|
รักษาสัตว์มาจนเกือบจะครบ 2 ปีแล้วครับ ... เหนื่อยหลาย
ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ไม่ได้มา up blog กับเค้าเลย พอดีช่วงนี้ค่อนข้างเหนื่อยกับการทำงานพอสมควรหล่ะครับ
ตอนนี้ผมก็ทำงานมาได้เกือบครบ 2 ปีแล้วหล่ะครับ จากเดิมที่เป็นสัตวแพทย์อ่อนหัดไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น แต่ก็แค่ 2 ปีเท่านั้นหล่ะครับ
เจอเคสอะไรแปลกๆ ก็หลายอย่างแล้ว เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น เคล็ดลับเด็ดๆ ก็มีรุ่นพี่แนะนำช่วยสอนให้
เดือนนี้ผมอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย เพราะว่า มีรุ่นพี่เพิ่งลาออกไป รักษากันตัวเป็นลิงเลยหล่ะครับ ยิ่งช่วงนี้ โรคไข้หัดแมวกำลังระบาดเสียด้วย ส่วนลำไส้อักเสบ ในน้องหมา ก็มีมากมายเป็นเทศกาล หลายๆ ตัวก็รอด แต่หลายๆ ตัวก็ไม่รอดครับ ทำใจเลยกับโรคไวรัส
และโรคระบบทางเดินหายใจก็เยอะครับ ยิ่งช่วงนี้สภาพอากาศที่เชียงใหม่ก็มีฝุ่นละอองค่อนข้างมาก แถมอากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลงตอนเช้าเย็นๆ ตอนกลางวันร้อนๆ น้องหมายังไม่สบาย ไอค๊อกไอแค๊กกันมากมายทีเดียว
โรคพยาธิในเม็ดเลือดก็ยังมีบ้างครับ แต่ก็สู้ช่วงหน้าฝนไม่ได้ ช่วงนั้นเห็บเยอะ น้องหมาก็ป่วยกันเยอะ ชุดตรวจโรคพยาธิในเม็ดเลือดจะขายดีมากๆ เลยครับ
เดี๋ยวช่วงสิ้นเดือนก็จะมีน้องๆ นักศึกษาเข้ามาฝึกงานที่โรงพยาบาล เดือนหน้าก็จะมีน้องหมอใหม่เข้ามา เราจากเดิมเป็นน้องเล็ก ก็จะกลายเป็นพี่คนกลาง ช่วยเทรนน้องๆ แล้ว รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูกครับ การจะเทรนน้องคนหนึ่ง ให้มีความสามารถรับเคส คุยกับลูกค้าได้คล่อง ตอบคำถามและรักษาลื่นไหล ใช้เวลาเป็นครึ่งปีหล่ะครับ อย่างตัวผมเอง ผมคิดว่ากว่าผมจะเริ่มเข้าที่เข้าทางก็ใช้เวลาเกือบปี ช่วงแรกๆ ทำลูกค้าพี่เค้าหายไปบ้างเหมือนกัน บางทีเราก็ไม่รู้อะไร ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมอ่ะนะครับ
ไว้มีอะไรจะมาเล่า บอกกล่าวนะครับ แฮ่ๆๆๆๆ 
Create Date : 12 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 12 มีนาคม 2552 2:00:42 น. |
Counter : 2057 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หมอไร้น้ำใจ ไม่รักษาเพราะร้านจะปิด -->> ความเห็นเล็กๆ อีกมุมหนึ่งที่อยากจะบอกครับ
เนื้อหา พอดีไปอ่านๆ เพลินๆ ที่โต๊ะจตุจักร แล้วก็อ่านกระทู้นี้เจอพอดี เป็นกระทู้ที่กล่าวถึงโรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ คลิ๊กที่นี่
ใจจริงผมเองก็อยากจะแสดงความคิดเห็นในอีกมุมมองหนึ่ง เพราะเห็นบางความเห็นแล้ว รู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ครับ แต่ครั้นจะแสดงความเห็นในกระทู้ ก็กลัวจะเป็นปัญหากันได้อีก ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นเล็กๆ ใน blog ของผมน่าจะดีกว่า
ต้องออกตัวนะครับว่า ผมทำงานเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อยในโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ เท่านั้น ก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจจะเหมือนๆ กับคุณหมอคนที่ถูกว่าอยู่นั้นก็ได้
