มองรัฐบาลรับมือคดีเขาวิหาร (คอลัมน์ รายงานพิเศษ)
มองรัฐบาลรับมือคดีเขาวิหาร
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
ก่อนที่ศาลโลกนัดตัดสินคดีเขาพระวิหารในวันที่ 11 พ.ย. รัฐบาลไทยมีการประชุมเตรียมความพร้อมรับมือกับคำตัดสินที่จะออกมาในแนวทางต่างๆ
การดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมา ในมุมมองของนักวิชาการแล้วมีข้อคิดเห็นต่อมาตรการต่างๆ ที่ออกมาอย่างไร และเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน
ประดิษฐ ศิลาบุตร
ศูนย์ศรีสะเกษศึกษา ม.ราชภัฏศรีสะเกษ
คําตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหารในวันที่ 11 พ.ย. เป็นเรื่องใหญ่ของประชาชนทั้งสองประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยทำความเข้าใจกับประชาชนได้ดี สมัยปี 2505 หลายคนต้องลุ้นคำตัดสินด้วยการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตีความจากความฝัน
การให้ข้อมูลอย่างรอบด้านเป็นเรื่องละเอียด อ่อน ทำมากไปก็ไม่ดี ทำน้อยไปก็ไม่ดี แต่ถ้าไม่ทำเลยไม่ดีแน่ๆ เพราะเมื่อคำตัดสินออกมาไม่เป็นอย่างที่คาด อาจมีหลายคนที่ไม่ได้อ่านข่าว ไม่รู้ข้อมูล จะตกอกตกใจจนแสดงความคิดเห็นที่เข้าข่ายความขัดแย้งก็เป็นได้
เป็นเรื่องดีที่ รมว.ต่างประเทศบอกว่า ไม่ว่าศาลโลกจะตัดสินออกมาในรูปแบบใด ไทยกับกัมพูชาต้องพูดคุยกันก่อน โดยใช้เวทีคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-กัมพูชา
เพื่อตกลงกันก่อนว่าไม่ว่าผลการตัดสินออกมาอย่างไร จะต้องไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และการอยู่ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
การหันหน้าคุยกันเป็นทางออกทางเดียวที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เนื่องจากในอนาคตเส้นพรมแดนจะกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญอีกต่อไป ทุกวันนี้ทุกฝ่ายรับรู้ร่วมกันว่า ปัญหาจากเส้นพรมแดนสร้างความแตกแยกให้ประชาคมโลกมานาน
หลักการบริหารความสัมพันพันธ์ระหว่างประเทศ คือทั้งสองฝ่ายต้อง "วิน-วิน" ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่
กรณีส่งทีมงานไปฟังผลการตัดสินที่กรุงเฮก ไม่จำเป็นต้องส่งคณะใหญ่ แค่คณะ เล็กก็พอ ที่เหลือรอลุ้นดูถ่ายทอดสดที่เมืองไทยได้ เพราะถึงอย่างไร คณะที่ไปฟังคง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของศาลโลกได้
ส่วนการตั้งคณะทำงานวิเคราะห์และตีความผลตัดสินควรเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญทางคดี นี่เป็นเรื่องใหญ่ กระทบความสัมพันธ์ของคนสองประเทศ จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยมาอธิบาย เพื่อปิดช่องปัญหาจากความเข้าใจผิด แล้วอาจนำไปสู่การปลุกระดมคนที่ต้องการล้มรัฐบาลได้
รัฐบาลสอบผ่านในการมีความพยายามสูงที่จะทำความเข้าใจกับประชาชน
ชำนาญ จันทร์เรือง
นักวิชาการอิสระ
เห็นอยู่แนวทางเดียว คือ "เจ๊ง" แต่จะเป็นเจ๊งมากหรือเจ๊งน้อยเท่านั้น เจ๊งมาก คือ ศาลโลกตัดสินตามคำร้องของกัมพูชา ขอบเขตบริเวณใกล้เคียง ให้เป็นไปตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ที่กัมพูชาอ้าง
ส่วนเจ๊งน้อยคือ อย่างน้อยที่สุดให้ เอาแผนที่ของสองฝ่ายมาชี้พิกัด เพื่อปักปันแนวเขตแดนร่วมกัน ซึ่งเป็นข้อที่คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด
ประเด็นที่กระทรวงการต่างประเทศ มีแผนจะหารือร่วมกับกัมพูชาก่อนฟัง คำตัดสินของศาลโลกนั้น การเจรจากันก่อนเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เชื่อว่าคำตัดสินของศาลโลกจะไม่มีใครเป็นฝ่ายได้ทั้งหมด
ของเราจะให้เป็นไปตามมติครม.ปี 2505 ซึ่งเป็นมติ ครม. ฝ่ายเดียว คงเป็นไปไม่ได้ ทางกัมพูชาเองตั้งแต่แรกก็ไม่ได้มั่นใจเท่าไหร่ เพียงแต่จังหวะมันเหมาะสม ศาลโลก คงตัดสินให้เกิดสันติภาพ ให้วินวินมากที่สุดอยู่แล้ว
ฝ่ายไทยเตรียมส่งคณะเล็กไปฟังคำตัดสินแทนที่จะเป็นคณะใหญ่ ก็ไม่มีผลอะไร ไม่ไปยังได้เลย ที่เขาเรียกไปฟังแสดงว่าเขาเขียนเสร็จแล้วเรียบร้อย
การตั้งคณะทำงาน โดยเฉพาะด้านการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยรับ ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมดของคดี อันนี้คือการดำเนินการทางการเมืองที่แท้จริง
