Group Blog
 
All blogs
 

จับคู่




Warning! เรื่องนี้คือฟิคชั่นค่ะ มันคือฟิคชั่นที่บริบทแวดล้อมเป็นดังในเรื่องเน้อ มีแรงบันดาลใจมาจากข่าวลือบ้าง แต่มันคือฟิคชั่นที่ข้าพเจ้าเอามาผสมกันจนเป็นเรื่องนี้ ไม่ได้คิดว่าจริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเน้อ ^















หากวันใดวันหนึ่งคุณถูกจับคู่กับคนที่คุณรัก.......แอบรัก


และเค้าคนนั้นก็ไม่เคยจะรับรู้ถึงความรู้สึกคุณเลย....ไม่เคยจะหันมาสนใจเลย


แล้วคุณจะทำยังไง...จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไง


เมื่อหัวใจกับเหตุผลมันแปรกผกผันกันโดยสิ้นเชิง





.::::: PAIRING :::::.






“อย่ามายุ่งกับฉัน!”


นั่นคือเสียงตวาดของคนที่ผมพูดถึงเมื่อเจ้าตัวกำลังโมโหจัดถึงขนาดที่กล้าตวาดเพื่อนสนิทที่ตามตอแยไม่เลิก นานๆ สักครั้งเหมือนกันที่อึนฮยอกจะโกรธใครจริงจังกับเค้าได้บ้าง และคนที่โดนหางเลขคราวนี้คือคนที่ชอบแซวอะไรไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างเจ้าหมวย


มือเล็กชะงักค้างจากการที่จะตบหัวเพื่อนเล่นอย่างเคยกลายเป็นยืนตัวแข็งหลังจากที่พวกเรากลับมาถึงที่พักกันแล้ว จริงๆ สาเหตุของความโกรธคราวนี้ไม่ได้มาจากทงเฮมันหรอก แต่มันมาจากผมที่ยืนทนโท่และโดนตาเรียวๆ นั่นตวัดมามองอย่างขุ่นเคืองต่างหาก


“ฮยอกแจ....”


เสียงพี่ทึกที่ออกมาคราวนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อคนตัวเล็กของผมไม่ยอมฟังอะไรเพราะก็เล่นพูดขัดขึ้นทะลุปล้องไม่รอหัวหน้าวงพูดจบ


“คืนนี้ผมไม่กินข้าวเย็นนะครับ ไม่ต้องเรียกก็ได้”


ปังงง!!!


และนั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เจ้าตัวไม่วายทิ้งสายตาเจ็บแค้นมาให้ผมก่อนจะปิดประตูห้องเสียงดัง เจ้าปลาป่วนยังยืนค้างท่าไหนก็ยืนท่านั้น และถ้าผมมองไม่ผิดก็เหมือนจะเห็นเจ้าตัวเล็กมันแอบปาดน้ำตาทิ้งแล้วก็เดินหนีเข้าห้องไปด้วย


“ฮึก...ผมก็...ฮึกๆ...ผมก็ไม่กินเหมือนกันฮะพี่...ไม่ต้องเรียกผมนะ...ซื้ดดด แต่เหลือไว้ให้หน่อยก็ดีนะฮะ...”


ปังงง!


และคู่เพื่อนซี้ก็เล่นหายเข้าไปในห้องทั้งสองคนพาที่เหลือได้แต่ถอนหายใจไปตามๆ กัน


“ไม่ใช่ความผิดนายน่า ไปกินข้าวไป”


พี่ชายคนสวยเดินเข้ามาตบหัวผมที่ยังยืนจ้องประตูห้องแรกเบาๆ ก่อนจะโอบไหล่พาผมเดินไปกินข้าว แต่ถึงแม้พี่จะอ่อนโยนแค่ไหน...เจ้าความเจ็บจุกๆ ในใจนี่มันก็ยังไม่หายไป เพราะเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมยังจำได้ดี....จำได้ดีถึงจดหมายจากแฟนคลับผมที่ส่งให้ฮยอกแจและสีหน้าของคนที่ผมรักที่ค่อยๆ นิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายคือความเรียบเฉยบนใบหน้าขาวสว่างพร้อมๆ กับที่มือเล็กกำแน่นจนน่าจะเจ็บด้วย


‘อย่ามายั่วเจ้าชายของพวกเรานะ กลับไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองซะไปอึนฮยอก’


‘นายมันวางแผนจับซีวอน เพราะซีวอนรวยใช่มั้ยนายถึงมายั่วไม่เลิก’


‘อย่ามายุ่งกับซีวอนของพวกเรานะเจ้าขี้เหร่อึนฮยอก’


จดหมายพวกนี้มันมีไม่กี่ประโยคหรอก แต่ในความน้อยนั้นไก่น้อยคงอ่านได้จนจำขึ้นใจ ฮยอกแจก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่คงไม่ชอบเรื่องอย่างนี้นักถ้าไม่ติดเพียงว่าคนที่เจ้าตัวรักก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ในความหมายที่โดนว่ามันกลับแตกต่างจากที่โดนจับคู่กับผมคนละขั้ว

เพราะคนที่ผมรักเค้ารักเพื่อนสนิทอีกวงของเค้าอยู่แล้ว การโดนจับคู่กับผมแถมโดนยัดเยียดบทของคนที่เข้ามายั่วยวนผมคงไม่ใช่เรื่องน่าปลื้มนักหรอก

หึ...ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

พระเจ้าเล่นตลกกับชีวิตผมรึไงนะ


“จะวอนฮยอก ฮันฮยอก อึนเฮ ฮยอกมินหรืออะไรฉันก็ไม่เอาแล้วทั้งนั้น! อย่ามาจับคู่ฉันกับใครอีก! ปล่อยฉันอยู่คนเดียวไม่มีคู่มันก็ไม่ตายหรอก!!”


คนที่ผมรักเผลอตวาดอย่างโกรธจัดเมื่อโดนล้อจากเจ้าปลาน้อยหนักข้อขึ้น ทงเฮเองก็ไม่ได้รู้เวล่ำเวลาในการล้อชาวบ้านเอาซะเลย ...ไม่ได้ดูอารมณ์ของคนที่ถูกล้อเอาซะเลย เพราะตลอดทางเจ้าตัวถามคนนั้นคนนี้ทีว่าได้อ่านจดหมายพวกนั้นมั้ย เจ้าปลาป่วนเองก็คงตงิดๆ ถึงความรู้สึกผมอยู่แล้วเลยตอแยฮยอกแจไม่เลิก และเจ้าตัวก็สรุปเสร็จสรรพในหัวเล็กๆ ว่าอาการหน้าแดงจัดและความแน่นิ่งของเพื่อนสนิทคืออาการเขิน


ผมรู้...นี่คือวิธีการช่วยเป็นพ่อสื่อให้ผมของอีทงเฮ


แต่เพียงแค่จังหวะอารมณ์ที่มันผิดเพี้ยนตรงข้ามไงล่ะที่ทำให้ฮยอกแจโกรธจริงจนถึงกับตวาดออกมาอย่างนั้นแถมยังปฏิเสธข้าวเย็นด้วย

ฮะๆๆๆ แปลกมั้ยล่ะที่คนที่เห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขั้นมาเคาะประตูบ้านผมเพื่อจะมาขอให้ทำอะไรให้กินจะโกรธถึงขนาดไม่ยอมกินอะไร


ฮะๆๆๆ มันยังจะมีอีกมั้ยเสียงเคาะประตูถี่ๆ รัวๆ จากคนที่ผมรัก นับจากวันนี้ไปคนนั้นจะยังเข้าใกล้ผมเหมือนเดิมมั้ย

ผมผิดเอง...ผิดเองที่ห้ามใจไม่ไหว...ห้ามใจที่จะใกล้ชิดและดูแลไม่ไหว สายตาของผมที่มองสื่อไปมันคงเปิดเผยชัดแจ้งกับคนที่ชอบจับผิดอยู่แล้วเกินไป

ผมผิดเอง



ป้าบ!



“กินข้าวซะไอ้น้องขี้เก๊ก นั่งจ้องเป็นพระเอกมิวสิคไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก!”


ฝั่งซ้ายมือของผมคือหัวหน้าวง และฝั่งขวามือของผมคือเจ้าของหัวหน้าวง และคนฝั่งขวาก็เอามือหนาๆ มาซัดหัวผมจนแทบจะจมลงไปกับจานข้าวที่ผมนั่งเขี่ยมันเล่นร่วมสิบนาที ถัดจากอาการขู่ของคนฝั่งหนึ่งก็เป็นอาการปลอบจากคนอีกฝั่งหนึ่ง

“เดี๋ยววันนี้พี่จะนอนกับฮยอกแจ จะเอาข้าวเข้าไปให้น้องเอง ดึกๆ คงหิวแหละเหนื่อยมาทั้งวันนี่ ดังนั้นนายก็กินข้าวซะพรุ่งนี้เรายังมีงานอีกเยอะ จะได้มีแรงทำงาน”

ช่างทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ดีเหลือเกิน

และส่วนอีกคนที่ก็ปฏิเสธข้าวเย็นเช่นกันก็ไม่น่าห่วงหรอกเมื่อใครบางคนในโต๊ะก็นั่งกินข้าวเงียบๆ ไม่พูดไม่คุยตามปกติ แต่วันนี้เจ้าตัวกลับอิ่มเร็วกว่าปกติและหยิบนั่นหยิบนี่ใส่กล่องหลายกล่องและขอตัวลุกจากโต๊ะก่อนคนอื่นด้วย

เจ้าปลาน้อยคงมีข้าวเย็นแล้วล่ะ





ผมไม่รู้หรอกว่าหัวหน้าวงพูดอะไรกับคนตัวเล็กของผมคืนนั้น แต่ที่ผมรู้คือมันไม่ได้ผล ฮยอกแจยังนั่งนิ่งเช่นเดิมและแต่ก่อนที่จะมีเสียงใสๆ ของทงเฮมาช่วยพูดจ้อนั่นนี่ระหว่างทางให้ไม่เบื่อ วันนี้เจ้าตัวกลับนั่งเงียบและลอบสังเกตหน้าเพื่อนซี้อย่างเกร็งๆ ไปด้วย

อย่างที่บอก...ไม่บ่อยนักหรอกที่จะเห็นฮยอกแจโกรธจัดขนาดนี้...ถ้าเป็นแต่ก่อนแค่ทงเฮไปง้องอนนิดหน่อยหน้าบูดๆ นั่นก็จะยิ้มกว้างโชว์เหงือกสวยๆ ไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่เจ้าปลาชอบสอดยังไม่กล้าเข้าไปใกล้

แล้วใครจะกล้าล่ะ?

และยิ่งเมื่อเค้าเหมือนไม่สนใจใครโดยเฉพาะผม เพราะถ้าเมินได้เจ้าตัวก็จะหันหน้าหนีไปอีกทางจนคอบิด ไม่ก็ทิ้งระยะห่างจากผมร่วมสิบเมตรได้มั้ง(ตัวเลขมันเว่อร์เกินผมรู้) ผมเดินหน้าแถวฮยอกแจก็จะหลบไปเดินท้ายแถว พอผมถอยมาท้ายแถวบ้างเค้าก็จะรีบๆ วิ่งไปเดินหน้าแถวชนิดที่จะไม่มีภาพของพวกเราอยู่ในเฟรมเดียวกันแน่ๆ

ผมนี่มันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยรึไงนะ



และอาการนิ่งเงียบอย่างนี้มันก็เดินมาถึงช่วงเวลาที่พบแฟนๆ

ฮยอกไม่ใช่คนเฟคเก่ง ดังนั้นเค้าคิดอะไรเค้าก็จะแสดงออกมาตรงๆ ถ้าเค้ารู้สึกสนุกเค้าก็จะหัวเราะ ถ้าเค้าเครียดเค้าก็จะไม่ยิ้ม นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบฮยอกแจ เพราะผมสบายใจเมื่ออยู่กับเค้า ผมไม่ต้องระแวง ไม่ต้องเกร็ง ผมสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่เมื่ออยู่กับฮยอกแจ ยกเว้นสิ่งเดียวที่ผมพยายามซ่อนมันเอาไว้ไม่ให้เค้าเห็น


ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ นี่ไงล่ะ


แต่วันนี้ความเป็นคนตรงของเค้ากลับทำให้ผมหนักใจ แต่ก่อนเค้าคงไม่ค่อยอะไรมาก มีก็มีไป แต่วันนี้ป้ายคู่ของพวกเราบางป้ายกลับยิ่งตอกย้ำความรู้สึกในใจเค้ามากขึ้น ความห่างเพียงแค่หนึ่งคนคั่นทางกายมันกลับแตกต่างกับความห่างทางใจเมื่อรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก


ถ้านายโดนจับคู่กับจุนซูนายจะยังทำท่าโกรธเหมือนโดนจับคู่กับฉันมั้ย?


ถามให้ตัวเองเจ็บเองเล่นๆ เมื่อคำตอบนั้นผมก็รู้อยู่แก่ใจดี สภาพในวงอย่างนี้ไม่มีใครชอบหรอก พวกเราต้องป่วนๆ รั่วๆ ฮาๆ สิ อาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูกนี่มันไม่น่าใช่ฝูงลิงสิบสามตัวที่แฟนคลับเรียกขาน



หากเรื่องมันเริ่มที่ผมก็ควรจะจบที่ผมซะจริงมั้ย?




ก๊อกๆๆๆ


“ฮยอก นี่ฉันเอง...ซีวอน....เปิดประตูหน่อยสิ”


ก๊อกๆๆๆๆๆ


ผมเคาะประตูห้องนี้ไปกี่ครั้งแล้วนะ

ผมเคาะประตูห้องของคนที่ปฏิเสธข้าวเย็นอีกรอบนี่ไปกี่ครั้งแล้ว

และมันก็ไม่ใช่ภาวะที่ผมจะเกรงใจเมื่อสิ่งที่กำลังจะทำคือการทำร้ายตัวเองต่างหาก ดังนั้นกุญแจที่ได้มาจึงถูกผมใช้ไขประตูห้องออก


และภาพที่เห็นคือคนตัวผอมคนหนึ่งกำลังนั่งเกาะอยู่กับเก้าอี้ข้างประตูกระจกบานใหญ่ที่เปิดออกสู่ระเบียง เจ้าตัวหันมามองด้วยสีหน้าตกใจนิดหนึ่งแต่ก็หันกลับไปอย่างไม่สนใจทันที


“ข้าวเย็น....”


ของประกอบคำพูดในมือถูกวางลงบนโต๊ะตัวหนึ่งในห้อง แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ยังนั่งหันหน้าเหม่อมองวิวนอกห้องอยู่อย่างนั้น


บรรยากาศช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน


แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเล่นแง่อ้อมโลกกันแล้ว จบได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


“ฉันทำอะไรผิดเหรอฮยอกแจ?”


“.............”


“ฉันผิดที่กอดเพื่อน ผิดที่บอกว่าคิดถึงเพื่อน ผิดที่ไปห้ามคำพูดแฟนๆ ของฉันไม่ได้นายถึงโกรธใช่มั้ย?”


“...........”


“ถ้านายเงียบเมื่อไหร่ถึงจะรู้เรื่องกันล่ะ ถ้านายเงียบก็ไม่มีใครเข้าใจหรอกนะ ถึงแม้ทงเฮจะอยากขอโทษนายแต่ถ้านายไม่พูดเจ้านั่นก็ไม่รู้ตัวหรอกนะ!”


“ตะ.....แต่....”


“เป็นข่าวกับคนอื่นทำไมนายไม่โกรธ เป็นข่าวกับซองมินเอย ทงเฮเอย ทำไมนายถึงไม่โกรธ! แต่แค่เป็นข่าวกับฉันทำไมต้องโกรธด้วย! สำหรับนายฉันคงไม่จัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทนายใช่มั้ยถึงต้องปฏิบัติกับฉันแตกต่างจากคนอื่นอย่างนี้!”


“...อึก...ฉันไม่ได้...”


“ไม่ได้อะไร? ไม่ได้โกรธฉันแล้วไม่กี่วันที่ผ่านมานี่ล่ะ? นายจะบอกว่านายไม่ได้ทำตัวแยกห่างจากฉันงั้นเหรอฮยอกแจ? ฉันผิดอะไรฮึที่นายต้องเมินฉันทั้งวันด้วย!”


“...ก็นาย...ก็นายไม่รู้ตัวหรอก! แค่เดินข้างนาย...แค่อยู่ข้างนายก็ถูกมองอย่างนั้นแล้ว! ฉันไม่เคยคิดจะยั่วใคร! ไม่เคยคิดจะจับใคร! ถึงฉันไม่ได้หล่อได้รวยอย่างนายแต่คนอย่างฉันก็มีศักศรีดิ์เหมือนกัน! คนอย่างนายไม่เคยเข้าใจหรอก!!”


นายต่างหากที่ไม่เคยเข้าใจ


“ฉันไม่อยากโดนมองอย่างนั้น ไม่อยาก...ให้ใครเข้าใจผิด...เจ้าชายที่เพอเฟคต์ตลอดอย่างนายไม่เข้าใจหรอกชเวซีวอน!!”


เจ็บแฮะ


คำเรียกขานที่ได้ยินบ่อยๆ มันทำให้ใจเจ็บจี๊ดๆ ได้ตอนนี้เองเมื่อมองคนตรงหน้าอย่างขมขื่น


รู้บ้างมั้ย...ตั้งแต่รู้จักกับพวกนาย...ตั้งแต่รู้จักนาย....ฉันก็ไม่เคยอยากได้ฉายานี้อีกเลย...ฉันอยากเป็นพรรคพวกเดียวกับพวกนาย...เป็นกลุ่มเดียวกันที่ไม่ต้องดูแปลกแยกออกมา...และที่สำคัญ...


ฉันอยากเป็นคนที่ยืนข้างๆ นายได้รู้บ้างมั้ยฮยอกแจ


แต่เพียงแค่มีข่าวกับฉันนายกลับกลัวคนอื่นเข้าใจผิดถึงกับที่ต้องทำตัวห่างออกไปซะเอง..นายกลัวคนของนายเข้าใจผิดใช่มั้ย?


ทั้งๆ ที่เค้าก็ไม่ได้รักนายแต่นายกลับให้ความสำคัญกับแค่ความเข้าใจตรงนี้มากกว่าความรู้สึกฉัน


เจ็บชะมัด


“หึ....ก็ได้นะฮยอก...ฉันมันผิดเองทั้งหมดนั่นล่ะ ..หึ...ผิดที่เกิดมาหล่อ ผิดที่เกิดมาบ้านรวย ผิดที่เกิดมาเท่ห์...ผิด....ที่เกิดมาเป็นเพื่อนนาย..” และผิดที่เกิดมารักนาย “...ฉันผิดเองอย่างนั้นใช่มั้ย?”


“..........”


“ก็ได้อึนฮยอก...ก็ได้...ถ้านายแคร์กับคนไม่กี่คนที่ไม่รู้จักมากกว่าเพื่อนที่คบกันมาตั้งนานอย่างฉัน ฉันจะเป็นฝ่ายไปเองก็ได้! ฉันจะไม่เข้าใกล้นาย! ฉันจะไม่พูดถึงนาย! จะไม่ทำอะไรที่มันเกี่ยวกับนายจนต้องเป็นข่าวอีกต่อไปแล้ว! สบายใจได้เลย!!”


พูดคำสัญญาที่ราวกลับกรีดลงบนหัวใจของตัวเองจบผมก็หมุนตัวจะเดินออกจากห้องนั้นอย่างเร็วเพื่อไปเลียแผลให้ตัวเอง แต่มือที่กำลังจะแตะลูกบิดก็ต้องเผลอชะงักค้างเมื่อรู้สึกถึงแรงรัดตรงเอวจากแขนผอมๆ ขาวๆ คู่หนึ่ง


และคำสั้นๆ คำเดียวที่ออกมาก็พาให้หัวใจมันอ่อนยวบลงไปถึงไหนต่อไหน


“ขอโทษ....”


พร้อมๆ กับที่รับรู้ได้ถึงอาการสั่นของคนข้างหลังก็เหมือนเจ้าตัวจะพยายามรัดแขนทั้งคู่แน่นเข้าและซบหน้าเปียกชื้นลงกับแผ่นหลังผม


“ขอ...ฮึก...ขอโทษซีวอน...ฉัน...แค่เครียด...ไม่ได้ตั้งใจจะ...ฮึก...หมายถึงอย่างนั้น....อึก....หาย...ฮึก....โกรธเถอะนะ...”


