รวมมิตรเรื่องท่องเที่ยว และ สายการบิน
Group Blog
 
All Blogs
 

และแล้ว ผมก็ก้าวสู่วัยเบญจเพส .... แป๊บเดียวเองเนอะ

วันนี้ วันแม่แห่งชาติ 2551
นอกจากจะเป็นวันที่ลูกๆ ควรจะต้องระลึกถึงพระคุณของแม่(เป็นพิเศษ)
แล้ว วันนี้เมื่อ 25 ปีก่อน ก็เป็นวันที่คุณแม่เจ็บเพื่อผม ให้ผมคลอดออกมา
ยิ่งเป็นการคลอดแบบผ่าคลอดด้วย ยิ่งเจ็บครับ

ผ่านไปแป๊บเดียว
จากเด็กน้อย เรียนประถม มัธยม
แป๊บเดียวเอง ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า อ่าว เรียนจบมหาลัย
แถมทำงานได้ปีกว่าๆ แล้วด้วย

รู้สึกตัวอีกแล้ว อ่าว นี่อายุ 25 แล้วเหรอนี่
โค-ตะ-ระ แก่เลยวุ้ย วัยเบญจเพสแล้ว
ต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตตัวเองดีๆ
ยิ่งชอบขับรถเร็ว พ่อ-แม่ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง แถมกลับบ้านค่ำมืดตลอด
ต้องดูแลตัวเองดีๆ คิดถึงคนที่บ้านให้มากๆ

ตอนสมัยเรียน จะรู้สึกดีใจมากๆ
ที่วันเกิด หลายๆ คนจะจำได้ เพราะตรงกับวันแม่แห่งชาติพอดี
แถมจะได้เป็นวันหยุดด้วย หยุดทุกปีเลย
บ้านผมก็จะไปเที่ยวนอกบ้านกัน คุณพ่อก็จะขับรถพาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่
และผมก็จะต้องหาของขวัญให้แม่

ตั้งแต่ปีที่แล้ว วันแม่แห่งชาติ ไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์สำหรับผมอีกต่อไป
เพราะวันนี้ แม้จะเป็นวันเกิด ก็ต้องทำงานเหมือนวันอื่นๆ
แต่สิ่งที่จะทำได้ ก็คือการระลึกถึงพระคุณแม่(ให้มากกว่าวันอื่นๆ)
แล้วก็พาแม่ไปทานข้าวนอกบ้าน (หลังเลิกงานตั้ง 2 ทุ่ม)

ที่ติดไว้ก็คือ จะต้องพาแม่ไปเที่ยว
แม้ว่าวันแม่จะไม่ได้ไปเที่ยว แต่ติดไว้ก่อน
ได้วันหยุดไปเที่ยวปีนัง-มะละกาด้วยกัน เดือนตุลาคม
พาพ่อ-แม่เที่ยว ก็น่าจะโอเคแล้วหล่ะเนอะ ....

วันอื่นๆ ก็รักแม่ครับ แต่วันนี้เป็นวันที่รักและต้องระลึกถึงมากที่สุด
วันแม่แห่งชาติ จึงเป็นวันที่สำคัญมากที่สุด
เพราะเป็นวันที่แม่เจ็บเพื่อผมพอดีนั่นเอง

ผมรักแม่ครับ




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2551    
Last Update : 12 สิงหาคม 2551 1:51:39 น.
Counter : 2200 Pageviews.  

ใกล้วัยเบญจเพสไปอีก 1 ปี : ปีแรกที่ไม่ได้หยุดในวันเกิดตัวเอง (^___^)

สวัสดีครับ ตอนนี้ก็เที่ยงคืน เข้าวันใหม่ วันแม่แห่งชาติ 2550 ... นอกจากวันนี้จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถแล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญคุณแม่ทุกๆ ท่าน ที่ลูกๆ ควรจะให้ความสำคัญ (มากกว่าวันอื่นๆ อีกด้วยครับ)

ปกติตัวผมเอง วันแม่ซึ่งวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็จะได้หยุด ได้อยู่กับแม่ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เข้าสู่วัยทำงาน ที่ต้องทำงานตั้งแต่เช้าเหมือนวันปกติทั่วๆ ไปตามประสามนุษย์เงินเดือน

อ่าว ... ปกติวันเกิดผม ก็จะต้องได้หยุดทุกครั้งไป แต่คราวนี้ไม่ได้หยุดแฮะ .... ปีนี้ก็กำลังจ่อวัยเบญจเพสแล้วนี่เนอะ ว่าไปเวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนเกิน ยังบอกว่าตัวเองอายุแค่ 20 ต้นๆ จะเริ่มเข้าสู่ 20 ตอนกลางซะแล้ว ....

ปีนี้ก็กะว่าจะต้องตั้งใจทำงาน เก็บตังค์ให้เยอะๆ ไว้ใช้เป็นทุนในอนาคต

ตอนเช้ากะว่าจะไหว้แม่ก่อนไปทำงาน ของขวัญก็คงจะไม่มีอะไร เพราะเลิกงานก็ 2 ทุ่มแล้วห้างปิด เอาเป็นว่าทำดีให้แม่เห็น รักแม่ให้สุดหัวใจ ให้ท่านรู้ว่าเรารักท่านเสมอ ทุกวัน ไม่เว้นวันแม่(หรือวันเกิดของผม) นั่นเอง .....

สุขสันต์วันแม่ครับ




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2550    
Last Update : 12 สิงหาคม 2550 0:24:43 น.
Counter : 674 Pageviews.  

เคสแรกของผม .... และครั้งแรกของผม

เคสแรกของผม แบบไม่ได้ตั้งใจ.....

ตามที่ผมเคยได้เกริ่นๆ ไว้ในตอนที่แล้วว่า เนื่องด้วยผมยังเป็นหมอน้องใหม่ (ตอนนี้ใบอนุมัติปริญญาบัตร และกำหนดการรับพระราชทานปริญญาบัตรออกแล้วนะครับ วันที่ 24 กรกฎาคม 2550) ..... พี่หมอเจ้าของก็เลยยังไม่ให้ผมไปรับเคสอะไรมากมายนัก โดยผมก็จะดูแลน้องหมาที่ admit อยูใน ward มากกว่า ถ้าจะรับก็เป็นแบบทำวัคซีน, ฉีดยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ และ ถ่ายพยาธิเสียมากกว่า

OPD ถูกส่งมาจากเคาน์เตอร์ด้านหน้า .... ระบุว่า เป็นน้องฝ้าย ที่คุณหมอได้นัดให้มาตรวจแผล แล้วก็ทำแผลใหม่ ... ผมนั่งคิดอยู่แป๊บนึง อ้อ น้องฝ้ายตัวนั้น ตัวที่มีประวัติอันโชกโชนรอดแล้วมา 9 ชีวิต เคยมาผ่าตัดมดลูกอักเสบเป็นหนอง แล้วก็ถูกรถชนมา 2 ครั้ง คราวนี้ที่มาคือมาทำแผลที่เกิดขึ้นจากการถูกชนครั้งที่ 2

