It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
17 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

หนึ่งวันก็หลงเสน่ห์...ไซง่อน

"ไซง่อน" หรือ "โฮจิมินห์ ซิตี้" เป็นชื่อที่ผมได้ยินและอยากไปเยือนตั้งแต่ยังจำความได้



สาเหตุเพราะตอนเด็กๆ ได้ดูหนังสงครามเวียดนามนั่นแหละครับ อย่างเรื่อง PLATOON หรือ The Deer Hunter ได้ดูภาพบรรยากาศในเมืองหลวงเวียดนามของเวียดนามใต้ในขณะนั้นแล้วรู้สึกว่า สวยงามมีเสน่ห์บางอย่าง จึงอยากไปดูด้วยตาสักครั้ง

เมื่อไปก็ไม่ผิดหวัง แม้ความเป็นเมืองหลวงจะถูกย้ายไปอยู่ที่ฮานอยแล้ว และภูมิประเทศรอบนอกจะถูกปรับเป็นเขตอุตสาหกรรมบ้าง แต่ในตัวเมืองไซง่อน ก็ยังคงความสวยงามไว้ได้อย่างดี โดยเฉพาะรูปแบบผังเมืองที่ฝรั่งเศสวางไว้เมื่อคราวปกครองเป็นเมืองขึ้น




สถานที่แห่งแรกที่ผมไปเยือนทันทีที่เดินทางถึงไซง่อน จึงเป็น Reunification Palace หรือ ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งรัฐเวียดนามใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในกลางเมือง ด้านหน้ามีสวนสาธารณะร่มรื่นสวยงาม ตั๋วเข้าชมก็มีราคาใบละ 1.5 หมื่นด่อง (ราวๆ 20 บาท)

ในหนังสารคดีสงครามเวียดนาม ผมยังจำภาพรถถังสองคันที่วิ่งชนประตูรั้วทำเนียบได้ติดตา และรถถังตัวจริงทั้งสองคันนั้น ก็ถูกนำมาตั้งโชว์เอาไว้ในสนามบริเวณทำเนียบด้วย ผู้เข้าชมสามารถยืนดู กระทั่งลูบๆ คลำๆ ได้ตามใจชอบ เมื่อเดินเข้าไปชมภายในทำเนียบ พบว่าทุกๆ อย่างถูกจัดวางตำแหน่งไว้ให้เหมือนคราวที่ยังถูกใช้งาน ห้องชุดต่างๆ ที่สวยงามเอาไว้ต้อนรับแขกเมือง มีแม้แต่ห้องฉายภาพยนตร์ ทั้งที่ตอนนั้นอยู่ในภาวะสงคราม แต่เมื่อได้เดินไปชมห้องใต้ดินที่มีอุปกรณ์สื่อสาร และได้เห็นแผนที่เวียดนามในตอนที่ถูกแบ่งเป็นสองรัฐอย่างละเอียด แม้จนวันนี้ผมยังรู้สึกได้ว่าภาวะตอนนั้นมันตึงเครียดอย่างมาก

แม้แต่เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่บนดาดฟ้าก็เป็นลำเดียวกันเหมือน 30 ปีก่อนที่พร้อมจะพาท่านผู้นำประเทศหนีไปได้ทุกวินาที



เมื่อเดินออกมาจากทำเนียบ ตั้งใจว่าจะไปเที่ยว อุโมงค์ Cu Chi ในวันรุ่งขึ้น แต่ในเมื่อเวลายังเหลือจึงออกเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ และพบสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง ที่ไม่ควรพลาดชมคือ Peaceful Notre Dome โบสถ์ที่สร้างจากหินแกรนิตสวยงาม เดิมทีเรียกว่าวิหารไซง่อนต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วิหารนอร์เธอร์ดาม อยู่ไม่ไกลจากทำเนียบ

ระหว่างที่เดินผ่านสวน เจอวณิพกผู้เฒ่าชาวเวียดนาม มาร้องเพลงเปิดหมวกอยู่ เสียงลุงแกเพราะมาก เลยเก็บรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก

ใกล้ๆ กันอีกแห่งที่น่าแวะไปชมคือ ที่ว่าการไปรษณีย์เวียดนาม เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นแบบยุโรปผสมเอเชีย ข้างในเปิดทำการด้วย สามารถส่งไปรษณียบัตรกลับมาให้เพื่อนฝูงที่เมืองไทยได้ ถ้าเราเดินจากกลางเมืองไซง่อนไปทางแม่น้ำ จะเจอถนนสายธุรกิจ เป็นแหล่งช็อปปิ้งพวกสินค้าแบรนด์เนมและโรงแรมหรูๆ มากมาย ชนิดที่ไม่แพ้ประเทศไทยเราเลย