ตอนนี้ผมต้องหักห้ามใจเหลือเกิน...หักห้ามใจที่จะไม่คว้ามือเล็กเอาไว้และหันไปกอดตอบ เพราะคนที่กำลังเอ่ยปากขอโทษอยู่นี่อาจจะระแวงเอาได้


“ทำไมล่ะ? ถ้าฉันเข้าใกล้นายอีกก็ต้องเป็นข่าวอีก...ฉันไม่อยากโดนนายโกรธอีกครั้งหรอกนะ”


และคราวนี้ไม่จำเป็นต้องหักห้ามใจเมื่อมือเล็กคู่นั้นกลายเป็นฝ่ายควานหามือผมมากุมแน่นซะเอง ความอบอุ่นและนุ่มนวลที่แทรกเข้ามาทำให้ผมฉวยโอกาสสอดนิ้วเกาะกุมไว้แน่นเช่นกัน


ถึงจะแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ...แต่ฮยอกแจไม่ใช่คนจะทำอะไรหวานๆ อย่างนี้บ่อยๆ หรอก


แกล้งงอนซะบ้างก็ได้กำไรดีเหมือนกันนะ ^ ^


“ไม่โกรธแล้ว...ฉันสัญญาจะไม่ทำตัวงี่เง่าอย่างนั้นอีกแล้ว...หายโกรธเถอะ”


ผมรู้สึกได้ว่าถ้าใครมองตอนนี้คงเห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบนักหรอกเพราะมันลดความเท่ห์ของผม แต่คนที่ฉวยโอกาสกอดผมกลับชอบมันมากจนบางครั้งเอานิ้วมาจิ้มๆ เล่น


แต่เพื่อเค้า...ผมยอมได้ทุกอย่างอยู่แล้ว


ยอมแม้คนที่ผมรักจะทำตัวงี่เง่าแค่ไหน..เพราะถ้าเค้าง้อผมน่ารักอย่างนี้ผมถือว่าผมได้กำไร


ดังนั้นผมต้องยอมต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงท้องร้องของคนที่กำลังฉวยโอกาสผมอยู่ และต้องทำเป็นเนียนไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนด้วยการไม่รื้อฟื้นเรื่องที่เจ้าตัวคงคิดว่าน่าอายพูดขึ้นมาล้อ


การเป็นเพื่อนมันก็มีข้อดีตรงนี้เอง


ข้อดีตรงที่เค้าไว้ใจและยอมฟังผมโดยไม่มีอคติ ข้อดีที่อย่างน้อยเค้าก็เป็นคนที่รักเพื่อนมากจนต้องเป็นฝ่ายทำอะไรที่ไม่คุ้นชินอย่างนี้


เอาน่า..สถานะนี้มันก็ไม่เลวนักหรอก อนาคตใช่ว่าเปลี่ยนไม่ได้ แต่ ณ ตอนนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้ว ผมมีความสุขกับการได้นั่งข้างๆ และมองเค้ากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ ผมมีความสุขกับการได้แอบรักเค้าเงียบๆ อย่างนี้


แต่อนาคตคือเรื่องของอนาคต ดังนั้นถ้าใจเค้าว่างเมื่อไหร่ผมไม่รับประกันหรอกว่าตอนนั้นจะไม่รุกอย่างหนัก ผมจะให้เวลาแห่งความสงบสุขกับเค้าจนกว่าจะถึงตอนนั้น


ผมเป็นคนดีใช่มั้ย ^ ^







END






ฟีลฟังเพลงข้างบนแล้วเลยอยากแต่งขึ้นมากะทันหัน มันก็เลยมาแบบไร้พล็อตฉะนี้แล (- -)(_ _)
หากเม้นดูออกไปนอกแนวที่อยากจะสื่อ(มีเรื่องที่อยากสื่อกะเค้าด้วยรึ (= '' =) ก็จะมาลบเนื้อเรื่องออกนะคะ อยากเมนความรู้สึกคนเล่าอ่ะไม่ได้อยากเมนเรื่องใดนอกเหนือจากนี้
อ่านเอาสนุกนะคะ ^ ^




 

Create Date : 08 มีนาคม 2552    
Last Update : 8 มีนาคม 2552 19:44:49 น.
Counter : 385 Pageviews.  

Kiss Mark <- - (How To)/(Why do I) Make It





กิ๊งก่องงงงงงงงงงงงง

“คร้าบบบ เดี๋ยวไปเปิดแล้วครับ”

กิ๊งงงงงงงงงก่องงงงงงง

กิ๊งก่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงกดออดถี่รัวย้ำๆ ทำให้ร่างสูงบนโซฟาต้องรีบโยนรีโมทในมือทิ้งก่อนจะผุดลุกตรงไปยังประตูหน้าบ้านที่เสียงกดยังดังสนั่นหวั่นไหวอยู่นั่น

“เออน่า รู้แล้วโว้ย!” ไม่ต้องอาศัยการส่องลอดตาแมวเพื่อดูว่าใครมาหาเพราะเสียงกดแบบไม่เกรงใจอย่างนี้มีไม่กี่คนแน่ ”ว่าไงเจ้าไก่น้อย”

ก็นั่นล่ะ คนที่ยืนอยู่หน้าบ้านคือร่างขาวจัดของเพื่อนร่วมวงที่ทำหน้าง้ำอยู่หน้าประตู ยังไม่ทันจะได้เอ่ยบ่นเสียงนุ่มๆ ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจแล้ว

“นอนด้วยคืนสิ!”

และไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านตอบเช่นกันคนพูดก็แทรกๆ ตัวผ่านคนตัวใหญ่เดินเข้าไปเฉยเลย

ให้มันได้อย่างนี้สิพระเจ้า!

...


...


คุณเคยแอบรักเพื่อนสนิทบ้างมั้ย?

ถ้าใช่แล้วคุณจะทำยังไงเมื่อเพื่อนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเล้ยคนนั้นมาขอนอนด้วย?

ซึ่งคำถามต่อมาก็คือ....ตกลงผมจะผ่านคืนนี้ด้วยความทรมานขนาดไหนกันแน่เนี่ย T T


...

...


“เป็นอะไรน่ะ?”

คนที่เข้ามาแล้วเอาแต่นั่งทำหน้าเครียดทำให้เจ้าของบ้านที่เดินตามมานั่งข้างๆ ต้องเอ่ยถามเบาๆ ท่าที่ปากแดงเม้มแน่นไปบวกกับเอาหมอนอิงมาชกๆ ระบายอารมณ์ไปมันเลยพาความเอ็นดูแทรกขึ้นมาด้วยเมื่อเห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้

“ทะเลาะกับทงเฮอีกแล้วล่ะสิ?”

ก็ยังเงียบอยู่หรอกแต่ตัวที่สะดุ้งนิดบอกว่าใกล้เคียงกับความจริงไม่มากก็น้อยแหง

“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ?”

“...........”

“ถ้าไม่เล่าฉันก็จะไปนอนต่อล่ะนะ...วันหยุดทั้งที นายอยากทำอะไรก็ทำไปแค่อย่าทำร้ายข้าวของฉันก็พอ...” ท่าทีที่ไม่สนใจจริงจังมันได้ผลซะด้วยเมื่อเรียกตาหยีให้หันไปมองคนที่ทำท่าจะผุดลุกด้วยคิ้วบางที่ขมวดย่น “...มันแพง!”

“งก!”

เอาล่ะ...คำเดียวที่ออกมาตามคาดก็ช่วยหยุดให้หันกลับมานั่งดังเดิมได้แล้ว แต่หน้าที่สะบัดกลับไปจ้องหมอนเหมือนเดิมก็พาให้รอยยิ้มเล็กๆ มันผุดขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางขี้งอนแบบนั้น

“ไม่เท่าเพื่อนสนิทนายหรอก ตกลงมีเรื่องอะไรกันอีกแล้วล่ะ?”

ไม่แปลกที่จะสันนิษฐานอย่างนี้เพราะสองคนนี้ค่อนข้างสนิทกันแล้วนิสัยก็ซนและรั้นพอๆ กันด้วย สนิทกันมากๆ ก็ชอบทะเลาะชอบงอนกันง้องแง้งอย่างนี้เป็นประจำ

“...........”

แต่เจ้าไก่น้อยก็เล่นกลับไปนั่งก้มหน้างุดๆ เป็นใบ้อีกรอบขึ้นมาแล้ว เออวะ! ถ้าแค่จะเอ่ยพูดมันยากขนาดนั้นก็ต้องมุขเดิมซะล่ะมั้ง

“จะไปจริงๆ ล่ะนะ”

“เดี๋ยวสิฟระ!”

“อะไรล่ะ จะเล่าก็เล่าสิ แต่ถ้าไม่อยากเล่าฉันก็ไม่ถามก็ได้”

“ก็...มันก็....” ตาหยีเหลือบมามองนิดหน่อยแลจะอุปาทานไปเองมั้ยที่เห็นใบหน้าขาวจัดนั่นออกสีแดงเรื่อๆ ด้วย“...คือ...กับคนอื่นมันก็เล่าได้...แต่กับนายน่ะ...กับนาย...เดี๋ยวนายหัวเราะเยาะอ่ะดิ”

“...ไม่หัวเราะหรอกน่า...เล่ามาซะ.....”

คนตัวเล็กของผมกลับไปก้มหน้าอีกรอบแต่สุดท้ายก็เหมือนเจ้าตัวจะฮึดสู้ได้เมื่อตอบเสียงดังฟังชัดดังก้องห้อง...

“ก็เจ้าทงเฮอ่ะมันว่าฉันไม่แมนน่ะสิ!” ตอบกับหมอนในมือนะไม่ใช่หน้าผม แต่เหมือนประโยคแรกหลุดออกมาได้ประโยคต่อมาก็เริ่มตามออกมาด้วยเหมือนก๊อกแตก

“มันบอกว่าฉันน่ะแมนไม่ขึ้น! มันบอกด้วยนะว่าฉันอ่ะสู้ยูชอนไม่ได้หรอก จุนซูจะเลือกยูชอนไม่เห็นแปลก! แล้วเจ้าปลาป่วนนั่นมันยังบอกด้วยนะ ว่าถ้ามันเป็นจุนซูอ่ะต้องระแวงฉันเพราะเดี๋ยวยูชอนจะมาหลีฉันน่ะสิ!” พูดด้วยอารมณ์ที่พุ่งขึ้นไม่พอมือเล็กยังทุบๆ กับหมอนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยอย่างฉุนๆ ก่อนจะหันมามองผมด้วยดวงตาที่ยังมีแววโกรธจัด “...นายว่าฉันควรจะโกรธมั้ยล่ะ!”

“อื้อ”

นายพูดความจริงเกินไปแล้วนะทงเฮ ทีหลังคงต้องไปเตือนให้เพลาๆ ปากลงบ้าง

“เจ้าเตี้ยทงเฮอ่ะพูดผิด ฉันน่ะเป็นผู้ชายเต็มตัวใช่มั้ยซีวอน”

ถ้าแค่สรีระข้างบนและข้างล่างไม่นับกล้ามเนื้อและส่วนสูงนะ

“อื้อ”

และไม่รวมใบหน้าน่ารักที่กำลังยิ้มอย่างโล่งใจอย่างนี้ด้วย

“ฉันก็ว่างั้นแหละ...” ป้าบๆๆ ((ซาวน์เอฟเฟคต์ประกอบภาพที่มือเล็กๆ ถูกยกมาตบบ่ากว้าง)) “...ดูไปดูมานายก็เป็นคนดีเหมือนกันนะชเวซีวอน ^ ^”

โดยเฉพาะปากแดงน่าจูบที่ยิ้มเริงร่ามาให้นี่สรุปแล้วนายเป็นผู้ชายได้แค่สองอย่างนั่นล่ะเจ้าไก่น้อย

“ฉันเป็นคนดีมานานแล้ว นายไม่สนใจจะมองแค่นั้นเอง”

และก็คงยังมองไม่เห็นด้วยแม้แต่ตอนนี้ที่ร่างเล็กตรงหน้าจะปล่อยคำพูดกินนัยลึกพวกนี้ผ่านไปอย่างเคยเมื่อมือเล็กลูบท้องตัวเองที่เริ่มส่งเสียงอย่างหงอยๆ

“ก็ถ้าวันอื่นนายว่าง่ายๆ ไม่กวนประสาทอย่างวันนี้ก็คงดีหรอก ...แต่ฉันหิวจังฟร่ะ นายมีอะไรกินมะ?” เอ่ยกวนๆ และก็จบด้วยประโยคคำถามที่มาอยู่ดีๆ ก็โพล่งขึ้นมาพร้อมด้วยประกายตาสีน้ำตาลปิ๊งๆ ที่ถูกส่งมาอ้อน

เนี่ยน้า...คนที่จะเป็นแมนเต็มตัว ทำท่าน่าถูกกอดอย่างนี้เนี่ยนะ อยู่กับจุนซูนายทำท่าอย่างนี้ด้วยมั้ย? ถ้าทำจริงก็น่ากลัวอย่างที่ทงเฮว่าจริงๆ แหละ

“จะกินอะไรล่ะเดี๋ยวโทรสั่งให้”

“.............”

“หืม?”

“บะหมี่ซองก็ได้”

“บ้านฉันไม่มีของอย่างนั้นหรอก! เอาสเต็กมั้ยนายกินจุนี่ สั่งมาสองสามชิ้นดีมั้ย?”

“ไม่เอา...มันอืด... เอาไข่เจียวฝีมือนาย”

“อิ่มเหรอ? เอาซูชิก็ได้ ร้านประจำฉันเค้ามีบริการส่ง”

“งั้นก็เพิ่มด้วยไข่ต้มฝีมือนาย”

“กินอะไรของแบบนั้น ตกลงเอาซูชิชุดใหญ่นะ”

“ไม่ เอาไข่ตุ๋นฝีมือนายเพิ่มไปอีก”

เอาล่ะ ไอ้การเหมือนคุยกันคนละเรื่องนี่ทำให้ซีวอนต้องหยุดมือที่กำลังจะกดเบอร์โทรศัพท์จากแคตตาล็อกที่กำลังเปิดเพื่อหันไปมองสบตากับคนตรงหน้าตรงๆ รอยโกรธเคืองหายไปแล้วเหลือแต่หน้าเหมือนไก่ซักตัวที่เอาตาหงอยๆ มองมา และเจ้าตัวคงเริ่มรู้ว่าอีกคนเอาจริงเพราะก็เอ่ยปากอธิบายด้วยเสียงอุบอิบในคอ

“ไม่ได้เรื่องมาก...แต่....แต่ที่เค้ามาส่งมันแพงนี่”

“ฉันจ่ายเองก็ได้ ร้านพวกนี้เค้ารู้จักฉันดีไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสด”

“ก็เพราะนายแย่งไปจ่ายเองทุกทีอย่างนี้ไงล่ะฟระ...” เสียงยิ่งงุบๆ งิบๆ จนฟังไม่ทันเอาซะเลย “...น่า........กว่าจะรอเค้ามาส่งก็ตั้งนานอ่ะ เอาบรรดาไข่ที่นายเคยทำนั่นล่ะ ฉันเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายนายก็รู้”

“ง่ายเกินไปน่ะสิถึงผอมกะหร่องอย่างนี้น่ะ!”ถ้าเป็นชเวซีวอนสั่งก็ไม่เกินสิบนาทีได้กินแน่นอนฮยอกแจก็รู้ดี “เฮ้อ...แต่จะเอางั้นก็ได้ ท้องร้องตอนกลางคืนฉันไม่รับผิดชอบนะ...แล้วนี่ตามมาทำไม ดูทีวีไปก็ได้ หรือว่านายทำเป็น?”

“ไม่หรอก...แต่....” รอยแย้มยิ้มทะเล้นผุดขึ้นบนหน้าสว่างไสวก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยตอบเสียงร่าเริง “...ไปให้กำลังใจนายไง ^ ^”

เฮ้อ...ทำหน้าบั่นทอนความอดทนของชาวบ้านอย่างนี้ตกลงชาตินี้นายจะแมนขึ้นบ้างมั้ยอึนฮยอก!




หลังจากนั้นแขกที่มาหาอย่างกะทันหันก็ตามไปนั่งให้กำลังใจเจ้าของบ้านในครัวที่ก็ใช่ว่าจะทำอาหารเก่งหรอก แต่เพราะต้องทำให้คนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่หัวมาเคาะประตูห้องเพื่อจะบอกสั้นๆ แค่ว่า ‘หิวข้าวว่ะ’ ก็เลยทำให้ซีวอนเริ่มจะทำนั่นทำนี่เป็นพอใช้

โดยเฉพาะบรรดาอาหารตระกูลไข่ที่วางเรียงรายข้างหน้าคนตัวผอมน่ะเจ้าชายขี้เก๊กที่สาวๆ เพ้อนักเพ้อหนาทำมานักต่อนักแล้วน่ะสิ!


ทันทีที่แขกอิ่มแปร้เรียบร้อยเจ้าตัวก็แจ้นไปต่อเกมส์เล่นทันที ท่าทางเมามันหน้าจอทำให้ซีวอนไม่อยากขัด บรรดาเกมส์ที่วางเรียงรายก็เป็นของไก่น้อยซื้อมาทั้งนั้นและวันนึงที่พอถามว่าทำไมถึงเอามาไว้ที่นี่เจ้าตัวก็ตอบว่า

‘เพราะไม่มีไอ้เตี้ยกะไอ้โย่งมาแย่งเล่นไงล่ะ!’

ยังไม่ทันจะได้แปลความเสร็จคนพูดก็หันไปสนใจหน้าจอเหมือนเดิมแม้ปากจะยังพูดต่อก็ตาม

‘ฉันชอบบ้านนายเป็นบ้าเลยว่ะซีวอน ไม่ต้องฟังเสียงเจ้าพวกนั้นทะเลาะกันหนวกหูวุ่นวายแถมทำนั่นทำนี่ได้ตั้งเยอะด้วย สวรรค์ชัดๆ เล้ยยยย’


งั้นนายก็มาอยู่ถาวรเลยสิ!


เกือบละ...เกือบที่คนที่ยืนด้านหลังจะพูดความในใจพวกนั้นออกไป แต่เจ้าตัวก็ห้ามมันได้ทันเมื่อต้องบอกตัวเองว่าให้เงียบเอาไว้ อย่าเผลอแสดงอะไรออกไปให้จับได้เพราะถ้าพลาดปุ๊บคงไม่มีทางที่อีกคนจะมาหาอย่างไว้วางใจเหมือนตอนนี้ได้แน่

ไม่มีทางแน่!


ภาพที่คนตัวผอมนั่งเล่นเกมส์อย่างสนุกไปและคนตัวสูงก็นั่งอ่านหนังสือที่โซฟาข้างๆ พร้อมแอบเหลือบมองอีกคนไปยิ้มหน้าที่กำลังจ้องจออย่างตื่นเต้นไปด้วยความเอ็นดูก็เดินไปเรื่อยๆ ได้พักหนึ่ง เวลาที่เริ่มเข้าใกล้สี่ทุ่มทำให้ซีวอนต้องผุดลุกเข้าไปในห้องและหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าออกมาให้แขกที่ดูแล้วเพิ่งจะเล่นเกมส์ผ่านด่านที่สี่ได้กับชาวบ้านเค้าซักที

“พอได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นต่อ...ไปอาบน้ำซะไป เอ้านี่ชุดนอน...นายไม่ได้เอามาใช่มั้ย?”

บอกพร้อมกับหิ้วปีกเข้าที่คอเสื้อร่างที่นอนเหยียดยาวจ้องหน้าจอบนพื้นก่อนจะยื่นชุดนอนลายลูกเจี๊ยบส่งให้ ดูจากขนาดและลายแล้วเชื่อได้เลยว่าซีวอนคงไม่ได้ซื้อเพื่อจะใช้เองแน่นอน

“เออ...ตอนนั้นฉุนอ่ะฉันเลยเดินปึงๆ ออกมาเลย แต่...เจ้าตัวนี้อีกแล้วเหรอ? - -* ไม่มีลายเท่ๆ กว่านี้เรอะซีวอน”

“จะเอาของฉันมั้ยล่ะ?”

“เหอะ...ใส่เสื้อยักษ์อย่างนายก็สู้ไม่ใส่อะไรเลยดีกว่า ตัวใหญ่ชิบ...” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเจ้ายักษ์ที่โดนพาดพิงถึงถึงกับต้องรีบหันหน้าหนีเมื่อคำพูดนั้นทำให้ในหัวเผลอจินตนาการอะไรซักอย่างที่ทำให้เริ่มร้อนไปทั้งตัว “...ต่อไปฉันเอาชุดนอนมาทิ้งไว้ดีกว่าว่ะ เบื่อเจ้าลูกเจี๊ยบพวกนี้ชะมัดยาด!”

คนพูดก็บ่นไปงั้นแหละเพราะทุกครั้งที่มาก็ยอมใส่อยู่ดี ร่างเพรียวๆ ขาวๆ ในชุดนอนลายลูกเจี๊ยบขนฟูสีเหลืองดูน่ารักจนหลายครั้งคนนอนข้างๆ ต้องแอบตื่นขึ้นมานอนจ้องได้ทั้งคืนเลยล่ะ

และก็คงทำได้แค่จ้องเท่านั้นเพราะแม้แต่จะแตะซักนิดยังไม่กล้า

เฮ้อ...ตกลงนี่มันเรียกว่าดีหรือไม่ดีกันแน่นะ!





ไม่นานนักแขกก็อาบน้ำเสร็จแล้วเจ้าของบ้านจึงเปลี่ยนเข้าไปอาบบ้าง หลังจากที่คนตัวใหญ่อาบเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าผืนเล็กที่เช็ดผมสีดำสนิทที่เปียกแนบลำคอแกร่งไปด้วยก็เดินๆ เข้าไปในห้องนั่งเล่น แต่ห้องที่สภาพเรียบร้อยและบรรดาเกมส์ที่วางเรียงรายในตอนแรกตอนนี้มันก็กลับเข้าไปที่ลิ้นชักเหมือนเดิมแล้ว

ถึงฮยอกจะไม่ใช่คนเรียบร้อยนักแต่ทุกครั้งที่มาบ้านนี้เจ้าตัวก็พยายามอย่างมากเหมือนกันที่จะปรับนิสัยไม่ให้เจ้าของบ้านต้องมีภาระเพิ่มอย่างการเก็บห้องไม่ก็ช่วยล้างจานอย่างนี้แม้ซีวอนจะบอกว่ายังไงแม่บ้านก็จะมาทำให้อยู่ดี ทิ้งไว้อย่างนั้นก็ได้


‘เพราะฉันเป็นคนดีกว่านายไงล่ะ นายจะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างไล่ฉันกลับ หึ...ฉันฉลาดล่ะสิ ’


เสียงใสเคยบอกอย่างนั้นเลยได้การหัวเราะขำๆ และมือใหญ่ๆ ที่เอื้อมไปขยี้หัวเล็กๆ ผมนุ่มๆ อย่างอดไม่ได้


ถ้าฉันขอให้นายอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตนายจะตอบอย่างนี้บ้างมั้ยนะฮยอกแจ?



