รวมมิตรเรื่องท่องเที่ยว และ สายการบิน
Group Blog
 
All Blogs
 
++แป๊บๆ ก็จะเรียนจบปี 6 แล้วเนอะ++ [ตอนที่ 2 :จากบ้านนอกสู่เมืองกรุง และชีวิตนิสิตสัด-แพ้ดปี 1]

สวัสดีครับ เห็นหลายๆ ท่าน เห็นชื่อผมแล้ว คิดว่าเข้ามาอ่าน blog ของคนชื่อ "ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์" แล้วจะต้องเจอเรื่องน้องหมาน้องแมว ประสบการณ์ขำๆ ระหว่างการเรียน ... ซึ่งพอคลิ๊กเข้ามา เอ๊ะ ตรูเปิดมาผิด blog ปล่าวหว่า

สัตวแพทย์อะไรฟระ มีงานอดิเรกคือการท่องเที่ยว ... ก็แน่นอนครับ ผมเองเป็นนิสิตสัตวแพทย์ (เอกการท่องเที่ยวและสายการบิน ... ก็ความชอบส่วนตัวนี่ครับ)

ตอนนี้ผมก็เรียนปี 6 เทอม 2 เหลือเวลาเรียนอีกไม่ถึง 2 เดือน ก็จะจบหลักสูตรแล้ว ... รู้สึกใจหายครับ ว่า 6 ปี 12 เทอม ที่ผ่านมาทำไมผ่านไปรวดเร็วจังเลย

ก็เลยจะเขียนเป็นซีรีย์ละกัน ลงในหมวด diary ของผมนี่แหล่ะ หุหุ

ความเดิมจากตอนที่แล้ว
++แป๊บๆ ก็จะเรียนจบปี 6 แล้วเนอะ++ [ตอนที่ 1 : ติดสัด(แพ้ด)แล้ว]
คลิ๊กไปอ่านครับ

-----------------------------------------------------------

ตอนที่ 2 : จากบ้านนอกสู่เมืองกรุง และชีวิตนิสิตสัด-แพ้ดปี 1

หลังจากที่ผมได้สอบติดเข้าศึกษาต่อที่ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในระบบรับตรง ... ชีวิตผมช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 1 ช่างเป็นอะไรที่ว่างสบายและอ้วนพียิ่งนัก หมายถึง .... ผมได้รับการปรนอาหารจากทางบ้านจนน้ำหนักพุ่งพรวด จากตอน ม.6 เรียนหนักแบบผอมๆ น้ำหนักราว 57 กิโลกรัม จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม ก็อ้วนพีพร้อมถูกส่งเชือดเข้าเมืองกรุง ด้วยน้ำหนัก 64 กิโลกรัม
(*ปรนอาหาร = การให้อาหารอย่างเต็มที่ไม่จำกัดปริมาณ กินเข้าไปได้เท่าไหร่ ก็กินไป)

ช่วงต้นเดือนตอนประกาศผลเอนทรานซ์ ผมก็ไม่ได้ไปเย้วๆ กะว่าที่เพื่อนๆ ผมหรอกครับ เพราะผมเป็นเด็กบ้านนอกนั่นเอง จนกระทั่งวันสัมภาษณ์ ผมก็เลยได้เข้ามาในเมืองกรุง ... ไม่ใช่มาสัมภาษณ์หรอกครับ แต่มาจับฉลากเข้าอยู่ในหอพักในมหาวิทยาลัย ซึ่งผู้ชายยังไงก็จับได้อยู่แล้วหล่ะครับ ก็เลยได้เข้าไปอยู่ที่ตึกพักชายหลังใหญ่สุด (ซึ่งเป็น location ในภาพยนตร์ Season Change นั่นเอง) ... นามตึก 13 ครับ .... วันนั้นยังไม่ค่อยได้รู้จักเพื่อนใหม่เท่าไหร่หรอกครับ เพราะทุกคนก็ต่างๆ ยังคงงงๆ พี่ๆ ก็พาไปเดินดูห้องหับ ... อืมมมม น่าจะอยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร ...

ผมเดินทางเข้ากรุงเทพช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2544 เพราะปกติ ม.เกษตรศาสตร์ จะมีโครงการ "บัณฑิตยุคใหม่" ซึ่งจะจัดให้กับนิสิตที่เข้าใหม่ของมหาวิทยาลัยเป็นปกติครับ .... วันนี้เป็นวันที่จะได้รู้จักกับเพื่อนๆ เป็นครั้งแรก .... ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อขาว กางเกงดำ แล้วก็ทำกิจกรรมด้วยกัน .... ผมเริ่มได้รู้จักเพื่อนหลายๆ คน ... คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่อยู่หอพักตึกเดียวกับผม อีกคนหนึ่ง เป็นคนเชียงใหม่เหมือนกัน ... คืนแรกที่เกษตร ก็ผ่านไปได้ด้วยดี จากการดูแลของพี่ๆ ที่หาห้องหับ หมอนมุ้งให้นอน ... กิจกรรมนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมก็พยายามจำหน้าเพื่อนๆ ให้ได้ แม้จะจำชื่อไม่เก่งนัก

สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในกิจกรรมนี้ก็คือ การที่ได้ร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยเป็นครับ "เพลงพระราชนิพนธ์ เกษตรศาสตร์" ... เขียว ธง ขจี ก่อเกิดไมตรี สามัคคีมั่น ... สถาน เรียนเกษตรนั้น เราผูกพัน บู ชา .... ก็เป็นกิจกรรมการปรับเลือดให้เป็นสีเขียว นั่นเองครับ

แล้วก็ถึงวันลงทะเบียนเรียน ตื่นเต้นกับรหัสประจำตัวนิสิตมากๆ แล้วผมก็ได้รหัสนิสิตมา 440902xx มีนิสิตสัตวแพทย์ ชั้นปี 1 รวมทั้งสิ้น 108 คน .... ก็เริ่มรู้จักเพื่อนๆ คณะมากขึ้น .... วันต่อมาผมจำได้ว่า... คุณแม่มาส่งผมที่กรุงเทพ แล้วก็กลับด้วยรถไฟ ... ผมเริ่มเกิดอาการโฮมซิค ตอนที่รถไฟกำลังเคลื่อนที่พาคุณแม่กลับเชียงใหม่ ... แต่ก็ต้องพยายามปรับตัว เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดครับ ....