แต่ที่มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดคือ ร้านกาแฟ ครับ คงจะเป็นอิทธิพลตกค้างมาสมัยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส มีทุกถนนเลยก็ว่าได้ ทั้งร้านหรู ราคาแก้วละเป็นร้อยบาทไทย จนถึงร้านธรรมดาๆ ราคาแก้วละสิบบาท

ถ้ามาถึงไซง่อนแล้ว ไม่ลงเรือชมเมืองยามค่ำหน่อยก็น่าเสียดาย เมืองไซง่อนยามค่ำคืนสวยงามมากครับ ส่วนมากจะมีบริการอาหารเย็นด้วย ค่าเรือรวมค่าอาหารตกราวๆ แสนกว่าด่องเท่านั้น ค่าครองชีพที่ไซง่อนผมรู้สึกว่าแพงกว่าฮานอยไปหน่อย แต่ยังถูกว่ากรุงเทพฯ



ไซง่อนเปรียบเสมือนศูนย์กลาง ถ้าจะไปเที่ยวจังหวัดใกล้ๆ ให้เริ่มจากถนนซึ่งผมอยากจะเรียกว่า ตรอกข้าวสารไซง่อน เพราะเหมือนถนนตรอกข้าวสารบ้านเราเหลือเกิน มีโรงแรมถูกๆ ราคาคืนละไม่กี่ร้อย มีผับบาร์ห้องแถวเรียงราย รถเข็นขายกาแฟ-ขนมปัง -ผลไม้ ห้องแถวเล็กๆ ขายแผ่นซีดี-ดีวีดี เสื้อยืดสกรีนแปลกๆ และร้านบริการทัวร์เต็มไปหมด ถ้าจะไปเที่ยวแบบ Day Tripper ก็ต้องเริ่มจากจุดนี้แหละครับ

ผมต้องการจะไป อุโมงค์ Cu Chi ของเวียดกง ซึ่งห่างไซง่อนไปราวๆ 60 กิโลเมตร รถทัวร์สามารถพาไปเที่ยวแบบไปกลับได้ในเวลาค่อนๆ วัน คือเริ่มออกเดินทาง 8 โมงเช้า กลับบ่ายสอง ค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5 แสนด่อง รวมค่าตั๋วเข้าชมอุโมงค์ด้วย



พอเดินทางไปจึงได้เห็นว่าพวกเวียดกงใช้วิธีอย่างไรเอาชนะอเมริกาได้ เป็นค่ายทหารที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านจริงๆ ทั้งกับดักต่างๆ และการกินการอยู่ ต้องมีความอดทนและความมุ่งมั่นอย่างสูงจริงๆ จึงอยู่ในสภาพนั้นได้ อุโมงค์ใต้ดินมากมายเชื่อมต่อกัน มีทั้งที่พัก โรงครัว และโรงเก็บอาวุธ อยู่ในนั้น ลองมุดไปดูแค่ไม่กี่นาทียังรู้สึกร้อนและอึดอัดมาก พวกฝรั่งบางคนที่ลงไปเดินถอยออกมาก็มี เหตุผลเพราะตัวใหญ่เกินไป

เดินทางกลับมาถึงไซง่อนตอนบ่ายๆ หาโอกาสไปไหว้พระ วัดนี้เป็นวัดจีนที่มีอายุกว่า 700 ปีชื่อ วัด Xa Loi อยู่แถวตลาดจีน ชอบการแกะหินตามกำแพงวัดมาก ดูสวยงามดี ภายในวัดเลี้ยงเต่าเอาไว้ด้วย คนเวียดนามนับถือเต่ากันมากเท่าที่สังเกต

"เมืองไซง่อน" แม้บางแง่มุม จะคล้ายเมืองใหญ่ที่เห็นอยู่ทั่วไป แต่ในเมืองใหญ่นั้น ยังมีบางอย่างที่ไม่แปรเปลี่ยน สร้างเสน่ห์แก่ผู้มาเยือนตลอดมา




............

Source:   //www.komchadluek.net




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2553
0 comments
Last Update : 17 ตุลาคม 2553 23:19:36 น.
Counter : 1453 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.