ที่ทำงานผมก็ไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงหรอกครับ และไม่มีนโยบายที่จะเปิด 24 ชั่วโมงด้วย ทีนี้เวลาใกล้ร้านจะปิดแล้ว บางวันมีเคสฉุกเฉินมาก็ต้องรับ ทุกๆ คนก็ทำงานเหมือนๆ กันหล่ะครับ ช่วยเหลือกันไป สำหรับที่ทำงานที่ผมทำ ทั้งหมอที่เหลืออยู่ และผู้ช่วยสัตวแพทย์ทุกคน จะมะรุมมะตุ้มกัน ทำงานเคสชิ้นนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วทุกคนก็จะได้รีบกลับบ้าน
เพราะทุกคนก็ทำงานกันมาตั้งแต่เช้าอ่ะครับ ทำงานกันเฉลี่ยคนละ 10-11 ชั่วโมง/วัน และ 6 วัน/สัปดาห์ คงจะเหนื่อยๆ และ รอเวลาที่จะเลิกงานแล้ว (ไม่มีใครมารอเปลี่ยนกะด้วย)
ความจริงเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องยากที่จะพูดจริงๆ ครับ ในมุมมองของผู้ใช้บริการ เจ้าของสัตว์ย่อมอยากได้รับการบริการที่เต็มที่มากที่สุด ซึ่งบางที การที่เจ้าของมาช่วงเวลาร้านใกล้จะปิด นั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่ลูกค้าอาจจะมองไม่เห็น แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่า ผลตอบรับก็คือ กลายเป็นว่า หมอไม่มีน้ำใจ ใจร้ายใจดำ บางรายถึงสาปแช่งให้ถ้าคนรักเจ็บป่วย ก็ไม่มีหมอมารักษา
ที่ทำงาน หลายๆ แห่ง คงจะเหมือนๆ กัน ไม่ว่าที่ทำงานนั้นจะประกอบธุรกิจอะไร นั่นก็คือ ถ้าหากถึงเวลาใกล้เลิกงานแล้ว ไม่ว่าจะแผนกไหน ก็คงไม่ค่อยอยากจะทำอะไรกันเท่าไหร่ เพราะเตรียมที่จะกลับบ้าน เตรียมจะไปดำเนินชีวิต ตามโปรแกรมที่ตนวางไว้ นัดแฟน ต้องไปรับลูก ไปกินข้าว เหมือนกับสาขาอาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือ บริษัทห้างร้านทั่วๆ ไป
แต่ทีนี้ สถานพยาบาล ไม่เหมือนกับสถานบริการ บริษัหห้างร้านอื่นๆ เพราะว่า ทำงานกับชีวิต มีเกิดแก่เจ็บตาย และมีเคสฉุกเฉิน
โรงพยาบาลสัตว์หลายแห่ง จึงได้แก้ปัญหา เรื่องเวลาเลิกงานของบุคลากร (ในที่นี้ คือทุกๆ คน มิใช่แค่สัตวแพทย์) ด้วยการปิดรับเคส หรือปิดรับบัตร ก่อนเวลาโรงพยาบาลปิดประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อให้หมอและพนักงาน มีเวลาเคลียร์เคสต่างๆ ให้เรียบร้อย และไม่ต้องทำงานล่วงเวลา (ปัญหานี้ จะไม่เกิด ถ้าหากเป็นโรงพยาบาลที่เปิด 24 ชั่วโมง -- แต่ส่วนใหญ่ หมอที่รับเคสนั้นๆ ก็ต้องรับผิดชอบล่วงเวลาไป ตามหน้าที่ของตน)
ทีนี้ ถ้าหากเป็นสถานพยาบาลสัตว์ของเอกชน ส่วนมากถ้าหากไม่มีเคสก็ปิดร้านกันตรงเวลา แต่ถ้าหากว่า มีเคสฉุกเฉิน หรือเคสที่เกี่ยวเนื่องจากเวลางานในปกติ อาทิเช่น ร้านปิด 20.00 น. แต่ลูกค้ามาถึง 19.50 น. ผมเชื่อว่า สัตวแพทย์น้อยรายที่จะปฏิเสธการให้บริการ จะให้บริการอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะต้องล่วงเลยเวลา วันนี้จะต้องกลับบ้าน 21.00 น. ก็ตาม (บางแห่งก็ไม่ใช่ได้ค่าล่วงเวลานะครับ ก็ถือว่าเป็นเรื่องจริยธรรมที่สัตวแพทย์พึงจะต้องช่วยเหลือสัตว์อย่างเต็มที่)
แต่ถ้าหากสัตวแพทย์รายนั้นรู้ว่า เคสนี้สามารถรอได้ และถ้าหากตัดสินใจทำหัตถการ อาจจะใช้เวลาล่วงเลยไปเนินนาน นั่นก็เป็นไปได้ที่สัตวแพทย์ อาจจะเลือกให้รอไปก่อน โดยทำแผลเบื้องต้นให้