หอพักที่ผมอยู่ ห้องที่อยู่...ผมเป็นน้องใหม่ Freshy คนเดียว พี่ห้องเป็นพี่ปี 4 คณะวิศวะ 2 คนและพี่ปี 2 คณะประมง 1 คน ... เข้าไปก็เกร็งๆ ทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมสุดๆ .... โชคดีที่ผมมีเพื่อนคณะอยู่ห้องใกล้ๆ กัน แล้วมันก็มีเพื่อนห้องเป็นเด็กวิดวะ ปี 1 ก็เลยได้ทำความรู้จักไปมาหาสู่กันตลอด

แน่นอนครับว่า ผมเป็นน้องใหม่ ก็ต้องได้เตียงที่ location ไม่ดีที่สุด คืออยู่หน้าประตูห้อง บางห้องน้องใหม่ก็ต้องนอนเตียงบน ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ .... ห้องน้ำก็อยู่ตรงหน้าห้องน้ำ .... (ถ้าเป็นหอพักแบบตึกห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำอยู่ตรงด้านนอก ตรงหน้าห้องนอนครับ ... แต่ถ้าเป็นหอพักชายแบบที่เป็นหอ เรือนไม้ ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมอาบน้ำแบบทหาร )

-----------------------------------------------------------
เปิดเทอมใหม่ สดใสร่าเริง

วิชาที่นิสิตสัตวแพทย์ ปี 1 จะเรียนในเทอมแรก ซึ่งยังคงเรียนวิชานอกคณะ (หลักสูตร สพ.บ. ปี 2539 รุ่นสุดท้าย ปัจจุบันใช้หลักสูตร สพ.บ. ปี 2547 ครับ) ... ก็มี
-- General Chemistry วิชาเคมี ... เป็นวิชาสำคัญที่สุดในเทอมนี้ ถ้าพลาดลงได้อีก 1 ไม้(ครั้ง) ถ้าพลาดอีกก็จะได้เรียนแถมอีก 1 ปี ลงไปอยู่กับน้องๆ เลย
-- General Zoology วิชาสัตววิทยา ... สัตว์เล็กสัตว์น้อย เรียนกันมากมายสนุกสนาน ผ่าไส้เดือน ผ่ากบกัน
-- Man & Society วิชาสังคม... ที่เด็กสัดแพ้ดจะมองว่าเป็นวิชาแจกเกรด ที่ลงแล้วควรจะได้ A หรือ B+
-- Animal Science & Technology (หรือ An-Sc) เป็นวิชาของภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร ที่เด็กสัดแพ้ด ทุกคนจะต้องเรียน ก็จะมีทั้งเรื่อง ไก่ หมู วัว โดยเน้นไปทางด้านการจัดการแนวสัตวบาล เหมาะสำหรับเด็กปี 1... ซึ่งผมจำแม่นเลยว่า ตอนที่เรียนเกี่ยวกับวัว ... อาจารย์จะชอบสอนว่า เนื้อส่วนไหนอร่อยแล้วต้องทานคู่กับไวน์อะไร?
-- Introduction to Logic หรือวิชาตรรกศาสตร์ ก็เรียนแบบขำๆ สไตล์วิชาปี 1 เรียนไปหลับไป เช่นเดียวกันกับ...
-- The use of Library Resourse หรือวิชาสอนการใช้ห้องสมุด อันนี้ก็เรียนไปหลับไป ขำ ขำ (แต่ก็มีประโยชน์นะครับ เพราะที่เกษตรใช้ระบบการเรียงหนังสือแบบรัฐสภาอเมริกัน (เขาเรียกอย่างนี้หรือป่าวหว่า)
-- Fencing หรือวิชาดาบสากล อันนี้เป็นวิชาพละ ซึ่งนิสิตปี 1 สามารถเลือกได้อย่างอิสระ (ของ ม.เกษตรบังคับให้นิสิตเรียนวิชาพละ อย่างน้อย 2 ตัว ตามหลักสูตร) ซึ่งตอนวันลงทะเบียนก็เจอพี่ๆ บอกว่า วิชานี้ได้ A ตรึม ไม่ต้องทำรายงานด้วย เด็กสัดแพ้ด ก็เลยลงกันเป็นแถวๆ (แทบจะเป็น course สัดแพ้ดไปแล้ว )
-- วิชา Lab เคมีและสัตววิทยา ก็สนุกดีครับ เป็นการปรับความรู้ตอนเรียน ม.ปลาย ให้เข้าเป็นมหาวิทยาลัยมากขึ้น
-- Foundation English หรือวิชาภาษาอังกฤษ ... ของ ม.เกษตรจะเรียนกัน 4 ตัวครับ เรียก Eng 1, Eng 2, Eng 3 และ Eng 4 ซึ่งจะมีการจัดชั้นเรียนตามคะแนนเอ็นทรานซ์ที่เข้ามา ... ถ้าใครได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษสูงๆ ก็เรียน Eng 4 แค่ตัวเดียว ถ้าใครได้คะแนนน้อยก็ต้องเริ่มเรียน Eng 1 ไป 2 - 3 -4 ครบ 4 ตัวครับ .... ส่วนตัวผมได้ Eng 3 จากคะแนน Eng 75 คะแนนครับ (ถ้าได้มากกว่า 80 จะได้ Eng 4)

-----------------------------------------------------------
เรื่องวิชาเรียนก็จบไปแล้ว .... สิ่งที่หลายๆ คนน่าจะอยากทราบกันก็คือ ....

การรับน้อง ....