เจ้าฝ้ายอายุ 14 ปีแล้วหล่ะครับ ก็นับว่าเป็นน้องหมาแก่ทีเดียวเชียว เจ้าของเองบอกว่า เคยเป็นหมาข้างบ้านมาก่อน พอเจ้าของย้ายบ้านไปก็ไม่ยอมเอาหมาไปด้วย ก็เลยได้มารับเลี้ยง .... ที่สำคัญชอบกินตับมากๆ อาหารเม็ด อาหารกระป๋องก็ไม่ยอมกิน แต่ถ้าเป็นข้าวคลุกตับหล่ะกินไม่เคยมีเหลือเลย



ตอนแรกก็นึกว่าล้างแผลปกติทั่วๆ ไป แต่วันนี้น้องมาด้วยอาการท้องเสีย นอนหมดเรี่ยวแรงมาแล้ว แล้วก็หอบหายใจ เหงือกซีดเซียวด้วเพราะยอมทานอะไรเลย ก็เลยได้ให้น้ำเกลือให้ยา แต่ดูท่าทางอาการจะย่ำแย่จริงๆ แฮะ ก็เลยให้ฝากเพื่อดูอาการไว้ก่อน ..... เท่าที่ตรวจร่างกายดูมีปัญหาหลายอย่างรุมเร้าหลายระบบรวมๆ กัน .... ก็พยายามรักษาอย่างเต็มที่ ภายใต้คำแนะนำจากพี่หมอท่านอื่นๆ ร่วมกันด้วย ด้วยความที่อาการค่อนข้างหนักมากและไม่ตอบสนองต่อยาด้วย น้องฝ้ายก็ทนไม่ไหว เสียในคืนวันนั้นครับ (แต่ผมคิดเสมอว่า ถ้าเราได้ทำอะไรอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นก็จะไม่เสียใจ)

ครั้งแรกของผม......กับการ put to sleep

คำว่า put to sleep ไม่มีสัตวแพทย์คนไนไม่รู้จัก และเชื่อว่าไม่มีใครอยากจะทำแน่นอน เพราะไม่มีใครรู้สึกดีด้วยซักคน ไม่ว่าจะเป็นหมอเอง ซึ่งอยากจะรักษาให้ถึงที่สุด และตัวเจ้าของเอง ที่ของของใครก็รักและผูกพัน

ผมเกริ่นมาขนาดนี้ คงจะไม่ต้องแปลหล่ะนะครับว่า put to sleep คืออะไร แต่ถ้าหากว่าการรักษาต่อไปอาจจะช่วยยื้อชีวิตของเขาไปได้ต่อไปอีก อาจจะไม่นานมาก แต่เขาจะต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาณ เจ้าของหลายรายก็เลือกที่จะให้น้องเขาได้หลับไปอย่างสบาย เพื่อที่น้องจะได้ไม่ทรมาณ

แต่ย้ำนะครับว่า ไม่มีสัตวแพทย์คนไหนอยากจะทำหรอกครับ แต่ในเมื่อเจ้าของยืนยันที่จะให้ทำ (เจ้าของเองก็ยืนยันทั้งน้ำตาเช่นกัน) เราก็จำเป็นที่จะต้องทำ

ครั้งแรกของผม ... เรื่องมีอยู่ว่า .....
เช้าวันหนึ่ง ปกติโรงพยาบาลเปิด 9 โมง แต่ก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่ง อุ้มสุนัขพันธุ์ค๊อกเกอร์มาตั้งแต่เช้า ตอน 8.30 น. ซึ่งเวลานั้น ก็จะมีแต่ผมที่จะต้องเฝ้าดูในช่วงเวลานั้น น้องค๊อกเกอร์มีอาการหอบหายใจ แล้วก็ซีดมากกก ก็เลยพาเข้าห้อง ให้น้ำเกลือแล้วก็ซักประวัติกันก่อน



เมื่อซักประวัติก็พบว่า เป็นค๊อกเกอร์อายุ 11 ปีแล้ว เมื่อสองวันก่อน น้องหมาไปเจอฝน (ที่ตกหนักกันทุกวันในช่วงเวลานี้) พี่เจ้าของก็เลยรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัว แต่น้องก็เริ่มหอบ วันต่อมาก็ไม่ทานอาหาร เจ้าของพยายามป้อนนมแต่ก็อาเจียน เช้าวันนี้ก็เลยมาเพราะอาการซีด ..... ก็เลยได้บอกเจ้าของว่าขอให้ฝากไว้ดูอาการ เดี๋ยวช่วงเย็นก็ค่อยแวะมารับกลับบ้านก็ได้ ถ้ามีอะไรจะโทรไปแจ้งให้ทราบครับ

เปิดปากดู โห... ปากเหม็นได้ใจทีเดียวแฮะ ส่วนหนึ่งก็น่าจะเรื่องหินปูน แต่พอเช็ดๆ ถูๆ ดู รู้สึกว่าเหมือนกลิ่นมาจากข้างในเลย พอฟังปอดดูก็รู้สึกว่าปอดชื้นหน่อยๆๆ แล้วก็ให้ยาไป .... แต่ดูอาการหอบก็ยังไม่หายไป แม้ว่าเหงือกจะเริ่มชมพูขึ้นก็ตาม ก็เลยพาไป x-ray แค่พาไป x-ray ลงมาลิ้นม่วงเลย ก็ต้องให้ดมออกซิเจนกันอีกจนกระทั่งเหงือกและเยื่อเมือกเป็นสีชมพูขึ้นมา

เมื่อเห็นฟีล์ม แม่เจ้า .... ตั้งแต่เรียนมา ยังไม่เคยเจอสุนัขตัวไหนที่หัวใจโตเท่านี้มาก่อนเลย แถมปอดก็ดูแย่มากๆ ทีเดียว พื้นที่แลกเปลี่ยนก๊าซดูท่าจะเหลือไม่ถึง 20% ถึงว่าหล่ะได้หอบหายใจ ....




จากฟีล์ม x-ray จะเห็นได้ว่าหัวใจมีขนาดโตมากๆ จากค่ามาตรฐานที่ไม่เกิน 10.5 แต่ตัวนี้วัดได้ถึง 14 และพื้นที่แลกเปลี่ยนก๊าซของปอดที่น้อยมากๆ โดยพื้นที่ปอดปกติจะต้องเป็นสีดำ (อากาศ) แต่ในฟีล์ม พื้นที่ปอดส่วนใหญ่เป็นสีขาว แสดงว่ามีของเหลวสะสมอยู่ภายในถุงลม หรือมีการอักเสบของปอด แน่นอนว่าการแลกเปลี่ยนก๊าซในพื้นที่ส่วนนั้นทำได้ไม่ดีแน่ๆ ส่วนพื้นที่ที่ทำได้ดี มีเพียงแค่ 20% อยู่ทางด้านซ้ายด้านหน้าของหัวใจที่มีสีดำๆ ....

