองด้วย ไม่ได้มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย..แต่ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าความพยายาม ขอเพียงมีใจ..อะไรก็ไม่เกินกำลัง สู้สู้จ้า....
กล่องใส่ขนมของโอ๋
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 0:40:37 น. |
|
28 comments
|
Counter : 29827 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ตุ้ม สเปน IP: 85.60.10.67 วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:46:06 น. |
|
|
|
โดย: Zanwit IP: 118.172.57.49 วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:20:24:15 น. |
|
|
|
โดย: อ๊อฟ IP: 58.9.194.222 วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:21:03 น. |
|
|
|
โดย: ศศิกานต์ IP: 118.172.22.77 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:15:33:09 น. |
|
|
|
โดย: แม่โม IP: 112.142.119.15 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:17:23:52 น. |
|
|
|
โดย: ธีร์มาลิน IP: 116.58.231.242 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:21:47:26 น. |
|
|
|
โดย: ด๊ะ IP: 161.246.76.145, 161.246.254.163 วันที่: 28 ธันวาคม 2552 เวลา:14:27:24 น. |
|
|
|
โดย: tipy IP: 192.168.1.100, 125.27.235.128 วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:10:27:42 น. |
|
|
|
โดย: สุ IP: 223.204.126.247 วันที่: 29 มีนาคม 2554 เวลา:23:39:13 น. |
|
|
|
โดย: olive IP: 223.207.180.109 วันที่: 17 สิงหาคม 2554 เวลา:5:25:57 น. |
|
|
|
โดย: จริญา รัตนคำ IP: 113.53.7.72 วันที่: 26 ธันวาคม 2554 เวลา:8:57:04 น. |
|
|
|
โดย: มะปราง IP: 125.27.16.209 วันที่: 8 มีนาคม 2555 เวลา:20:52:33 น. |
|
|
|
โดย: KIB IP: 101.109.65.148 วันที่: 12 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:32:12 น. |
|
|
|
โดย: tiger IP: 110.168.14.177 วันที่: 5 ตุลาคม 2555 เวลา:4:44:41 น. |
|
|
|
โดย: jeab pink IP: 49.49.19.228 วันที่: 7 ตุลาคม 2555 เวลา:15:36:23 น. |
|
|
|
โดย: ตาลสด IP: 183.88.249.10 วันที่: 8 ตุลาคม 2555 เวลา:22:00:46 น. |
|
|
|
โดย: อ้อ IP: 110.164.110.180 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:17:29:49 น. |
|
|
|
โดย: T_cm IP: 118.174.97.57 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:36:48 น. |
|
|
|
โดย: Nok...ka IP: 1.20.0.151 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:58:31 น. |
|
|
|
โดย: เหมือนแม่ IP: 49.49.146.154 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:14:05 น. |
|
|
|
โดย: Nokhuk IP: 171.98.194.21 วันที่: 21 เมษายน 2557 เวลา:12:38:01 น. |
|
|
|
โดย: มานะ IP: 1.47.163.189 วันที่: 12 สิงหาคม 2557 เวลา:14:03:57 น. |
|
|
|
โดย: บี IP: 125.27.54.189 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา:19:34:10 น. |
|
|
|
โดย: ชนัญดา IP: 124.122.185.49 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2558 เวลา:17:55:23 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]
|
ต้นหญ้าเล็กๆที่แทรกตัวขึ้นมาระหว่างรอยแยกของปูนที่แข็งกระด้าง มันค่อยๆโตขึ้นเพียงเพราะมันมีความหวังว่ามันจะได้แสงแดดได้น้ำ
ในความแข็งของปูนก็ยังมีหนึ่งชีวิตเล็กๆที่ดูไร้ค่าแต่สามารถมีชีวิตอยู่ได้บนความแข็งนั้นได้...
มันไม่รู้หรอกว่ามันจะมีชีวิตอยู่ได้นานสักเท่าไรมันรู้แค่ว่ามันจะอยู่รอดและเติบโตด้วยความหวังเล็กๆของมัน
|
|
|
|
|
|
|