ยุคผม รุ่น KU61 และถ้ารุ่นคณะสัตวแพทย์ก็คือ Vet'65 เป็นยุคที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการรับน้องพอสมควรครับ .... ถ้าเป็นรุ่นพี่ซัก 5-6 ปีก่อน ก็อาจจะมองว่า รุ่นผมนี่รับน้องกันไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ ... โดยส่วนตัวผมจะขอแยกเป็นส่วน การรับน้องคณะและรับน้องหอในนะครับ

ส่วนรับน้องคณะ อาจจะพูดได้บ้าง แต่คงพูดได้ไม่หมด เพราะบางส่วนก็ยังคงเป็นมุข ที่ต้องเก็บไว้ใช้สำหรับรุ่นต่อๆ ไป อิอิ

การรับน้องของคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุดเด่นที่คณะอื่นมักจะกล่าวขวัญถึงกันในอดีต คือ ความพร้อมเพรียงในการร้องเพลงเชียร์ของคณะครับ .... รุ่นพี่ทุกคนมีความตั้งใจที่อยากจะให้ น้องๆ รุ่นใหม่ๆ สามารถร้องเพลงคณะกันได้ พร้อมไปกับการปรบมือที่พร้อมเพรียงกัน อันเป็นการสร้างความสามัคคีกันในรุ่น ....

สิ่งที่แตกต่างกัน ที่รุ่น Vet'65 กลายเป็นรอยต่อยุคสมัยพอดี ก็คือ รุ่นพี่ Vet'64 เดิมได้มีการประชุมเชียร์ในห้องเรียนกายวิภาคศาสตร์ทุกๆ ครั้ง (ห้อง Gross : ถ้าใครไปคณะสัตวแพทย์เกษตร จะมีอาคารหนึ่งที่มีกระดูกสัตว์เยอะๆ หน่ะครับ อาคารนั้นเลย)

แต่รุ่น Vet'65 เป็นรุ่นแรกที่ได้เริ่มรับน้องในห้องบรรยายติดแอร์ พร้อมกล้องวงจรปิด แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของการว้าก และการกดดันอยู่พอสมควร (ห้องเย็นระเยือกมาก) .... โดยใน 1 สัปดาห์จะมีการนัดประชุมเชียร์กันอยู่ 2 ครั้ง แล้ววันหยุดก็เพื่อนๆ ก็จะมาซ้อมร้องเพลงกันที่สนามอินทรีย์จันทรสถิตย์

เพื่อนๆ ก็จะได้เริ่มรู้จักกันมากยิ่งขึ้น จากการไปทำกิจกรรมร่วมกัน เรียนด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน เริ่มจำชื่อเพื่อนๆ ได้ส่วนหนึ่งเพราะห้องประชุมเชียร์ด้วยหล่ะครับ แต่ก็ยอมรับว่า การซ้อมร้องเพลงกันทุกๆ เที่ยง กระทบต่อวิชาที่เรียนตอนบ่ายๆ เหมือนกัน หลับกันกระจาย ....

แต่สุดท้ายแล้ว ผลจากความพยายามต่างๆ ก็ทำให้ได้รุ่น Vet'65* มาเรียกกันได้อย่างเต็มปากเต็มคำ โดยรุ่นพี่ก็จะมีการตั้งฉายาให้กับรุ่นต่างๆ ตามลักษณะของแต่ละรุ่น (เฉพาะของเกษตรนะครับ) ...
อย่างรุ่น Vet'65 รุ่นพี่ก็ได้ตั้งชื่อว่า "มึนตึ๊บ" .... เหตุผลประมาณว่า รับรุ่นมาได้แบบมึนๆ นั่นเอง ....

*....เสริมนิดนึงครับ
การเรียกรุ่นของคณะสัตวแพทยศาสตร์ ทั้ง 6 สถาบันจะนับรุ่นเท่ากันครับ อย่างรุ่นผมคือ Vet'65 ก็จะใช้นับนิสิต-นักศึกษาสัตวแพทย์ ที่มีรหัสขึ้นต้นด้วย 44... ทุกสถาบัน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.เกษตรศาสตร์, ม.ขอนแก่น, ม.เชียงใหม่, ม.มหิดล และ ม.เทคโนโลยีมหานคร ครับ
..... แต่ แต่ละมหาวิทยาลัยที่เพิ่งตั้งเป็นคณะใหม่ก็จะนับรุ่นในคณะของสถาบันตนเองต่างหาก อาทิเช่น...
-- Vet'65 KKU (ม.ขอนแก่น) = รุ่นที่ 15
-- Vet'65 CMU (ม.เชียงใหม่) = รุ่นที่ 6
-- Vet'65 MU (ม.มหิดล) = รุ่นที่ 3
ส่วน จุฬาฯ และเกษตร นับเหมือนกันคือ Vet'65 เพราะมีจุดเริ่มต้นที่พร้อมๆ กันครับ


ผมเองก็ยังจำวันที่ รุ่นพี่ยืนล้อมวงบูมคณะเพื่อแสดงว่ารับเป็นรุ่นน้องแล้วได้อยู่เลยครับ .... แล้วก็ร้องเพลง "ฟ้าหม่น" ซึ่งเป็นเพลงประจำคณะ พร้อมๆ กันทุกๆ คน

-----------------------------------------------------------
มาต่อกันเรื่อง รับน้องหอใน โฮะๆๆๆ

อืมมมม เรื่องนี้ .... ลักษณะอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละตึกแต่ละหอ ... ซึ่งปัจจุบันการรับน้องอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ... แต่ส่วนประสบการณ์ของผมนั้น มีดังนี้ครับ

จริงๆ ผมมองว่า เป็นโอกาสอันดีมากที่ผมเลือกที่จะพักอยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ .... ได้รับประสบการณ์หลายๆ อย่างมากกว่า เพื่อนๆ ที่เลือกที่จะอยู่หอนอกมหาวิทยาลัย ... ได้รู้จักผู้คนต่างคณะมากขึ้น เพราะปกติ คณะสัตวแพทย์ ก็จะอยู่ออกมาจากส่วนกลางของคณะพอสมควร โอกาสที่จะได้รู้จักผู้คนคณะอื่นๆ ก็ลำบากครับ

เริ่มต้นจากวันแรก วันที่ปฐมนิเทศน์นิสิตหอพัก ก็ยังคงขำๆ กลับมาที่หอก็มีการแนะนำตัวเอง .... ซึ่งผมจำแม่นว่าวันนั้น ผมเรียกชื่อคณะตัวเองผิด ... คณะสัตวแพทยศาสตร์ จะต้องอ่านออกเสียงว่า "สัด-ตะ-วะ-แพด-ทะ-ยะ-สาด" ... แต่ผมไปอ่านออกเสียงว่า "สัด-ตะ-วะ-แพด-สาด" ก็เลย ... โดนซ้า ....

