วันนี้วามาพร้อมกับ รีวิวไม่ได้จ่ายตังค์ อีกและ ช่วงนี้พระศุกร์เขา พระเสาร์แทรก
ได้รางวัลแบบฟลุ๊กๆบ่อยมากค่ะ จะว่า ช่วงนี้ก็ไม่ถูก อันนี้ หลายเดือนแล้วค่ะ
ทางโรงแรมเค้าเปิด Page Facebook แล้วให้ไปกด Like กันแล้วเค้าจะจับฉลาก
แจกห้องพัก Suite 3 คืน พร้อมไวน์ 1 ขวด วามันนักล่าของฟรีอยู่แล้ว เลยจัดการกด Like ไปซะ
ผลออกมา เป็นชื่อเราซะงั้น เหวอเลยเจ้าค่ะ
เลยได้วอเชอร์มาแล้วก็เข้าพักช่วง 18-21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้
เนื่องจากวาเดินทางแบบไม่มีรถส่วนตัว ทริปนี้เลยไม่มีอะไรมากมาย Chill Chill แถวนั้น
เลยไม่ค่อยจะมีอะไรเท่าไหร่นะคะ แต่ก็อยากรีวิวโรงแรมให้ได้ชมกัน เห็นกระทู้ยังไม่ค่อยเยอะ
แล้วนี่ก็เป็นห้อง Suite ด้วยจ้า เอาล่ะพล่ามมาเยอะแล้ว ไปเที่ยวกันดีกว่า
U Inchantree กาญจนบุรี จ้า เชิ้บ ~ เชิ้บ
เริ่มแรกตามแบบฉบับแบคแพคเกอร์จนๆ ก็เดินทางเอาสะดวกและประหยัดที่สุด เลยสืบข้อมูลมาได้ว่า
ที่สายใต้ใหม่ที่สุดใกล้บ้านเรานั้น มีรถตู้ให้บริการอยู่ค่ะ ไปถึงก็มีจริงๆด้วย ค่ารถ 100 บาท ต้องรอคนซักพักนึง
คิวรถตู้หัวหินข้างๆ มีการบอกว่า "น้องๆ รถตู้ไปกาญรอนาน เปลี่ยนไปหัวหินมั๊ย"
(- -") เปลี่ยนไปหัวหินเหรอ..ไม่เป็นไรมั๊งพี่ [ในใจตะโกน ไอบ้าาาาาาา]
นั่งรถแค่ราวๆ 1 ชม.กว่าๆ ก็ถึงขนส่งกาญจนบุรีแล้วค่ะ ไวดีแหะ พอลงรถ
ก็มีพี่วิน ทั้งสองแถวและมอเตอร์ไซต์รับจ้าง เค้ามาจีบเรามากมาย แอร๊ยยยย! ไม่ใช่!
พอคุยกันซักพัก ก็ได้ความว่า รถโดยสารปกติมีวิ่งแค่ถนนใหญ่
เราต้องเดินเข้าไปตรงสะพานข้ามแม่น้ำแควไกลเหมือนกัน โรงแรมอยู่ถัดไปอีกนิดหน่อย
สรุปแล้วเลย ต้องควักเงินเหมา 2 แถว 100 บาทไปส่งหน้าโรงแรมเลย สะดวกดี
มาถึงแล้วจ้า U Inchantree Resort
รถสองแถวขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำแคว และไปจอดส่งเราที่โรงแรม
มี Front มาต้อนรับอย่างแข็งขัน พร้อมผ้าเย็น และ และ ไม่มี welcome drink! แง่ะ
เช็คอินเรียบร้อย ก็เข้าห้องพักค่ะ โรงแรมที่นี้ มีแปลนที่ไม่ซับซ้อนเลยค่ะ ง่ายๆ เป็นแถวๆ
เหมือนเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล (^^) วันนี้ห้องของเรา เลขที่ออก 101 ค่ะ
เป็นห้อง Suite ชั้น 1 (ทั้งรีสอร์ทมีห้อง Suite อยู่ 2 ห้องเท่านั้นค่ะ)
เค้าพาชมห้อง แจ้งให้ทราบว่าตรงไหนมีอะไรอย่างละเอียด และเราก็ได้รู้ตอนนี้ค่ะว่า
welcome drink ที่นี่คือ เครื่องดื่มในมินิบาร์ อะไรก็ได้เลือกเอา 2 อย่าง โอ้โห แจ่ม!