ได้รายงานให้เจ้าของทราบเรียบร้อย ในช่วงเย็นพี่เจ้าของก็มา ก็เลยได้อธิบายฟีล์ม x-ray ให้เข้าใจกัน ผมรู้สึกเห็นใจพี่เจ้าของมาก พี่เจ้าของบอกว่ารู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรซักอย่าง .... แต่การที่หัวใจจะโตขึ้นมาได้ ไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวัน แต่เป็นมานานแล้ว ... เนื่องด้วยสุนัขพันธุ์คอกเกอร์ เป็นน้องหมาที่อึดมากกก ถ้าไม่เจ็บจริง ไม่หนักจริงๆ เขาจะไม่แสดงอาการออกมาเลย (จากประวัติ OPD เห็นว่า พี่เขาพามารักษาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 48 จากนั้นวัคซีนพิษสุนัขบ้าก็มีคนมาฉีดที่บ้านตลอด)

แล้วก็บอกแนวทางการรักษาให้กับพี่เจ้าของ โดยถ้าเลือกที่จะรักษาก็ต้องรักษาเรื่องปอดให้ดีขึ้นก่อน แล้วจึงจะเริ่มรักษาเรื่องโรคหัวใจ ซึ่งก็จะต่อชีวิตของน้องเขาไปได้อีก อย่างน้อยก็ 6-8 เดือน แต่ถ้าไม่รักษาต่ออาการก็น่าจะย่ำแย่มากทีเดียว อาจจะไม่รอดในไม่กี่วันนี้ พี่เจ้าของก็เลยคิดถึงเรื่องให้น้องเขาหลับเพื่อที่จะไม่ได้ทุกข์ทรมาณ

ผมก็ได้ย้ำถามว่าคิดพิจารณาตัดสินใจดีแล้วหรือครับ เจ้าของยืนยัน บอกว่าได้คุยกันแล้วว่า ถ้าน้องเขาทรมาณให้น้องเขาหลับไปดีกว่า มองตาน้องเขาก็รู้ใจกันแล้ว หลังจากทีเตรียมยาเสร็จ พาน้องเขาเข้าห้องแล้ว ก็ถามพี่เจ้าของอีกครั้งว่า ยืนยันที่จะทำอย่างนี้จริงๆ นะครับ

ผมเริ่มให้ยาแบบขนลุกไปทั้งตัว เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมต้องทำอะไรแบบนี้ (แต่เชื่อว่าสัตวแพทย์ทุกคนก็ต้องได้ทำแบบนี้ แม้ว่าใจไม่อยากจะทำก็ตาม) เพียงไม่นานหัวใจของน้องก็หยุดเต้นลง ทำการเช็คฟังหัวใจอีกครั้งหนึ่ง จนแน่ใจว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว

ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ การทำงานทำให้เราได้โตขึ้นจริงๆ ด้วยหล่ะครับ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2550 0:00:12 น.
Counter : 2320 Pageviews.  

++ 1 เดือนแรกกับหมอสัตว์คนใหม่ ++

แป๊บๆ เดียวก็ทำงานมาได้ครบ 1 เดือนแล้วเนอะ กับงานสัตวแพทย์ ที่โรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่

ความเป็นมา
เริ่มแรกผมเคยมาฝึกงานที่นี่ก่อน 2 ครั้งตอนช่วง summer กำลังจะขึ้นปี 6 แล้วก็ปิดเทอมเดือนตุลาคม ผมเองรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่บรรยากาศในการทำงานถือว่าค่อนข้างดีมาก เมื่อเทียบกับหลายๆ ที่ที่ผมเคยประสบมา สิ่งที่สำคัญมาก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ช่วยสัตวแพทย์ กับหมอใหม่ หรือน้องหมอนิสิตที่มาฝึกงาน บางแห่งเข้าไปพี่ๆ เขาอาจจะไซโค หรือให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (เรียกง่ายๆ ว่า first impression ไม่ค่อยดี) แต่ที่นี่ผมรู้สึกค่อนข้างดีมาก อีกทั้งพี่หมอเจ้าของ ก็เป็นรุ่นพี่ที่จบจากสถาบันเดียวกันอีกด้วย จึงคิดว่า การทำงานน่าจะราบรื่นกว่า การทำงานร่วมกับเจ้านายที่ "อยู่คนละสี" กัน (คือส่วนตัวผมเองไม่มีปัญหาครับ แต่ปัญหาที่รุ่นพี่หลายคนประสบคือ ปัญหาเรื่อง "สี" ในที่ทำงาน) ส่วนพี่ๆ หมอที่จบจาก มช. ก็เป็นมิตรน่ารักดีทุกๆ คนครับ

ตอนฝึกงานครั้งที่ 2 เดือนตุลาคม 2549 ผมก็ได้รับใบสมัครงานมาครับ ผมก็จึงเลือกสมัครงานที่นี่ด้วย จริงๆ ผมก็หวังอยากจะได้ร่วมงานที่นี่แหล่ะครับ ผมจึงไปสมัครงานแบบเหวี่ยงไปทั่ว เพื่อหาประสบการณ์การสัมภาษณ์งาน เวลามาสัมภาษณ์ที่นี่จริงจะได้ไม่รู้สึกประหม่านัก

แต่ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังครับ เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่า ที่นี่น่าจะต้องการคนที่มีความสมบูรณ์แบบ ทั้งด้านการใช้ภาษาอังกฤษ(เพราะลูกค้าชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะ) และด้านวิชาการ (หมายถึงเกรดเฉลี่ยที่จบมา) ซึ่งถ้าต้องการทั้ง 2 อย่างนี้ ผมเองก็คงจะหลุดโผคนแรกหรอกครับ เพราะภาษาอังกฤษผมก็ไม่ได้ดีอะไร ส่วนด้านวิชาการเลิกคิดไปเลยครับ เพราะผมก็จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยแค่ 2.54 เท่านั้นเอง (เรียนๆ เที่ยวๆ ก็เป็นเช่นนี้แล)

แต่ตอนที่ผมฝึกงาน ผมมาทุกวันไม่มีวันหยุด อยู่เลิก 2 ทุ่มทุกวัน เลยอาจจะเข้าสเปคพี่หมอเจ้าของว่า ต้องการคนที่ขยันขันแข็ง ทำงานอึดถึกทน สะดวกมาทำงานช่วงกลางคืนได้ เพราะบ้านผมก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาล แค่ขับรถ 10-15 นาทีเท่านั้นครับ (3 แยกไฟแดง)