“...จุ๊บบบบบบ...งื้อออ...ทำไมไม่ได้ซักทีวะแมร่งงงงงงงงง!!”

แต่แล้วซีวอนที่กำลังคิดอย่างขำๆ และยิ้มอ่อนโยนได้ที่ดีๆ จากการนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็ต้องเผลอขมวดคิ้วแน่นเมื่อจะเดินเข้าไปหาไดร์เป่าผมก็กลับได้ยินเสียงประหลาดดังลอดออกมาจากห้องนอน

“...จ๊วบบบบบบบ แมร่งงงงงง เหนื่อยแล้วนะโว้ย! ทำไมมันทำยากทำเย็นนักฟระแมร่งเอ๊ย!”

ไม่แค่เสียงที่ประหลาด...ท่าทางยังประหลาดด้วยเพราะไก่น้อยในชุดนอนลายลูกเจี๊ยบขนฟูกำลังนั่งขัดสมาธิบนเตียงหันหลังให้ประตูและกำลังเอาหัวยุ่งๆ สีน้ำตาลของตัวเองก้มลงไปทำอะไรซักอย่างกับหลังมือที่ถูกยกมาจ่อหน้า

และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าปากแดงนั่นกำลังจูบลงบนหลังมือตัวเองพร้อมทำเสียงประหลาดที่ว่าด้วย!

“...จู๊บบบบ จ๊วบบบบบบ .......โอ้ยเหนื่อยโว้ย...เจ็บด้วย! ไม่ทงไม่ทำมันแล้ว! ไม่เห็นมันจะเป็นตรงไหนเลยนี่ฟระ..หลอกกันชัดๆ!!”

บ่นคนเดียวไม่พอหมอนใบใหญ่นุ่มๆ ก็ถูกคว้ามาทำร้ายด้วยการที่กำปั้นขาวๆ จะชกซ้ำๆ ลงไปกับหมอนด้วยใบหน้าหงุดหงิด แต่อะไรบางอย่างที่พอเริ่มเดาออกก็สามารถเรียกรอยยิ้มเล็กๆ กลั้นขำจากร่างสูงได้ดี

“ทำอะไรอยู่น่ะไก่น้อย”

และเพียงแค่ประโยคเดียวที่พูดปนยิ้มก็ทำให้หลังบางๆ นั่นสะดุ้งขึ้นมาสุดตัวได้เลย

นายนี่มันน่ากดเป็นบ้าเลยฮยอกเอ๊ย!

“นะ...นาย....นายเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนอ่ะซีวอน”

“ก็ซักพักแล้วล่ะ...ทันเห็นนายกำลังทำร้ายรางกายตัวเองพอดิบพอดีเลย ทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ทำอะไร๊...ไม่มี๊...ก็แค่นั่งเล่นดูนั่นดูนี่เฉยๆ เท่านั้นเอ๊งงงง” เสียงสูงๆ มาพร้อมๆ กับเจ้าตัวหันหน้าไปทางนี้ทีทางนั้นทีอย่างไม่กล้าสบตา อาการอย่างนั้นเลยเรียกรอยยิ้มกลั้นขำเล็กๆ ให้ผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายบนใบหน้าหล่อเหลา “...นายจะนอนแล้วใช่มั้ย...ปิดไฟเลยก็ได้นะ ฉันก็จะนอนเหมือนกัน”

พูดยาวๆ กลบเกลื่อนแล้วก็จบท้ายด้วยการล้มตัวลงนอนและผวัดผ้าห่มขึ้นปิดหน้าปิดตาหนีหน้าเอาดื้อๆ ซะอย่างนั้น!

ร่างสูงที่หลุดหัวเราะออกมาจนได้ยิ่งทำให้หน้าขาวใต้ผ้าห่มยิ่งแดงแจ๋มากขึ้นไปอีก!

“...ไม่ได้ทำอะไรงั้นเหรอ?”

เสียงทุ้มๆ ลากยาวและสัมผัสที่รู้สึกได้ว่ามีอีกคนทรุดตัวลงนอนข้างๆ พาให้ใจเต้นตึกตักซะจนตัวเองยังแปลกใจ สังหรณ์บางอย่างมันกระตุ้นเตือนให้คิดถึงสถานการณ์ซักอย่างที่มันคล้ายๆ อย่างนี้

เจ้าขี้เก๊กนี่มันมาโหมดน่ากลัวอีกแล้วอ่า T_T

ยิ่งคิดยิ่งใจเต้นร่างโปร่งก็ยิ่งมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มมากขึ้น เตียงโคตรคิงไซส์ของไอ้เจ้าชายก็ออกจะกว้างพื้นที่เหลือเฟือแต่ทำไมกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากคนร่วมเตียงชัดเจนเหลือเกิน

และมันยิ่งชัดมากเมื่อรู้สึกได้ถึงแผ่นอกกว้างที่คุกคามแนบชิดกับแผ่นหลังของตัวเอง

“ซีวอน!”

เสียงอุทานอย่างตกใจไม่ได้ช่วยหยุดอะไรได้เลยเพราะแขนยาวๆ ข้างหนึ่งกำลังเอื้อมมารัดเอวแน่นแนบเข้าไปหาหน้าท้องแกร่งพร้อมๆ กับมืออีกข้างก็แทรกเข้าไปจับมือเรียวและยกขึ้นมาดูชัดๆ แม้เจ้าของมือแทบจะมุดตัวจมหายไปในโปงผ้าห่มก็ตาม

“...ก็เห็นนั่งทำตั้งนานไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่ ตกลงเมื่อกี้นายทำอะไรเหรอเจ้าไก่น้อย?”

“จะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน! ที่นอนฝั่งนั้นมันก็มีตั้งเยอะ ปล่อยเด้!”

“โดนทงเฮว่าอะไรมาล่ะสิ”

คำถามเดียวกลับทำให้ร่างทั้งร่างหยุดกึกได้ชะงัดนักพร้อมๆ กับเหมือนจะได้ยินเสียงกวนประสาทของเจ้าป่วนนั่นแทรกขึ้นมาด้วย!


’อย่างนายน่ะไม่มีทางแมนหรอกไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย! แค่รอยจูบอ่ะยังทำไม่เป็นเลยมั้ง!’


เพื่อนตัวเล็กที่ตะโกนใส่หลังจากการเถียงกันหน้าดำหน้าแดงทำให้ชะงักได้พอๆ ความโกรธที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ


‘ทำไมฉันจะทำไม่เป็น ทำเป็นสิ! ปากหาเรื่องอย่างนายต่างหากล่ะที่ทำไม่เป็นไอ้ปลาโง่!’


คำโต้แย้งที่ทวนกลับมาเผ็ดร้อนพอๆ กันยิ่งทำให้คนตัวเล็กยิ่งแทบจะระเบิด ขนาดตัวก็พอๆ กันยังมาทำบอกว่าตัวเองไม่มีทางจะเป็นฝ่ายอ่อนแอถูกกระทำเหมือนเขาหรอก

คนอย่างลีทงเฮก็โกรธเป็นเหมือนกันนะ!

‘หนอยยยย ตัวเองอ่อนแล้วยังไม่ยอมรับใช่มั้ย...จะมาหาเรื่องให้คนอื่นเค้าอ่อนเป็นเพื่อนใช่มั้ย...’ ใบหน้าน่ารักเชิดขึ้นอย่างถือดีเมื่อมองสบกับสายตาดูถูกจากคู่กรณี แล้วจนท้ายในที่สุดรอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาบนหน้าขาวเมื่อเจ้าตัวเล็กเหลือบไปเห็นบางอย่างจากหางตา ‘งั้นฉันจะทำให้ดูเองลีฮยอกแจว่าของจริงอ่ะเป็นไง!’

ไม่พูดพล่ามทำเพลงต่อเมื่อพูดจบแล้วมือเล็กก็ฉุดคนตัวสูงที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อย่างไม่สนใจการง้องแง๊งของคู่นี้ที่มีเป็นปกติอยู่แล้วในตอนแรกมาประทับริมฝีปากนิ่มของตัวเองลงไปกับซอกคอแกร่งนั้นแทบจะทันที!

หน้าเฉยชาเป็นนิจของคิมคิบอมจะมาหลุดเก๊กแตกเอาก็ตอนนี้ล่ะ!!


“อึ๊...ทงเฮ!”


‘นี่ไงล่ะไอ้ไก่อ่อน! ดูซะให้เต็มตา อย่างนายอ่ะทำไม่เป็นหรอก!’

จูบคอชาวบ้านยังไม่พอมือเรียวๆ ของปลาน้อยก็แหวกคอเสื้อเชิ๊ตของคนที่ยังอึ้งๆ บวกตกใจให้แหวกออกกว้างเผยรอยแดงเรื่อบนผิวแทนเนียนชัดเต็มสองตา

“ไปหัดมาใหม่ก่อนไป๊ถึงจะบอกว่าตัวเองแมนอ่ะ! ไม่งั้นก็อย่ามาโม้ไอ้โคตรอ่อน!!”

พอๆ กับความฉุนที่มันทำให้หน้าร้อนจัดอีกคนที่อยู่ดีๆ ก็โดนดึงเข้ามาแทรกก็เหมือนจะหัวเสียเหมือนกันเพราะมือใหญ่จะจับมือเล็กออกจากคอเสื้อ แต่ลีทงเฮก็คือลีทงเฮ แขนเล็กยังคว้าแขนอีกคนมายึดไว้แน่นแถมยังสบตากับตาหยีของอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้ด้วย

และเมื่อต่างไม่มีใครยอมใครอึนฮยอกก็เลยผลุนผลันออกมาจากบ้านเอามันตอนนั้นล่ะ!


ปัง!!


และที่แรกที่เจ้าตัวมาเคาะประตูบ้านด้วยความโกรธที่ไม่รู้จะระบายออกไปยังไงก็คือคอนโดสุดหรูของเพื่อนร่วมวงคนนี้ ไอ้ที่โกรธก็ยังโกรธกับคำดูถูกแต่ที่มันโกรธมากกว่านั้นคือตัวเองที่ทำไม่ได้สมกับที่เจ้าป่วนนั่นว่าน่ะสิ

ก็คนมันไม่เคยทำนี่แล้วจะเถียงยังไงล่ะโว้ย!


แมร่ง...ยิ่งคิดก็ยิ่งฉุน!


แต่จะให้เอาเรื่องนี้มาบอกซีวอนเดี๋ยวก็ไม่วายโดนไอ้เจ้าชู้นี่มันค่อนขอดเอาน่ะสิ ไม่บอกก็รู้ว่ามันโคตรเชี่ยวแน่หน้าหล่อๆ ของมันบอกอย่างนั้น เรื่องอะไรจะต้องโดนคนหัวเราะเยาะเพิ่มอีกด้วยล่ะ

“ว่าไง...โดนว่าอะไรมา?”

“...............”

ท่าทีที่ยิ่งปิดปากเงียบของดักแด้บนเตียงยิ่งทำให้ซีวอนอดจะหัวเราะขำไม่ได้


นิดๆ หน่อยๆ พอเป็นค่าห้องได้มั้ยน้า?


“ฉันสอนให้เอามั้ย?”

ยังไม่ทันจะได้ทวนคำนั้นชัดๆ ความร้อนจัดที่แนบลงมาบนหลังมือก็ถูกส่งออกมาก่อน ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังโดนทำด้วยท่าที่ทำเองเมื่อครู่ แต่ความร้อนจากปากอีกคนมันกลับร้อนรุ่มกว่าปากตัวเองมากมายนักเพราะแค่โดนจูบเบาๆ กลับพาหัวใจให้กระตุกวาบจนสะดุ้ง

“ซีวอน!”

เสียงใสเผลอตะโกนแกมสั่นพร้อมๆ กับกระตุกมือหนีอย่างตกใจแต่แล้วอาการหลุดออกมาได้ง่ายๆ ยังไม่ทันทำให้จะโล่งใจได้ทันเพราะผ้าห่มด้านหลังโดนเลิกขึ้นก่อนหลังคอจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ และผมนุ่มๆ ของใครบางคนที่มุดเข้ามาในโปงผ้าห่มเดียวกัน

“ไอ้บ้าซีวอนหยุดเด้!”

“อยู่เฉยๆ ...”

เสียงกระซิบแหบพร่าพาให้ใจสั่นพอๆ กับที่รู้สึกได้ถึงความอุ่นของริมฝีปากคนอื่นบนผิวพร้อมๆ กับแรงรัดที่แน่นจนยากแค่จะกระดิกตัว

ความไม่แน่ใจหรือตกใจที่พาใจเต้นจนแทบทะลุฮยอกแจก็บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกัน!

“อย่าดิ้นสิ....อยู่เฉยๆ นะ...”

ไม่รู้....ตอนนี้ไก่น้อยไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรเมื่อนิ่วหน้าจนแทบเบ้ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บแถมยิ่งดิ้นเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกถึงแผ่นอกกว้างๆ ของอีกคนมากเท่านั้น การเสียดสีของผิวเนื้อยังทำให้ร้อนรุ่มได้ไม่เท่ากับที่คอเสื้อข้างหนึ่งจะถูกรั้งจนเกาะรอมร่ออยู่แค่บ่า พร้อมๆ กับที่ปากหยักร้อนจัดจะแนบลงมาหนักหน่วงบนผิวบางใสนั้น

“ซีวอน....”

“...หลับตาซะ...”


ใครที่ไหนเค้าจะหลับลงเล่าไอ้บ้า!

แต่ยังไม่ทันจะได้ตวาดให้หนำใจ...ปากที่ไล่แตะมาตั้งแต่ซอกคอและเลื่อนมายังแอ่งชีพจรยิ่งทำให้ฮยอกแจดิ้นรนสุดแรง แต่ข้อมือทั้งสองข้างที่โดนมือใหญ่เกาะกุมเอาไว้ด้วยกันและเอวเพรียวที่ถูกรัดแน่นมันก็ช่วยหยุดการต่อต้านได้ดีพอๆ กับความตกใจจากปลายลิ้นร้อนจัดจากอีกคน

ไอ้เจ้าชายนี่มันแรงเยอะเป็นบ้....

“อื้อ!”

ความร้อนทั้งร่างเหมือนจะไปรวมกันที่บริเวณนั้นเมื่อผิวเนื้อที่ไวสัมผัสขึ้นเท่าตัวจะถูกบดสลับกับดูดหนักๆ จนสะดุ้งแล้วสะดุ้งเล่า ลิ้นชื้นแนบลงมาไล้เลียบรรเทาให้เป็นระยะก่อนริมฝีปากจะก้มลงไปทำหน้าที่ต่อไม่มีเบื่อ ฝ่ามืออุ่นจัดแนบผ่านแผ่นอกบางไล้เลื้อยสอดแทรกเข้าไปในชุดนอนแตะต้องหนักๆ เล้าโลมตามผิวเนียนและต่ำลงไปยังหน้าท้องเบื้องล่างคงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวและผิวเนื้อที่หดเกร็งพร้อมๆ กับอาการสั่นจนระงับไม่อยู่แล้วแน่ๆ!


กลัว...ณ วินาทีฮยอกแจไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพื่อนตัวเองจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้เลย!


“ซี...อึก....ซีวอน....” ความร้อนมันเริ่มเปลี่ยนที่จนฮยอกแจต้องสะบัดหน้าขึ้นเพื่อหาอากาศหายใจพร้อมกับเอ่ยห้ามเสียงสั่น

“....ยะ...หยุด...ซีวอน...อย่า...”

ยิ่งห้ามมันเหมือนกับยิ่งกระตุ้นเพราะความเจ็บจากการถูกดูดสลับขบและฝ่ามือที่กำลังแทรกผ่านขอบกางเกงลายลูกเจี๊ยบกำลังบ่งบอกว่าคนทำเริ่มจะหนักมือมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!


“ซีวอน!”


เสียงอุทานอย่างตกใจมันมาจนได้เมื่อมือนั้นกำลังจะแทรกผ่านเข้าไปในชั้นในตัวบาง!


“..........”


แล้วสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคืออาการแน่นิ่งจนตัวแข็งของเจ้าของชื่อ เพราะแผ่นหลังที่แนบสนิทกับอกกว้างของอีกฝ่ายเลยสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวเร็วของคนข้างหลัง ลมหายใจอุ่นจัดกำลังกระทบกับผิวเนื้อบางหนักหน่วงเป็นจังหวะก็จริงแต่ก็เหมือนทุกอย่างจะหยุดอยู่แค่นั้น

สาบานได้เลยว่าไก่น้อยไม่กล้าจะขยับตัวหรือแม้แต่หายใจ!


“............”


ความเงียบที่โรยลงมาหนักๆ ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน จนในท้ายที่สุดมือใหญ่ที่หยุดชะงักตอนแรกก็เลื่อนออกมาจากขอบกางเกงนอนของคนในอ้อมกอดพร้อมๆ กับเลื่อนขึ้นมาจากเสื้อนอนที่สอดผ่านเข้าไปตอนแรกด้วย มือใหญ่อีกข้างคลายข้อมือเล็กทั้งคู่เพื่อจะเลิกผ้าห่มออกก่อนสัมผัสคุกคามจากอกกว้างจะเริ่มหายไปเช่นกัน


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นและจบลงด้วยความเงียบที่แสนอึดอัดเหลือเกิน


จนในท้ายที่สุด...


“ฮะๆๆๆ อ่อนไปเลยล่ะสิเจ้าไก่น้อย ฉันจูบเก่งใช่มั้ยล่ะ?”

ถ้อยคำกวนประสาทกลบเกลื่อนที่ออกมาช่วยหยุดความคิดวุ่นวายทั้งมวลและคำที่ออกมาอีกครั้งก็ถึงกับเรียกร่างที่คลุมโปงในผ้าห่มให้โผล่หน้าออกมาได้ด้วย!

“รอยจูบเค้าทำกันแบบนี้ล่ะจำไว้...สักแต่จูบซ้ำๆ ลงไปมั่วๆ มันไม่ได้ผลหรอก”


“ไอ้บ้าซีวอน!!”


“หืม? ขึ้นเสียงทำไม...นายควรจะให้ค่าสอนให้ฉันด้วยสิ”


“ไม่ห้งไม่ให้เฟ้ย! ออกไปนะไอ้บ้า นายออกไปนอนนอกห้องเลยคืนนี้อ่ะ ออกไปเด้!”


“นี่มันเตียงฉันนะ...”


“ไม่สน! ถ้านายไม่ออกฉันจะไปเอง!”


ไก่น้อยที่ฟาดหัวฟาดหางคว้าหมอนมาตีๆ พร้อมตวาดด้วยใบหน้าแดงจัดไม่ได้ทำให้คนตัวใหญ่โกรธตรงไหนเล้ยนอกจากจะยังหัวเราะเบาๆ และป้องกันตัวพอเป็นพิธี


“...ทำแค่นี้ต้องเขินขนาดนี้เชียว หน้านายแดงไปหมดแล้วนะเจ้าไก่น้อย...”

“หยุดพูดนะ! ไอ้บ้าดีแต่ลวนลามชาวบ้าน นี่แน่ะๆๆ แมร่งงงง ฉุนโว้ย! นี่ๆๆๆ ”

“เจ็บนะฮยอก โอ้ย...ฮะๆๆๆ ....หยุดน่า...ฮะๆๆๆ....ฉันเจ็บนะ...”

คนที่หลบไปมาและยังเอาแต่หัวเราะเนี่ยนะจะเจ็บจริง!

คนอย่างอึนฮยอกไม่ได้โง่หรอกนะเฟ้ย!!

“ออกไปสิ ฉันจะนอนแล้วนายออกไปเลย!”

“โอเคๆ ออกก็ได้ พอก่อนๆ” ร่างสูงที่ยอมยกมือทั้งสองข้างอย่างจำยอมช่วยหยุดพายุหมอนลงได้เพราะตัวคนฟาดก็เริ่มเหนื่อยจนหอบบ้างแล้ว แต่ประโยคที่ออกมาจากปากหยักปิดท้ายก่อนออกไปกลับทำให้อึ้งได้พอๆ กับความร้อนจะวิ่งขึ้นมาทั่วร่าง

“แต่ตัวนายหวานใช้ได้เลยนะฮยอก อยากเรียนอีกเมื่อไหร่ก็บอกนะฉันจะสอนฟรีๆ ให้เลยก็ได้ ฮ่าๆๆๆ”


“อ่ะ....อ่ะ....ไอ้บ้าชเวซีวอน!!”


โครม!!!


นั่นคงเป็นเสียงหมอนที่ลอยกระทบประตูตามหลังแต่เจ้าตัวคงทำได้แค่นั้นไม่กล้าตามออกมาหรอก ร่างที่สั่นเทาในอ้อมกอดเมื่อครู่และใบหน้าที่แดงจัดบอกซีวอนอย่างนั้น


เฮ้อ....


ก้มลงมองมือตัวเองและยืนจ้องมันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เมื่อกี้ก็แค่เถียงกวนประสาทให้อีกคนลืมแค่นั้นล่ะเพราะเขาไม่ได้คิดจะนอนด้วยจริงๆ หรอก


ก็เกือบจะหยุดไม่ได้ไปแล้วใครที่ไหนยังจะกล้าไปนอนข้างๆ อีกล่ะ!


รักข้างเดียวเป็นทุกข์ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย บอกก็บอกไม่ได้ จะแตะ...ก็ยิ่งทำไม่ได้ไปกันใหญ่ เสียดายที่เกิดมาหล่อเท่ห์จริงๆ เล้ยชเวซีวอน โดนเจ้าไก่ขี้โมโหปราบซะอยู่หมัดเลยเรา


คิดอย่างอ่อนออกอ่อนใจพลางหัวเราะให้ตัวเองเบาๆ จริงอยู่ที่บอกไม่ได้และก็แตะไม่ได้

แต่จะแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันท่าคนอื่นนิดหน่อยคงได้สินะ?