ตอนแรกแอบโกรธ ตอนนี้ให้อภัยแล้วจ้า ^______^
ห้อง Suite ของที่นี่ มีแยกห้องนั่งเล่น ดูทีวี ออกจากโซนของห้องนอนค่ะ มีบานเฟี้ยมปิดแยกกันได้
ตรงนี้จะมีโซฟาขนาดใหญ่นั่งเล่น มีโซฟากลมเก๋ๆ และยังมีเก้าอี้ ทานอาหารเล็กๆไว้ด้วยค่ะ
ส่วนตรงนี้ที่เป็นม่าน สามารถเปิดออกชมวิวแม่น้ำไกลๆได้ แล้วก็เปิดรับลมได้ด้วยค่ะ
มี LCD TV พร้อมกับ ipod ให้ฟังเพลงด้วยค่ะ
ห้องนี้มีแอร์ 2 ตัว 2 ส่วนแยกกันกับห้องนอนด้วยนะคะ เย็นฉ่ำ ชุ่มปอด
ห้องนอน นอนสบายมาก มีตู้เสื้อผ้าและที่วางของต่างๆอยู่ในห้องนี้
ถ่ายรูปเสร็จกระโดดลงไปนอนเลย มันยอดมากกกกกกก
และมีทางเดินออกส่วนหลังบ้าน ที่ออกไปนั่งชิวๆได้
แล้วก็ประตูแยกไปห้องน้ำค่ะ
ห้องน้ำของห้องนี้ เก๋ตรงมีอ่างอาบน้ำชมวิว ถ้ากล้าเปิดมูลี่นะคะ มีคนสวนเดินไปเดินมานิดหน่อย
แต่ระบบน้ำร้อนมีปัญหานิดนึง ต้องใช้เทคนิค ถึงจะเปิดน้ำร้อนได้ พอเปิดได้ ก็ร้อนจนขาสุกเลยทีเดียว 555
โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ ตกแต่งหรูหราอะไรมากนัก เน้นสบายๆ เป็นกันเอง
วาแอบไปดูห้องแบบอื่น ก็เห็นว่า ห้องมีขนาดใหญ่เท่าห้องนอนของห้อง Suite เท่านั้น
มีห้องน้ำเล็กๆด้านหลัง พอกลับมาเจอห้องของเรา เลยถือว่าเป็นห้องที่หรูหรามาก และกว้างมากทีเดียวจ้า
วาก็ใช้ชีวิต อย่างสบายอยู่ห้องนี้ตั้ง 3 คืน ขี้เกียจกันอย่างสนุกสนานเลย
อ้ะ ที่นี่มีสายชำระนะจ้ะ
อุปกรณ์ในห้องพัก ถ้าอยากได้อะไรเพิ่ม แจ้งพนักงานได้นะคะ
โดยเค้าจะเอามาให้ที่ห้อง ถ้าเราต้องการ พอดี วาอยากได้หวี ก็เลยลองขอเค้าดู ลืมเอาไป
เค้าก็เอามาให้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดใดเพิ่มค่ะ
มาดูบริเวณรอบๆกับบ้าง ที่นี่เป็นรีสอร์ตระดับ 4 ดาว (หรือ 4 ดาวครึ่งหนอ จำไม่ได้ค่ะ T.T)
มองออกจากประตูหน้าห้องพักของเราเป็นแบบนี้ค่ะ
มีห้องฟิตเนสเล็กๆ อยู่ติดกับห้องอ่านหนังสือ มี computer ให้บริการเล่นเน็ตได้ฟรีค่ะ
อ้อ ใครที่เอาโน๊ตบุ้คมา ก็มี wi fi เล่นฟรีทั่วรีสอร์ตนะคะ โดยเค้าจะให้ password มาตอนเช็คอินเลยค่ะ
มีห้องประชุมน่าจะ 2 ห้อง จุคนได้เป็นสิบคนอยู่นะ วิวค่อนข้างดีเพราะรีสอร์ต อยู่ริมแม่น้ำแควเลย
เลยมีห้องอาหาร ชมวิวชื่อ เดอะ เทอเรส โดยจะเปิดช่วงสายๆ สั่งอาหารมานั่งทานชมวิว
หรือ มาเอนกาย จิบไวน์ชมพระอาทิตย์ตกก็เลิศซะไม่มี
วาได้ไวน์จากรีสอร์ตด้วย เพราะรวมในแพคเกจ เสียดายที่กินไม่เป็น
เลยแบกไวน์กลับบ้านไปให้แม่แทน T.T
อีกด้านเป็นสระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก มีแต่เด็กๆเล่นกัน
แต่ก็อย่าได้แคร์ วาก็ไปเล่นเหมือนกันค่ะ ให้เด็กๆเค้าขึ้นไปกันก่อน 55555