ตอนสัมภาษณ์งาน ผมยังจำได้แม่นเลย วันที่ 7 ธันวาคม 2549 ผมก็แต่งตัวดูดีผิดหูผิดตาเข้าไป ใครๆ ก็เหวอ เพราะปกติตอนมาฝึกงาน ผมก็จะสวมชุด med น้ำเงินของคณะทุกครั้ง แต่คราวนี้ผูกไท้มาด้วยแฮะ .... พี่หมอเจ้าของก็เรียกเข้าไปพูดคุย สัมภาษณ์ตามปกติแหล่ะครับ แต่ทีเด็ดอยู่ที่ช่วงสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ที่ผมเองรู้สึกว่า ผมทำได้ไม่ดีเลยแฮะ ตะกุกตะกัก ทะแม่งๆ แหม่งๆ มั่วๆ ยังไงไม่รู้ จนผมถอดใจไปแล้วหล่ะครับว่า คงไม่ได้งานที่นี่แหง๋ๆ แทบจะลงมาโบกมือบ้ายบาย พี่หมอเลยหล่ะครับ

แต่แล้ว วันที่ 6 มกราคม 2550 พี่หมอเจ้าของก็โทรมาแจ้งผลการสัมภาษณ์ ว่าผมผ่านการสัมภาษณ์ให้รีบมาทำสัญญาด่วน... ผมก็เหวอสิครับ ไม่คิดว่าจะได้ เพราะเห็นเพื่อนๆ มช. หลายๆ คนก็คุณสมบัติดีกันทั้งนั้นเลย หลายๆ คนก็น่ารัก น่าจะเข้าตากรรมการมากกว่าผม ผมเลยขอเวลานอนก่ายหน้าผากคิดไป 3 วัน เพราะเพิ่งสมัครสอบ MBA ไปหมาดๆ แต่ผมก็ตัดสินใจเลือกที่จะทำงาน เพราะว่า....

ด้วยความที่ผมไม่คาดหวังว่าจะได้ที่นี่แหล่ะครับ จากการที่ผมคิดว่า ผมอาจจะไม่ดีพอสำหรับที่นี่ แต่เมื่อพี่หมอเจ้าของได้ให้โอกาสให้ผมได้เข้ามาร่วมงานที่นี่ ผมเองก็จะต้องแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่เช่นกัน ... ผมจึงรีบบินมาเซ็นต์สัญญาในวันที่ 14 มกราคม 2550 (ถ้าไม่รีบมาพี่เขาก็จะเรียกคนอื่นแล้วแหล่ะ)

สัญญางานก็ 2 ปีครับ หมดกลางปี 2552 แล้วจะได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ (ถ้าทำงานได้ดี) แต่ยังไงก็ต้องผ่านช่วงโปรงาน 3 เดือนแรกไปก่อน (เหมือนๆ กันทุกที่) ลักษณะงานก็เหมือนๆ กันทุกที่ครับ คือทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน วันหยุดเป็นวันธรรมดา ที่ไม่ตรงกับเสาร์-อาทิตย์ มีวันหยุดพิเศษประจำปีตามราชการ 13 วัน ส่วนรายได้ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับผม แม้ว่าอาจจะไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับชั่วโมงที่ทำงาน/วัน แต่อย่างน้อยผมก็แทบจะไม่ต้องใช้เงินเดือนเลย เพราะที่นอนก็อยู่บ้านตัวเอง รถก็รถคันเก่าของที่บ้าน ข้าวก็กินที่บ้าน แถมๆ บางวันคุณพ่อจะควักสตางค์ให้แบบตอนเด็กๆ เสียอีก (ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธ แฮ่!! )

หมอน้องใหม่ไฟแรงสูง
ผมเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนครับ จริงๆ ตามสัญญาคือ 16 เมษายน แต่ยังไงเราเป็นน้องใหม่ก็ต้องไปฝึกงาน เรียนรู้งานเพื่อให้คล่องแคล่ว คล่องตัวก่อน แม้ว่าผมจะเคยไปฝึกงานที่นี่มาแล้ว 2 ครั้งก็ตาม (รวมเวลาก็เดือนกว่าๆ พอดี)

น้องหมอใหม่อย่างผม ก็ยังคงทำอะไรมากไม่ได้หรอกครับ
งานส่วนใหญ่ก็จะเป็นงาน backup ให้กับพี่ๆ หมอคนอื่นๆ มากกว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถรับ case ไปรักษาเองได้ จนกว่าจะฝึกปรือวิทยายุทธ์ จนกระทั่ง มีความมั่นใจว่า จะไม่ไปออกทะเล ออกอ่าว (แล้วเรือล่ม) หรือไปทำอะไรเปิ่นๆ ต่อหน้าเจ้าของเคส เจาะเลือดครั้งเดียวได้แม้ว่าสัตว์จะเป็นยังไง ซีดเซียวเส้นเลือดแฟบๆ ก็ตาม

ตอนนี้ผมก็เลยเป็นหมอคุม ward ไปพลางๆ ขำๆ ไปก่อน ซึ่งก็ดูแลน้องหมา น้องแมวที่มา admit ไว้ ให้ยา ให้น้ำเกลือ เจาะเลือด ส่งเคสคืนเจ้าของ พาเจ้าของเยี่ยมสัตว์ ประมาณนี้ครับ ถ้าพี่ๆ เค้าให้ช่วยทำอะไรก็จัดให้ได้เสมอ จนกว่าจะผ่านช่วงโปรฯ ฝึกวิทยายุทธ์จนกรรมการให้ไฟเขียว แล้วก็จะเริ่มรับเคสได้แล้วหล่ะครับ อีกทั้งเคสที่มาที่นี่ ก็มีไม่น้อยครับ ที่เป็นเคสระดับหนัก .... คือมาแบบหนักแล้ว อาการครุมเครือหลายๆ ระบบ ซึ่งน้องหมอจบใหม่อ่อนประสบการณ์อย่างผม อาจจะต้องมึนหนักทีเดียว

อีกอย่างหนึ่ง หน้าที่หมอใหม่ของผม ตำแหน่งที่เปิดขึ้นมาใหม่นี้ จะต้องดูแลน้องหมา น้องแมวภาคกลางคืนด้วยครับ ในช่วงหลังโรงพยาบาลปิดเวลา 20.00 น. ถ้ากรณีมีน้องหมาน้องแมว ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่นอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง หรือ น้องหมาน้องแมวที่มาฝากคลอด ก็จะได้อยู่ยาว ค้างคืนด้วยหล่ะครับ แต่ถ้าสภาพการณ์ราบรื่น ก็จะได้กลับบ้านพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าก็กลับมาทำงานใหม่

งานโดยรวมก็สนุกสนานดีครับ พี่ๆ หมอ พี่ๆ ผู้ช่วยสัตวแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ต่างเป็นมิตรมากๆ อารมณ์เหมือนกลับมาฝึกงานอีกครั้ง แต่เราได้ทำอะไรมากขึ้น ต้องมีความรับผิดชอบสูงขึ้นมาก และจะทำอะไรพลาดก็ไม่ดีนัก