วันแรกนี้ ... นิสิตหอพักปี 1 ทุกคนจะได้รับการผูกด้ายสีเขียวตรงข้อมือด้านซ้ายครับ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าเป็นนิสิตหอพัก .... และด้ายนี้จะถูกตัดออกก็ต่อเมื่อได้มีการรับเป็นรุ่นน้องเรียบร้อยแล้ว ....

วันต่อมาเริ่ม hardcore มากขึ้น .... ตามปกติก็จะมีการวิ่งรอบตะลัย (รอบมหาวิทยาลัย) กันทุกๆ วันจันทร์ - พุธ - ศุกร์ (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ตอนเช้าตรู่ๆ ก่อน 5.30 น. นิสิตปี 1 ทุกคนจะต้องพร้อมกันข้างล่าง เพื่อเตรียมตัวไปรับนิสิตหอหญิง ไปวิ่งด้วยกัน (จะมีการจับคู่ตึกหอพักชาย-หญิงกัน เรียกว่าคู่ date อ่ะครับ)

วันแรกๆ ... ก็แฮ่กอยู่ รอบมหาวิทยาลัยเชียวนะ แล้ววิ่งแบบ non-stop ด้วย แต่หลังๆ มาเริ่มทำความเร็วได้ (รุ่นพี่จะดูจับเวลาด้วย) ฟิตกันมากขึ้น

ตอนตกดึกๆ ก็จะมีการไปออกกำลังกายกันเล็กๆ น้อยๆ (ที่ว่าเล็กๆ น้อยๆ เป็นความรู้สึกตอนวันท้ายๆ ครับ วันแรกๆ ก็เกือบจะเดินไม่ได้เลย .. ก็ออกแรงมากไปหน่อยนี่) ซึ่งรุ่นพี่แต่ละห้อง จะบอกน้องๆ ไว้ก่อนเลยว่า ไม่ต้องใส่เสื้อนิสิตใหม่ๆ ไปออกกำลังกายหล่ะ .... จะเลอะ ... อย่างห้องผม รุ่นพี่ก็จะมีเสื้อนิสิตที่เป็นมรดกตกทอดมา .. เวลาไปออกกำลังกายตอนกลางคืน ก็จะสวมเสื้อตัวนี้ไปทุกครั้ง ...

ผลจากการวิ่ง และการออกกำลังกายยามค่ำคืนอยู่ตลอด ทำให้ วิชาเรียนตอนเช้าๆ จะเห็นนิสิตที่มีด้ายสีเขียวผูกที่ข้อมือซ้าย หลับกันเป็นแถวๆ .... และน้ำหนักผมก็ลดครับ จาก 64 กิโลกรัม เหลือ 57 กิโลกรัมเช่นเดิม อิอิ

ผมรู้สึกโชคดีนะครับ ที่รุ่นผมเป็นรุ่นที่มีการรับน้องคณะ และรับน้องหอพักไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเหนื่อยเกือบขาดใจ แต่ก็รู้สึกสบาย มากกว่ารุ่นน้องรุ่นหลังที่มีรับน้องกันยาวนาน เหนื่อยทั้งพี่ เหนื่อยทั้งน้อง ....

ก็ทำให้จำชื่อเพื่อนๆ ได้เกือบหมดทั้งตึกก็ราวๆ 60 คนในระยะเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์หน่ะครับ .... ก็มีเพื่อนหลายๆ คนที่ไม่ไหวแล้ว ออกไปก่อนก็หลายอยู่ ....

แล้ว ผมก็ได้อยู่ถึงวันรับน้องวันสุดท้าย ... ซึ่ง ... ก็ไม่ได้เหนื่อยมาก อาจจะรู้สึกเย็นๆ วาบหวิวๆ นิดๆ หน่อยๆ มืดๆ สลัวๆ แต่สุดท้ายก็ประทับใจดีครับ .... (ไม่เล่า detail หมดหรอกครับ แฮ่ )

พอรับเป็นน้องเสร็จก็มีเลี้ยงน้อง โฮ๊ะๆ ...ผมบอกตามตรงว่า ผมได้ลิ้มลองรสสุราเมรัย ก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยนั่นแล .... ก็พี่ห้องพาไปเลี้ยง สุดท้ายก็เมา ... เมาแฮ๊งค์ แต่ไม่ได้อาเจียนออกมา ผลก็คือ วันรุ่งขึ้นเหมือนเป็นตัวอะไรไม่รู้ไปเรียนหนังสือ หลังจากนั้น ผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะไปลิ้มรสสุราเท่าไหร่ ... ปัจจุบันผมไม่ดื่มเหล้านะครับ ถ้าดื่มก็เป็นเบียร์ อิอิ

ส่วนรับน้องมหาวิทยาลัยแบบรวมๆ
ก็เป็นกิจกรรมแนวสันทนาการมากกว่าครับ ก็มีกิจกรรมสอนร้องเพลงเชียร์มหาวิทยาลัย ที่สนามอินทรีย์จันทรสถิตย์ (เอานิสิตปี 1 ขึ้นสแตนด์กันทุกคณะ) แล้วช่วงท้ายๆ ก็จะมีกิจกรรม Freshy Day Freshy Night ซึ่งก็สนุกสนานไปกันพอหอมปากหอมคอ (เสร็จแล้วก็ไปรับน้องคณะ-รับน้องหอกันต่อ อิอิ)