แล้วก็มีห้องอาหารเล็กๆ ที่เป็นส่วนของอาหารเช้า อยู่ถัดไปค่ะ
รวมๆแล้ว บริเวณก็ไม่กว้างไม่แคบ ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่ามากมาย
แต่ก็รู้สึกอยู่แล้วอบอุ่นดีเหมือนกันนะคะ :)
ที่นี่มีที่จอดรถค่อนข้างกว้างทีเดียวค่ะ แล้วก็มีรถจอดเยอะตลอดเวลา
คือมีแขกเยอะพอสมควรค่ะ ส่วนใหญ่เป็นคนไทย แล้วก็มีชาวต่างชาติด้วยเหมือนกัน
เรียกว่าครึ่งๆเลยค่ะ เท่าที่วาเห็นนะ
เค้ามีจักรยานให้ยืมฟรีด้วยค่ะ เอาไว้ปั่นไปเที่ยวเล่นแถวๆนั้น มีประมาณ 5 คัน
ต้องไปลงชื่อเซ็นเอกสาร ก่อนยืมจักรยานนะคะ คันนึงท่าทางหลายบาทอยู่
แถมกุญแจลอคจักรยาน ถ้าทำหายก็จะคิดเงิน 500 บาทค่ะ กุญแจหายไม่เท่าไหร่
จักรยานหายนี่ซวยเลย -*-
ตอนช่วงเย็น จักรยานจะขายดีมาก เลยต้องเดินเอาค่ะ แวะไปเที่ยว สะพานข้ามแม่น้ำแควซักหน่อย
ภาพความทรงจำเกี่ยวกับสะพานข้ามแม่น้ำแควของวานั้น เลือนลางมาก จนแทบจำไม่ได้ ว่าเคยมาด้วย
วันนี้เห็นคนเยอะมาก ตลอดเวลา เพราะทัวร์ลง คือใกล้จะมืดแล้ว ทัวร์ยังลงอยู่เลย มีอาหารการกินขายมากมาย
วันนั้น มื้อเย็นเลยได้ฝากท้องกับไก่ย่าง ส้มตำ แถวๆนั้นค่ะ
แล้วก็รีบกลับไปชมพระอาทิตย์ตกที่รีสอร์ต มีมุมที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามด้วยค่ะ เลิศมากๆ
วันนั้นเป็นวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นวันสำคัญทางศาสนาวันนึง นั่นก็คือ มาฆบูชาค่ะ
ซึ่งทุกปี วาไม่เคยพลาดการไปทำบุญที่วัด และการไปเวียนเทียนค่ะ ปีนี้ก็ไม่อยากพลาด
เลยพยายามปั่นจักรยานเข้าไปในชุมชน เพราะคนเยอะต้องมีวัดบ้างล่ะ แล้วก็มีจริงๆด้วย
ที่วัดคนเยอะพอสมควรเลย ก็ได้ไปร่วมพิธีกับเค้า ปั่นจักรยานไปซื้อธูปซื้อเทียน
ซื้อดอกไม้กันสนุกสนาน เค้าจัดงานแบบเงียบๆ แต่มีพิธีพอสมควร เพราะวาไม่เคย นั่งสวดนานขนาดนี้เลย
ก่อนที่จะขึ้นไปเวียนเทียน สวดจน 3 ทุ่มกว่าแหน่ะ เลยได้เวียนเทียนกัน คนเยอะใช้ได้เลยค่ะ
รู้สึกอิ่มบุญอย่างบอกไม่ถูก ได้ไปร่วมทำบุญ ผ้าป่า กฐิน อะไรซักอย่างกับเค้าด้วยค่ะ
ถึงโบสถ์ด้านนอกจะดูโทรมๆ แต่ด้านใน สวยมากๆ วาไปยกกล้องถ่ายรูป มีแต่คนมอง >.<~
สาธุ สาธุ แล้วก็ปั่นจักรยานกลับโรงแรม อิ่มบุญ นอนหลับสบายค่ะ
อ่ะๆ เย็นนี้เราเลยจัดการ Welcome Drink กันนิดนึง ^________^
เช้าตื่นมา ก็ไปทานอาหารเช้ากัน อาหารจะมาเป็นเซต เราต้องสั่งจาน main เอานะคะ
ส่วน สลัด ขนมปัง(หลายชนิด) น้ำผลไม้ นม ซีเรียล โยเกิต เป็นบุฟเฟ่ต์เดินไปตักทานได้ตลอด
ซึ่งจานเมนจะเป็น ไข่ดาว(เลือกไข่ได้) เบค่อน ไส้กรอก แนวๆนี้
หรือจะรับเป็นพวก ผัดซีอิ้ว ก๋วยเตี๋ยวผัด หรือข้าวต้ม อะไรก็มีให้เลือกค่ะ