เงินเดือนเดือนแรกของผม......
ตอนสิ้นเดือนที่ผ่านมา ผมก็ได้เห็นเงินเดือนเดือนแรกในชีวิตแล้วหล่ะครับ ภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คนที่รู้สึกว่าดีใจกว่าผม ก็คงจะเป็น คุณพ่อ-คุณแม่ของผม หน่ะครับ ที่ได้เห็นว่าลูกตัวเองมีเงินเดือนซะที หาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ความจริงผมก็จะยกให้พ่อ-แม่ หล่ะครับ แต่ท่านไม่เอา ให้ไปเข้าธนาคารเก็บเงินไว้แทน ไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

ไปดูดีกว่าว่าวันๆ หนึ่งผมต้องทำอะไรบ้าง
พามาดูการทำงานของผมหน่อยดีกว่า แน่นอนว่า ก็จะต้องมีภาพประกอบด้วย แฮ่ๆๆๆ แต่ผมคงไม่ขอเอ่ยชื่อโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่นะครับ ผมคิดว่า ถ้าหากท่านใดที่เคยมาใช้บริการ อาจจะนึกออก ว่าเป็นที่ไหน เพราะโรงพยาบาลสัตว์ในเชียงใหม่ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็มีอยู่ไม่กี่แห่งหน่ะครับ

งานของผมเริ่ม 8.15 น. (โรงพยาบาลเปิด 9.00 น.) ต้องรีบขับรถด่วนจี๋มาตอกบัตรเข้างานให้ทันครับ เมื่อตอกบัตรเสร็จก็ดูความเรียบร้อยของ ward ก่อน ดูว่าน้องหมาน้องแมว เป็นยังไงกันบ้าง ตัวไหนน้ำเกลือหมด หรือน้ำเกลือไม่ไหลก็มาจัดการให้เรียบร้อยก่อน ส่วนหน้าที่การทำความสะอาด ward ก็ขอให้พี่ๆ แม่บ้านเข้ามาช่วย เอากรงไปล้าง เปลี่ยนวัสดุปูรองในกรง

จากนั้นผมจึงจะได้เริ่มเข้าไปบุกในห้องทำงาน ความจริงก็คือห้องยาครับ แต่ห้องนี้ หมอจะใช้เขียน OPD เข้ามานั่งคุยปรึกษาหารือกัน ยาต่างๆ ทั้งยาฉีด ยากินก็เก็บที่นี่

ก็พลิก OPD ของน้องหมา น้องแมวที่มา admit กันก่อนว่า วันนี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง เช่นให้ยา หรือทำแผล ฯลฯ บ้าง



เมื่อไปจัดการกับเรื่องน้ำเกลือเรียบร้อย ระหว่างรอพี่ๆ ผู้ช่วยก็ให้อาหารน้องหมาไปก่อน อาหารก็จะมีหลายแบบ สำหรับน้องหมาป่วย ที่มีความแตกต่างกัน อย่างอาหารเม็ดเฉยๆ, อาหารเม็ดคลุกอาหารกระป๋อง, อาหารกระป๋องที่แบ่งตามโรคระบบต่างๆ อาทิเช่น อาหารที่ช่วยฟื้นฟูระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น

อย่างในภาพก็จะเห็นว่า มีอาหารเหลวด้วย ก็เกิดจากการนำอาหารกระป๋องไปปั่นจนละเอียด เพื่อใช้ไซริงค์ป้อนให้กับน้องหมา ที่ไม่สามารถทานอาหารเองได้ครับ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือน้ำดื่มก็เตรียมไปให้เพียงพอ เพราะปกติจะไม่วางถ้วยน้ำไว้ในกรง เพราะน้องหมาน้องแมวจะชอบทำถ้วยน้ำหกรถตัวเองครับ ส่วนตัวที่ให้น้ำเกลืออยู่ ก็จะดูอาการกันไป กรณีที่ตัวไหนมีอาการอาเจียนออกมาก็ยังไม่เริ่มให้อาหาร แต่ถ้าตัวไหนไม่มีอาการอาเจียนแล้ว ก็จะเริ่มลองๆ ให้อาหารก่อน ทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเริ่มทานแล้วก็ดูอาการว่า มีอาการอาเจียนอีกหรือไม่ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณอาหาร



ถ้าช่วงไหนที่มีน้องหมาน้องแมวเข้ามา admit จำนวนมาก ก็ต้องช่วยๆ กัน แบ่งให้พี่ๆ ผู้ช่วยไปให้อาหาร มาช่วยป้อนอาหารบ้าง ส่วนเรื่องการให้ยา เรื่องการให้น้ำเกลือ ก็ต้องเป็นเรื่องของผมมาดำเนินการ แต่พี่หมอก็จะเข้ามาช่วยด้วย กรณีที่จะมีการตรวจอะไรเพิ่มเติม ถ้าช่วงไหนที่ยังไม่มีเคสใหม่เข้ามาในร้าน ห้องตรวจยังว่าง ก็จะพาน้องหมาเข้าไปตรวจในห้องตรวจ บันทึกข้อมูลลงในบัตร OPD ให้เรียบร้อย

ไปดูน้องหมาใน ward กัน
ช่วงนี้ก็มีน้องหมาไซบีเรียน ชื่อ "จาจา" ด้วยความที่เธอเพิ่งจะมีท้องครั้งแรก เจ้าของก็กลัวว่าจะดูแลน้องหมาได้ไม่ดี ก็เลยมาฝากไว้ ฝากคลอดอยู่หลายวันแล้วหล่ะครับ ผมก็จะเข้ามาเช็คอาการเธออยู่เรื่อยๆ ว่าใกล้จะคลอดหรือยัง จนกระทั่งเห็นน้ำเริ่มเดิน ล้วงเข้าไปในช่องคลอดก็พบว่าลูกเริ่มออกมาแล้ว

แต่ลูกออกมาผิดท่า คือเอาก้นออก คลำได้แค่หางกับก้นเท่านั้น พบว่าขาหลังลู่ไปทางด้านหน้าของลำตัวจึงถือว่าเป็นกรณีคลอดยาก ต้องทำการผ่าเอาลูกออก ก็พาลงมาวางยาสลบให้พี่หมอจัดการ ได้ลูกออกมา 6 ตัว แต่ตัวที่ขวางอยู่ออกไม่ได้ก็ไม่รอด เนื่องจากถูกบีบรัดและถุงน้ำที่ห่อหุ้มก็แตกออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงมีลูกรอดชีวิต 5 ตัว