-----------------------------------------------------------
หลังจากที่ผ่านการรับน้องหมดแล้ว ก็จะมีอีกกิจกรรมหนึ่งที่มาก่อนช่วงสอบพอดี ก็คือการแข่งขันประกวดกองเชียร์ และเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัย ... ซึ่งคณะสัตวแพทย์ ก็ส่งเข้าประกวดทุกปี (แต่ไม่ค่อยได้รางวัลกับเขาหรอก) ... โดยก็ไปซ้อมร้องเพลงกันต่อ พวกที่เป็นลีดเดอร์ ก็ไปซ้อมของเขากัน ... แต่ก็เกิดเหตุกันตอนแสดงจริง .. เมื่อการต่อตัวไม่สำเร็จ เพื่อนร่วงไปนอนกลางสนาม (แต่ไม่เป็นอะไรมากครับ) ก็เลยแพ้ไป...

ต่อมา ... ก็เป็นช่วงการสอบ ... การสอบก็ต้องตั้งใจ หลายๆ คนก็จะมีมุมในการอ่านของตัวเอง อย่างผมและเพื่อนๆ หลายๆ คนก็นิยมจะไปอ่านหนังสือใต้คณะ พกยาจุดกันยุง ถุงนอนกันไป ... พอสอบเสร็จก็ฉลอง ไปกินใหญ่ๆ กันซักมื้อหนึ่ง ... (ช่วงสอบปี 1 ยังขำขำไม่เครียดมากเท่าไหร่ครับ)

ตอนปี 1 ผมเองก็เคยอยู่ในกลุ่มใหญ่ๆ ที่เป็นกลุ่มผู้ชายล้วนครับ ... ก็ไปไหนมาไหน ... แต่แล้วก็เกิดเหตุที่ทำให้มีปัญหากับหัวหน้าแก๊งค์ ... เลยทำให้รู้สึกเหมือนถูกหมางเมิน ... จนกระทั่งผมเองก็เลยตัดสินใจมาคบกับเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ (ก็ตอนปี 4 แล้วหล่ะครับ) แต่ปัจจุบันผมก็เฉยๆ นะ คนที่ชอบก็มี คนที่ไม่ชอบก็มี ก็ไม่ได้ไประรานอะไรใคร ก็อยู่ส่วนของผมไปเรื่อยๆ ก็มีเพื่อนสนิทอยู่บ้าง แต่อาจจะไม่ได้มากอะไรนัก .... บางคนก็เหมือนแค่รู้จักกันเฉยๆ แต่หลายๆ คนก็ดีกับผมมากๆ

กลับมาเรื่องชีวิตในหอกันต่อ .... ผมเองก็เริ่มมีเพื่อนสนิทที่หอพักหลายๆ คน ก็ไปมาหาสู่ไปกินข้าวด้วยกันตลอด ... กิจกรรมหนึ่งที่รู้สึกว่าเป็นประเพณีของหอใน (และบางคณะ) ก็คือ การจับเนียร์ (senior ปี 4) แล้วก็การจับชี่ (freshy ปี 1) กิจกรรมนี้ นิสิตปี 1 จะจับรุ่นพี่ปี 4 ได้เท่านั้น ... ส่วนรุ่นพี่ปี 2, 3 และ 4 สามารถจับน้องปี 1 ได้ ...

ก็จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ น้องปี 1 ก็จะต้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น หนีกันไปเป็นแก๊งค์ (เพราะถูกรุ่นพี่ตามล่าบ่อยๆ) ส่วนใครที่หนีไม่ทันก็จะจับไปเปลื้องผ้า(ยังไม่อนาจาร)ขำๆ หน้าหอพัก ... เขียนสีแล้วจับไปมัดประจานตามสี่แยก หรือหน้าหอหญิง ฯลฯ (ทำเฉพาะช่วงกลางคืน ดึกๆ ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น) .... แต่พอน้องรวมตัวกัน จับพี่ได้ ก็เหนื่อยครับ เคยอยู่ทีหนึ่งที่น้อง 6 คนรุมพี่คนเดียวเอาไม่อยู่ สรุปก็ต้องหนีตายกันทั้ง 6 คน เหอๆ ....

ก็... จะมีอยู่วันหนึ่ง ที่พี่ๆ จะจับน้องๆ กันได้ยกรุ่น .... แล้วก็สั่งไปบูม AGGIE กันตรงคูน้ำระหว่างสนามอินทรีย์ฯ กับสนามรักบี้ ... แล้วทีนี้ก็จะมีสัญญาณปล่อยว่า ... "ไปจับเนียร์ได้" ...

เนียร์ก็วิ่งกันตับแล่บ ชี่ก็วิ่งกันตับแล่บ ... กิจกรรมพวกนี้ไม่เครียด ขำๆ เพราะรับเป็นรุ่นพี่เป็นรุ่นน้องกันเรียบร้อยแล้วครับ

-----------------------------------------------------------
ชีวิตปี 1 เทอมแรกก็ผ่านไป... เทอมที่ 2 เรียนหนักขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ ....