อยู่ 3 คืน กะจะลองให้ครบเลย เลือกเอา ABF มาก่อน เห็นเบค่อนแล้วตกใจมากๆ
ชิ้นใหญ่เว่อร์ๆ เป็นเบค่อนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ เหอๆ
แล้วก็มีผัดซีอิ้ว (มั๊ง) เส้นใหญ่นุ่มมาก ทำไมแถว กรุงเทพ หาเส้นใหญ่นุ่มๆแบบนี้ทานยากจัง
ผัดซีอิ้วก็รสปกตินะคะ ค่อนไปทางจืด ต้องปรุงเอาหน่อย
มีหลายสิ่งรวมๆกัน 3 วันที่ทานก็เกือบครบทุกอย่างเลย อิ่มอร่อยครบ 5 หมู่
ส่วนข้าวต้ม วาได้ลองทานในวันสุดท้าย มาเป็นเซตสวยงามมากๆค่ะ
(โปรดสังเกตุ ชุด จานชามช้อนของที่นี่ ดูเป็นหินๆแปลกตาดีค่ะ แต่ช้อนข้าวต้มใหญ่ไปนิดนะคะ ^^")
ถ้าไม่อิ่มก็สามารถสั่งจาน main เพิ่มได้นะคะ เพราะวันที่วาทานข้าวต้ม
มันรู้สึกยังไม่อิ่ม อยากได้ไข่ดาว เค้าก็จัดมาจานใหญ่รวมไส้กรอกเบค่อนมาเลย เยอะมาก
แต่ก็กินหมดนะ >.< เค้าบอกว่าสั่งเพิ่มได้ เอาให้อิ่มค่ะ
อาหารเช้าที่นี่ใช้ได้เลยค่ะ ทานไป ชมวิวแม่น้ำแควไป เจริญอาหารสุดๆ
อิ่มแล้วก็ง่วงแบบน้องกรวด น้องหมาประจำรีสอร์ทค่ะ
คร่อกกกก ... น่าอิจฉาจังเลย ท่าทาง นอนสบายโนะ
ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นแถวๆนี้สำรวจว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เลยเดินออกจากโรงแรมเรื่อยๆค่ะ วันนี้ฟ้าสวยอากาศดี นั่นหมายถึงอากาศร้อนตับแตกมากกก
ขนาดน้องหมาแถวนั้น ลงไปนั่งกินน้ำในกะลามัง ร้อนจริงๆคับ น้องหมาเตี้ย คอนเฟริม!
พูดถึงหมาเตี้ย แถวนี้น้องหมา size โหลด ขาสั้น หมดทุกตัวเลย 5555 น่ารัก
เดินผ่านมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทัวร์ลงอีกแล้วคนเยอะมากๆเลย
อยากเดินเล่นไปมาเหมือน คนอื่นๆบ้างแต่แดดร้อน และไม่ค่อยขยัน
แถวๆนั้นมีร้านอาหารเยอะเหมือนกันแหะ เป็นแพริมน้ำเลยค่ะ
เหลือบไปเห็น เค้ามีรถไฟเหมือนรถไฟในสวนสนุก วิ่งอยู่บนรางค่ะ
เค้าว่า รถจะวิ่งข้ามสะพานไปฝั่งโน้น แล้วก็กลับมา
ค่าตั๋ว 20 บาท เป็นอีก 1 กิจกรรม จากการรถไฟนี่เอง
อย่าได้รอช้า จ่ายเงิน 20 บาทขึ้นรถไฟน้อยกันดีกว่า ปู๊นๆๆๆๆ ~
รถไฟวิ่งพาเราข้ามสะพานไป แล้วก็เลยไปอีกนิดนึง รถมันป๊องแป๊งแถมวิ่งเร็ว เล่นเอาเสียวท้องแว๊บๆ
ตรงช่วงวิ่งบุกป่า ข้ามไปแล้ว พอไปถึงถนน รถก็ถอยหลังกลับค่ะ ใช้เวลาไม่น่าเกิน 10 นาที เราก็กลับมาลงที่เดิม
ลงจากรถไฟแล้ววาก็เดินข้ามไปทางชุมชน ที่ดูมีร้านค้า ของขายมากมาย
ก็เห็นป้าย พิพิธภัณฑ์สงคราม อยู่ด้านหน้า อย่าได้รอช้า มีที่เที่ยวแล้วค่ะวันนี้
มองแว๊บๆสถานที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ค่าเข้าชม 20 บาทเท่านั้นค่ะ (ต่างชาติ 40 บาท)
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.