หน้าที่ของผมในคืนวันที่น้องๆ ลูกของจาจาไซบีเรียนเกิดขึ้นมาก็คือต้องเฝ้าลูก พาน้องๆ มากินนม ซึ่งเจ้าจาจา ก็เป็นคุณแม่มือใหม่ เธอจะนอนคว่ำท่าเดียว ลูกก็ไม่ได้กินนม ต้องจับให้นอนตะแคง แล้วเอาปากของลูกๆ เข้าไปจ่อกับหัวนม ให้ได้กินน้ำนมเหลืองจากแม่ เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีและเสริมภูมิคุ้มกันของลูกๆ

ก็ดูดกันจ๊วบจั๊บทีเดียว ที่สำคัญมากๆ คือต้องช่วยบำรุงคุณแม่จาจาด้วย ให้อาหารเต็มที่ และให้น้ำเพื่อจะได้มีพลังในการสร้างน้ำนมเลี้ยงลูก ดูสิครับ ลูกๆ ของจาจา น่ารักขนาดไหน คุณเจ้าของมาเยี่ยมก็ดูท่าทางแฮปปี้ดีทีเดียว (แล้วก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องนำชม และอธิบาย )



การพูดคุยกับเจ้าของสัตว์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะครับ
แน่นอนว่า อนาคตอันใกล้นี้ผมก็เริ่มจะต้องทำการรักษาบ้าง ในระยะนี้บางทีผมก็จะได้รับมอบหมาย เข้าไปช่วยดูแลเคสที่มาทำวัคซีน และฉีดยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ ให้เริ่มเข้าไปพูดคุยกับลูกค้า (ที่น่ารักๆ) บ้าง ส่วนเคสฉุกเฉินที่มานอกเวลาเช่นช่วงก่อนร้านเปิด หรือหลังร้านปิดก็ได้รับครับ ก็ได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมา บวกกับที่พี่ๆ หมอได้ช่วยติวชี้แนะวิทยายุทธ์ ก็เลยได้ผ่านเคสมาเรื่อยๆ พี่ๆ ก็จะสอนวิธีการพูดคุยกับลูกค้า เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุดครับ

เคสฉุกเฉินครั้งแรกที่ต้องรับเอง
ผมยังคงจำเคสแรกที่ผมรับได้ครับ จริงๆ ก็รับแบบมีพี่ๆ หมอคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง เพราะหมอใหม่บางทีอาจจะทำอะไรได้ แต่ไม่เนียนเท่ากับหมอที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ผมก็ต้อง deal กับเจ้าของครับ วันนั้นตอนเช้าวันฝนพรำ ผมก็มาทำงานตอกบัตรตามปกติ 8.15 น. กำลังจะเริ่มงานที่ทำปกติคือดูแล ward ให้ยา ให้น้ำเกลือ ให้อาหาร แต่แล้วพี่หมอเจ้าของก็ลงมาบอกว่า เห็นรถเข้ามาจอดด้านหลังโรงพยาบาล มีอะไรหรือเปล่าให้ไปดูหน่อย

เป็นน้องหมาถูกรถชนมาครับ พี่เจ้าของเริ่มหน้าเสียบอกว่า เพิ่งชนเมื่อตะกี้นี่เอง ผมก็เห็นว่าน้องเขายังมีการรับรู้ตอบสนองอยู่ แต่ท่าทางจะอาการหนักแฮะ ก็รีบพาขึ้นโต๊ะรีบให้น้ำเกลือ ให้ยาเพื่อป้องกันการช๊อค เปิดออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ แล้วก็สังเกตอาการ ตรวจดูร่างกายเพิ่มเติม ซักประวัติเพิ่มเติม น้องหมาก็อายุ 13 ปีแล้วหล่ะครับ เจ้าของบอกว่าเห็นรถกระแทกเข้าไปกลางลำตัว

แต่น้องไม่มีแผลตามตัวเลยแฮะ จึงได้บอกเจ้าของให้เริ่มทำใจก่อนว่า การที่ไม่มีเลือดออกให้เห็น แต่ภายในอาจจะเกิดเลือดออกก็ย่อมได้ครับ ตอนนี้เริ่มหายใจไม่ค่อยดีแล้วก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เพิ่มยาช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รอดหรอกครับ เพราะค่อนข้างหนักจริงๆ คุณพี่เจ้าของที่มากันทั้งครอบครัวก็เริ่มจะร้องไห้แล้วหล่ะครับ แต่น่าจะเห็นว่าหมอได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว จริงๆ ผมเองไม่ค่อยชอบบรรยากาศการพลัดพรากเลย แต่ก็จำเป็นครับ ถ้าเราได้ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแล้ว เชื่อว่าเจ้าของน่าจะต้องรับได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

เคสฉุกเฉิน (อีกแล้ว) คราวนี้น้องหมาถูกรถสองแถวแดงชน
ล่าสุด เมื่อ 2-3 วันก่อนนี่เองครับ น้องหมาถูกรถแดงชนตรงหัว ผมไม่ได้รับเคสเองครับ แต่ได้รับมอบหมายจากพี่หมอให้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด เจ้าของเล่าว่า บ้านพี่เขาอยู่ใกล้ถนน พอเปิดประตูบ้านจะเอารถเข้า ปรากฎว่าน้องหมาวิ่งออกมานอกบ้าน แล้วถูกรถสองแถวแดงพุ่งชนตรงศีรษะอย่างจัง ....อาการก็เลยชักแข็งเกร็ง แสดงอาการทางประสาทออกมา เกิดจากการที่ศีรษะถูกกระทบกระแทกอย่างรุนแรง ก็เฝ้าดูอาการอยู่ วัดอุณหภูมิตัวน้องเขาร้อนมากก็ฉีดยาและใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดๆ จนอุณหภูมิลดลง แล้วก็ให้ยาเพิ่มเติม รายงานเจ้าของเป็นระยะๆ แต่ก็แจ้งว่ายังคงมีความเสี่ยงอยู่เพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง จนกระทั่งเช้าอีกวันหนึ่ง น้องเขาก็ทนไม่ไหว พยายามช่วยชีวิตแต่ก็ไม่รอดครับ ....



