การเมืองชุลมุน ระทึกจุดแตกหัก!
การเมืองชุลมุน ระทึกจุดแตกหัก!
| การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราคืบหน้าไปอีกขั้น
เมื่อที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเสียงข้างมากผ่านวาระ 2 ร่างแก้ไขมาตรา 190 เกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศใช้บังคับต่อไป เช่นเดียวกับร่างแก้ไขเกี่ยวกับที่มาของส.ว. ซึ่งดำเนินการไปแล้วก่อนหน้า
ต่อจากนี้ต้องจับตาดูให้ดีว่ารัฐบาลจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนกำลังร้อน
ผลักดันร่างแก้ไขมาตรา 68 กับ 237 เข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาวาระ 2 ต่อทันทีหรือไม่
ตามเส้นทางปฏิทินเดิมมีกำหนดจะ"ปิดบัญชี" แก้ไขรัฐธรรมนูญครบทั้ง 3 ร่างก่อนรัฐสภาปิดสมัยประชุมวันที่ 29 พ.ย.
หรือจะแตะเบรกชะลอเกมร้อนไว้ก่อน
เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมทั้งในสภาและนอกสภาขณะนี้ สัญญาณซึ่งถูกส่งออกมาเป็นระยะๆ เตือนว่า
ยังไม่นิ่งถึงขั้นรัฐบาลสามารถเย็นใจได้
ไม่ว่าร่างกฎหมายสำคัญๆ ที่จ่อคิวเข้าสภาในช่วงใกล้ปิดสมัยประชุม หรือบางฉบับถึงจะผ่านวาระ 3 ไปแล้ว
ก็ยังต้องไปติดแหง็กอยู่ตรงด่านวาระ 4 ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านและส.ว.กลุ่มต้านยื่นตีความเหวี่ยงแหไว้นับสิบคำร้อง
หรือไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของ"ม็อบอุรุพงษ์" ที่ฉากหน้าดูเหมือนไม่มีอะไร เพราะมีผู้ร่วมชุมนุมแค่หลักร้อย หรือพีกสุดก็ไม่เกิน 2,000 คน
แต่"ฉากหลัง"ม็อบกลับเต็มไปด้วยนักเคลื่อนไหวมืออาชีพ ประสบการณ์โชกโชนมาตั้งแต่ม็อบสนามม้า ม็อบสนามหลวง และม็อบสวนลุมฯ
กระทั่งม็อบควนหนองหงษ์
ถึงการชุมนุมแต่ละครั้งจะไม่บรรลุเป้าหมายสูงสุด สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาแฟนคลับ
แต่ได้มีการวิเคราะห์จากฝ่ายต่อต้านว่าเป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนั้น
ยังไม่สุกงอมพอจะนำมาเป็นเงื่อนไขปลิดขั้วอำนาจรัฐบาลชุดนี้ได้
ผิดแผกแตกต่างจากสถานการณ์ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
หลายคนที่เกาะติดสถานการณ์การเมืองช่วงนี้
วิเคราะห์จากกรณีมีส.ส.บางพรรคสลับหน้าแวะเวียนเข้าให้กำลังใจม็อบอุรุพงษ์ไม่ขาดสาย
ขณะเดียวกันคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ภายใต้สังกัดพรรคดังกล่าวก็ส่งรถสุขา รถน้ำ เครื่องปั่นไฟไปให้บริการถึงหน้าเวที
เหมือนต้องการเลี้ยงกระแสเพาะเชื้อม็อบไว้
สำหรับผสมโรงสถานการณ์บางอย่างในจังหวะก่อนสภาปิดสมัยประชุม ที่เชื่อกันว่าเป็นช่วง"คิลลิ่งโซน"ของรัฐบาล
และเป็นคำตอบว่าทำไมรัฐบาลถึงต้องยืดเวลาการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงออกไปจนถึงวันที่ 30 พ.ย.