ที่นี่จะเป็นทั้ง หอศิลป์ และ พิพิธภัณฑ์สงครามนะคะ
โดยที่เห็นมีจัดแสดงอยู่ ก็คือ สิ่งที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
อันได้แก่ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ โครงกระดูกของเชลยสงคราม และภาพถ่ายเหตุการณ์ในสมัยนั้น
มีรถ มีเครื่องมือ มีเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นมากมาย ให้ได้ชม
ปืนหน้าตาประหลาดมากมาย มีป้ายชื่อบอกเลยนะคะว่านี่ปืนของใคร
มีรูปปั้น และประวัติต่างๆให้อ่านกัน มีข้าวของเครื่องใช้ สมัยนั้นๆให้ได้ชม
ปืน ที่ใช้ในสงคราม เห็นแล้วก็อดหลอนนิดๆไม่ได้ เพราะเครื่องใช้เหล่านั้น ดูเก่า และขลังมากๆ
แถมยังมีตู้บรรจุ กระดูก อยู่ในนั้นด้วย คือคนที่เสียชีวิตในสงคราม บอกตรงๆ มิกล้าถ่ายรูปเลยทีเดียว
นี่รถในสมัยนั้นค่ะ มีรูปปั้นคนขับด้วย หลอนมากกกกก
นอกจากนี้บางส่วนยังจัดทำเป็นหอศิลป์เก็บรวบรวมสิ่งของต่างๆ เช่น แสตมป์ ไปรษณียบัตรโบราณ ซากสัตว์
เพชร พลอย ผ้าไหม และเครื่องประดับ อีกทั้งยังมีรูปวาด นางสาวไทยในอดีต มีครบเลยค่ะ จนถึงปัจจุบันที่คุ้นน้าคุ้นตาดี
ขอชมว่างานวาดรูปต่างๆในพิพิธภัณฑ์นี้ สวยงามมากค่ะ ไม่ใช่เฉพาะแต่ในห้องนี้ ยังมีอีกเยอะเลย
ที่เค้าบอกเล่าเรื่องราวด้วยรูปวาด เค้าวาดรูปได้สวยมากๆเลยค่ะ
อีกทั้งยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยของเรา พระพุทธเจ้า รัชกาลต่างๆ
ข่าวสารบ้านเมือง ระบบราชการ ความเป็นอยู่ของไทย ที่กระจายอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ค่ะ
โดยเฉพาะอันนี้ เค้าทำเหมือนรูปปั้น นูนออกมาจากผนังบางส่วน ตอนมีสงคราม
ดูแล้วได้อารมณ์ (กลัว) เข้าถึงดีค่ะ แหะๆ
ตอนแรกวาคิดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. กับที่นี่ สรุปเวลาผ่านไป 2 ชม.กว่ายังเดินไม่ทั่วเลย
เพลินมากมาย แถมบางช่วงก็ได้เห็นวิว สะพานข้ามแม่น้ำแคว สวยงามอีกด้วย
คุ้มค่า 20 บาทจริงๆค่ะ ใครมีเวลาพอสมควร มาเที่ยวสะพานแม่น้ำแควแล้ว
ลองแวะเดินเล่นที่นี่ดูนะคะ เพลินด้วยได้ความรู้ด้วยจ้า
ลาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไปด้วย รูปปั้นจำลองการสร้างของเชลยค่ะ
ทำงานกัน 24 ชม. ไม่มีการพัก มีแต่ตาย ใครตายก็หามออกไปกองกันไว้ น่าสงสาร T.T
เดินจนเหนื่อยก็กลับที่พัก อาบน้ำ แต่งตัว เตรียมไปทานอาหารเย็นกันที่ คีรี ธารา ค่ะ