-- Organic Chemistry (Or-chem) เป็นวิชาใหญ่ที่สุดวิชาหนึ่งในหลักสูตร สพ.บ. ... ที่ทำให้หลายๆ คนต้องเรียนมากกว่า 6 ปี คือวิชานี้เรียนหนักๆ ทางด้านสูตรโครงสร้างเคมีต่างๆ พันธะต่างๆ โอ้ว ... ผมเองหล่ะไม่ชอบอย่างแรง ... แต่ก็ผ่านพ้นไปได้แบบ D+ (เป็นวิชาแรกที่ได้เกรดนี้)
-- Abridged Physics วิชาฟิสิกส์ เป็นวิชาบังคับของหลักสูตร สพ.บ. ซึ่งผมเองชอบวิชา Lab นะ แต่เรียนวิชา Lecture ทีไรหลับทู๊กที ... อาจารย์สอนได้น่าหลับแถบน่าโดดมาจริงๆ
-- Chordate Comparative Anatomy วิชาคอร์เดต หรือสัตว์มีกระดูกสันหลัง .... รุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนวิชานี้ครับ (รุ่นน้องหลังผม คณะเปิดสอนเองเป็นวิชา Gross I) การเรียนการสอนค่อนข้างเข้มข้นมากจากตำราเล่มเบ่อเริ่ม แล้วสัตว์ต่างๆ ที่จะต้องมาเรียนกายวิภาคกันแบบถึงพริกถึงขิง .... คือ ผมยังจำได้ดีกับการเรียนกายวิภาค โครงสร้างของกระต่าย ... นั่งท่องกระดูกกระต่าย หิ้วกลับบ้าน กลับหอกันไปนั่งท่องตรงนั้นตรงนี้ (อันนี้แค่กระต่ายนะ .... ยังไม่ถึงขั้นสุนัขเลย)

ตอนเรียน Lab ก็จะพาน้องกระต่ายที่อยู่ในถังฟอร์มาลีนมาล้างน้ำก่อน แล้วยกมาเรียน ผ่ากันไปทีละส่วนๆ พอเรียนเสร็จแล้วในส่วนนั้นๆ ก็พาน้องกระต่ายกลับไปนอนแช่ในถังต่อ ... ส่วนขั้นตอนก่อนที่น้องกระต่ายจะไปนอนแช่อยู่ในถัง ก็จัดการโดยเหล่านิสิตนั่นเอง ....

แต่ก็ใช้น้องกระต่ายแต่ละตัวได้อย่างคุ้มค่าครับ เรียนกันครบทุกระบบเลย ... เป็นวิชาหนึ่งที่ประทับใจกับตัวอาจารย์ผู้สอนมากๆ เพื่อนๆ หลายๆ คนก็ยังจำอาจารย์ได้ ....

-- วิชาพละ ... เทอมนี้ผมเลือกเรียนเทนนิส .. เรียนในคอร์ทกลางแดดเปรี๊ยงๆ (ถ้าเรียนวิชาแบดมินตั้นจะเรียนในโรงยิมร่มๆ ... โฮะๆๆ ผมตีก็ไม่ได้เรื่องเลย เลยได้เกรดเน่าไปตามระเบียบ
-- Foundation English III เทอมนี้ผมเรียน Eng 3 เพราะปกติทางมหาลัยจะไม่ให้นิสิตปี 1 ลง Eng 3 เทอมแรก ก็เลยได้ลงเทอมสองกัน ... อาจารย์ก็เป็นคนไทย เรียนกันสนุกสนานดี แต่เกรดก็ปกติ ตอนแรกผมคาดหวังไว้สูง แต่ก็ได้แค่ B ครับ
-- Computer Applications ... วิชาแจกเกรดมาอีกแว๊วว ... ก็สนุกสนานเรียนคอมพิวเตอร์ ขำขำ ไปตามระเบียบ

-----------------------------------------------------------
ช่วงเทอมสอง กิจกรรมค่อนข้างเยอะครับ ทั้งกิจกรรมหอใน แล้วก็คณะ ..... ก็ทำกิจกรรมกันไป เรียนกันไป ...

เรื่องเศร้าของรุ่น

แต่แล้ว ก่อนปีใหม่ปี 2545 ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเพื่อนในรุ่น Vet'65 .... เนื่องด้วย เพื่อนผมที่เป็นคนเชียงใหม่ด้วยกัน ... กลับบ้านช่วงปีใหม่ที่ กิ่ง อ.ดอยหล่อ แล้วถูกรถตู้ยางแตกพุ่งชนขณะที่กำลังซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์เข้าบ้านตัวเอง

เพื่อนผมถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจอมทอง แล้วก็ถูกส่งต่อเข้าโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ .... แต่แล้ว เนื่องด้วยสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก ... ก็เลยเสียชีวิต ....

วันนั้นผมก็อยู่เชียงใหม่ครับ จำแม่นว่าเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2544 ... กำลังนั่งกินหมูกะทะกับเพื่อนโรงเรียนเก่าอยู่ .... ตอนเย็นๆ ก็มีรุ่นพี่โทรมาบอกว่า "เห้ย จุนถูกรถชนนะ กำลังส่งเข้าโรงพยาบาลสวนดอก" .... ผมก็ยังเฉย ... ผมยังคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นซะอีก เพราะเจ้าจุน มันเป็นเพื่อนที่ชอบเล่นๆ อะไรขำๆ และผมเองก็ค่อนข้างสนิทกับจุนอยู่ (ไป-กลับ เชียงใหม่ด้วยกันบ่อยๆ)

ก็ยังคงนั่งกินต่อได้ เพียง 3 นาทีต่อมา สายที่ 2 เพื่อนผมโทรมาอีก.... ก็ยังไม่เอะใจ ... เพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากมั้ง เข้าโรงบาลแล้วด้วยเดี๋ยวค่อยไปเยี่ยม .... .... แล้วก็มาอีกหลายสาย ...