พร้อมๆ กับที่คิดได้อย่างนั้นขายาวๆ ก็เดินตรงไปยังโทรศัพท์ที่อยู่มุมห้องก่อนจะยกขึ้นมาโทรออกหาคนที่คุ้นเคย


“พี่เหรอครับผมซีวอนนะ ผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วยหน่อย...ครับ...เกี่ยวกับคนนั้นแหละ...ไม่ต้องห่วงครับตอนนี้เค้าอยู่บ้านผม แต่พรุ่งนี้ตอนไปทำงานด้วยกันกับเค้าพี่ช่วย.....”



ภาพที่เห็นหลังจากนั้นคือคนตัวสูงที่ยืนคุยโทรศัพท์ไปหัวเราะไป หน้าที่ยิ้มนิดๆ ปนเจ้าเล่ห์หน่อยๆ ช่างแตกต่างกับอีกคนในห้องนัก ถึงจะไล่เจ้าของห้องออกไปได้แต่ร่องรอยที่มันยังติดแน่นบนผิวก็ร้อนซะจนต้องเร่งแอร์ให้เย็นขึ้นไปอีกแม้เจ้าตัวจะยังคลุมโปงในผ้าไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาก็ตาม


หัวใจมันจะเต้นแรงไปถึงเมื่อไหร่วะ!


..


..


แล้ววันใหม่ก็มาถึง


หลังจากแอบหลบผ่านเจ้าของบ้านที่นอนเหยียดยาวบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เช้ามาได้อึนฮยอกก็รีบแจ้นกลับบ้านทันทีและสิ่งแรกที่เจ้าตัวตรงดิ่งเพื่อจะไปหาคืออะไรรู้มั้ย?

กระจกไงล่ะ!


“แมร่งงงงงงงงง ไอ้ยักษ์ซีวอนเอ๊ย! ไอ้บ้า! ไอ้ประสาท! ไอ้หื่น! ไอ้......ฮื้อ!”


ตวาดมาได้ซักพักไก่น้อยถึงเพิ่งสำนึกว่าไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะปลุกให้ใครตื่นเพื่อจะมาเห็นรอยแดงๆ บนคอตัวเอง


โดยเฉพาะไอ้ปลากวนส้นนั่น!


ดังนั้นที่ทำได้จึงเป็นการพยายามเงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทงเฮเองก็เงียบเหมือนกันหลังจากโดนคนหน้าตายที่ตัวเองฝากรอยไว้และพี่ใหญ่ในวงที่หลังจากกลับมาแล้วรู้เรื่องต่างก็ช่วยกันสวดเสียยกใหญ่ที่ทะเลาะถึงขนาดที่อีกคนต้องหนีออกจากบ้าน เสื้อที่ฮยอกแจเลือกใส่ก็เป็นคอสูงๆ แถมยังเอาผ้าพันคอมาพันไว้รอบไม่สนว่าใครจะทักว่าไม่ร้อนเหรอด้วย


เพราะไอ้รอยนี้มันจะให้ใครเห็นไม่ได้น่ะสิ!


ดังนั้นอาการโวยวายมันจึงมาหลุดจนได้แม้จะทำตัวสงบเสงี่ยมมาทั้งวันก็แล้วแต่ไอ้เสื้อที่ทีมงานเอามาให้นี่สิที่มันทนไม่ได้


“อย่าวุ่นวายสิฮยอกแจ แค่เสื้อทำไมต้องเรื่องมากนักฮึ! พวกพี่ๆ เค้าลำบากใจเห็นมั้ย!”


นั่นคือเสียงตวาดของพี่ใหญ่หลังจากที่ปล่อยให้ฮยอกแจโวยวายกับทีมงานด้วยการดื้อไม่ยอมใส่ท่าเดียวจนหลายคนอ่อนอกอ่อนใจ และเมื่อเสียงดุที่นานๆ ทีจะหลุดออกมาก็กลับช่วยหยุดไก่น้อยให้ชะงักได้ดีทีเดียว

“แต่...แต่...คอมันกว้างนี่ครับ...ผม...งั้นพี่เปลี่ยนกับผมได้มั้ยล่ะ?”

“ตัวเล็กแค่นั้นคิดว่าพี่จะใส่ได้เหรอ?” ยังไม่ทันต้องโวยกับคำว่า ‘เล็กแค่นั้น’ ที่หัวหน้าวงปล่อยออกมาหรอก คำต่อมาจากปากสวยของพี่ชายกลับทำให้แทบสะอึก “แล้วเราจะมาเรื่องมากอะไรนักกับคอเสื้อกว้างไม่กว้างฮึ เราเป็นผู้ชายไม่ใช่เรอะอึนฮยอก ถ้าทงเฮมาได้ยินคำพูดเราเมื่อกี้คงเอาไปล้อได้ทั้งปีทั้งชาติแน่”

“พี่คร้าบบบบบบ T_T ~ ~ “

“ใส่ไปซะมันเลทมามากแล้ว หรือจะต้องให้พี่เปลี่ยนเสื้อให้เหมือนเด็กๆ!”

“เปลี่ยนก็ได้ครับ...ผมไปเปลี่ยนแล้ว...พี่อย่าเพิ่งเปลี่ยนโหมดสิ...”

สภาพน้องในวงที่ก้มหน้าคอตกงกๆ ยอมไปเปลี่ยนเสื้อแต่โดยดีพาให้รอยยิ้มขำๆ บนหน้าสวยมันเกือบหลุดมาจนได้ แต่คำพูดที่ใครบางคนขอไว้ตอนโทรมาหาและเอาเสื้อตัวที่ว่ามาส่งให้กับมือทำให้อีทึกต้องเก๊กหน้าดุๆ เข้าไว้

ถ้าไม่เห็นว่านายรักเจ้าไก่มันมากขนาดนี้จ้างให้ฉันก็ไม่ช่วยนายหรอกนะซีวอน!


ก็นั่นแหละ..ที่มาของเสื้อคอปาดกว้างสีดำที่ฮยอกแจใส่จัดรายการด้วยการที่ต้องพะวักพะวนคอยดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดรอยตลอดเวลา แต่เพื่อนร่วมงานข้างๆ ก็ไม่ได้จะช่วยด้วยเล้ยเมื่อเปิดประเด็นฟ้องสตาฟคนอื่นถึงการที่อึนฮยอกดื้อแพ่งไม่ยอมใส่ท่าเดียว


“ฮะๆๆ ก็เพราะน้องอายเจ้ารอยนี้ไงล่ะครับ”


เสียงหวานๆ พูดไม่พูดเปล่าเพราะเจ้าตัวส่งมือขาวเรียวมากระชากคอเสื้อของคนที่ก้มหน้างุดๆ ตลอดเวลาอย่างรวดเร็วด้วย!

โฮๆๆๆๆๆ อึนฮยอกขอลาตายได้มั้ยวันนี้ T_T พี่ทึกนะพี่ทึก จำไว้เลยนะ จำไว้เลย!

ถึงคราวพี่ผมก็จะแกล้งบ้างคอยดู! TT^TT


อ่า...นั่นล่ะเสียงคร่ำครวญในใจของไก่น้อยฮยอกแจหลังจากที่พี่ๆ สตาฟเข้ามาถามยกใหญ่ว่ารอยมีที่มาที่ไปยังไง กว่าจะหาเรื่องมาโกหกได้ว่าถูกมดกดยุงกัดนั่นนี่กัดก็เล่นเอานานสองนานจนเหนื่อย

แต่ถ้าคาดหวังว่าทุกคนจะเชื่อแล้วล่ะก็...

ฝันได้เลย!

และในขณะที่คนอื่นรุมซักอึนยอกจนเจ้าตัวตอบแทบไม่ทัน ตัวการที่เปิดเผยเรื่องนี้กลับหัวเราะแผ่วเบาพลางคิดไปถึงตอนที่คนตัวสูงสุดเก๊กในวงซื้อเสื้อมาให้ สีหน้าแววตาจริงจังที่ยิ้มปนเศร้าตอนที่เขาเอ่ยถามว่าทำไปแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรก็ช่างติดตานัก

“ถ้าคนเป็นที่หนึ่งสำหรับเค้าตอนนี้คือจุนซูและเค้ายังตัดใจไม่ได้ผมก็จะขอยอมอยู่เงียบๆ แบบนี้ก็ได้ครับ...” นิ่งและเงียบที่ว่าคือการที่ฝากรอยเตะตาเอาไว้บนผิวขาวจัดนั่นเนี่ยนะ “...แต่ถ้าเค้าตัดใจจากเจ้าเอ๋อนั่นได้เมื่อไหร่คนถัดมาต้องเป็นผม! ไอ้หน้าไหนที่จะเสนอหน้าเข้ามาผมก็จะรีบตีกันไว้ตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ!”

ลืมบอกว่านอกจากน้ำเสียงเศร้าๆ นั่นแล้วคือความเด็ดขาดที่แม้แต่คนที่ไม่ได้คิดจะแย่งเลยกลับยังขนลุกได้อย่างประหลาดเมื่อได้ฟัง

“เมื่อคืนเค้าไปค้างที่คอนโดผม...และวันนี้ก็มีรอยจูบที่ต้นคอ...” สาบานจริงๆ ว่ารอยยิ้มหล่อๆ นั่นมันผสมความชั่วร้ายสุดๆ เข้าไปด้วย

“พี่คิดว่าคนอื่นๆ เค้าจะคิดยังไงล่ะครับ?”


นี่ตรูหลงผิดไปช่วยเจ้าปีศาจร้ายในคราบเทพบุตรอยู่มั้ยเนี่ยอีทึกเอ๊ย!






END




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2551    
Last Update : 28 ธันวาคม 2551 20:16:42 น.
Counter : 1028 Pageviews.  

...Friend?

วันหยุดวันนึงที่อากาศดีๆ และคิดว่าจะออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อนสนิท

เสื้อผ้าก็หล่อ ทรงผมก็หล่อ แบตโทรศัพท์ก็เต็ม ตังค์ก็กดไว้แล้ว คำทักทายกวนประสาทก็เตรียมไว้แล้ว โทรไปนัดเจ้าเพื่อนเอ๋อนั่นก็แล้ว

ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว!


พร้อมหมดแล้วแท้ๆ


แต่....



ก๊อกๆๆๆ


“ทงเฮไปดูซิว่าใครมา”


แต่.....


“ครับพ้ม แต่อีกแป๊บน้า....แป๊บ...”


แต่...


“ทงเฮ!”


แต่


“...แป๊บเดียวจริงๆ ฮะพี่ ผมจะชนะแล้วน่า....”


ก๊อกๆๆๆ


“ถ้าไม่กลัวข้าวเที่ยงพวกนายไหม้พี่จะเอาตะหลิวไปเขกหัวนายจริงๆ นะเนี่ย ..เฮ้อ....ฮยอกแจ....”


แต่..


“ครับ เดี๋ยวผมไปเปิดเอง”

ตวัดสายสะพายกระเป๋าใบเก่งขึ้นมาพาดบ่าและหยิบนาฬิกาสุดเท่ห์มาใส่แล้วในท้ายสุดก็ปัดๆ เซตๆ ผมข้างหน้าให้มันเข้าที่เข้าทางพร้อมกับเช็คความหล่อเรียบร้อยหน้ากระจกเสร็จก็รีบถลาเปิดประตูห้องเพื่อตรงไปยังประตูหน้าบ้านตามคำขอของพี่คนโต


ก๊อกๆๆๆ


แต่...


“เดี๋ยวคร้าบ แป๊บนึง...”


แต่...


แกร๊กกกก....


“อ้าว...เฮ้ย..! เจ้าบ้าซีวอนอย่าล้มมาสิฟระ!”


แต่..


“ไอ้ยักษ์นี่ได้ยินมั้ย ทรงตัวดีๆ สิวะซีวอน!”


แต่...


“มีกุญแจไม่ใช่เรอะทำไมไม่ใช้วะ!...เอ๋....เฮ้ย! ทำไมตัวนายร้อนจี๋เลยอ่ะ เอ้ย ซีวอน ได้ยินฉันมั้ย ซีวอน เจ้ายักษ์ซีวอนนี่....”



ก็คือแต่ตัวที่ร้อนจัดและสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรงของไอ้เจ้าชายขี้เก๊กที่เกือบจะล้มทับลงมาที่หน้าประตูและคำสั้นๆ ไม่กี่คำจากปากหยักของมันก็ช่วยหยุดคำถามทุกสิ่งอย่างที่กำลังจะออกมาได้ดีนัก



“ฉันป่วย”


แถมมันยังหยุดแพลนการออกไปเที่ยวเล่นที่วางไว้ซะดิบดีได้ด้วย


เฮ้อ....แล้วทำไมผมต้องมาดูแลมันด้วยนะ!






::. Inverse Special Part .::





โรงหนัง ตู้เกมส์ ร้านอาหาร ร้านไอติม


และเจ้าบ้าหน้าเอ๋อคิมจุนซู


ลาก่อน T _ T




::…Friend?.....Just….or….Able to Be….::





“พี่ไปก่อนนะฮยอกแจ...แล้ว...” พี่ชายคนสวยที่หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วและกำลังจะหอบกระเตงบรรดาลูกลิงตัวอื่นๆ ออกไปทำงานก็เหลือบไปมองประตูห้องที่มีคนตัวโตนอนหมดสภาพอยู่ข้างในด้วยสายตาเป็นห่วงนิดๆ “...ไหวนะ....?”

“ผมคงไหวกว่าเจ้าหน้าตายบอมล่ะครับ พี่ไปเถอะเดี๋ยวผมดูแลมันเอง”


เพราะถ้าออกไปข้างนอกจริงทั้งบ้านก็จะเหลือจอมเงียบคิบอมกับไอ้ขี้เก๊กซีวอนที่กำลังป่วย


ให้คิมคิบอมดูแลชเวซีวอน?


สาบานว่าจิ้นไม่ออกจริงๆ ว่าซีวอนมันจะดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่!


ปัง!


แล้วประตูบ้านก็ปิดลงพาความเงียบให้มันค่อยๆ คืบคลานเข้ามา นอกจากตัวเองที่ยืนส่งทุกคนที่หน้าบ้านแล้วก็ยังมีคนเหลืออีกสองคนในบ้าน อีกห้องที่เจ้าของจะอยู่หรือไม่อยู่มันก็ไม่ได้ต่างกันนัก และอีกห้องที่ถึงเป็นห้องนอนตัวเองแต่ตอนนี้กลับมีเจ้ายักษ์กำลังนอนยึดเตียงเหยียดยาวจนขามันเลยปลายเตียงออกมา

พร้อมๆ กับที่ถอนหายใจด้วยความหนักใจในอาการของเพื่อนก็เหมือนความหนักใจที่มันออกมานั้นจะผสมซึ่งบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนด้วย



‘ทำไมตัวต้องเลื่อนนัดด้วยอ่ะ เค้าอุตส่าห์ขอหยุดวันนี้เลยนะ ตัวก็รู้นี่ว่าขอหยุดแต่ละทียากจะตาย’

‘ก็ซีวอนมันกำลังป่วย แล้วก็ไม่มีใครว่างเลย’

‘.............’

‘นายงอนจริงๆ เหรอจุนซู’

‘ถ้าเค้าป่วยบ้างตัวจะเลือกดูแลใครอ่ะ?’

เลือกนายสิ!

‘ก็ต้องดูว่าคนไหนมีคนดูแลมั้ย ถ้าเพื่อนๆ ในวงนายไม่อยู่ฉันก็จะไปรับนายมาดูแลพร้อมๆ กันที่นี่ไง’

‘...............’

‘...จุนซู...?’

‘ฮึกๆ ตัวบอกแต่ว่าเค้าเปลี่ยนไปๆ แต่ตอนนี้เค้าไม่เห็นจะเป็นที่หนึ่งสำหรับตัวเลยอ่ะ’

‘ทำไมต้องพูดอย่างนั้นด้วยล่ะ ถึงถ้านายป่วยจริงยูซอนก็คงหยุดงานเพื่อดูแลนายอยู่แล้วนี่ คำก็มิคกี้สองคำก็มิคกี้ คนที่ไปมีเพื่อนสนิทคนใหม่ก่อนคือนายต่างหาก!’

‘ไม่จริง ตัวนั่นแหละเปลี่ยนก่อน!’

‘นายก่อน!’

‘ตัวก่อน!’

‘นายก่อน!’



..

..


นั่นล่ะ หลังจากที่ตะโกนใส่โทรศัพท์จนต่างฝ่ายต่างตัดสายไปเองก็ต้องถอนหายใจเบาๆ และจ้องเจ้าโทรศัพท์เครื่องจิ๋วในมือนิ่งนานซักพัก

ทำไมฉันไม่อยากจะไปเที่ยวกับนายล่ะจุนซู ทั้งๆ ที่ฉันก็นับวันรอวันนี้มานานเหมือนกัน


แต่...



‘ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว’


ตอนที่ถามเจ้ายักษ์นั่นหลังจากประคองพามันลงไปนอนพังพาบกับเตียงได้และมันเอาสติที่กำลังสลึมสลือตอบกลับมาว่าทำไมถึงไม่นอนพักสบายๆ ที่คอนโดจะต้องลำบากมาทำไมมันก็ตอบกลับมาอย่างนี้ล่ะ


‘แปลกนะ....แต่ก่อนฉันก็อยู่คนเดียวได้ไม่เห็นเป็นไรเลย...สบายออก...’ กำลังถอดถุงเท้าและเสื้อนอกออกให้มันก็ได้ยินเสียงแหบห้าวบ่นพึมพำเบาๆ ประมาณนี้ ขนาดป่วยมันยังแต่งตัวครบเครื่องได้อีกไอ้เจ้าชายเอ๊ย - -* ไมไม่ผูกไทน์มาซะเลยวะ


‘แต่ทำไมตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าคอนโดมันเหงา...ยิ่งป่วยก็ยิ่งเหงา...ฉันคิดถึงพวกนาย...อยากมานอนฟังเสียงพวกนายทะเลาะกัน.... ’ แปลกเหมือนกันที่ผู้ชายคนนี้จะพูดตรงๆ อย่างนี้ออกมาได้

“ฉันอ่อนแอขึ้นเหรอเจ้าไก่น้อย”

กำลังจะสงสารอยู่หรอกแต่ทำไมต้องมาเรียกงี้ด้วยฟระ!

‘เออ! นายมันอ่อนแอมาตั้งนานแล้วล่ะพึ่งรู้รึไง!’

‘นั่นสินะ ฉันคงอ่อนแอตั้งแต่เจอนายเลยล่ะมั้ง ’

พูดจบแล้วก็ยิ้มแปลกๆ มาให้ ไม่ใช่ยิ้มหวานๆ เลี่ยนๆ เจ้าชู้ๆ หรือทะเล้นกวนๆ เหมือนเคยแต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่แปลก


แปลกจนต้องหลบตา


‘ฉันจะไปเอาข้าวมาให้กิน นายนอนไปก่อนนะ’

‘ครับ’

แล้วนั่นก็คือข้ออ้างให้หลบออกมาได้ ข้าวต้มพี่ทึกทำไว้ให้แล้วก็เหลือแค่เอามาอุ่นแล้วก็โทรไปยกเลิกนัดกับเจ้าเด็กเอ๋อนั่น


แล้วก็เลยได้ความเจ็บปวดและเสียงถอนหายใจกลับมาอย่างนี้ไง


อยากไปเที่ยว...แต่สภาพของซีวอนตอนนี้กลับทำให้ทิ้งไม่ลง แต่การทะเลาะกับจุนซูเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้หนักใจขึ้นกว่าเดิมอีก


เฮ้อ....ทำไมอะไรๆ มันถึงดูยุ่งนักนะ





แกร๊กกกกกก....




เปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปอย่างแผ่วเบากว่าที่เคยเป็น คนที่มาขโมยเตียงนอนนอนท่าไหนก่อนออกไปก็ยังอยู่ท่านั้นไม่เปลี่ยน เตียงปกติของตัวเองตอนนี้มันกลับดูเล็กไปถนัดใจเลย


“ซีวอน...ซีวอน....ได้ยินมั้ย....”

“อือ....”

“.....ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาแล้วค่อยนอนนะ เอ้าลุกสิ ฉันไม่มีแรงยกนายขึ้นได้หรอกนะโว้ย”

จับแขนใหญ่ๆ นั่นพาดบ่าและเรียกแรงสุดกำลังเพื่อพยุงพาเจ้านี่นั่งพิงหัวเตียงให้ได้ ถ้ารู้ว่ามันจะลำบากลำบนขนาดนี้เมื่อกี้น่าจะไปเรียกเจ้าหน้าตายให้ออกมาช่วยกันน้า ฮึ้บบบบ

“...เฮ้อ...เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย...” พูดไปปาดเหงื่อไปก็ต้องลุกไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ สภาพลูกผีลูกคนอย่างนี้คงต้องป้อนเองล่ะมั้ง

“...วอน...ซีวอน...” ตบหน้าแปะๆ ก็แล้วยังไม่ตื่นดี งั้นก็ต้องเล่นอย่างนี้สินะ

ผลัวะ!

“โอ้ย!”

“เออ...ตื่นได้ซะที ลืมตาขึ้นมากินข้าวก่อนเร็วจะได้กินยา”

“...ปลุกอย่างละมุนละม่อมหน่อยไม่ได้รึไง มีอย่างที่ไหนฟาดหัวคนป่วยน่ะฮึเจ้าไก่สมองกลวง”

“แมร่งงง ตื่นมาได้ก็เอาใหญ่เลยนะ ก็เรียกดีๆ ตั้งนานแล้วนายไม่ตื่นนี่ แล้วอย่างไหนล่ะถึงจะเรียกว่าละมุนละม่อมบ้านนาย?”