เราออกไปราวๆ 2 ทุ่มกว่าๆ ปรากฏว่า ร้านคนเต็มทุกโต๊ะ โห้...อะไรกันนี่
เลยกะว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวมาใหม่ แต่พอกลับห้อง ก็แบบ หิว ไม่ง้อดีกว่า
ปั่นจักรยานไปหาอะไรทานกันที่อื่นดีกว่า ก็จัดการสวมวิญญาณนักปั่นน่องเหล็ก
ปั่นออกไปเรื่อยๆ ก็มืดค่ะไม่มีอะไรขายเลยอ่ะ จนปั่นออกไปถนนใหญ่โน่น ไกลมาก - -"
เลี้ยวซ้าย เลาะถนนใหญ่ไปอีกเรื่อยๆ ก็ไปเจอร้านขายอาหารข้างทาง ที่อยู่รวมๆกัน
มีทั้ง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม อยู่เรียงกัน 3-4 ร้าน โอ้ว สวรรค์! เลยรีบแวะทานข้าวกันทันที
มองไปเห็น 7-11 อยู่ในปั้มน้ำมันฝั่งตรงข้าม แต่นาทีนี้ขอข้าวเลยดีกว่า หิวสุดๆ
เลยได้ต้มยำ กับไข่เจียวมาแก้หิว อิ่มสบายท้องค่ะ
ขากลับทำยังไงล่ะ ข่าวว่าถนนใหญ่มากๆ ไปกลับรถคงไมไหว (- -")
หยิบมือถือขึ้นมาเปิด GPS ก็พบกับทางสว่าง เป็นทางออกไปวัดที่เราไปเวียนเทียนเมื่อคืนพอดี
โชคดีมากที่เป็นทางดิ่งลง ตลอดไม่ต้องปั่นเลยค่ะ สบายขามากๆ
มีรถนำทางเป็นไฟให้เราด้วย 1 คัน เลยกล้าพุ่งตัวกลับมาทางนั้น ไม่งั้นคงมืดมากๆ
กลับถึงรีสอร์ท ถ่ายรูปเล่นแปปนึง หลับเป็นตายเลยอ่ะ (T.T)
วันนี้ได้มีโอกาส ถ่ายรูปที่พัก ตอนกลางคืนกันบ้างค่ะ
โรงแรมนี้ ชื่อว่า ยู อินจันทรี เดิมคือโรงแรม อินจันทรี เฉยๆ แต่ทาง ยู โฮเทล มาเทคโอเว่อร์ (รึเปล่าหนอ?)
เลยใส่ ยู ลงไปด้วย ซึ่ง สัญลักษณ์ประจำของโรงแรมนี้ ที่มีมาตั้งแต่แรกคือ
" ต้นอินจัน " ต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ตรงกลางรีสอร์ทต้นนี้นั่นเองค่ะ
ตื่นเช้ามาอีกวัน วันนี้ตั้งใจจะทำตัวขี้เกียจ เล่นเน็ตแล้วก็นอนเฉยๆ
แต่งหน้าเล่นอยู่ที่ห้อง ไปเล่นน้ำในสระ ว่ากันไป เลยไม่ได้ออกไปไหนเลยค่ะ หลังจากทานอาหารเช้า
มาขยับตัวอีกทีก็บ่ายๆ ที่เกิดหิวขึ้นมา เลยเดินออกมาหน้ารีสอร์ท เป็นร้านอาหาร ตามสั่งของชาวบ้านแถวนั้น
สั่งข้าวผัดกระเพรามากิน โอ้โห..รสชาตใช้ได้เลย 25 บาทอิ่มด้วย อร่อยด้วย
แวะไปถ่ายรูปเล่นที่สะพานแม่น้ำแควแปปนึงก็กลับไปนอนต่อ lazy day จริงๆวันนี้
ตรงสะพาน มีตัวอักษร ตั้งๆอยู่ ดูได้ 2 ด้าน ด้านนึงเขียนว่า W a L L อีกด้านเขียนว่า W a r
มีรถไฟมาพอดี คนวิ่งหลบในคอกเล็กๆตรงสะพาน