จนเวลาผ่านไปราว 1 ชั่วโมง เพื่อนผู้หญิงโทรมาร้องไห้ ... แสดงว่าสงสัยท่าจะหนักจริงแฮะ ... (เออ ตรูก็เพิ่งคิดได้เนอะ ) ...ก็เลยเหยียบร้อยยี่ ตรงไปโรงพยาบาลสวนดอก

ผมไปถึงสวนดอก 20.20 น. .... แต่จุนเพื่อนผมเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเวลา 20.02 น. .... (ผมพูดตรงๆ นะว่าผมพิมพ์ข้อความช่วงนี้ไป น้ำตาผมไหลพราก )

วันนั้นผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก เพื่อนๆ ก็โทรเข้ามาหากัน ... วันรุ่งขึ้น วันสิ้นปี ... เนื่องด้วยศพของจุนเป็นศพคดี ก็ต้องได้รับการผ่าชันสูตรพลิกศพก่อน จึงจะปล่อยศพออกมาได้ .... ผมก็เลยนั่งอยู่กับคุณพ่อของจุนทั้งวันเลย .... เป็นเพื่อนคุณพ่อหน่ะครับ (ได้ข่าวว่าคุณแม่เป็นลมไปหลายรอบ) ... กว่าจะได้ผ่าก็ตอนบ่าย ... พอผมเห็นศพเพื่อนผมเท่านั้นเอง (พูดอะไรไม่ออก)

ก็เลยเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดของรุ่นไปเลย (แต่ตอนนี้เพื่อนๆ ก็คงจะลืมกันไปหมดแล้วหล่ะครับ ผ่านไปตั้ง 5 ปีกว่าแล้ว) ..... ตอนนั้นเพื่อนๆ 30 กว่าคนก็นั่งรถไฟชั้น 3 มาร่วมงานฌาปนกิจศพของจุน ....

ช่วงนั้นก็เกิดเหตุการณ์ลี้ลับขึ้นพอสมควร ... ด้วยความที่บ้านจุนอยู่ห่างจาก อ.เมืองไปราว 47 กิโลเมตร ผมก็จะขับรถไป-กลับ อยู่ในช่วงระหว่างงาน .... ผมก็จะเหยียบมิดขึ้น 100 ไปตลอดทาง ... แต่ก็จะมีอยู่บางทีที่เหยียบเท่าไหร่ก็ไม่ไป ...เหมือนมีอะไรมาขัดคันเร่งไว้ .... ผมก็เลยนึกถึงเจ้าจุน ผมก็เลยพูดขึ้นมาเปรยๆ ว่า "จุนเอ้ย ตรูขับได้ไม่มีปัญหาอะไร มั่นใจได้" .... พอพูดจบ ความเร็วรถก็พุ่งปรี๊ด กลับมาเหมือนเดิม ....

วันฌาปนกิจ หลังจากที่ทำพิธีฌาปนกิจไปแล้ว (ปกติคนทางเหนือจะทำฌาปนกิจกันกลางแจ้ง) วัดจะอยู่บนเนิน แล้วทุกคนก็จะต้องเดินเป็นระยะทางราว 500 เมตรกลับไปบ้าน .... ผมก็เดินไปกับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ ...

เดินไปได้ครึ่งทาง เพื่อนๆ ทุกคนทักเป็นเสียงเดียวกันว่า หัวผมเหมือนมีขี้เถ้ามาโรยเต็มไปหมดเลย ... ในขณะที่คนอื่นก็ไม่มีผงขี้เถ้าอะไรบนหัวซักนิด ....

แล้ว... ตอนที่เพื่อนๆ ทุกคนกลับกรุงเทพไป ... เนื่องด้วยบ้านผมเป็นสถานที่รับรองเพื่อนมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสื้อผ้า ... เช้าวันที่เพื่อนผมกลับไปแล้ว ... คุณแม่ผมพบว่า พื้นบ้านชั้นล่าง เหมือนมีคนมากวาดพื้นมากองไว้ตรงกลางบ้าน .... (ขอบคุณนะเพื่อนจุน)

ต่อมา ถ้าหากเพื่อนๆ มาเที่ยวเชียงใหม่ ผมก็จะพาไปเที่ยวบ้านจุน ไปเยี่ยมคุณพ่อ-คุณแม่จุนทุกครั้ง แต่ไปทีไร คุณแม่จุนจะต้องร้องไห้ทุกครั้ง .... จนคุณแม่ผมบอกว่า สงสารเขา ไปทุกครั้งแม่เขาก็ร้องไห้ทุกครั้งเลย .... (แต่ผมตั้งใจนะว่า ผมจะไปเยี่ยมบ้านเขา ไปบอกว่าผมเรียนจบแล้วนะครับ ทำงานอยู่ที่เชียงใหม่นี่แหล่ะครับ)

... เสริมอีกนิด...
หลังจากเรื่องการเสียชีวิตของจุนเพื่อนผม ... ก็มีรุ่นพี่หลายๆ คนพูดขึ้นมาว่า อาจจะเป็น "อาถรรพณ์ vet เลขคี่เว้นคี่" ซึ่งมีอยู่ว่า นิสิตรุ่นที่เป็น vet เลขคี่เว้นคี่ จะต้องมีนิสิต 1 คนที่เสียชีวิตในช่วงระหว่างการศึกษา .... ที่ว่ารุ่น 53 57 61 65 และ 69 (เลขคี่เว้นคี่) ต่างก็มีนิสิตเสียชีวิตตอนระหว่างเรียน 1 คน (ก็เป็นเรื่องเล่าที่พิสูจน์กันไม่ได้หน่ะครับ .... อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็ได้ครับ )


-----------------------------------------------------------
หลังจากเรื่องเศร้าจบลง... นิสิตปี 1 ก็ยังคงมีกิจกรรมใหญ่ที่รอคอยกันอยู่ ....

งานเกษตรแฟร์ 2545

หลายๆ ท่านคงจะทราบดีว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะมีงานประจำปีอยู่ทุกๆ ปีในช่วงปลายเดือนมกราคม ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ นั่นก็คือ "งานเทศกาลมะขามหวานและลานเบียร์" เอ้ย ... "งานเกษตรแฟร์" นั่นเองครับ (บางปีจะเป็นงานเกษตรแห่งชาติ สลับกันไปกับที่อื่นๆ)

แต่ละคณะก็จะต้องมาออกร้านกัน ... แน่นอนว่า หลายๆ ท่านน่าจะจำ วัวหัน ตัวใหญ่ๆ โดดเด่นเป็นสง่า หน้าร้านอาหารนิสิตสัตวแพทย์ ได้นะครับ

หน้าที่ของนิสิตสัดแพ้ดปี 1 .... ซึ่งยังคงเป็นเด็กน้อย ยังไม่ต้องทำอะไรมาก หน้าที่หลักก็คือ การเป็นบริกร ... เดินครับเดิน ... เสิร์ฟอย่างเดียว .... มาเฉพาะตอนร้านเปิดช่วงเย็น ตอนกลางวันเตรียมงานยังไม่ต้องไปช่วยพี่ๆ ก็ได้ ...