ส่วนกรณีลูกค้ารายนั้น มาถึงเวลา 20.05 น. หลังร้านปิด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าบุคลากรส่วนอื่นๆ อาทิเช่น ผู้ช่วยสัตวแพทย์ หรือ ฝ่ายการเงิน จะกลับบ้านไปหมดแล้ว การรักษาย่อมมีอุปสรรค เนื่องจากการตรวจที่ใช้เทคนิคพิเศษต่างๆ (อาทิเช่น X-ray หรือหัตถการต่างๆ) จะไม่มีใครเหลืออยู่ช่วยเลย (แม้ว่าตัวหมอเองอยากจะช่วยก็ตาม) จึงไม่สามารถดำเนินงานได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเทียบกับเวลาปกติ
และเคสที่มีความเฉพาะ มีความยาก อาทิเช่นเคสอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับดวงตาแล้ว อาจจะต้องใช้สัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มาช่วยดำเนินการให้ (เพราะถ้าหากเป็นหมอมือใหม่ บางรายอาจจะยังไม่กล้าที่จะทำหัตถการนี้ด้วยตนเอง และไม่อยากที่จะทำแล้วเกิดปัญหาตามมาก็เป็นได้) จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนัดมาทำในวันรุ่งขึ้น (แต่กรณ๊ลูกตา ที่ผมเคยทำ ก็จะทำให้ตายุบลงก่อน แล้วค่อยเย็บปิด แล้วนัดวันรุ่งขึ้น)
ถ้าหากเจ้าของมีความตั้งใจที่จะให้ดำเนินทำหัตถการนั้นๆ จริงๆ ในวันนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องไปรักษาต่อที่อื่น แต่ถ้าหากว่าสิ่งใดที่สัตวแพทย์นั้นสามารถช่วยเหลือได้ในเบื้องต้น ผมคิดว่าไม่มีสัตวแพทย์คนไหนจะปฏิเสธการรักษาหรอกครับ!!
ผมเห็นหลายๆ คนชอบแสดงความคิดเห็นกระแนะกระแน แล้วรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ -- ทำงานล่วงเวลานิดหน่อยจะตายเลยหรือเปล่า? -->> ไม่มีใครตายหรอกครับ สัตวแพทย์ทำงานล่วงเวลา ก็ทำกันตั้งเยอะแยะ หมอคนที่ถูกว่า อาจจะต้องทำงานล่วงเวลามาหลายครั้งแล้วก็ได้ แต่เนื่องจากปัญหาต่างๆ ตามที่ผมกล่าว จึงทำให้เค้าต้องปฏิเสธเคส หรืออาจจะดำเนินการในวันนั้นยังไม่ได้ (แต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจนะครับว่า สมควรหรือไม่ที่จะปล่อยไป) -- ถ้าไม่รักสัตว์ แล้วจะเรียนสัตวแพทย์ทำไม? -->> คุณคร้าบ ... สัตวแพทย์เรียน 6 ปีนะครับ ถ้าไม่ใจรัก คงไม่ดันทุรังเรียนจนจบ หรือ ถ้าไม่ชอบหมาแมวจริงๆ ก็ไม่ดันทุรังทำงานอย่างนี้หรอกคร้าบ ... สัตวแพทย์มีสายงานให้เลือกทำเยอะมากๆ ทั้งสัตวใหญ่ ฟาร์ม งานด้านสาธารณสุข งานราชการ ส่วนมากคนที่เลือกที่จะทำด้านสัตว์เล็ก (รักษาหมาแมว) ก็จะต้องรักสัตว์ ต้องเจอหน้ากันทุกวัน (แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงาน บุคลากร และอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือ ในเวลาที่ร้านจะปิดด้วย)
ผมก็อยากจะกล่าวแค่นี้หล่ะครับ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ผมเองก็เคยปฏิเสธลูกค้าเหมือนกัน เพราะในเมื่อตนเองไม่พร้อม (เมื่อร้านปิดตอนกลางคืนไปแล้ว) คุณลูกค้าก็อาจจะจำเป็นต้องไปหาที่อื่นๆ ที่เปิด 24 ชั่วโมง และมีความพร้อม(ในช่วงเวลานั้น) มากกว่าอ่ะครับ
แต่เชื่อเถอะครับว่า คนที่เป็นสัตวแพทย์ ถ้าช่วยอะไรได้ก็จะช่วยให้มากที่สุด ตามดุลยพินิจของตนครับ
Create Date : 28 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 3:33:42 น. |
Counter : 1112 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หมอใหม่ทำงานมาได้ครบ 1 ปีพอดิบพอดีแล้วจ้า...