ตรงนี้รถไฟจะวิ่งช้ามากกกก เพราะเค้าคงเข้าใจว่า มีนักท่องเที่ยวตรงนี้เยอะ
แล้วข้างหน้าก็เป็น สถานีรถไฟพอดีค่ะ ขบวนนี้เพิ่งกลับจากน้ำตก
ตกเย็นวันนี้ตั้งใจจะไปทานข้าวที่ คีรี ธาราให้ได้ แล้วก็ได้ไปจริงๆ
จะเป็นยังไงนั้น
ตามไปชมได้ที่ Blog นี้ค่ะ >> ร้านอาหาร คีรี ธารา กลับมาถึงที่พักก็มืดแล้วค่ะ อิ่มด้วย แต่เราตั้งใจจะไปชิม ไอศครีมของที่นี่
ที่มีชื่อเก๋ๆ ว่า อินจันทรีไอศครีม (ล่ะมั๊งนะ)
ถ้วยละ 80 บาทค่ะ อร่อยใช้ได้เลย จริงๆไอศครีมก็ธรรมดาค่ะ
แต่ Topping ที่รู้สึกมันเข้ากั๊น เข้ากัน ก็คือ ทองม้วนสด (สีเขียวๆ)
หนึบๆ หวานหน่อยๆ คิดได้ไงหนอ อร่อยจังเลย
เช้าตื่นมาวันนี้ต้องเดินทางกลับแล้ว ทาข้าวเช้าเสร็จก็เก็บของ ออกเดินทางค่ะ
ถ้าเหมาสองแถวออกไปก็ 100 บาทอีก เราไม่รีบและจน
เลยหาวิธีเดินทางโดยไม่พึ่งการเหมารถดีกว่า เลยว่าจะไปรถไฟ
พอไปดูตารางเวลาแล้วก็นั่งรอแล้ว ป้าแถวๆนั้นบอกว่า
มันไม่มาตรงเวลาหรอกนะ บางวันก็เร็ว บางวันก็ช้า อ้าววว
แอบเห็นมีรถไฟสายน้ำตกด้วย แต่ที่รีสอร์ทบอกว่า น้ำแห้งไม่สวย เลยไม่ได้ใช้บริการ
ส่วนรถขากลับน่าจะรอนาน เลยเดินออกไปถนนใหญ่เพื่อไปรอสองแถวราคา 10 บาท ไปที่ขนส่งดีกว่า
รอไม่นาน สองแถวก็มาค่ะ ถูกดี ประหยัดจัง
รถวิ่งผ่าน สุสานทหารสัมพันธมิตร แอบเห็นอยู่ไกลๆบนรถ ไม่รู้ว่านั่งรถมาแปปเดียวแบบนี้
ไม่งั้นวันที่ขี้เกียจๆอยู่ที่ห้อง อาจจะแวะมาถ่ายรูปแล้ว วันนี้ต้องกลับก่อนแล้วจ้า
พอมาถึงสองแถวก็ปล่อยลงในตลาด เดินมั่วๆ ตามคนอื่นไปก็มาเจอขนส่งแล้วค่ะ
หิวขึ้นมาเลยแวะหาก๋วยเตี๋ยวรองท้องหน่อย เจอก๋วยเตี๋ยวหมูมะนาว เลยแวะร้านนี้
พอตักเข้าปากคำแรก สั่งชาม 2 ทันที กลิ่นมะนาวแท้ๆ และรสจัดมากๆ ชอบก๋วยเตี๋ยวแบบนี้ อร่อยจัง
อิ่มแล้ว เดินข้ามไปขึ้นรถตู้กลับสายใต้ใหม่ หลับแปปเดียวก็กลับถึงบ้านเราแล้วจ้า
ทริปนี้เหมือนเปลี่ยนที่นอนเฉยๆ แต่ก็สนุกสนานดี ขอบคุณที่เข้ามาอ่านรีวิววาจ้า
เจอกันใหม่ทริปหน้า บ๊าย บายยยยยยยยยยยย ~
Blog นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Travel Diary 2011 ทริป 2
Blog ที่เกี่ยวข้อง // ร้านอาหาร คีรี ธารา
Create Date : 21 กรกฎาคม 2554 |
Last Update : 21 กรกฎาคม 2554 23:08:52 น. |
|
4 comments
|
Counter : 7202 Pageviews. |
 |
//bestsellerslowprice.com/
แวะมาทักทายกันบ้างนะจ๊ะ