แต่เอ๊ .... พูดแต่เรื่องที่ทำให้เจ้าของรู้สึกไม่ดีกันทั้งนั้นเลย แต่อย่างที่บอกหน่ะครับว่า หลายๆ รายมาถึงด้วยอาการที่ค่อนข้างหนักมากๆ และค่อนข้างเสี่ยงอยู่แล้วครับ ซึ่งคุณหมอก็จะแจ้งเรื่องความเสี่ยงให้ทราบอยู่แล้ว

Love dog Love owner
เอาเรื่องที่รู้สึกภูมิใจบ้างดีกว่า คือ ตอนช่วงแรกๆ ที่ผมเริ่มทำงาน ผมได้รับมอบหมายให้ไปดูแลรักษาน้องๆ หมาหลายๆ ตัวที่เป็นโรคลำไส้อักเสบ (ซึ่งเป็นโรคที่ฮิตมากตอนนี้) อาการถ่ายเหลวเป็นมูกเลือด ก็ได้เพียรพยายามให้ยาต่างๆ เติมน้ำเกลือกันเรื่อยๆ เป็นอาทิตย์ อาการทรุดๆ ทรงๆ บางตัวค่าเม็ดเลือดขาวต่ำมากจนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้ว แต่จนแล้วจนรอดน้องๆ ก็สามารถฟื้นตัวขึ้นจากการรักษา เริ่มถ่ายเป็นก้อน (เหมือนในโฆษณาเด๊ะ สุขภาพของสุนัขที่ดี ดูได้จากการอุจจาระที่เป็นก้อน) แล้วก็เริ่มคึกคัก จากหางที่กระดิกไม่ออก ก็เริ่มกระดิกจนกลัวว่าหางจะหลุด (แซวเล่นหน่ะครับ) แล้วก็เริ่มวิ่งเล่นได้ ทานอาหารได้ดี .... เจ้าของแฮปปี้ เราก็สุขใจ

ตามคอนเซปต์ "Love dog Love owner" นั่นแลครับ

เรื่องอื่นๆ ที่ยังต้องฝึกหัดกันไปเรื่อยๆ ให้คล่องแคล่ว
อ้อ ยังโม้เรื่องโรงพยาบาลยังไม่จบครับ ...... ผมเป็นหมอใหม่ก็ต้องเรียนรู้หลายๆ อย่าง อาทิเช่นการถ่ายภาพ x-ray การเตรียมฟีล์มและล้างฟิล์ม จริงๆ ก็เรียนมา แต่ก็ต้องมาเรียนรู้กันใหม่ เพราะแต่ละที่ก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่แตกต่างกันไป .... แรกๆ ก็งงๆ ตอนนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางบ้าง (เพราะสมัยเรียน ก็เน้นเรื่องทฤษฎี แต่ปฏิบัติด้านรังสีวิทยาค่อนข้างน้อย เคยล้างฟิล์มด้วยตนเองแค่ครั้งเดียวเอง จะเน้นด้านการอ่านฟิล์มและการแปลผลมากกว่า)



อีกหนึ่งความประทับใจในโรงพยาบาล
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก ก็คือเรื่องการอาบน้ำตัดขนครับ พูดไปเดี๋ยวหาว่าโฆษณาอีกแฮะ แต่ผมเองรู้สึกประทับใจกับฝีมือของพี่ช่างตัดขนของที่นี่มากๆ ที่สามารถเปลี่ยนน้องหมาตัวหนึ่ง ที่สภาพดูไม่ได้เลย กลายเป็นน้องหมาอีกตัวหนึ่ง ที่สวยงาม ขาวสะอาด ใครๆ ก็อยากรักอยากกอด วันๆ หนึ่งคิวอาบน้ำตัดขนเลยค่อนข้างยาวมากๆ ครับ วันๆ หนึ่งเป็น 10 ตัว ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ อาจจะต้องโทรมานัดกันก่อนนะครับ

วันวันหนึ่งก็ถือว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ ถ้าเคสเยอะ เราก็ได้ช่วยพี่ๆ เขาทำงาน วันๆ หนึ่งก็ผ่านเร็วติดจรวดมากๆ ทีเดียว เพราะได้ทำงานอยู่ตลอด ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ นานๆ เพราะจะ ง่วงๆ หลับๆ แป๊บเดียวก็ 2 ทุ่มแล้วหล่ะครับ เลิกงาน กลับบ้าน นอนดีกว่า

ยังไงไว้โอกาสหน้า จะมาเล่าประสบการณ์น้องหมาน้องแมวกันอีกนะครับ




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2550 2:55:59 น.
Counter : 2694 Pageviews.  

เมื่อผมดันไปสอบติดเข้าเรียนปริญญาโท MBA (Marketing) ซะงั้น!!

สวัสดีครับ

หลายๆ ท่านคงจะทราบดีว่า ผมได้ไปสมัครสอบปริญญาโท บริหารธุรกิจ (สาขาการตลาด) ภาคปกติ ของ ม.เกษตรศาสตร์มา (จากในกระทู้หนึ่งที่ผมบอกว่าไปยื่นใบสมัครแทบเกือบจะไม่ทัน ได้ก่อนคนสุดท้ายพอดี)

ผู้สมัครสอบทั้งหมด 498 คน รับเพียง 18 คน ซึ่งสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 14 มกราคม
(หลังจากที่ผมตอบรับเข้าทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ 5 วัน และได้บินไปเซ็นต์สัญญาในบ่ายวันนั้น)

ข้อสอบเข้า MBA (ภาคปกติ) ของ ม.เกษตร มีจำนวน 150 ข้อเป็น multiple choice แบบระบายคำตอบด้วยดินสอ 2B ทั้งหมด แบ่งเป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ทั่วไป สถิติ และความรู้ทั่วไปด้านบริหารธุรกิจ การจัดการ เศรษฐศาสตร์ต่างๆ (ถ้าทำข้อสอบเก่าไปบ้างจะเห็นว่าไม่ยากเท่าไหร่ครับ)

ผลการสอบข้อเขียนรอบแรกออกมาแล้วหล่ะครับ

ผมสอบผ่านข้อเขียนรอบแรก เป็น 1 ใน 38 คนได้ไงก็ไม่รู้ .... ทั้งๆ ที่ตอนที่ผมตัดสินใจเลือกทำงานที่เชียงใหม่ ... ผมตัดสินใจเพราะว่า ผมไม่คิดว่า ผมจะสอบได้ ตัวเองก็ไม่ได้เรียนบริหารมาก่อน ทำข้อสอบเก่าๆ มาก็น้อยมากๆ ได้แค่เน้นอ่านภาษาอังกฤษ กับคณิตศาสตร์แบบ GMAT ซึ่งผมเองก็แทบไม่ได้ใส่ใจกับมันเลย หลังจากที่รับปากกับคุณหมอเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์ที่เชียงใหม่... ว่าผมจะทำงานกับเขา ....