จัดแจงหยิบชามข้าวต้มมาเป่าๆ คนๆ ให้มันหายร้อนเลยลืมสังเกตไปนิดว่าอีกคนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา

“ก็อย่าง......” แย่งข้าวต้มคนป่วยกินนี่ผิดมั้ยนะ แต่พี่ทึกเล่นทำได้น่ากินเองนี่นา ก็แค่ลองชิมดูเองว่ามันหายร้อนรึยังเท่านั้นเอง... “…morning kiss อย่างเนี้ยทำเป็นมั้ย?”

แค่ลองชิมเท่านั้นเอ....


เอ๋...เมื่อกี้มันว่าไงนะ.....


อะไรคิสๆ นะ?


เคร้ง!


พอเลิกห่วงแต่กินและลองแปลสิ่งที่ได้ยินชัดๆ ช้อนก็แทบจะหลุดจากมือลงไปกระแทกชามข้าวต้มทันที


“นายอยากให้จูบปลุกเรอะ!”


“อื้อ~ ^ ^”


ใจเย็นไว้ฮยอกแจเอ้ย ไอ้บ้านี่มันคุณชายหัวนอกไม่เหมือนคนทั่วๆ ไป คงเป็นธรรมเนียมบ้านมัน


ธรรมเนียมบ้านมัน...


“นายอยากให้จูบปลุกจริงๆ ใช่มั้ย?”


ถามอย่างจริงจังแต่กลับได้สายตาแปลกใจกลับมาก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาผิดมนุษย์มนานั่นจะยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มที่แก้มทั้งสองข้าง

“ถ้านายทำได้....”

“ได้สิ ได้อยู่แล้ว....” มันป่วยอยู่ต้องเอาใจมันหน่อย บ้านมันมีอันจะกินเลยมีธรรมเนียมแปลกๆ ก็ต้องพยายามเข้าใจมัน

“งั้นนายรอแป๊บนึงนะ...”วางชามข้าวต้มที่กินยังไม่ถึงคำลงที่โต๊ะข้างๆ พร้อมๆ กับเตรียมตัวลุกขึ้นทันที “...คิบอมมันคงตื่นแล้ว เดี๋ยวฉันไปเรียกให้มันมาจูบปลุกนายละกัน แป๊บเดียว”

เพราะกำลังลุกล่ะมั้งเลยไม่ทันสังเกตว่ารอยยิ้มนั่นจะสลายลงทันควันก่อนคิ้วเข้มได้รูปจะขมวดแน่นด้วยความแปลกใจและก็มารู้ตัวอีกทีเมื่อมือใหญ่ร้อนจัดตวัดจับข้อมือตัวเองที่กำลังจะลุกได้ทันใจนัก

“ทำไมต้องคิบอม?”

“อ้าว...ก็นายอยากได้คนมาจูบปลุกนี่” ไหนเค้าว่าคนป่วยไม่มีแรงฟระ ทำไมบิดยังไงก็ไม่หลุด “...ฉันไม่คุ้นกับการจูบปลุกใคร แต่คิบอมมันเคยอยู่ต่างประเทศมาก่อนมันคงชิน ถ้านายอยากได้ฉันจะไปเรียกให้ก็ได้ไง ปล่อยสิ...”

“งั้นก็ไม่ต้องหรอก ถ้านายไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไปเรียกใครมาหรอก”

พูดจบ...ปล่อยมือ...แล้วก็เล่นสะบัดหน้างอนๆ หนีไปอีกทางเลย!

เออแฮะ...คนป่วยแล้วจะขี้น้อยใจท่าจะจริง แต่คนอื่นทำมันคงน่ารักน่ะนะถ้าไม่ใช่ผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์อย่างนี้

ดูแล้วมันน่าขำมากกว่าน่าสงสารซะอีก!

“...หันมาทางนี้สิเจ้าบ้าซีวอน”

คอแกร่งๆ นั่นบิดไปอีกทางจนท่าจะเจ็บแล้วมั้ง

“เรื่องนั้นฉันอาจจะทำไม่ได้แต่ถ้าแค่ป้อนข้าวนายฉันทำได้น่า นายอยากจะให้ฉันป้อนมั้ย?”

“........”

“...งั้นถ้านายเล่นตัวมากๆ ฉันจะไปเรียกคิบอมมาป้อนข้าวนายนะหรือไม่นายก็กินเอง จะเอาอย่างไหนฮึ!” น้ำเสียงที่เพิ่มให้มันเข้มหน่อยคงได้ผลเพราะใบหน้านั้นหันกลับมาแม้จะติดงอนอยู่นิดๆ ก็ตาม

“นายป้อน”

เออ ให้มันได้อย่างนี้สิน่าไอ้ขี้เก๊กที่โตแต่ตัวเอ๊ย!


แล้วหลังจากการยัดข้าวและยาใส่ปากหยักสวยเกินชายนั่นเสร็จก็ต้องมานั่งเช็ดตัวให้เพราะเสื้อตัวเก่าชื้นเหงื่อจนเปียกแล้ว งานนี้ซีวอนกลับว่าง่ายๆ เมื่อยอมให้เช็ดแต่โดยดีไม่มีบ่นซักคำ พอเริ่มบ่ายแก่ๆ นั่นแหละถึงทำทุกอย่างเสร็จซักที

เหนื่อยเป็นบ้า!

แต่พอจัดการเก็บอุปกรณ์ดูแลคนป่วยไปล้างไปเก็บเรียบร้อยและเดินถืออ่างใบเล็กที่ไปเปลี่ยนน้ำกลับมาเจ้ายักษ์ก็หลับไปอีกครั้งแล้ว หน้าตอนหลับดูผ่อนคลายและอ่อนเยาว์ลงเยอะกว่าตอนตื่นมากและก็เห็นได้ชัดๆ เลยถึงโครงหน้าที่ไม่มีที่ติของคนป่วย

พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเล้ย


“...อือ....ฉันลืมถาม นายแต่งตัวอย่างนี้จะออกไปข้างนอกเหรอ?”

อยู่ดีๆ คนหลับก็สลึมสลือขึ้นมาพูดตอนที่เขากำลังเอาผ้าที่หน้าผากมาชุบน้ำที่เปลี่ยนใหม่ก่อนจะบิดและวางบนหน้าผากได้รูปนั่น คำว่า ‘ออกไปข้างนอก’ คงทำให้หน้าสลดลงนิดหน่อยเมื่อนึกได้ว่าพึ่งทะเลาะกับเพื่อนสนิท แต่เพราะคนตรงหน้าที่ยังจ้องมาอย่างรอฟังคำตอบเลยจำต้องยิ้มให้บางๆ

“...ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ นอนอ่านการ์ตูนอยู่บ้านสบายๆ ดีกว่า แต่ทำไมนายถึงรู้ล่ะ ฉันแต่งหล่อล่ะสิวันนี้ ฮ่าๆๆๆ.....”


เก๊กหน้าและกำลังแกล้งหัวเราะดีๆ แล้วแต่คำพูดเดียวจากเจ้ายักษ์กลับทำให้รอยยิ้มมันสลายวับไปทันควัน!


“เปล่า”


ยังไม่ทันจะเอาหน้าบูดๆ ของตัวเองอ้าปากด่ามัน เจ้าคนขี้เก๊กกลับค่อยๆ หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนและปล่อยประโยคที่ทำให้ทุกคำพูดมันหยุดอยู่แค่ลำคอแทน


“วันนี้นายน่ารักดี”


พูดจบก็เล่นหลับไปเฉยเลย


รู้สึกได้เลยว่าปากแดงๆ ของตัวเองมันอ้าค้างพอๆ กับที่หน้ามันเริ่มแดงตามปาก ทั้งๆ ที่มันสลึมสลือพูดแท้ๆ แต่ทำไมเล่นเอาตรูหน้าแดงได้วะ!

ผู้ชายที่ไหนเค้าใช้คำชมว่าน่ารักบ้างเล่าเจ้าบ้า!!


แต่ก็นั่นแหละ ด่าไปก็ไม่มีประโยชน์เมื่อคนที่จะด่ามันดันหลับไปแล้ว ที่ทำได้จำต้องเก็บอาการฮึดฮัดอยู่คนเดียวและไปหยิบไปค้นการ์ตูนขึ้นมาอ่านแทน อากาศสบายๆ และการนั่งอ่านการ์ตูนข้างเตียงคนป่วยก็ไม่เลวนักหรอก นอกจากต้องไปขุดเล่มเก่าๆ มาอ่านอย่างต่อเนื่องแล้วการเอาผ้ามาชุบและเปลี่ยนน้ำให้ใหม่ก่อนจะวางแปะลงไปบนหน้าผากของเจ้ายักษ์กวนประสาทก็ไม่ได้ลำบากลำบนนัก

บางครั้งการอยู่เฉยๆ ไม่ต้องวุ่นวายกับใครก็มีความสุขดีเหมือนกัน

รู้สึกเหมือนตัวเองชักจะเข้าใจเจ้าใบ้คิบอมขึ้นมานิดๆ แฮะ

...

...

...

...

“ซีวอนเป็นไงบ้างฮยอกแจ?”

“ดีขึ้นบ้างแล้วครับพี่ เมื่อกี้วัดไข้ก็ลดลงแล้วครับ”

“อื้อ ดีแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ไปทำกับข้าวช่วยฮันก่อนถ้าเสร็จแล้วจะมาเรียกนะ”

“ครับ”


ปวดหัว....


เสียงสองเสียงที่คุยกันเบาๆ ที่หน้าประตูห้องทำให้ต้องขมวดคิ้วหน่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสู้แสง เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นคนตัวบางที่เห็นทั้งยามหลับและยามตื่นกำลังยืนคุยกับหัวหน้าวง และพอร่างโปร่งๆ ของพี่คนโตเดินจากไปคนที่ยืนหันหลังให้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย

หลายครั้งหลายคราที่ทำท่าจะกดแต่ก็กลับยัดเข้ากระเป๋าแล้วค่อยดึงออกมาใหม่ซ้ำๆ อยู่นั่น

จนในท้ายที่สุดไก่น้อยก็ถอนหายใจเฮือกก่อนจะทำท่าฮึดสู้และกดโทรออกเอาจริงๆ!

..

..

“จุนซูเหรอนี่ฮยอกแจนะ เอ๊ะ เดี๋ยวจุนซูอย่าเพิ่งตัดสา.........ตรู๊ด.......ตรู๊ด....”

แล้วหลังจากนั้นร่างที่เดินๆ จากหน้าประตูไปที่หน้าต่างก็เดินไปพร้อมๆ กับที่กดโทรออกไป แต่โทรกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เหมือนคนปลายสายจะตัดสายทิ้งทุกที จนในที่สุดฮยอกแจต้องกดปุ่มถี่ๆ รัวๆ เหมือนกับกำลังพิมพ์ข้อความนั่นแหละ

และเมื่อกดส่งไปแล้วไม่นานซักพักโทรศัพท์ในมือเล็กก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับที่หน้าขาวสว่างนั่นจะบานจนสังเกตได้


‘เจ้าบ้าฮยอกแจรับสายได้.....ติ๊ด!’



“จุนซู!”




“ยังโกรธอยู่เหรอ?”




“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น นายอย่าหาเรื่องสิ”




“ฉันก็ต้องเลือกนายอยู่แล้ว แต่ซีวอนก็เป็นเพื่อนในวง ยังไงฉันก็มีหน้าที่ต้องดูแลเพื่อน”




“ทำไมต้องพูดอย่างนั้นล่ะ....นายก็ต้องเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดสิ ไม่มีใครสำคัญเท่านายหรอก ฉันไม่ได้อยากจะผิดนัดจริงๆ นะ ฉันขอโทษ”



“แล้วคราวหน้าฉันจะเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเองนะ จะเลี้ยงไอติมด้วย หายโกรธเถอะนะจุนซู”




“พูดจริงๆ ....สัญญาเอ้า! ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ใครจะเป็นจะตายยังไงฉันก็จะไม่ผิดนัดกับนายอีกแน่ๆ ....อื้อ.....สัญญา......อย่าร้องสิ.....สัญญาจริงๆ น่า......สัญญา........”



“ก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย...แล้ววันนี้นายทำอะไรล่ะ?”




“...............”




“เปล่า.....ฟังอยู่......แต่นาย.......นาย....ออกไปเที่ยวกะยูชอนแทนเหรอ?”




“...เพื่อนายยูชอนคงยอมตามใจอยู่แล้วล่ะ..........เปล่านี่.....อึก.....ฉันปกติดีนี่ ไม่ได้เป็นหวัด เสียงฉันแปลกเหรอ?”



“ฮะๆๆๆ นายเดาผิดแล้วล่ะเจ้าบ้า ใครที่ไหนร้อง....ไม่มีใครขี้แยเหมือนนายหรอกน่า....แล้ววันนี้สนุกมั้ย?”




“...อื้อ....ดีนะ........อื้อ.......ดีแล้วล่ะ........”




“อื้อ......ฟังอยู่........อื้อ.......ดีแล้ว....อื้อ.....”




“.....นายมีความสุขก็ดีแล้ว.....อื้อ.......อื้อ......”




“.....อื้อ.....”



คนที่อยู่ปลายสายและคงกำลังเล่าเรื่องเพลินเพราะเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ดังแทรกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ คงไม่รู้หรอกว่าอีกคนที่ฟังเรื่องเล่าไปพร้อมๆ เอ่ยเสียงตอบรับไปนั้นจะกำลังทำหน้าแบบไหน


ยิ้ม....ไก่น้อยยิ้มเพื่อที่ว่าถ้าหน้ามันแสดงออกอย่างนั้นเสียงมันจะสดใสไปตามหน้าด้วย


แต่นายรู้อะไรมั้ยจุนซู? นายรู้บ้างมั้ยว่าในขณะที่นายกำลังเล่าเรื่องอย่างมีความสุขเพื่อนนายกำลังเป็นทุกข์ในมุมที่นายมองไม่เห็น


เพื่อนนายกำลังยิ้ม....ยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตามันกำลังไหลอาบแก้ม!



“...อื้อ.....อึก......ฟังสิ......อย่างนั้นเหรอ....ฮะๆๆ ...ท่าทางน่าสนุกนะ....”



เพื่อนนายกำลังหัวเราะ...หัวเราะทั้งๆ ที่ต้องรีบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาทิ้ง



“.....อื้อ....ฟังๆ.....อื้อ.....”


เพื่อนนายกำลังตอบรับ...ตอบรับทั้งๆ ที่ต้องรีบเอามือที่เช็ดน้ำตานั้นมาอุดปากเพื่อกั้นเสียงสะอื้นไม่ให้มันหลุดออกไป



“....อึก.....อื้อ......”



นายรับรู้มันบ้างมั้ยจุนซู?



“.....นาย....นายไปหายชซอนเถอะ....วันหลังค่อยคุยกันก็ได้....อื้อ....ราตรีสวัสดิ์เจ้าบ้าจุนซู”


มือเรียวกดตัดสัญญาณไปแล้วแต่ตาหยีๆ ยังจ้องหน้าจอค้าง หน้าจอที่มันเป็นรูปปลาโลมากระโดดน้ำไปพร้อมๆ กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

ตัวการ์ตูนเด็กผู้ชายที่ร้อยทั้งร้อยก็ดูออกว่าคนในภาพเป็นใคร!

แล้วมือนั้นก็ยกมาปิดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อปิดเสียงสะอื้นแผ่วๆ นั้นให้มันเหลือเพียงเสียงบางเบาที่ลอยไปตามสายลมยามค่ำคืน แสงจันทร์สีขาวนวลฉาบไล้ไปบนหน้าขาวสว่างและสะท้อนกับหยดน้ำตาที่มันเกาะพราวตามแก้มใส


รักที่ไม่สมหวังมันก็เจ็บแบบนี้แหละฮยอกแจ


“...อือ....”


เสียงเขาที่เปล่งออกมาเบาๆ กลับทำให้คนตรงหน้าต่างสะดุ้งเฮือก มือขาวเนียนรีบปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็วก่อนจะหันหน้ามา

การแอบรักเพื่อนแล้วบอกไม่ได้มันก็เจ็บแบบนี้แหละฮยอกแจ


“...ฉันหนาวจัง”

“...ฮึก...งั้นแป๊บนะ...ฉันจะไปยื้มผ้าห่มห้องคนอื่น...ฮึก....มาให้....”

ตาเรียวนั้นแทบไม่กล้าสบตาด้วยซ้ำ ถ้าไม่รีบคว้าข้อมือเอาไว้เจ้าตัวคงหาเรื่องแกล้งหนีออกจากห้องไปอีกแน่

“...ไม่ต้องหรอก นายมานี่ดีกว่า” บอกพลางก็เปิดโปงผ้าห่มของตัวเองขึ้นและขยับแบ่งพื้นที่ว่างบนเตียงให้คนที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ไม่เคยได้ยินเหรอว่าคนป่วยห่มผ้าก็ไม่หายหนาวหรอกเพราะมันหนาวจากข้างใน นายต้องมาแบ่งไออุ่นให้ฉันต่างหาก”

“ตะ...แต่....แบบนั้นมัน.....”

“...ฉันหนาวสั่นๆ ยังไงไม่รู้...”

“แต่ว่า....แต่ว่า....”

“...ทำไมรู้สึกเหมือนมันสั่นไม่หยุดเลยนะ...”

“....แต่....เฮ้อ.....”

เสียงถอนหายใจตามมาก่อนก่อนที่เจ้าตัวจะยอมปีนขึ้นมาบนเตียงด้วย แต่แขนเล็กๆ ที่ทำท่าจะเอื้อมมาโอบเขาไว้ในอ้อมกอดเล็กๆ นั่นมันกลับหยุดชะงักเพราะเขากลับดึงร่างนั้นเข้ามาซุกในอกกว้างๆ ของตัวเองแทน

“...เอ๋...ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะซีวอน...ฉันต้องเป็นฝ่ายกอดนายสิ...ไม่ใช่แบบ....”

“ถ้าฉันหนาวแล้วจะกอดนายเพื่อให้มันอุ่นก็ไม่แปลกหรอก”

กระซิบเบาๆ กับผมนุ่มหอมตรงหน้าก่อนจะกดหัวสวยนั้นให้ซุกเข้ามามากขึ้น

“นั่นเพราะนายมันจอมลวนลามต่างหากเล่าเจ้าบ้า ปล่อยเด้”

เพราะถ้าฉันปฏิบัติกับทุกคนเท่าเทียมกันนายจะได้ไม่ผิดสังเกตว่าคนที่ฉันอยากจะแตะต้องสัมผัสมีแค่นายคนเดียว...

“ถ้าจะมีสาวๆ มากรี๊ดฉันมันก็ไม่แปลกหรอกเพราะฉันมันโคตรหล่อโคตรเท่ห์”

ที่ทำทั้งหมดมันก็แค่การตบตาอย่างหนึ่งเพื่อนายจะได้ไม่เอะใจ.....แค่นั้นเอง...

“นายมันหลงตัวเองเข้าขั้นวิกฤติแล้วต่างหากล่ะเจ้าบ้า ร้อนจะตาย ปล่อย....”

“และถ้าฉันจะเจ็บเพราะรักใครสักคน....” พร้อมๆ กับที่แขนข้างหนึ่งรัดเอวบางให้แน่นเข้ามา....มืออีกข้างก็ลูบหัวทุยๆ ที่เผลอนิ่งไปนั้นแผ่วเบาไปด้วย “..แล้วจะเจ็บปวดเพราะคนนั้นไม่ได้รักตอบ...”

การต่อต้านหยุดลงไปแล้วเมื่อร่างนั้นหยุดชะงักไปก่อนก่อนจะเริ่มตัวสั่นขึ้นมาเบาๆ จากอารมณ์ภายใน

“...ถ้าจะร้องไห้มันก็ไม่แปลกหรอกไก่น้อย....”

มือเล็กที่ผลักกลับกลายมาเป็นยึดเสื้อเขาแน่นขึ้น ปากที่เอ่ยคำตอบโต้กลับกัดฟันแน่นเมื่อเสียงสะอื้นพวกนั้นมันเริ่มหลุดออกมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นที่ทำคือลูบหัวนั้นปลอบโยนแผ่วเบา

“ร้องออกมาเถอะ...อย่าเก็บมันไว้เลย ข้อดีของนายคือการเป็นคนร่าเริงและเปิดเผย ถึงใครไม่เห็นแต่ฉันเห็น...อย่ากลายเป็นคนเก็บกดเลยฮยอกแจ”

“...ตะ....ฮึกๆ....แต่....”

“การรักใครมันไม่ใช่ความผิดหรอก ถ้าเค้าจะไม่ได้รักตอบมันก็ไม่ผิดเหมือนกัน เรื่องนี้ไม่มีใครผิดเลยไก่น้อย และถึงนายจะร้องก็ไม่มีใครว่ามันผิดหรอก...ไม่ผิดซักนิดเลย....”

“อื้อ....ฮึก....รัก....ฉันรักมัน....ซีวอน....ฉันรักมัน....”

“ฉันรู้.....”

“...ทำไมล่ะ ฉันไม่ดีตรงไหน...ฮึกๆๆ....ทำไมจุนซูไม่....ฮึกๆๆ....เลือกฉัน....ฮึก...ทำไม....”

“...ไม่มีใครดีเท่านายแล้วล่ะ...สำหรับฉันไม่มีใครดีเท่านายแล้ว...”

“แล้วทำไมต้อง...อึก...ยูชอน...ทำ...อึก....ไม่ใช่ฉันล่ะ....ฮึกๆๆ....”