ถ้าได้ทิปจากลูกค้า ก็จะกลายมาเป็นเงินรุ่นของน้องๆ ปี 1 ซึ่งถ้าช่วงลูกค้ามากก็เสิร์ฟกันมือเป็นระวิง ... เดินกันน่องโป่ง ... รับรู้ว่าบริกรต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง แต่ก็ดีครับ ฝึกทักษะ service mind ที่ดี ....

เป็นกิจกรรมที่ทำให้รู้จักรุ่นพี่เยอะมาก โดยเฉพาะช่วงปี 1-2-3 ซึ่งอยู่ฝั่งบางเขนด้วยกัน โดยพี่ปี 3 จะเป็นหัวเรือใหญ่ของร้าน เป็นหัวหน้าซุ้มอาหารประเภทต่างๆ ส่วนปี 2 ก็จะช่วยปี 3 ทำงาน ... น้องปี 1 ก็เป็นบริกรกันไป ...

งานมีอยู่เกือบ 10 วัน เล่นเอาน่องโป่ง โฮ๊ะๆๆๆ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกมากๆ สนิทสนมกับเพื่อนๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ....

เสร็จแล้วก็สอบ ......... หมดไปอีกแล้ว 1 ปี ....

ตอนที่ 2 นี้เลยยาวเป็นพิเศษครับ แต่คิดว่าตอนหน้าๆ คงจะไม่ยาวมากเท่าไหร่ .... โดยตอนหน้าจะใช้ชื่อว่า
++แป๊บๆ ก็จะเรียนจบปี 6 แล้วเนอะ++ [ตอนที่ 3 : ขึ้นสัดแพ้ดปี 2 เข้าไปเรียนในคณะ เริ่มเป็นรุ่นพี่แล้ววุ๊ย]

ขออภัยที่ยาวไปหน่อย หวังว่าจะไม่ว่ากันนะครับ
ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบครับ


Create Date : 19 มกราคม 2550
Last Update : 19 มกราคม 2550 22:07:01 น. 10 comments
Counter : 4336 Pageviews.

 
สัตวแพทย์ในสายตาเรา คือ คนอบอุ่นมาก ๆ นะคะ

เพราะรักสัตว์ รักษาสัตว์ให้หายป่วย

ดีใจด้วยค่ะ ที่จบแล้ว


โดย: โสดในซอย วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:22:02:30 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกหลายอารมณ์ดีจังจ๊ะ ตอนแรกไม่ทันจะเข้ามาอ่านแต่แว๊บไปเห็นชื่อ เอ๊ะๆๆ คุ้นๆ เหมือนเคยเจอ แล้วก็อ๋อ เพื่อนห้อง Blue นั้นเอง เขียนต่อนะ แล้วพี่จะแว๊ะมาอ่านบ่อยๆๆ จ๊ะ


โดย: Ceed วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:22:14:45 น.  

 
ปีที่ 6 นี่คือเฉพาะทางเหรอ เก่งจัง จะจบ จะรวยแล้ว


โดย: ต่อตระกูล วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:22:33:51 น.  

 
แวะมาทักทายครับ เพราะ HFlight.net ให้ข้อมูลและความรู้แก่ผมเยอะเลย พอได้เห็นชื่อนี้เลยอดใจไม่ไหวขอเข้ามาสวัสดีหน่อยครับ


โดย: ดีสุดขั้วชั่วสุดขีด วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:22:41:02 น.  

 
อ่านเพลินเลยคะ
ที่บ้านเลี้ยงแมวคะ
สัตวแพทย์ประจำ เป็นคุณหมอแสนสวย
รู้สึกจะจบจุฬา มังคะ (แอบดูรูปที่ฝาบ้านหมอ คริคริ)


โดย: อิ๋ง (อิ๋ง ณ มอ. ) วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:22:57:11 น.  

 
ชีวิตหมอสัตว์แสนจะยากจนครับ ... เป็นหมอคนรวยกว่า

ถ้าของเกษตร ปี 6 จะเรียนเพื่อเป็น General Vet อ่ะครับ เรียนไปหมดทุกชนิดสัตว์ ไม่ได้แยกย่อยว่าจะถนัดสัตว์อะไร แต่ต้องเรียนรู้ทุกชนิด ทั้ง สัตว์เล็ก(หมาแมว) ไก่ ม้า วัว(โคนม) สัตว์น้ำ หมู สัตว์ป่า ครบหมดครับ ...


โดย: ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์ วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:23:15:07 น.  

 
สนุกจังค่ะ...ไว้มารออ่านต่อนะค้า


โดย: นันทดา วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:23:52:16 น.  

 
เข้ามาแอบอ่านค่ะคุณพี่ หนู vet 70 ค่า

Organic Chemistry (Or-chem) เป็นวิชาใหญ่ที่สุดวิชาหนึ่งในหลักสูตร สพ.บ. - - อันนี้เห็นด้วยอย่างแรง


โดย: แก้วตาขาร็อค วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:51:37 น.  

 
เข้ามารำลึกความหลังครับ.. อ่านๆยังเห็นภาพตัวเองลอยอยู่ในเรื่องเลยนะเนี่ย..อิอิ

พอดีเป็นรุ่นเลขคู่ซะด้วยสิ..

( เห็นน้องคนบนแล้วเครียดเลยแฮะ ห่างกันตั้ง 10 รุ่นแล้วเหรอเนี่ย)


โดย: prapasawat วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:40:41 น.  

 
ใกล้จบแล้ว ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยนะครับ


โดย: กะได วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:7:08:49 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Friends' blogs
[Add ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.