อันดับแรกคิวร้อนแทรกขึ้นมากลางลำ กรณีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก แจ้งนัดฟังคำตัดสินวันที่ 11 พ.ย.นี้
ในคดีกัมพูชายื่นเรื่องขอให้ตีความพื้นที่เขตแดนรอบปราสาทพระวิหาร ว่าเป็นของกัมพูชาหรือของไทยกันแน่
เนื่องจากคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 ไม่มีความชัดเจนในส่วนนี้
โดยคำตัดสินไม่ว่าจะออกมาอย่างไรฝ่ายไทยก็มีแต่"เจ๊า"กับ"เจ๊ง"
ถ้าเจ๊าก็แล้วไป แต่ถ้าเจ๊ง ซึ่งหมายถึงศาลโลกตัดสินให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา
เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นปลุกม็อบไล่ถลุงรัฐบาล ให้แสดงความรับผิดชอบต่อผลตัดสินดังกล่าวเพราะทำให้ไทยต้องเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร
โดยไม่สนใจความจริงที่ว่า
จุดเริ่มของการที่เรื่องดังกล่าวถูกผลักให้ขึ้นไปอยู่บนศาลโลก
เป็นเพราะรัฐบาลชุดก่อนเล่นการเมืองกันเองภายในจนเรื่องบานปลายไปนอกประเทศ
มองผู้นำกัมพูชาซึ่งมีความสนิทสนมส่วนตัวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ของไทย ด้วยสายตาความเป็นศัตรูไม่อาจอยู่ร่วมโลก
แทนที่จะมองในฐานะเพื่อนบ้านที่ต้องผูกมิตรถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไว้
สุดท้ายยังกลับมายัดเยียดความรับผิดชอบให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์
ทั้งกระบวนการต่อสู้คดีและผลตัดสินที่ตามมา
ส่วนคิวหนักๆ ในสภาช่วงใกล้ปิดสมัยประชุม
ตามที่ฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเซ็ตโปรแกรมไว้แล้ว
คือ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่คณะกรรมาธิการเพิ่งพิจารณาแล้วเสร็จทั้ง 7 มาตราสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
หัวใจสำคัญของร่าง คือ การนิรโทษกรรมม็อบทุกสี รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีโดย คตส.และองค์กรที่ตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เตรียมผลักดันเข้าที่ประชุมสภา ผู้แทนฯ วาระ 2 ทันที
ส่วนจะเป็นช่วงเวลาใด วันใดในเดือนพ.ย. ก่อนหรือหลังที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 กับ 237
ต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
แต่ไม่ว่าก่อนหรือหลัง พรรคประชา ธิปัตย์ก็ต้องต่อต้านสุดลิ่มทิ่มประตู
ตามที่แกนนำพรรคเคยประกาศไว้แล้วว่า จะขัดขวางร่างกฎหมายดังกล่าวทุกวิถีทางทั้งในสภา รวมถึงเป่านกหวีดระดมพลม็อบต้านนอกสภา
ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไปว่าม็อบ อุรุพงษ์จะลากยาวรอเวลาจุดติดในช่วงเวลานั้นหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งถือเป็นคิวสุดท้ายสั่งลาสมัยประชุม
และที่ต้องจับตาไม่แพ้กัน ได้แก่เกมการวางตัวคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ หรือที่เรียกกันว่า 5 เสือกกต.
ที่ล่าสุดได้ชื่อบุคคลครบแล้วทั้งจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือก 2 คน และคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาอีกจำนวน 3 คน รวมเป็น 5 คน
ใน 5 คนนี้สรุปว่าเป็นผู้พิพากษา 3 คน มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 2 คนซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ที่ออกจะไม่ปกติ อยู่ตรงการที่คณะกรรมการสรรหายังได้คัดเลือกผู้พิพากษาเข้ามาเสริมทัพเป็น กกต.อีก 1 คน
นั่นเท่ากับว่าในอนาคต 5 เสือกกต.ชุดใหม่ จะมีผู้พิพากษาเป็นเสียงส่วนใหญ่ในการชี้เป็นชี้ตายผลเลือกตั้ง แจกใบแดง-ใบเหลือง รวมถึงการชงคดียุบพรรค
นอกจากประเด็นผู้พิพากษาทั้ง 3
ชัดเจนยิ่งกว่าคือกรณีคณะกรรมการสรรหา ยังได้ลงคะแนนเลือกนักวิชาการ "แขกขาประจำ"ช่องทีวีสีฟ้า เข้ามาเป็น 1 ใน 5 เสือ อีกต่างหาก
เลยสะท้อนให้เห็นว่าถึงรัฐบาลจะมีไพ่ตาย"ยุบสภา"อยู่ในมือ
แต่ฝ่ายตรงข้ามก็วางหมากแก้เกมล่วงหน้าไว้แล้วเหมือนกัน
Create Date : 20 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 20 ตุลาคม 2556 0:44:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 676 Pageviews. |
|
|
|
|
|