นิพพาน
จิตเดิมที่บริสุทธิ์อยู่ก็จิตปุถุชนนี่แหละคับ****เดิมแล้วมันบริสุทธิ์***แต่กิเลสจรมากระทบเมื่อยังไม่มีวิชชา***มันก็ปรุงแต่งไปตามกิเลสพร้อมที่จะปรุงแต่งไปตามกิเลสสกปรกได้ทุกเวลา**
****จิตปุถุชนจึงเปรียบเสมือนกระดาษทิชชู่ที่ขาวสะอาดแต่พร้อมจะซึมซักน้ำหรือกิเลสได้ทุกเมื่อ******
****ส่วนจิต***อรหันต์นั้น***เปรียบเสมือน***น้ำกลิ้งบนใบบัวใบบอนไม่ซึมซับกิเลสอีกแล้ว*********จิตเดิมที่บรสุทธ์จึงไม่ได้มาจาก****นิพพานหรืออสังขตะ***ตามที่บางสำนักเข้าใจแต่ประการใด***เป้นจิตเดิมของปุถุชนที่ยังมีอวิชชาอยู่นี่อีกคับสาธุ****อวิชชาคือความไม่รู้ในอริยะสัจ4*****ความไม่รู้ว่าขันธ์5เป็นทุกข์****สาธุ สาธุ สาธุ
ขันธ์5เป็นสังขตะ คือโลก รูป1นาม4 คือทุกข์ จิตปรุงแต่งเกิดดับตลอดเวลา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เพราะยังมีอวิชชาห่อหหุ้มอยู่
เมื่อเกิดวิชชาคือมรรค8 ดับตัณหา3 คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ที่เรียกว่า***สมุทัย***เพื่อความดับทุกข์**นิโรธหรือนิพพาน
มรรค8ทางเดียวเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้สนิทไม่กลับกำเริบอีกศาสนาอื่นไม่มี****จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น***ด้วยอุปาทาน**
*****จิตไม่ปรุงแต่งอีกต่อไป ไม่เกิดอีก แต่พระตถาคตก็ไม่ทรงตรัสบอกว่า เมื่อไม่เกิดอีก จะดับลงหรือไม่เมื่อกายแตกสิ้นชีพลง**
พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงอธิบายว่า พระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพานเมื่อดับขันธ์แล้วจะอยู่ในสภาพเช่นใด การอธิบายทำได้ในลักษณะเพียงว่า นิพพานคือการดับทุกข์ สิ้นตัณหา เหมือนไฟที่ดับจนสิ้นเชื้อไม่สามารถที่จะลุกลามขึ้นมาได้อีก สำหรับพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้วนั้น พระพุทธองค์ไม่ตรัสยืนยันถึงความมีอยู่หรือความดับสูญ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ทั้งเทวดาและมนุษย์จะไม่สามารถเห็นพระองค์อีกต่อไป "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต" ( ที.สี.14/90 )สาธุ***
Create Date : 17 กรกฎาคม 2563 |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2563 10:38:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 157 Pageviews. |
|
|
|
| |