เพราะนายไม่ใช่ยูชอนและฉันก็ไม่ใช่จุนซู

จุนซูรักนายไม่ได้เหมือนๆ กับที่นายรักฉันไม่ได้

“...ฮึก...ทั้งๆ ที่ฉันรักมัน...รักมาก...อื้อ...รักไม่ไหวแล้ว....ฮึก...รัก.....”

“ฉันรู้....”

“...ฉันรักมันได้ยินมั้ยซีวอน....อึก...รักมัน...”

“ฉันรู้น่าเจ้าบ้า....ฉันรู้....”



“ฉันรู้....”


รู้ว่าความรักของพวกเรามันจบแบบเดียวกัน


แต่....สักครั้งได้มั้ย?


ฉันบอกรักนายอย่างนี้บ้างได้มั้ย?


ให้ฉันได้บอกรักนายอย่างนี้บ้างได้มั้ยฮยอกแจ?


“ฉันรักจุนซู....ฮึก.....รักจุนซู...”


“...ฉันรู้.....”


“...ฮึก....รัก....”



..

..


ถ้าฉันพูดออกไปบ้างจะได้มั้ย?




นายจะให้โอกาสรับฟังมันมั้ย?




ฉันบอกรักนายได้มั้ย!


เพราะอะไรไม่รู้ การอยากฉวยโอกาสเข้าแทรกหรืออะไรเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่ว่าคำรักจากปากอีกคนมันกลับทำให้ความรู้สึกที่มันแน่นอกนี้กำลังจะหาที่ระบาย


ฉันรักนายได้มั้ย?


รักได้มั้ย!


“...ฉันรักนายฮยอกแจ”



“..........”


คำพูดที่ออกมาไม่กี่คำกลับทำให้คนในอ้อมกอดหยุดแน่นิ่งทันที!


“ฉันรักนายไม่แพ้กับที่นายรักจุนซู ให้โอกาสฉันได้มั้ย?”


“........”


ไม่มีเสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมาแต่กลับเป็นบรรยากาศเงียบสนิทที่ไม่น่าไว้ใจแทน


“....ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้นายร้องไห้อย่างนี้...”


แต่บางทีที่แน่นิ่งไปนี่คือนายเริ่มจะรับรู้ความรู้สึกของฉันแล้ว?


ฉันอาจจะไม่ได้เข้าข้างตัวเองก็ได้


“รักฉันแทนเถอะนะฮยอกแจ รักฉันแทนเถอะ”


หัวใจมันกำลังเต้นรัวด้วยความหวังเมื่อไม่มีการกฏิเสธจากคนในอ้อมกอด พอๆ กับที่เสียงกำลังสั่นด้วยความดีใจมือใหญ่ของตัวเองที่กอดคนตรงหน้าเข้ามาแนบอกก็กำลังสั่นไปด้วย

จะถูกกล่าวหาว่าฉวยโอกาสยังไงก็ช่าง จะถูกกล่าวหาว่าขี้โกงที่สารภาพตอนนี้ก็ช่าง


แต่ฉันรักนายได้ยินมั้ยฮยอกแจ?


ฉันรักนายได้ยินบ้างมั้ย!


“เป็นฉันแทนเถอะนะฮยอกแจ จุนซูไม่ได้รักนายแต่ฉันรักนาย ให้โอกาสฉันเถอะนะ”


จะเป็นยังไงก็ช่าง!


“เป็นฉันแท....”



“...ใครใช้ให้นายล้อเล่นเล่นอย่างนี้ซีวอน?




“.................”



เป็นยังไงก็ช่าง?



“ถึงฉันกำลังอกหักแต่ก็ไม่ได้น่าเวทน่าจะต้องมาพูดอย่างนี้หรอก ฉันไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้น!”



น้ำเสียงกรุ่นๆ ยังไม่ทำให้ตัวแข็งพอกับการที่มือบางผลักอกกว้างๆ ของเขาออกเต็มแรง ร่างนั้นขยับลุกขึ้นมาพลางถอยหนีอย่างหวาดระแวงและรังเกียจ


“ฮยอกแจ.....”


ไม่เว้นแม้แต่มือที่เอื้อมไปจะถูกคนตรงหน้าปัดทิ้งอย่างไม่ไยดีด้วย


“ถอนคำพูดซะ!”


“............”


“ถอนคำพูดเมื่อกี้ทิ้งซะแล้วฉันจะถือว่าไม่เคยได้ยิน!”



แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ นายจะขุดมันออกไปจากหัวใจฉันยังไง?



“ฉันไม่ได้น่าสงสารขนาดที่นายจะต้องมาสงเคราะห์คบด้วย! ถอนคำพูดเมื่อกี้ซะชเวซีวอน!!”



ร่างนั้นยังสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้นเมื่อหลับหูหลับตาตวาดไปปาดน้ำตาไป แต่สายตาเอาจริงกลับจ้องมาอย่างเด็ดขาด


ถ้าความรู้สึกมันลบทิ้งได้ง่ายดายเหมือนคำพูดฉันก็คงไม่ต้องมานั่งเจ็บปวดทุกครั้งที่นายพูดถึงเขาหรอก


“ฉันรักนาย...”


ไม่แยต่ออาการตะลึงค้างของคนตรงหน้าเมื่อความรู้สึกที่อัดแน่นมาหลายปีมันกำลังจะทาทางระบายออกไป ไม่สนต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้เมื่อ ณ จังหวะนี้จะให้บอกว่าความรู้สึกพวกนี้คือการล้อเล่น?

ฉันทำไม่ได้หรอก


“ฉันรักนายได้ยินมั้ยฮยอกแจ! ฉันไม่ได้พูดเพราะสงสารแต่พูดเพราะฉันทนเก็บมันไม่ไหวแล้ว! ฉันรักนาย รักนาย รักนายมานานแล้วรับรู้เอาไว้ซะ!”


ถัดจากเสียงตะโกนดังก้องของตัวเองก็คือความเงียบอันแสนอึดอัดที่ครอบคลุมลงมาจนหนักไปทั้งตัว ไม่มีอาการอื่นใดจากร่างตรงหน้านอกจากการที่จ้องมายังเขาอย่างไม่เชื่อสายตา


แล้วถัดมาคือคลื่นความโกรธที่ค่อยๆ แผ่ขึ้นมาตามหน้าขาวสว่าง คำพูดไม่กี่คำจากปากแดงกลับเหมือนเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงเรียกเลือดในหัวใจให้มันไหลซิบๆ ได้ดีนัก


“แต่ฉันไม่ได้รักนาย”


“..........”


“ฉันไม่ได้รักนายได้ยินมั้ยชเวซีวอน ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ก็เปลี่ยนความรู้สึกซะ!”


“ทำไมล่ะ? ถึงยังไงจุนซูก็ไม่ได้รักนายทำไมนายไม่เปลี่ยนใจมามองฉันบ้าง ฉันสัญญาว่าจะดูแลนายไม่ให้ต้องร้องไห้ ไม่ให้ต้องเสียใจ ไม่ให้....”


“ซีวอน”


“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อนาย จะรักนายมากกว่าใคร”


“ซีวอน”


“แค่นายเปลี่ยนมารักฉันมาเป็นแฟนฉัน ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายมีความสุขยิ่งกว่า...”


“ซีวอน!!”


เสียงตวาดอย่างเหลืออดกำลังเรียกความผิดหวังให้มันไหลแผ่ขึ้นมาได้ทั่วร่าง ใบหน้าที่มองมาอย่างเจ็บร้าวกลับช่วยหยุดคำขอร้องอ้อนวอนอย่างร้อนรนทั้งหลายทั้งปวงให้มันหยุดอยู่แค่ลำคอเมื่อจ้องคนตรงหน้าที่กำลังอ้าปากเอ่ยตอบทั้งๆ น้ำตา แต่คำพูดที่กำลังออกมามันกลับเฉือนหัวใจเขาออกทีละชิ้นๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ


“ถ้าความรักมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายขนาดนั้นนายก็เลิกรักฉันสิ”



น้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่ไหลออกมาอาบแก้มเนียนเรียกมือให้มันกำลังจะยื่นไปปาดออกให้อย่างเคยแต่ร่างที่ผวะหนีอย่างรังเกียจกลับช่วยหยุดมันได้พอๆ กับคำพูดที่ออกมาจากปากแดง


“ถ้าความรักมันเปลี่ยนได้ง่ายขนาดนั้นนายก็ไปทำให้จุนซูหันมารักฉันสิ นายทำได้มั้ยล่ะ ทำให้จุนซูหันมารักฉันนายทำได้มั้ยซีวอน?”


มันหยุดได้แม้กระทั่งคำพูดและกำลังจะลามไปถึงลมหายใจ


“ถ้าทุกอย่างมันง่ายดายเหมือนนายว่าก็เลิกรักฉันซะ! เพราะถ้านายยังไม่เลิกคิดอย่างนี้ก็ไม่มีวันที่ฉันจะคุยกับนายได้อย่างสนิทใจหมือนเดิมแน่!”


เสียงตวาดลั่นห้องและหัวใจเขามาพร้อมๆ กับที่คนตวาดปาดน้ำตาและผุดลุกจากเตียง ดวงตาหยีๆ ยังมองมาอย่างผิดหวังปนแค้นเคืองแต่ถึงอย่างนั้นคำพูดพวกนั้นมันกลับมีอานุภาพมากพอจะส่งให้ขามันแข็งและตัวมันชาจนขยับไม่ได้


“จากนี้ไม่ต้องมาทัก ไม่ต้องมาเรียก ไม่ต้องมาคุยกับฉันอีกแล้วนะ....”


นายทำได้ยังไงนะฮยอกแจ นายบอกตัดรอนฉันด้วยสายตาเด็ดขาดแบบนี้ได้ยังไง?


“เพราะฉันไม่ไว้ใจนาย!”


ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาระหว่างเรามันสิ้นสุดได้ง่ายดายเพียงนี้เลยใช่มั้ย?


นายทำได้ยังไง?


หากแต่ตอนนี้จะมามัวนั่งเสียใจไม่ได้ ถ้าไม่รีบรั้งไว้อาจจะเข้าหน้ากันไม่ติด พร้อมๆ กับที่ร่างบางๆ เดินเร็วๆ ไปที่ประตูห้องเขาก็ต้องรีบก้าวลงจากเตียงทันที แต่อะไรซักอย่างที่เหมือนรั้งเอาไว้กลับทำให้ร่างกายหนักไปทั้งตัว แม้จะพยายามตะเกียกตะกายไปเท่าไหร่แต่ก็เหมือนกลับไม่ได้เขยื้อนไปจากที่เดิมแม้เพียงนิดเลย

“ฮยอกแจ....รอก่อน....”

ร่างนั้นไม่ฟังเสียงสักนิดเพราะยังเดินลิ่วๆ ไปที่ประตูอย่างไม่มีการลังเล แต่ที่ขยับไม่ได้คือเขาที่ตะโกนร้องเรียกร่างนั้นอยู่บนเตียงต่างหาก


“ฮยอกแจ ฟังฉันก่อน อย่าเพิ่งไป”


ไม่เพียงแต่จะออกไปนอกประตูแต่ดูเหมือนคนๆ นั้นกำลังพร่าเลือนหายไปกับอากาศและทั้งตะโกนทั้งร้องเรียกเอาไว้ไม่สามารถหยุดได้เลย หัวใจข้างมันกำลังบีบตัวจนเจ็บเมื่อสำนึกว่าทุกอย่างมันจะไม่มีทางเหมือนเดิมแล้ว

ฮยอกแจจะไม่อยู่ข้างๆ เหมือนเดิมแล้ว


“อย่าหายไปนะ อย่าหายไปจากฉันนะ ฮยอกแจ!”


ไม่มีการตอบรับพอๆ กับสิ่งที่พยายามไขว่คว้าคือความว่างเปล่าของอากาศตรงหน้า



นี่มันเกิดอะไรขึ้น?



“ฮยอกแจ!!”





พรึ่บ!




พร้อมๆ กับที่ตะโกนสุดเสียงก็เหมือนภาพทุกอย่างจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา ภาพที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหันตรงหน้าคือเพดานห้องที่คุ้นเคยและมือตัวเองที่ยื่นออกไปหมือนจะคว้าอะไรบางอย่างเบื้องหน้า สิ่งที่รับรู้ได้คือเสียงตะโกนสุดท้ายของตัวเองที่กลับดังไม่เกินไปกว่าเสียงกระซิบและเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่มันผุดขึ้นมาจนเปียกชื้น


ฮยอกแจ!


ที่นอนข้างๆ ที่รีบหันไปดูยังมีรอยบุ๋มบนหมอนและความอบอุ่นยังคงแผ่ออกมาบางเบาแม้ข้างตัวจะว่างเปล่าไม่มีใคร ความผิดหวัง ความเสียใจ ความโล่งอก หรืออาการมึนหัวตุบๆ อย่างไหนก็แยกไม่ถูกเมื่อตวัดผ้าห่มทิ้งพร้อมๆ กับรีบร้อนลงจากเตียงเพื่อก้าวตรงไปที่ประตูห้อง


จะแบบไหนก็ช่างแต่ปล่อยให้มันเป็นแบบเมื่อกี้ไม่ได้


“ฮยอกแจ!”


ปัง!


เขาที่เปิดประตูออกอย่างแรงและตะโกนเสียงดังลั่นบ้านเรียกให้ทุกคนที่นั่งเล่นกันในห้องโถงหันมามองเป็นตาเดียว แต่สายตาคนอื่นไม่มีทางที่จะสนอยู่แล้วเมื่อร่างๆ เดียวที่กำลังมองหาตอนนี้คือคนที่ตัดสิ้นเยื่อใยทุกอย่างเมื่อครู่


“ฮยอกแจ!”


คนถูกเรียกที่กำลังจะรับถาดอาหารจากคนตัวสูงซักคนหันมามองอย่างแปลกใจ แต่ก่อนร่างนั้นจะทันได้อ้าปากถามเขาก็เดินเร็วๆ ตรงไปหาและดึงข้อมือเล็กๆ เพื่อคว้าร่างนั้นมากอดไปทั้งตัว


“ฮยอกแจ”


ซบหน้าลงกับไหล่ที่บอบบางยิ่งกว่าใครพร้อมๆ กับรัดอ้อมแขนตัวเองแน่นเข้าไปอีกเหมือนกับจะยืนยันการมีตัวตนของคนตรงหน้า ร่างที่ยืนตัวแข็งอย่างงงๆ ตอนแรกกลับค่อยๆ รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและเริ่มดิ้นรนขลุกขลักพร้อมๆ กับมองไปที่คนอื่นๆ อย่างเลิ่กลั่กด้วย


“เฮ้ย! ปล่อยนะเว้ยเจ้ายักษ์ นี่นายเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย!”


มือที่ทุบลงบนหลังไม่ได้มีอานุภาพมากพอที่มันจะกระเทือนอันใดต่อร่างกายตัวเองเมื่อสิ่งที่ติดอยู่ในหัวใจตอนนี้มีเพียงแค่ประโยคเดียว

“ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ย?”

“............”

“ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ยฮยอกแจ?”

ถามอีกครั้งๆ พร้อมๆ กับที่รัดเอวเล็กเข้ามาแนบแน่น น้ำเสียงสั่นเครือของเขาคงทำให้คนตัวเล็กแปลกใจบ้างแต่เสียงแซวที่เริ่มมาจากคนรอบข้างคงทำให้เจ้าตัวเริ่มอายเช่นกันเมื่อเริ่มต้นทุบอีกครั้งพร้อมๆ กับตวาดด่าไปด้วย


“ใครเค้าจะเป็นเพื่อนกับคนขี้เก๊กอย่างนาย เป็นบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยนะเฟ้ย!”


“ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ยฮยอก? ใช่มั้ย!”


“ไม่ได้เป๊นนน....ปล่อยนะเฟ้ยเจ้ายักษ์..”


“วีดวิ้ววววววววววววว ซีวอนบอกรักฮยอกแจล่ะ กิ๊วๆๆๆๆ สองคนนี้ที่แท้เป็นอย่างนี้เองเหรอเนี่ย คึๆๆๆๆ ”

“เฝ้าไข้กันแค่วันเดียวก็ตกหลุมรักเลยโว้ย...กร๊ากกกก พวกนายทำอะไรกันในห้องบ้างน่ะซีวอนฮยอกแจ?”

คำล้ออย่างไม่ดูหน้าดูหลังของลูกปลาน้อยทำให้คนถูกล้อหน้าแดงแป๊ดเมื่อคนอื่นก็พลอยสำทับผสมโรงไปด้วย ร่างในอ้อมกอดทั้งดิ้นทั้งด่าปนอายเพราะทำยังไงเขาก็ไม่คลายแขนออกซักที

“ปล่อยสิ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะซีวอน คนอื่นเค้าแซวแล้วเห็นมั้ย ปล่อยสิวะ!”

“นั่นแน่....เจ้าบ้าฮยอกแจอายด้วย ตกลงพวกนายเป็นแฟนกันใช่มั้ยเนี่ย หึหึหึ คึคึคึ คอยดูนะพรุ่งนี้ฉันจะเอาไปกระจายให้ทั่วบริษัทเล้ย”

“ไอ้บ้าซีวอนปล่อยฉัน!”

“ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ย?”

“ไม่เป็น! คนชอบลวนลามไปทั่วอย่างนายฉันไม่เป็นเพื่อนด้วยหรอก ปล่อยช้านเดี๋ยวเน้!”

“เราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยฮยอกแจ เป็นเพื่อนใช่มั้ย?”

“โหยยย นายไม่ต้องอายหรอกน่าเจ้าไก่น้อย รับๆ ไปเต๊อะ ซีวอนทั้งหล่อและรวย ได้เป็นแฟนทีสบายไปสิบชาติแน่ แต่คงต้องทำการบ้านบนเตียงกับเจ้าหื่นซีวอนหนักแหงมๆ คึๆๆๆๆ”

“ไอ้บ้าทงเฮหยุดแซวนะ มันไม่ใช่อย่างนั้น....ซีวอน!”

เหตุการณ์วุ่นวายที่คนแซวก็ช่างขยันแซวนัก ส่วนคนอายก็ขยันดิ้นนักพอๆ กับเขาที่ยิ่งรัดร่างนั้นและถามจะเอาคำตอบให้ได้ทำให้พี่คนโตสบตากับคนข้างๆ อย่างหนักใจ ความเข้าใจระหว่างสายตาสองคู่สบกันชั่ววินาทีก่อนจะขยับลุกเพื่อคลายสถานการณ์

“ยอมรับมาเต๊อะน่า ฉันก็เห็นมาตั้งนานแล้วว่าซีวอนน่ะมองฮย...”


“ทงเฮ!”


เสียงหวานเรียบนิ่งอย่างเน้นหนักดังขึ้นมาครั้งเดียวแต่กลับทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบไปได้ในอึดใจ คนถูกเรียกจึงหันไปมองพร้อมๆ กับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ไปเก็บของได้แล้ว เรายังต้องออกไปทำงานกันอีก”

“เอ๋ เมื่อกี้ก็เพิ่งกลับมาเองนี่นาพี่จองซู ทำไมต้องรีบออกด้วยเล่า”

“เพราะต้องไปก่อนเวลาน่ะสิ ทุกคนด้วยเก็บของกันได้แล้ว ผู้จัดการกำลังจะมารับเราต้องลงไปรอก่อน”

“โธ่....พี่คร้าบ อีกเดี๋ยวไม่ได้เหรอกำลังสนุกเลยอ่า เนี่ยนะผมกำลังจะบอกว่าจับได้มาตั้งนานแล้วว่าซีวอนอ่ะคิดกะ...”

“ทงเฮ!”

คำเน้นหนักรอบสองทำให้ปลาน้อยขมวดคิ้วอย่างยุ่งเหยิงอีกครั้ง แต่คนรอบข้างกลับเริ่มเตรียมของเก็บกระเป๋ากันแล้วเพราะต่างรู้ดีว่าน้ำเสียงอย่างนี้ออกมาเมื่อไหร่นั่นคือหัวหน้าวงโกรธจริง!

“เดี๋ยวนี้โตแล้วใช่มั้ย?”

คำถามยิ่งทำให้จอมยุ่งขมวดคิ้วหนัก แต่พอคิดอะไรได้เจ้าตัวก็ยิ้มแป้นออกมาพร้อมๆ กับที่เอ่ยตอบอย่างร่าเริงทันที

“โธ่พี่ก้ออออ ผมก็ต้องโตแล้วสิ เนี่ยผมเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ กล้ามก็มีแล้วและที่สำคัญ...” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนปากบางก่อนเจ้าตัวจะเลื่อนมือลงไปยังหัวเข็มขัดพร้อมๆ กับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นๆ “...ข้างล่างผมก็โตด้วยนะพี่จะดูมั้ยล่า ^ ^”

“นั่นสิ โตแล้วใช่มั้ย?”

ยังไม่ทันที่จะได้อวดได้สมใจ เสียงเรียบๆ นั้นกลับทำให้รอยยิ้มบนหน้าสลายวับทันควันก่อนที่หน้าเบ้ๆ จะตามมาเมื่อเจ้าตัวได้ยินประโยคต่อไป

“โตจนพี่พูดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องฟังเหมือนเดิมแล้วใช่มั้ย!”

“...........”

“โด่งดังแล้ว มีแฟนๆ เยอะแล้ว งั้นจากนี้ไปคงไม่ต้องฟังที่พี่พูดแล้วอย่างนั้นใช่มั้ยลีทงเฮ?”