วันที่ 5 เมษายน 2550 เป็นวันแรกที่ผมได้เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ในตำแหน่งนายสัตวแพทย์ ประจำโรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่ง ที่เชียงใหม่ ผมเองก็ค่อนข้างตื่นเต้นมาก จากการเปลี่ยนสถานะจากนิสิตสัตวแพทย์ติ๊งต๊องและดูไม่ค่อยจะมีความรู้กลายมาเป็นสัตวแพทย์ในโรงพยาบาลสัตว์ใหญ่โต และค่อนข้างมีชื่อเสียงมากๆ ซึ่งผมเองก็รู้สึกหวาดหวั่นผวาตั้งแต่ตอนรู้ผลว่า พี่เค้าพิจารณารับผมเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่เกรดเฉลี่ยผมก็ธรรมดาๆ แต่ผมเคยฝึกงานที่นี่ตอนสมัยเรียนมาแล้วถึง 2 ครั้ง ดูพี่ๆ ก็ค่อนข้างแฮปปี้กัน แล้วเห็นว่าปีนี้เค้าอยากจะรับหมอใหม่เป็นผู้ชาย ที่สามารถมาทำงานช่วงกลางคืนได้ด้วย
ผมก็เลยต้องปรับตัวกันขนานใหญ่หล่ะครับ โชคดีที่ได้พี่ๆ ดีๆ น่ารักๆ ที่ช่วยเทรนงานให้ และผมเองก็เป็นพวกครูพักลักจำ ไม่ค่อยชอบจด ไม่ค่อยชอบอ่าน แต่เน้นปฏิบัติเพื่อให้จำได้
ตอนแรกๆ ผมก็โดนจับไปอยู่เป็นหมอประจำ ward คุมห้องน้องหมาป่วยเป็นลำไส้อักเสบ คอยดูและสังเกตพฤติกรรมว่าน้องหมาที่เป็นลำไส้อักเสบ จะมีอาการอย่างไรบ้าง แล้วจะต้องทำการรักษาอย่างไร เพื่อให้รอดได้มากที่สุด

พอน้องหมาลำไส้อักเสบผ่านไป ผมเริ่มได้ลงมาช่วยด้านล่างบ้าง แต่ก็ยังคงไม่อนุญาตให้รับเคสทั่วไปหรอกครับ สิ่งที่ทำได้ก็คือการดูแลน้องหมาใน ward แล้วก็ทำตามงานที่พี่ๆ ได้มอบหมายมา ซึ่งก็จะเป็นการฝึกปรือวิทยายุทธ์ของเราเช่นทักษะการฉีดยา การเจาะเลือด การแทงน้ำเกลือ ฯลฯ มากมายทีเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด หรือการเคอะเขิน เมื่อต้องปฏิบัติจริงต่อหน้าลูกค้า
เคสแรกของผม ... ผมจำได้ว่าได้รับเคสแรก หลังจากทำงานมาได้เกือบ 3 อาทิตย์ น้องหมาชื่อเฉาก๊วย เป็นสุนัขพันธุ์ค๊อกเกอร์สเปเนียล คุณลุงเจ้าของใจดีมากๆ พี่เค้าก็เลยส่งผมไปคุยกับบ้านนี้ก่อน เพราะเคสนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ฉีดยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเท่านั้นเอง ... ง่วยๆ สบายๆ ไม่ต้องใช้ความคิดอะไร
เคสต่อๆ มาที่ผมเริ่มได้รับก็เป็นพวก ล้างแผล ทำแผล ก็เป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะหล่ะครับ ทั้งความรวดเร็ว และที่สำคัญ ต้องใช้อุปกรณ์แบบไม่สิ้นเปลืองด้วย (ตอนสมัยเรียน เปลืองก็โดนว่านิดหน่อย แต่ตอนทำงาน ต้องยึดหลักว่า ใช้ของเท่าที่จำเป็นแต่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด)