แต่อย่าไปปกปิดหรือแต่งเติมข้อมูล และต้องตัดความเป็นชาตินิยมออกไปด้วย และถ้าให้ฉลาดอย่าไปโทษกัน ไม่ควรจะไปทับถมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องราวขึ้น ให้ถือเป็นประสบการณ์ร่วมกันไป
การประชาสัมพันธ์ตอนนี้ยังไม่ช้า แต่ประมาทไปหน่อย อาจเพราะไม่คิดว่าศาลโลกจะเลื่อนการตัดสินมาเร็วขนาดนี้
การทำงานของรัฐบาลในคดีเขาพระวิหารดีแล้ว ถ้าเต็ม 10 ให้ 6 หรือ 7 เพราะเรื่องคดี ทีมทนายมีความสามารถ ก็ทำดีที่สุดแล้ว
เพียงแต่รัฐบาลประมาทตรงที่ไม่พยายามทำความเข้าใจกับคนไทยให้มากพอ
พวงทอง ภวัครพันธุ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเตรียมพร้อมของรัฐบาลต่อคำตัดสินของศาลโลกใน วันที่ 11 พ.ย. เป็นการทำแบบรีบเร่ง ทั้งที่ควรทำมาก่อนหน้านั้น คือตั้งแต่หลังการแถลงต่อศาลโลกเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
รัฐบาลไทยควรมีจุดยืนต่อผลคำตัดสินมานานแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร แต่ก็เพิ่งมาเร่งหาจุดยืนเอาเวลานี้ ด้วยการบอกเพียงว่าจะมีฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ประชาชนไทยทุกคนทราบ
ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศก็เคยมีความพยายามจะทำ แต่พอมีกระแสว่าผลการตัดสินจะออกมาเจ๊ากับเจ๊ง ก็ถูกกลุ่มชาตินิยมวิจารณ์อย่างหนัก จนรมว.ต่างประเทศต้องถอยกลับไป กลายเป็นไม่ทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องแคร์คนทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่มชาตินิยมเท่านั้น เพราะสะท้อนว่ารัฐบาลเกรงกลัวฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ได้มีจุดยืนหรือต้องการให้ความกระจ่างกับประชาชน ทุกกลุ่ม
ขณะนี้เหลือเวลาไม่กี่วัน รัฐบาลยังกล้าๆ กลัวๆ แล้วคนทั้งประเทศจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ในฐานะที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก
ส่วนที่ รมว.ต่างประเทศบอกว่าไทยกับกัมพูชาต้องพูดคุยกันก่อน โดยใช้เวทีคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-กัมพูชา เป็นกลไกในการพูดคุย ถือเป็นสิ่งที่ดี และเป็นคนละประเด็นกับที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะขัด ม.190
ไม่เกี่ยวกัน เพราะคำตัดสินศาลโลกไม่ใช่การพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งการไปพูดคุยกันก่อนจะทำให้แนวทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชัดเจนขึ้น
เช่น สมมติว่าไทยเสียพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม. ทหารไทยก็ต้องถอยทัพออกมา แต่การพูดคุยจะทำให้ไม่มีการกดดันกันของทั้งสองฝ่าย ไทยอาจชี้แจงได้ว่าเงื่อนไขเวลาการถอยกองทัพออกใช้เวลาแค่ไหน เป็นต้น
แต่ไม่สามารถห้ามฝ่ายค้านหรือกลุ่ม 40 ส.ว. ออกมาประท้วงปลุกม็อบล้มรัฐบาลได้ เพราะการโค่นรัฐบาลเป็นธงของเขา อยู่แล้ว
ส่วนการส่งทีมงานไปรับฟังคำตัดสินของศาลโลกที่ระบุว่าจะไปเพียงคณะเล็กนั้น เป็นเรื่องปกติ ครั้งนี้เป็นเพียงไปฟัง คำตัดสิน ไม่ได้ไปแถลงสู้คดีเหมือนคราวที่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปกันเป็นคณะใหญ่
ต่อให้ยกโขยงกันไป ก็ไม่อาจกดดันหรือเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของศาลโลกได้
ขณะที่รัฐบาลเตรียมจัดตั้งคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญเพื่อศึกษาวิเคราะห์คำพิพากษานั้น น่าจะตั้งขึ้นจากนักกฎหมาย เข้าใจ ว่าเป็นจิตวิทยาทางการเมืองเพื่อหาคนกลางมาตอบคำถาม โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่คาดว่าน่าจะมีคำถามเยอะ รัฐบาลจึงตั้งใจลดแรงเสียดทานด้วยคณะทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ
หากจะให้คะแนนความพร้อมในด้านต่างๆ ของรัฐบาล คงไม่สามารถให้ได้ เพราะรัฐบาลยังมีอาการกังวล เครียดเกินไป โดยปล่อยให้สถานการณ์พาไปอย่างเดียว
Create Date : 25 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 25 ตุลาคม 2556 1:09:42 น. |
|
0 comments
|
Counter : 903 Pageviews. |
|
|
|
|
|