พร้อมๆ กับที่คนอื่นๆ ที่กำลังตรงไปที่ประตูบ้านและหันมามองอย่างกลัวๆ สองคนที่ยืนประจันหน้ากันปล่อยอีกคู่ที่ยังกอดและยังดิ้นไว้อย่างนั้น น้ำตากลมโตหยดหนึ่งก็ค่อยๆ หยดแหมะกลิ้งลงมาบนแก้มใสอย่างที่เจ้าของคงไม่รู้ตัว

“ถ้าไม่คิดจะฟังกันจริงๆ ต่อไปพี่จะได้ไม่ต้องพูดต้องบอกอะไรอีก”

“ฮึกๆ ทงเฮรักพี่จองซูนะ ทำไมต้องพูดอย่างนั้นด้วยล่ะ” สายตาตัดพ้อมาพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวโถมร่างเข้าไปกอดพี่ชายคนสวยแน่น ใบหน้าหวานติดจะยิ้มอ่อนโยนเมื่อเอื้อมมือขาวเนียนไปลูบหัวทุยๆ นั้นแผ่วเบา “ฮึกๆๆ ผมขอโทษ ผมจะไม่พูดมากอีกแล้ว พี่จองซูอย่าโกรธเลยนะ”

“ใครเค้าจะโกรธนายได้ลงกัน”

“งั้นก็จะไม่ดุแล้วนะ”

“ถ้านายจะฟังที่พี่พูดบ้างพี่จะดุนายไปทำไมเล่า เช็ดน้ำตาซะเดี๋ยวตาบวมแล้วไม่น่ารัก”

“ถ้าน่ารักแล้วพี่จองซูจะรักเหมือนเดิมมั้ยล่ะ? เนี่ยคิบอมยังเคยบอกว่าผมน่ารักด้วยนะ แต่บอกนับครั้งได้เลยอ่ะทั้งๆ ที่ผมชมบ่อยจะตายว่าคิบอมอ่ะหล่อ ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยอ่า..ฮึ....”

เงียบได้ไม่กี่คำเจ้าตัวก็กลับมาเป็นคนเดิมเพราะคุยจ้อตรงไปยังประตูตามแรงโอบจากคนข้างๆ คนอื่นๆ ที่ว่างต่างก็หลบเข้าห้องเมื่อเจอสายตาเย็นเยียบเป็นเชิงสั่งจากหัวหน้าวงเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนที่ยังยืนกอดกันแน่นกลางห้องโถง

“ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ยฮยอกแจ?”

กี่ครั้งแล้วที่ถามประโยคนี้แต่คำตอบมันยังไม่ได้ดั่งใจ เมื่อเหลือกันเพียงตามลำพังแรงดิ้นนั้นก็เริ่มลดน้อยลง จนสุดท้ายไก่น้อยก็ยอมยืนนิ่งๆ ให้เขากอดแต่โดยดีแม้จะหอบเบาๆ เพราะเหนื่อยจากการดิ้นเมื่อครู่ก็ตาม

“เราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย ตอบสิฮยอก...อึก....ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ย?”


จะเป็นอะไรก็ได้ช่างมัน จะอยู่ในรูปแบบไหนก็ได้ช่างมัน


ขอเพียงแค่ให้ฉันยังได้อยู่ข้างๆ นายก็ดีเกินพอแล้ว!


“ฉันเป็นเพื่อนนายใช่มั้ย!”


ความเปียกชื้นบนไหล่บางพาร่างน้อยถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่มือเล็กที่ทุบหลังเขาเมื่อครู่จะกลับกลายมาเป็นโอบเขาตอบกลับบ้าง เสียงที่ออกจากปากแดงวันนี้มันกลับเพราะยิ่งกว่าคำใดที่เคยได้ยินมา


“ก็ต้องเป็นเพื่อนอยู่แล้วสิ ทำไมต้องมาถามอย่างนี้ด้วยล่ะ”


“นายไว้ใจฉันใช่มั้ย?”


“ถ้าไม่ไว้ใจฉันจะเล่าเรื่องจุนซูให้นายฟังทำไม นายคิดว่าฉันบอกเรื่องนี้กับทุกคนรึไงฮึ”


“งั้นฉันอยู่ข้างๆ นายได้ใช่มั้ย?”


“ทำไมต้องมาถามแปลกๆ อย่างนี้ด้วยฟระ! ถ้าไม่ให้อยู่ข้างๆ ฉันจะกอดนายอย่างนี้ทำไมเล่าเจ้าโง่” เสียงนั้นเหมือนต่อว่าก็จริงแต่แรงโอบจากแขนเรียวและเท้าเล็กที่เขย่งเพื่อกอดเขาให้แนบแน่นกว่าเดิมกลับตรงข้ามกับคำพูดซะจนหัวใจมันเต็มตื้นจนเกือบล้น “....คนป่วยขี้น้อยใจนี่ท่าจะจริง ยิ่งตัวบึ๊กเท่าไหร่ยิ่งขี้ใจน้อยมากเท่านั้นรึไงฮึเจ้ายักษ์ซีวอน”


“เราเป็นเพื่อนกันนะ เรายังเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย”

“ก็ต้องใช่อยู่แล้ว เลิกถามได้แล้วน่า”

“นายไม่ได้เกลียดฉันใช่มั้ย?”

“ถ้าเกลียดจะกอดทำไมฟระ ป่วยแล้วเซลล์สมองเลยเสื่อมไปด้วยรึไง ทีเวลาอื่นกลับฉลาดเป็นกรดเลยนะนายเนี่ย”

เพียงพอแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ฉันไม่กล้าแม้แต่จะถามหาคำว่าชอบจากนายเพราะหากคำตอบไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วฉันจะมีสภาพแบบไหนนะ?


ถ้าไม่มีนายชีวิตฉันจะเป็นยังไงนะ?


“เรายังเป็นเพื่อนกันนะฮยอกแจ”


ถ้าเทียบกับการไร้ซึ่งเยื่อใยคำนี้กลับมีค่าเกินกว่าแม้แต่จะคิด


“เรายังเป็นเพื่อนกัน”


ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ นายแม้จะเป็นในสถานะไหนมันก็มีค่าเกินกว่าที่จะคิดหวังสิ่งใดมากกว่านี้แล้ว


ได้ถึงเพียงนี้มันก็มีค่ามากเกินพอแล้ว








The End




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2551    
Last Update : 13 สิงหาคม 2553 22:46:35 น.
Counter : 290 Pageviews.  

Inverse





“~ ~เจ้าบ้าฮยอกแจรับสายได้แล้ว ~ ~ เจ้าบ้าฮยอกแจรับสายได้แล้ว ~ ~ เจ้าบ้า....ติ๊ด!”


“ว่าไงเจ้าบ้าจุนซู”


“หา! ตอนนี้เลยเหรอ! ฉันจะออกไปได้ไงเล่าคิดบ้างดิโว้ย!!”


“อย่ามาเอาแต่ใจนะ! ฉันไม่ได้ตามใจนายไปทุกเรื่องหรอกนะรู้มั้ย! อ้าว...ร้องอีกละ....ฉันยุ่งจริงๆ นะจุนซู......”


“เฮ้อ....ก็ได้ๆ นายนี่มันขี้แยตั้งแต่เด็กจนโตเลยจริงๆ เออๆ ไม่เกินชั่วโมงเจอกัน........ที่เดิมนะ”

ติ๊ด!!

แล้วโทรศัพท์ก็ถูกกดตัดสายด้วยมือขาวจัดก่อนที่คนกดจะถอนหายใจดังๆ พร้อมๆ กับเก็บของเตรียมออกไปข้างนอกด้วย เสียงเอ่ยถามเลยมาจากชินดงขณะกำลังเดินถือจานของว่างมาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ซีวอนที่กำลังเปิดหนังสืออ่านเงียบๆ คนเดียวบนโซฟาหน้าทีวี

“จุนซูเหรอฮยอก?”

“อื้อ...”เสียงนุ่มตอบรับเบาๆ พลางยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงในขณะที่มืออีกข้างก็ล้วงหาหมวกและแว่นตาออกมาจากกระเป๋าใบย่อมด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง “...ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปหรอก....”

“ฉันก็ได้ยินนายพูดอย่างนี้ทุกครั้งที่เจ้าเด็กแอ๊บนั่นโทรมานั่นล่ะ....แล้วงี้นายจะกลับมาทันเหรอ อีกไม่ถึงสามชั่วโมงก็ต้องเข้าห้องอัดแล้วนะ”

“จะพยายาม!”

นั่นคือคำตอบรับจากเสียงนุ่มในขณะที่คนตอบกำลังสวมแว่นตาสีดำกรอบใหญ่ที่มันตัดกับใบหน้าขาวจัดของตนพร้อมๆ กับใส่หมวกถักแนบหัวและก็สะพายกระเป๋าก่อนจะรีบร้อนผละจากไป

ปัง!

เสียงประตูที่ปิดตามหลังร่างผอมก็เหมือนจะไม่ค่อยมีใครใส่ใจสักเท่าไหร่หรอกเมื่อทุกคนต่างก็ยุ่งกับกิจกรรมของตน แต่หากถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นคนเดียวเท่านั้น...เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปิดหนังสือลงและเงยหน้ามองประตูที่มันเพิ่งปิดไปด้วยสายตาที่มองผ่านๆ ก็คงอ่านไม่ออก แต่หากมองเข้าไปในดวงตาดำขลับคมกริบนั้นก็คงเห็นแน่นอน......

สายตาเจ็บปวดที่ส่งผ่านแว่นกรอบดำออกมานั้นคงเห็นแน่นอน!

...

...




แกร็ก!!

“อ้าว...ยังไม่นอนเหรอ?”

เกือบสี่ทุ่มแล้วที่ร่างเพรียวกลับมาถึงบ้าน เป็นอีกวันที่อึนฮยอกออกไปเจอเพื่อนสนิทและกลับมาดึกอย่างนี้จนทุกคนเห็นเป็นเรื่องปกติ มือเรียวเก็บรองเท้าวางเอาไว้ที่ชั้นวางก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม

“คนอื่นๆ ล่ะ?”

“นอนกันหมดแล้ว” คนที่นั่งหน้าทีวีเอ่ยตอบเรียบๆ สายตาคมกำลังทำเป็นจ้องหน้าจอทั้งๆ ที่หางตาก็ยังจับอยู่ที่ร่างที่กำลังเดินตรงมานั่งข้างๆ อยู่ตลอดเวลา

แต่ก็นั่นล่ะ...ไม่มีใครมองเห็นหรอกแม้แต่คนที่กำลังถูกแอบมองอยู่ก็ตาม

“แล้วนายล่ะ ทำไมไม่นอน?”

“ฉันติดรายการนี้”

“หา! เหรอ? ....พึ่งรู้นะเนี่ย...เจ้าชายชเวซีวอนดูรายการทีวีเป็นกับชาวบ้านเค้าด้วย? ฮ่าๆๆๆๆ....โอ้ย! ทำไมต้องเขกด้วยเล่า...! ....แซวแค่นี้เอง....”

“ก็นายปากมากไงล่ะ แล้วนี่กินอะไรมารึยัง?”

“อื้อ...”เสียงนุ่มที่กำลังโอดครวญก็ตอบรับเบาๆ ก่อนจะเงียบไป อาการนิ่งผิดปกติทำให้ใบหน้าหล่อเหลาละจากจอทีวีเพื่อหันมามองหน้าคนข้างๆ อย่างแปลกใจแล้วก็ทันได้เห็นหน้าขาวสว่างนั่นกำลังเหม่อมองทางอื่นอย่างใจลอย

“เป็นอะไรไป?”

เสียงทุ้ม....ที่ไม่ติดเก๊กหว่านเสน่ห์อย่างเคยถามขึ้นมาเบาๆ พร้อมๆ กับยกมือใหญ่ของตนไปลูบเส้นไหมสีทองนุ่มมือนั้น เจ้าของผมถึงได้สติเมื่อผละจากชั้นวางของที่กำลังเหม่อมองเมื่อครู่เพื่อหันกลับมามองคนข้างๆ ที่กำลังจ้องมาเงียบๆ

“เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร”ตอบรับพร้อมๆ กับยิ้มจนตาแทบจะไม่เหลือและโชว์เหงือกสีสวยให้ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือเรียวของตัวเองมาผลักคนที่นั่งข้างๆ ให้กระเถิบๆ ถอยไปจนเกือบจะชิดพนักด้านข้างโซฟาอีกฝั่งอยู่แล้ว “ขยับไปหน่อยสิ ตัวนายใหญ่จะตาย ฉันไม่มีแรงขนาดนั้นหรอกนะ!”

ขนาดไหน?

แล้วเจ้าชายก็ได้คำตอบเมื่อท่านยอมถอยไปตามแรงผลักของคนข้างๆ แต่โดยดีหรือพูดให้ถูกก็คือคนข้างๆ ที่แทบจะไม่ใช้แรงตัวเองเลยเมื่อใช้ปากสั่งแทน จนเมื่อแผ่นหลังกว้างแทบจะแนบกับขอบพนักอีกฝั่งแล้วนั่นล่ะที่ร่างเพรียวก็ทำท่าหอบหายใจนิดหน่อยก่อนจะแย้มยิ้มกว้างให้แล้วก็ทรุดตัวลงหนอนหนุนตักคนตัวใหญ่ดื้อๆ เอาซะเลย!

ไม่พอ...ขาเรียวนั่นยังเหยียดไปตามควมยาวของโซฟาโดยไม่มีการบอกกล่าวแม้ซักนิด!

กึก!

อะไรซักอย่างข้างในอกมันกระตุกจนเจ็บไปหมด!!

หากแต่ร่างโปร่งที่ฉวยโอกาสนอนหนุนตักชาวบ้านก็ไม่ได้จะพูดอะไรอออกมาอธิบายหรอก นอกจาก....

“ห้ามขยับนะ!”

นี่ไปติดนิสัยเอาแต่ใจมาจากใคร?

แต่การเอาแต่ใจนี้กลับไม่ได้ทำให้เจ้าของตักท้วงติงอะไรขึ้นมาซักคำเมื่อยังทำเป็นจ้องหน้าจอทีวีต่ออย่างสนใจ...ไม่ทำเป็นสนใจสักนิดกับหัวเล็กที่กำลังนอนหนุนตักตัวเองทั้งๆ ที่มันทำให้หัวใจเต้นรัวจนกลัวคนที่กำลังหลับตาลงอย่างอ่อนเพลียจะได้ยินด้วย!

หากแต่ก่อนที่จะนับหนึ่งถึงสิบให้ใจมันสงบลง...ความชื้นที่ซึมผ่านกางเกงนอนเนื้อบางของตัวเองก็ทำให้ซีวอนหันไปมองอย่างแปลกใจ...และก็ต้องแปลกใจหนักขึ้นเมื่อทราบที่มาของน้ำที่มันซึมผ่านมานี่ชัดๆ

“เสื้อนายเปียก!”

“อ่ะ....อ๋อ.......ไม่มีอะไรหรอก...ก็แค่....”ตาเรียวเล็กที่เพิ่งปิดไปได้ไม่นานเหลือบไปมองไหล่ของตัวเองที่มันชื้นนิดหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ปิดตาลงต่อ “....น้ำตาจุนซูน่ะ....”

จุนซูสินะ!

“เจ้าบ้านั่นมันทะเลาะกับยูซอนแล้วก็กอดฉันร้องไห้ซะยกใหญ่เลยล่ะ...ปลอบเท่าไหร่ก็ไม่หยุดเลย....”

เสียงนุ่มยังถูกเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาแม้คนพูดจะยังหลับตาอย่างอ่อนเพลียอยู่ก็ตาม ดังนั้นสายตาห่วงใยปนเศร้าที่มันเผลอหลุดออกมาจนได้จึงยังไม่มีใครเห็นเมื่อเจ้าตัวใช้มันจ้องคนที่นอนไปพลางเล่าเรื่องไปพลางนิ่งๆ ไม่ท้วงอะไรขึ้นมาซักคำเลย

“...แล้วฉันก็ต้องยอมเอาไหล่เป็นผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าบ้านั่นอ่ะ เมื่อยไปหมดเลยล่ะ”

ไม่ท้วงซักนิดเลย...

“...วอน....ซีวอน......ชเวซีวอน!”

“...อ่ะ....อะไร?”

“นายฟังที่ฉันพูดอยู่มั้ยเนี่ย! ไม่ใช่ปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวนะ”

“ฟังสิ แต่ฟังแล้วสงสารจุนซู...”

“ทำไมอ่ะ?”

“ก็กระดูกแห้งๆ ของนายคงทิ่มหน้าจุนซูจนเจ็บแล้วมั้ง!”

“เอ๊ะ! ไอ้ขี้เก๊กนี่! ไม่อยากตายดีใช่มั้ย! นี่แน่ะๆๆๆๆๆ”

คนถูกล้อเอ่ยเสียงฉุนๆ เมื่อผุดลุกขึ้นมาชกไหล่คนข้างๆ พอเป็นพิธี(แต่ก็ชกไปหลายสิบทีเหมือนกัน) ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดตัวลงนอนหนุนตักคนที่ตัวเองเพิ่งทำร้ายร่างกายไปหยกๆ อย่างอารมณ์ดีขึ้น

สังเกตได้จากหน้าที่ยิ้มจนตาไม่เหลืออีกแล้วน่ะสิ

“ซีวอน”

“หืม?”

“ซีวอน”

“อะไร?”

“ซีวอน”

“อะไรล่ะ!”

คราวนี้เสียงตอบรับเน้นหนักนิดหนึ่งเมื่อร่างสูงกำลังก้มลงมองคนที่เรียกชื่อตัวเองแต่กลับไม่พูดอะไรออกมานอกจากจะเหม่อมองอย่างใจลอยก็เลยทำให้ใบหน้าที่ติดฉุนอ่อนลงนิดเมื่อยกมือใหญ่ไปลูบหัวเล็กๆ นั้นเบาๆ อีกครั้ง

“เป็นอะไรไป?”

“.............”

ดวงตากลมเรียวยังจ้องนิ่งๆ อยู่ที่ภาพวาดบนผนังทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเจ้าตัวแทบจะไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นภาพอะไร ซักพัก.....ก่อนที่อึนฮยอกจะถอนหายใจยาวพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ

“นายเคยมีเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กมั้ย?”

“นี่นายเห็นฉันเป็นคนยังไง? มันก็ต้องมีอยู่แล้วสิเจ้าไก่แห้ง!”

ถ้อยคำกวนประสาทนั่นไม่ได้ทำให้คนฟังทำท่าฉุนหรอกเมื่อสายตาเรียวยังจับอยู่ที่ภาพวาดเจ้าเก่านิ่งๆ แต่ประโยคเบาหวิวที่หลุดออกมาจากปากแดงเรื่อกลับทำให้คิ้วเข้มขมวดเค้าหากันอย่างแปลกใจปนหนักใจ

“แล้วนาย....เคยคิดว่าเพื่อนนายน่ารักมั้ย?”

“..............”

“เคยคิดว่าน่ารัก....น่ารักมากๆ จนมองไม่เคยเบื่อบ้างมั้ย?”

“...............”

ก็ยังไม่มีคำตอบจากปากหยักสวยของคนถูกถามหากแต่ถ้ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยก็คงจะมองเห็นสายตาคมกริบที่สื่ออะไรบางอย่างออกมาได้ชัดเจนเหลือเกิน

ความเข้าใจ....และความเจ็บปวดฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายประจำวง

ไม่ได้แตกต่างหรอก...สิ่งที่นายกำลังรู้สึกไม่ได้แตกต่างจากฉันหรอก...แต่ถ้าจะมีสิ่งที่ต่างก็คือนายยังไม่รู้สึกตัวแค่นั้นเอง!

“แล้วพอเค้ามีเรื่องอะไรก็อยากช่วย...อยากช่วยจนบางครั้งลืมคิดห่วงตัวเอง....ทำไมน้ำตาเค้าถึงทำให้ฉันเจ็บปวดจังล่ะ?...นายเคยรู้สึกอย่างนี้กับเพื่อนนายบ้างมั้ยซีวอน?”

ถ้าเป็นปกติ...หากถ้าคำถามนี้อยู่ในสถานการณ์ปกติ...คำพูดกวนประสาทว่า ไม่มีทาง! ตัวเองสำคัญที่สุดในโลก! คงออกจากปากหยักเรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ความต้องการบางอย่างกลับทำให้ประโยคที่มันตรงกันข้ามเผลอหลุดออกมาแทน

“เคยสิ ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วจะรู้สึกอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”

“เหรอ?”

“ชัวร์! เลิกเอาสมองไก่ฝ่อๆ ของนายคิดมากได้แล้วน่า ไม่เห็นจะมีอะไรน่าแปลกตรงไหนเลย ใครๆ เค้าก็เคยรู้สึกอย่างนั้นกันทั้งนั้นล่ะ!”

“อืมๆ นั่นสินะ ฉันคงคิดมากไปจริงๆ เฮ้อ...ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าฉันต้องมาฟังนายสอนน่ะ” หน้าขาวจัดถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเงยขึ้นมาเพื่อเอาปากแดงเรื่อของตัวเองแย้มยิ้มทะเล้นๆ ให้

ที่อยากทำน่ะมันมากกว่านี้....ตั้งแต่เห็นปากแดงที่กำลังจ้องอยู่ยิ้มให้แล้ว...หากแต่ที่ทำได้ ตอนนี้กลับต้องเป็นดีดนิ้วลงไปบนหน้าผากขาวเนียนนั่น

แป๊ะ!

“โอ้ย! เจ็บนะเจ้าบ้า! เห็นว่าหน้าตาดีแล้วจะทำร้ายร่างกายคนอื่นได้รึไง! ...ผลัวะๆๆๆ....แค่วันนี้มันก็สองครั้งแล้วนะเฟ้ย!....ผลักๆๆๆๆ นี่แน่ะๆๆๆๆๆ ผลัวะๆๆๆๆ.....”