เคสที่เริ่มเข้าขั้น advance สำหรับผม ผมเริ่มได้รับตอนช่วงทำงานมาได้ 2 เดือนแล้ว เล่นทำเอาผมหัวหมุนติ้วๆๆ ไปหลายรอบเลยทีเดียว รักษาไปก็เกร็งไป (เพราะทางสัตวแพทยสภายังไม่ได้ส่งใบอนุญาตมาให้ผมเลย) แต่ก็โชคดีอีกนั่นหล่ะครับ ที่ได้รุ่นพี่ช่วยไว้ ... ก็มีไม่ค่อยบ่อยหรอกครับที่ผมจะได้รับเคส advance อย่างนั้น เพราะพี่ๆ เค้าก็กลัวว่าผมจะไม่สามารถ ผมก็เลยจะได้ไปดูแลน้องหมาใน ward เป็นหลักเช่นเคย
พอผ่านพ้นช่วงโปรงาน 3 เดือนแรก หุ หุ เงินเดือนได้เพิ่มมาหน่อยนึงครับ ตามมาด้วยสวัสดิการอย่างประกันสังคม (ที่ทำงานผมเค้าทำให้ -- ผิดกับบางแห่งที่เพื่อนผมทำ ไม่มีประกันสังคมให้นะครับ) เจ้านายให้ไฟเขียว รับเคสได้เต็มเหนี่ยวเลยจ้า ... ก็เลยได้รับกันแบบนัวเนีย สนุกสนานดีครับ เคสไหนที่ advance ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากพี่ๆ เยอะหน่อย
แต่ไปๆ มาๆ เคสที่เคยคิดว่าจะ advance พอเริ่มมีประสบการณ์เข้าซักกะหน่อยก็เริ่มมองลู่ทางการรักษาออกบ้างหล่ะ อย่างน้อยก็อธิบายเจ้าของน้องหมาได้แระว่าอะไรคืออะไร
สิ่งหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาไปด้วยก็คือ ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ครับ เนื่องด้วยที่ทำงานผมมีลูกค้าชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะมากๆ ครับ ตอนสัมภาษณ์งานก็จะมีบางช่วงที่สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ผมเองก็ตอบแบบตะกุกตะกักน่าดูทีเดียว พอเจอเคสฝรั่งส่วนมากเค้าก็จะเริ่มปรับการฟังภาษาอังกฤษสำเนียงแบบไทยๆ กันได้อยู่แล้ว ผมก็เลยได้รักษาแบบค่อนข้างจะลื่นไหลในหลายๆ เคส ... แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดสำหรับบางราย ที่สำเนียงฟังยากมากๆ หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้ด้วย เช่นกลุ่มชาวญี่ปุ่น ซึ่งพี่ๆ เค้าก็จะมีความสามารถในการสื่อสารได้ดีกว่าผม ก็เลยเป็นหน้าที่ของพี่ๆ เค้าไปหล่ะครับ ....

เอาเข้าจริงๆ จังๆ เวลาทำงานก็ต้องสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ หล่ะครับ อย่าง ณ วันนี้ ทำงานมาครบ 1 ปีพอดิบพอดีแล้ว ผมเองก็ยังคงต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย ตอนนี้ก็เป็นหมอ med ทั่วไปวิ่งอยู่ข้างล่างไปก่อน (เพราะยังไม่สามารถทำงานด้านศัลยกรรมได้ -- หากยังทำงานได้ไม่ครบ 2 ปี) ที่ทำงานผมก็ถือว่ามีอะไรให้เห็นเยอะมากๆ ทีเดียว สนุกสนานดีครับ
ปีๆ นึงนี่ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะ ...
Create Date : 05 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 5 เมษายน 2551 1:37:07 น. |
Counter : 893 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|