"ไม่ได้มีความผิดอะไรโดยได้ขอให้ นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงแทนว่า ตำแหน่งของนายภาณุ คือ รองปลัดกระทรวง ฝ่ายกิจการพิเศษ โดยมีมติให้คงตำแหน่งนี้ไว้เป็นการชั่วคราว เมื่อครบกำหนดเวลา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) พิจารณาเห็นสมควรไม่ให้คงตำแหน่งนี้ไว้ โดยมีผลในวันที่ 30 ก.ย.2556

จึงจำเป็นต้องให้ นายภาณุ คงอยู่ในตำแหน่งระดับเดียวกัน แต่เนื่องจากยังไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมพอ ประกอบกับ นายภาณุ มีประโยชน์อย่างมากกับงานดูแลจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงจึงทำเรื่องถึงสำนักงาน ก.พ. เพื่อให้ได้ตำแหน่งระดับบริหารสูง คือเป็นตำแหน่งระดับ 11 เทียบเท่าปลัดกระทรวง ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างสำนักงาน ก.พ. พิจารณาตามขั้นตอน กระทรวงพยายามผลักดันเต็มที่ เพราะงานภาคใต้เป็นงานสำคัญ" นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย  กล่าว…

คล้อยหลังมาอีกเพียง 1 วัน นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า ได้โทรศัพท์หารือ กับ นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เรื่องตำแหน่งของ นายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ข้อสรุปว่า จะมีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ อกพ. ของ ก.พ.ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาข้อสรุป ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ ของ ก.พ.ประมาณวันที่ 18 ก.ย.นี้

เบื้องต้น จะเป็นการกำหนดตำแหน่งระดับ 11 ซึ่งเป็นระดับเดิมเทียบเท่าตำแหน่งที่นายภานุ ได้รับขณะดำรงเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

กับคำให้สัมภาษณ์ของนายจารุพงศ์ สังเกตได้ว่า รัฐบาล ก็ไม่รู้จะหาตำแหน่งหน้าที่การงานอะไร ให้กับบุุคลระดับนี้ได้กลับไปใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่บริหารงานช่วยเหลือประเทศได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ตำแหน่งระดับ 11 ย่อมหมายถึงเทียบเท่าระดับปลัดกระทรวง หรืออีกนัยหนึ่งคือ เทียบเท่าระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

แน่นอนว่า ก่อนหน้าที่จะมี มติ ครม.เห็นชอบให้ นายภาณุ ย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่ผ่านมา มีข่าวลือ รัฐเตรียมพิจารณาย้าย นายภาณุ ไปกินตำแหน่ง ระดับปลัดกระทรวงที่แรงงาน หรืออาจเป็นที่กระทรวงคมนาคม สำหรับการโยกย้ายมานั่งเป็นผู้ตรวจราชการสูง ในครั้งนี้ จึงเป็นเพียงการย้ายทางเทคนิค เพื่อรอให้ตำแหน่งที่ต้องการว่างลงก็เป็นได้

เมื่อย้อนไปดูชีวิตราชการของนายภาณุ อุทัยรัตน์ ต้องยอมรับว่า เขาเคยได้รับการจับตามองว่า อาจเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่สามารถก้าวไปถึงฝั่งฝันในระดับ "ปลัดกระทรวงมหาดไทย" ได้ไม่ยากนัก เพราะได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้มีความสามารถ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความรุนแรง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ชะตาชีวิตคนเราก็เหมือนเล่นตลก

ก่อนหน้าที่นายภาณุจะถูกโยกมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็เคยผ่านตำแหน่งระดับ 11 มาก่อนในเก้าอี้ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)ตามโครงสร้างกฎหมายใหม่ ที่ออกในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยกระดับและสถานะของ ศอ.บต.ให้เป็นหน่วยงาน ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย และยกฐานะเลขาธิการ ศอ.บต.เดิมระดับ 10 เป็นระดับ 11

นายภาณุจึงเป็นเลขาธิการ ศอ.บต.คนแรก ตามโครงสร้างใหม่ ก่อนจะถูกเด้งเข้ากรุทำเนียบรัฐบาล ในเก้าอี้ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ากันอย่างหนาหูในช่วงเวลานั้น ว่า เพื่อเปิดเก้าอี้นี้ให้กับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่โยกจากรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้มาเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. แทนเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554

การเปิดทางให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ได้ขยับขึ้นเป็นระดับ 11 ในเก้าอี้เลขาธิการ ศอ.บต. จนถึงบัดนี้ ก็พบว่าการทำงานของ พ.ต.อ.ทวี ก็แทบไม่มีผลงานอะไรปรากฏให้เห็น "เป็นชิ้นเป็นอัน" ที่จับต้องได้ ในการช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ ทั้งเรื่องงานมวลชนในพื้นที่-งานการข่าว-ภารกิจด้านการบูรณาการอำนาจรัฐต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้

อย่างไรก็ตาม ที่น่าคิด คือ ตัวนายภาณุเอง อาจต้องตกเข้ามาอยู่ในวังวน กลายเป็นเหยื่อโอชะของนักการเมืองผู้กระหายในอำนาจ ที่ต้องการส่งคนของตัวเองเข้าไปนั่งในตำแหน่งสำคัญ เพื่อให้สามารถควบคุมกลไกต่างๆไว้เองหรือไม่? แบบที่เรียกว่า"ตกกระไดพลอยโจน" คล้ายๆ กับกรณี ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี นายถวิล เปลี่ยนศรี หรือกรณีของ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา

ข้าราชการทั่วๆ ไป ทราบดีว่า เมื่อได้ถลำตัวเข้ามาแล้ว ก็ถอนตัวได้ยาก ยิ่งถ้าถึงขั้น "ตกปากรับคำ เป็นมั่นเป็นเหมาะ" ก็ต้องยิ่งอดทนรอคอย โดยหวังว่า ผู้ที่รับปากไว้ จะทำตามที่ตกลงกัน ดังนั้น ฝ่ายที่ควรโดนตำหนิมากที่สุด คือ ฝ่ายการเมือง ที่ต้องการคงอำนาจเอาไว้ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง มากกว่าจะรักษา "สัจจวาจา" ของตนเอง

สำหรับชีวิตการทำงานรับราชการจากนี้ไปของ นายภาณุ อุทัยรัตน์ คงต้องยึด "สัจธรรมอมตะ" ที่เรามักจะได้ยินกันมาตลอดว่า "ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะยิ้ม และยอมรับกับมัน ชีวิตคนเรามีขึ้น ก็ย่อมมีลง" ฉันใดก็ฉันนั้น เชื่อว่า "ฟ้าหลังฝน ย่อมต้องสดใสเสมอ"

ตามแฟ้มประวัติของนายภาณุ อุทัยรัตน์ ที่ศูนย์ข้อมูลไทยรัฐรวบรวมไว้ ระบุว่า นายภาณุเกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2499 เป็นชาวปัตตานีโดยกำเนิด จบมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ปัตตานี มัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

นายภาณุ ดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับ 10 ครั้งแรก ในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2548 เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2551 เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายกิจการพิเศษ เมื่อ 1 ตุลาคม 2552 ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อ 9 มกราคม 2553 และ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ระดับ 11 เมื่อ 4 เมษายน 2554

อยู่ในตำแหน่งนี้ไม่นาน นายภาณุก็ถูกโยกมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2554 และถูกโยกกลับไปเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหารสูง) ฝ่ายกิจการพิเศษ เมื่อ 1 ตุลาคม2554 ก่อนที่ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ แต่งตั้งให้ย้ายผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย (สูง) เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2556 ที่ผ่านมา