พอประกาศผลมาแบบนี้ ผมเองก็ได้แต่อึ้ง แล้วก็น้ำตาไหล อยากจะร้องไห้ ....
(เพราะผมไม่คิดว่าผมจะได้เป็น 1 ใน 38 คนที่ได้เข้าสัมภาษณ์อ่ะครับ)

เข้าสัมภาษณ์วันที่ 13 กุมภาพันธ์ คัดออก 20 คน จาก 38 คน เพื่อให้เหลือได้เรียนจริงๆ 18 คนครับ
เพราะถึงสอบผ่านสัมภาษณ์ (โอกาสน้อยเพราะยังไม่มีประสบการณ์ทำงานเลย) ตัวเองก็ทำสัญญาไว้กับโรงพยาบาลสัตว์ไว้แล้ว จะไปบอกเลิกได้อย่างไร จริงไหมครับ

แต่ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกเสียดายโอกาสอันดี ที่จะได้เรียนสาขาบริหารธุรกิจ ที่ตนเองอยากเรียนมานานครับ

ปรากฎว่า จากการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระยะเวลาสัมภาษณ์กับอาจารย์ท่านเดียวเพียง 10 นาที
-- อาจารย์ให้แนะนำตนเอง จบอะไรมา กำลังทำอะไรอยู่
-- คำว่าการตลาดในความหมายของคุณคืออะไร?
-- กลยุทธ์ทางการตลาดที่ปัจจุบันมีใช้กันมีอะไรบ้าง?
-- อุตส่าห์เรียนจนจบสัตวแพทย์ คุณไม่เสียดายวิชาชีพของคุณเลยหรือ?

สิ่งที่อาจารย์ที่คุมสอบสัมภาษณ์พยายามอยากจะบอกกับผมก็คือว่า... อาชีพสัตวแพทย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นที่นับถือของผู้คนทั่วๆ ไป หลักสูตรนี้จึงค่อนข้างเน้นเพื่อเป็นการต่อยอดให้กับวิชาชีพที่ตนมี เพื่อให้เป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ได้ (ประมาณว่า ไม่สนับสนุนให้เรียนเพื่อเป็นการเปลี่ยนสายงาน .....)

คำถามที่อาจารย์เปิดให้ถาม ผมถามต่อว่า กรณีผมสนใจงานด้าน Aviation Management จะสามารถต่อได้ในลู่ทางใดบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า หลักสูตร MBA สาขา Marketing จะต้องเรียนรวมหมดทุกๆ อย่าง แม้ว่าอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่น ก็ต้องเรียนไปควบคู่กันด้วย
(ผมจึงคิดในใจว่า ถ้าผมสนใจ Aviation Management จริงๆ น่าจะลองสอบที่ จุฬาฯ มากกว่า)

ซึ่งจากคำตอบของอาจารย์ผมก็ประเมินตนแล้วหล่ะครับว่า ยังไงก็คงสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านชัวร์ๆ ..... ก็เริ่มทำใจสบายๆ ขำ ขำ กันไปได้อีกพักหนึ่ง

-----------------------------------------------------------

เช้าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550

วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบปริญญาโทของ ม.เกษตรศาสตร์ครับ ผมปั่นจักรยานไปดูที่ อาคารบัณฑิตวิทยาลัยแต่เช้า ....

ก็พบว่า ชื่อของผม อยู่ในรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจ (สาขาการตลาด) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกาศรหัสนิสิตรหัส 50730xxx อย่างหราเลยหล่ะครับ .....

ประกาศรายชื่อตัวจริงทั้งหมด 21 คน (ผมเป็นหนึ่งในนั้น)
และตัวสำรองอีก 13 คน (เรียงตามลำดับคะแนน กรณีที่มีการสละสิทธิ์ ลำดับบนๆ จะถูกเรียกขึ้นไปก่อน)
แม้ผมจำเป็นต้องสละสิทธิ์ ก็ไม่ได้เป็นการไปกันที่ของใครครับ

ผมทำอะไรไม่ถูก .... ผมเริ่มเครียด ผมเศร้า ว่าทำไมผมสอบติด ..... ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่น่าจะติด (อย่าเพิ่งหมั่นไส้ผมนะครับ มันเป็นเหตุผลที่ยากจะอธิบาย )

ตอนนี้ เพื่อนๆ ที่คณะ หลายๆ ก็คนเครียดกัน เพราะยังไม่ได้งาน หลายๆ ที่ก็ยังไม่แจ้งผลให้ทราบ ทุกคนยังรู้สึกเหมือนกับตัวเองเคว้งคว้าง .....

แต่ผมเครียด ตรงที่ว่า ทำไมผมต้องเซ็นต์สัญญาเลือกงานที่เชียงใหม่ไปแล้ว เหมือนนกน้อยที่อยู่ในกำมือ จะหนีก็ไม่ได้ จะถูกบีบให้ตายก็ได้ .....

เป็นความเครียดที่ระบายให้กับเพื่อนๆ ที่ไม่สนิทไม่ได้เลยหล่ะครับ ก็เลยต้องเก็บไว้ในใจคนเดียว จนมาระบายกับเพื่อนสนิทตอนช่วงเย็น
ซึ่งแน่นอนครับว่า .... หลังจากที่ได้เซ็นต์สัญญาไปแล้ว ทุกอย่างจบสิ้น ไม่ต้องคิดอะไรเลย .... สัญญาฉบับนั้น ที่ทางโรงพยาบาลสัตว์ถืออยู่ มีผลทางกฎหมายนะครับ

-- ผมเริ่มกลัว ผมกลัวว่า ผมจะทำงานที่นั่นออกมาไม่ได้ดีตามที่พวกเขา และผู้คนรอบข้างคาดหวัง...
-- ผมอยากเรียน... เพราะกลัวว่า ถ้าผมไปทำงาน ผมอาจจะติดใจจนไม่ได้กลับไปเรียนอีก ....


กังวล สับสน

พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ..... ถ้าผมยังไม่เซ็นต์สัญญา ก็จะเชียร์ให้เรียน แต่เซ็นต์สัญญาไปแล้ว ก็ต้องทำงาน ..... ตามที่ได้ทำสัญญาไว้ .... ผู้ใหญ่พูดอะไรแล้วไม่คืนคำ ยิ่งเป็นลายลักษณ์อักษรขนาดนั้น บิดพริ้วแบบเด็กๆ ไม่ได้แน่นอนครับ

มาคอนเฟิร์มครับ ว่าผมจะปฏิบัติหน้าที่เป็น นายสัตวแพทย์ ประจำโรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่ง ที่เชียงใหม่ อย่างดีที่สุดตามสัญญาที่ได้ทำไว้

ส่วนอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า หลังหมดสัญญา ไว้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันนะครับ

ในที่สุด การตัดสินใจครั้งนี้ก็จบสิ้นลงซะที ...

แล้วก็เป็นข่าวดีนะครับ ที่บล๊อกของคนชื่อ "ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์" จะได้มีเรื่องน้องหมาน้องแมว ขำ ขำ ให้ได้อ่านกันสมตามชื่อล๊อกอินซะหน่อย

ปล. ด้วยจรรยาบรรณ ผมไม่สามารถบอกชื่อโรงพยาบาลสัตว์เอกชนที่ผมทำงานอยู่ได้ แต่ถ้าผมเอ่ยชื่อขึ้นมา คิดว่าคนเชียงใหม่น่าจะรู้จักกันดีอ่ะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ยินดีเสมอนะครับ




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2550 2:48:17 น.
Counter : 15583 Pageviews.  

1  2  3  4  

ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Friends' blogs
[Add ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.