คนบ่นบอกถูกกระทำไปสองครั้งทว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่กลับเป็นการซัดกำปั้นลงไปบนไหล่กว้างๆ ของคนกระทำนับครั้งไม่ถ้วน!

จวบจนเมื่อได้ทำร้ายร่างกายร่างกายคนข้างๆ จนหนำใจแล้วนั่นล่ะ ‘คนถูกกระทำ’ ถึงทรุดตัวลงไปนอนหนุนตักนั้นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ขอบใจนะ”

เสียงเอ่ยแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินจากลำคอบางใสแต่กลับสามารถเรียกให้เจ้าของตักหันไปมองอย่างแปลกใจได้พร้อมๆ กับที่รอยยิ้มกว้างหวานๆ จะผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาคมคายเงียบๆ เหมือนเดิมเมื่อคนยิ้มก็ยังคงจ้องมองใบหน้าขาวสว่างบนตักของตัวเองที่กำลังปิดตาลงไปอีกครั้ง

เอาเปรียบจริงๆ กับการโกหกแล้วยังได้คำขอบใจคืนกลับมา นายมันจะเอาเปรียบเกินไปแล้วชเวซีวอน

นานซักพักที่ร่างสองร่างยังคงอยู่ในท่าเดิมนั้น ตราบจนเมื่อเสียงลมหายใจของคนที่นอนหนุนตักเริ่มจะคงที่แล้วนั่นล่ะมือใหญ่ถึงเอื้อมไปหยิบรีโมททีวีมากดปิดรายการที่ก็เพิ่งเคยดูเป็นครั้งแรกของวันนี้ ก่อนจะค่อยๆ ส่งมือนั้นลอดเข้าไปประคองหัวได้รูปเอาไว้เมื่อเลื่อนตัวเองลงมาจากโซฟาเพื่อมานั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมๆ กับที่ส่งอีกมือสอดลอดใต้ขาเรียวเพื่อช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มอย่างทนุถนอมที่สุด

ภาพที่ชินดงที่กำลังสะลึมสะลือเปิดประตูห้องนอนออกมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำจึงเป็นคนตัวสูงอุ้มคนตัวเล็กกว่าเพื่อพาเดินตรงไปห้องนอนอีกห้องอย่างบรรจง รอยยิ้มเอ็นดูอ่อนโยนจากใจจริงที่ไม่ได้แทรกประกายแพรวพราวเอาไว้เหมือนเดิมแทบจะทำให้ชินดงขยี้ตาตัวเองเพื่อมองชัดๆ แต่พริบตาใบหน้าแบบนั้นก็เลือนหายไปแล้วจนคนจะเข้าห้องน้ำเผลอคิดว่าตัวเองตาฝาดไป

เจ้าชายชเวซีวอนยิ้มอย่างนี้ใม่เป็นหรอก

..

..

“.....เจ้าบ้าฮยอกแจรับสายได้แล้ว....เจ้าบ้าฮยอกแจรับสายได้แล้ว....”

เสียงโทรศัพท์ที่เคยคุ้นเพราะเจ้าของอัดเสียงนี้ไว้ให้คนที่กำลังโทรมาโดยเฉพาะทำให้ร่างสูงในเสื้อกล้ามสีขาวที่กำลังเดินออกจากห้องน้ำและใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับหน้าหล่อเหลาไปด้วยต้องเผลอเหลียวมองไปรอบๆ ห้องอย่างแปลกใจก่อนจะพบที่มาของเสียง

“.......รับสายได้แล้ว.....เจ้าบ้า......”

เป้สะพายหลังใบโปรดของคนที่กำลังอยู่ในห้องซ้อมเต้นทำให้ร่างสูงเดินตรงไปที่กระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะติดสินใจละลาบละล้วงหยิบมือถือในประเป๋าใบนั้นขึ้นมากดรับซะเอง

“ตอนนี้ฮยอกกำลังยุ่งอยู่มีอะไรฝากไว้มั้ย?”

“ฮึก...แล้วนั่นใครอ่ะ?”

“ซีวอน”

“ฮึกๆ ย้อกย้อกออกมาไม่ได้เลยเหรอซีวอน ซื๊ด...ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยอ่ะ”

“ไม่ได้หรอกจุนซู ตอนนี้พวกเรายุ่งมากฮยอกออกไปไม่ได้จริงๆ”

ถ้าคนอื่นหายไปคงไม่เท่าไหร่...แต่ถ้าอึนฮยอกศิษย์โปรดของท่านอาจารย์สอนเต้นลีที่ดุซะยิ่งกว่าหมาที่บ้านหายไปล่ะก็....

เป็นเรื่องแน่!!

“ตะ...แต่...”

“ฉันต้องเข้าไปแล้วล่ะ เอาเป็นฉันจะบอกให้ฮยอคแจโทรกลับก็แล้วกันนะ...แค่นี้ก่อ....”


“เฮ้....ท่านอาจารย์ลีเรียกแล้วนะ นั่นนายคุยกับใครน่ะ?”


กึก!

เสียงนุ่มที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้คนถูกเรียกที่กำลังจะรีบบอกลาและกดตัดสายสะดุ้งไปนิด เสียงเรียกที่ลอดเข้าไปในมือถือก็ทำให้คนปลายสายเผลอหยุดฟังและก็ยังไม่วางไปได้เช่นกัน

“โทรศัพท์ฉันนี่ นายช่วยรับให้เหรอ? ใครโทรมา?”

กดตัด!

นั่นคือความคิดในหัวที่กำลังจะสั่งให้มือใหญ่ทำตามที่คิด แต่ร่างโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้และเลิกคิ้วบางมองด้วยความสงสัยก็ทำให้ซีวอนทำอย่างที่อยากทำไม่ได้เมื่อจำต้องยืนนิ่งๆ ปล่อยให้มือขาวจัดฉวยโทรศัพท์ที่แนบอยู่กับหูของตัวเองไปซะคุยเอง

“ฮยอคแจพูด นั่นใครน่ะ?”



“เฮ้ย! ....เดี๋ยวสิ......ใจเย็นๆ .....อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ.....ค่อยๆ พูดสิเจ้าบ้าจุนซู.....ตกลงนี่นายอยากจะให้ฉันรู้เรื่องมั้ย!”


“......ก็บอกว่าค่อยๆ เล่าไง......ตอนนี้เลยเหรอ? .....แต่.....ฉัน......”


“...คือ.....ไม่ใช่อย่างนั้น.......ฉัน......”


“ไม่ได้!”


เสียงทุ้มเข้มปนดุที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ไก่น้อยที่กำลังลังเลต้องสะดุ้งนิดๆ เจ้าตัวเผลอหันมามองทางต้นเสียงอย่างแปลกใจและก็ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นเมื่อมือใหญ่ของคนพูดฉวยโทรศํพท์ในมือบางไปคุยซะเอง!

“ฮยอกออกไปตอนนี้ไม่ได้จริงๆ นายน่าจะเข้าใจหน่อยนะ! เพื่อนในวงนายก็มีอยู่ตั้งเยอะทำไมไม่ไปปรึกษาพวกนั้นแทนก่อนล่ะ! แค่นี้ก่อนนะพวกฉันต้องรีบเข้าห้องซ้อมแล้ว!!”

ติ๊ด!!!

ไม่ถึงสามสิบวินาทีที่เสียงดุกรอกลงไปในโทรศัพท์ก่อนจะกดตัดสายทิ้งต่อหน้าต่อตาเจ้าของที่กำลังยืนอึ้งด้วยความตกใจ!

ปากแดงที่เผลออ้าค้างอย่างตะลึงในตอนแรกค่อยๆ ปิดลงก็จริงแต่กลับเริ่มเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความโมโหเมื่ออึนฮยอกเริ่มรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว!!

“นั่นนายพูดอะไรออกไป? นายพูดอะไรออกไปรู้ตัวบ้างมั้ยชเวซีวอน!!”

“แน่นอน! ฉันก็แค่พูดแทนนายเท่านั้นเอง! ถ้านายเอาแต่โอ๋ไม่เลิกอย่างนี้ก็ไม่มีวันที่เจ้านั่นมันจะโตหรอก!!”

“ฉันไม่ได้โอ๋!!! แล้วนั่นก็เพื่อนสนิทของฉันนายไม่มีสิทธิมาว่าเข้าใจมั้ย! โอ้ย!!” แล้วเสียงนุ่มมันก็เผลอหลุดอุทานออกมาจนได้เมื่อมือใหญ่นั้นจับหมับที่ไหล่บางแล้วกระชากเข้ามาหาตัวเองเต็มแรง!!

“ไอ้บ้าปล่อย!!”

“ไม่มีสิทธิงั้นเหรอ? อย่างน้อยที่สุดฉันก็อยู่ในวงเดียวกับนาย! แล้วก็ยังมีสิทธิตักเตือนนายที่กำลังจะทำผิดรู้เอาไว้ซะด้วย!!”

“ปล่อยฉัน!!!”

“ไม่มีเพื่อนดีๆ ที่ไหนเค้าเรียกเพื่อนออกไปทั้งๆ รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนกำลังยุ่งอย่างนี้หรอก! เจ้านั่นมันเอาแต่ใจแค่ไหนหัดเปิดหูเปิดตาซะบ้างสิ! นายกำลังโดนจุนซูหลอกใช้อยู่นะ!”

ผลัวะ!!!

ไม่ใช่หมัดที่ปล่อยออกไปหยอกล้อเบาๆ เหมือนทุกคราวเมื่อคำพูดจากปากหยักมันเกินจะรับไหวจนไหล่บางสามารถสะบัดหลุดได้พร้อมๆ กับปล่อยหมัดลุ่นๆ กระแทกหน้าใบหน้าหล่อเหลานั่นเต็มแรง!!

เพราะไม่ทันทันตั้งตัว...หน้าที่ถูกชกเลยสะบัดไปตามแรงหมัดจนแทบเซ!!!

“ไม่จริง! เพราะฉันสนิทกับจุนซูที่สุดหรอกจุนซูถึงโทรมาหา คนอย่างนายไม่มีทางเข้าใจหรอกรู้มั้ย!” การใช้ทั้งแรงและเสียงทำให้ไก่น้อยหอบนิดๆ แต่ถึงอย่างนั้นความโกรธก็ทำให้เจ้าตัวหูอื้อตาลายซะแล้วเมื่อยังตวาดใส่คนตรงหน้าต่อเต็มเสียง “...คนที่ยึดแต่ภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างนายให้ตายก็ไม่มีทางเข้าใจหรอกจำไว้ซะ!”

ตวาดปิดท้ายก่อนจะผลักคนที่ตัวเองชกออกแรงๆ ร่างสูงที่เซถอยไปอย่างง่ายดายทำให้อึนฮยอคแปลกใจนิดๆ ความเจ็บปวดที่มันฉายชัดออกมาจากดวงตาคมกริบทำให้ร่างโปร่งชะงักได้บ้างเหมือนกันแต่ความเป็นห่วงเพื่อนสนิทที่มีมากกว่าเลยทำให้เจ้าตัวไม่ได้ติดใจอะไรเมื่อคว้ากระเป๋าและวิ่งตึงตังออกไปข้างนอกเลยทิ้งให้คนถูกชกที่ยังยืนนิ่งๆ อยู่นั้นต้องมองตามด้วยสายตารวดร้าว

นายต่างหาก...คนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยคือนายต่างหาก!

...

...

..


แกร็กกกก........

อีกสิบกว่านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้วเมื่อมือเรียวขาวเปิดประตูบ้านตัวเองเข้าไป หลังจากกดล็อคและถอดรองเท้าวางไว้ที่ชั้นวางเรียบร้อยแล้วขาเรียวนั่นก็พาตัวเองเดินเข้าบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง คำพูดที่เผลอหลุดออกไปด้วยความโมโหเมื่อตอนบ่ายและการทำร้ายร่างกายหน้าหล่อๆ นั่นก็ไม่รู้จะทำให้อีกคนโกรธมากแค่ไหนเพราะสำหรับตัวเอง...คำพูดนั้นก็ยังคงตามมาหลอกหลอนให้คิดมากแม้จะเป็นเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิทอย่างคิมจุนซูก็ตาม

หน้าที่เจ้าตัวชอบอวดตัวเองเสมอว่าหน้าตาดีเกินมนุษย์นั้นกลับทำสีหน้าในแบบที่ไก่น้อยไม่คิดว่าชาตินี้ตัวเองจะได้เห็น

ไม่คิดจริงๆ ว่าชเวซีวอนจะทำหน้าอย่างนั้นเป็นด้วย

เพราะเราเหรอ?

นี่ล่ะสิ่งที่ทำให้ร่างบางคิดมากมาได้ตลอดทั้งบ่ายและเย็น และทัง้เย็นจนดึกอย่างนี้

ไอ้เจ้าชายนั่นบรรทมรึยังนะ?

ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าตัวจะทันคิดหาคำงอนง้อที่จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียหน้ายังไงดี...เสียงทีวีที่ยังดังอยู่ก็ทำให้อึนฮยอกเผลอหยุดชะงักอย่างแปลกใจ และเท้าเรียวก็แทบจะเผลอค้างอยู่กับที่เมื่อเห็นชัดๆ ว่าเป็นใครกำลังนั่งดูทีวีเงียบๆ อยู่คนเดียว

ทำไงดี?

ดีใจอยู่หรอกที่พระองค์ท่านยังมิเสด็จไปบรรทมแต่มันก็หนักใจไปพร้อมๆ กันด้วยเพราะยังคิดคำพูดไม่ออกเลย แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่เขาผิดคนดียวซักหน่อยทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายงอนง้อทุกครั้งด้วยล่ะ!

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว จัดการให้มันหมดเรื่องเลยก็ดี

ใบหน้าขาวสว่างที่กำมือแน่นกับตัวเองเพื่อทำท่าฮึดสู้ก็ค่อยๆ สูดลมหายใจลึกๆ อย่างเตรียมพร้อมก่อนจะทำใจกล้าเอ่ยตะกุกตะกักกับแผ่นหลังกว้างตรงหน้า

“ยะ....ยังไม่นอนเหรอ?”

“ยัง”

ตอบกลับอีก!

“ละ...แล้ว...แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

“นอนกันหมดแล้ว”

“แล้ว....วันนี้....นายก็จะค้างที่นี่เหรอ?”

“อืม”

เสียงตอบเรียบเรื่อยที่ยังได้ยินทำให้คิ้วบางเผลอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เจ้าชายทรงพระลืมไปแล้วรึไง?

“กินอะไรมารึยัง?”

แถมคำถามที่ถามขึ้นมาก่อนอีกทำให้คิ้วที่บางนั่นแทบจะพันปมกันแล้ว แต่คนถามที่หันหน้ากลับมาและเลิกคิ้วเข้มของตัวเองประกอบเลยทำให้คำตอบมันเผลอหลุดออกมาเองแทบไม่รู้ตัว

“กะ...ก็...กินมาแล้ว...แต่พอนายถามมันก็...ก็.....”

โครกกกกกกกกกกกกกก

ถึงตอนนี้หน้าที่เคยขาวสว่างนั้นไม่กล้าสบตาแล้วเมื่อเสียงซาวน์เอฟเฟคต์จากท้องตัวเองที่ดังประกอบทำให้ใบหน้าขาวจัดเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดได้ทันใจ รอยยิ้มเอ็นดูจึงหลุดออกมาจากคนหน้าตาดีเกินมนุษย์เมื่อเจ้าตัวผุดลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อเดินนำร่างเล็กตรงไปที่ครัว

“ฉันก็คิดอยู่แล้วล่ะว่านายคงกินได้อีก ตามมาสิ”

เสียงฝีเท้าแผ่วๆ ที่เดินตามมาข้างหลังทำให้ร่างสูงระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

ความน้อยใจความเสียใจเมื่อหลายชั่วโมงก่อนมันไปไหนหมด?

อารมณ์ของตัวเองที่แม้แต่ตัวเองยังแทบไม่เข้าใจทำให้ขายาวๆ นั้นเดินไม่รีบก็จริงแต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวหยุดชะงักกลับเป็นแรงดึง...

แรงดึงชายเสื้อเบาๆ จากมือเล็กกลับส่งผลมากพอให้ซีวอนแทบจะหยุดชะงักได้ในทันที!

“นาย....นาย....ไม่ได้โกรธฉันเหรอ?”

และยิ่งใบหน้าที่แม้แต่ตอนนอนยังฝันถึงกำลังช้อนขึ้นมามองด้วยความคาดหวังปนไม่เข้าใจก็แทบจะทำให้ร่างสูงเกือบถอนหายใจอีกครั้ง

พระเจ้าครับ...ผมใจอ่อนเกินไปมั้ย?

“...ทำไมเงียบล่ะ? นาย....นายยัง...โกรธฉันอยู่ใช่มั้ย...ที่พูด....ที่ชก...”

ปากแดงที่กัดสลับกับเม้มเพราะเดาอารมณ์คนตัวสูงไม่ออกก็คงไม่รู้ตัวหรอกว่าคนฟังแทบจะใช้สติทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองต้องรวบร่างตรงหน้าเข้ามากอด!

แค่เห็นแค่นี้ใจผมมันก็อ่อนยวบไปถึงไหนต่อไหนแล้ว....จุดอ่อนของผมคือคนตัวเล็กตรงหน้านี่ใช่มั้ยครับ?

“....ซีวอน....”

เฮ้อ......

“โกรธสิ! โกรธมากซะด้วย!!” หน้าที่เก๊กดุจนได้ทำให้คนฟังหน้าแทบซีดแล้ว แต่ประโยคถัดมากลับทำให้หน้านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วตึงขึ้นเรื่อยๆ แทน “...แต่ฉันก็เข้าใจน่ะนะว่าสมองไก่ฝ่อๆ มันคงไม่ค่อยมีรอยหยักซักเท่าไหร่เลยพูดอะไรไม่คิด ดังนั้นฉันที่ฉลาดกว่านายมากก็ควรจะเข้าใจ....”

“เอ๊ะ! เอ๊ะ! นาย....นาย....”

“เพราะฉะนั้นฉันจะช่วยสงเคราะห์ยอมยกโทษให้ก็ได้นะเจ้าไก่โง่!”

“เอ๊ะ! ไอ้บ้านี่! นี่นายหลอกด่าฉันหลายครั้งแล้วนะเฟ้ย! นี่แน่ะๆๆๆๆ หนอยยย ส่วนนึงนายเองก็ผิดด้วยล่ะที่ว่าเพื่อนฉัน นี่ๆๆๆๆๆๆ อย่าหลบสิ!”

หน้าที่โล่งใจปนฉุนและมือเรียวที่พยายามชกรัวถี่ลงบนไหล่กว้างทำให้อีกคนแค่ขยับโยกซ้ายโยกขวาหน่อยก็หลบได้แล้ว ร่างโปร่งที่เคยได้ใจเมื่อแต่ก่อนท่านเจ้าชายยอมอยู่เฉยๆ ให้ชกแต่โดยดีตอนนี้กลับต้องใช้แรงมากกว่าเคยเมื่อชกเท่าไหร่ก็ไม่โดนซักทีแถมยิ่งคำพูดยียวนกวนประสาทจากคนตรงหน้าอีก...

“นอกจากจะรอยหยักน้อยแล้วยังแรงน้อยอีกนะ ฉันว่านอกจากเต้นแล้วนายน่าจะอยู่เฉยๆ ดีกว่านะเจ้าไก่น้อย ฮ่าๆๆๆ”

สบประมาทสุดๆ !!

ความฉุนจี๊ดๆ ที่มันแล่นริ้วไปทั่วร่างทำให้ร่างบางลืมความตั้งใจเดิมไปหมดสิ้นแล้ว ง้อเง้ออะไรไม่สนแล้วตอนนี้ขอแค่ชกคนที่เอาแต่เดินถอยหลบนั่นซักหมัดเถอะ!!

“แน่จริงก็อย่าหลบสิ! มาสู้กันแฟร์ๆ แบบลูกผู้ชายสิเจ้าบ้......อ้ะ!”

แล้วเสียงใสก็เผลอหลุดออกมาจนได้เมื่อเจ้าชายไม่หลบแต่กลับยึดข้อมือที่ปล่อยหมัดออกมาแน่นก่อนจะดึงให้ร่างบางนั่นถลาตามเข้าไปในห้องครัวพร้อมๆ กับพลิกร่างเล็กผลักติดผนังเต็มที่!

“อ่ะ....นาย....”

ถึงตอนนี้อึนฮยอกก็เริ่มทำหน้าหวาดหวั่นแล้วเมื่อบทคนตรงหน้าเอาจริงกลับทำให้ตัวเองแทบจะขยับไม่ได้เพราะข้อมือทั้งสองข้างโดนล็อคติดกับกำแพงและร่างสูงที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แทบจะทำให้ตาเรียวนั่นหลับปี๋ด้วยความกลัว!

“เฮ้ย! ไม่นะเฟ้ย! นี่ฉันเองนะเจ้าบ้าซีวอน นายลืมตาดูให้ดีๆ สิ!”

ลมหายใจร้อนๆ ที่รินรดลงบนหน้าบอกความใกล้ชิดระหว่างหน้าตัวเองและคนตรงข้ามได้ดี แต่ความกลัวแทบจะทำให้หน้าเรียวนั้นก้มจนคอแทบชิดกับอก ข้อมือเล็กยังทั้งทึ้งและดึงตัวเองให้หลุดออกมาจากมือใหญ่ให้ได้แต่มันกลับไม่เป็นผลซ้ำยังกลับเป็นการเร่งให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นก้มลงมาเร็วกว่าเดิมด้วย!

ไก่น้อยก้มจนจะก้มมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว!!

“เสี้ยนมาจากไหนวะ! อย่านะ....ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของนายนะไอ้บ้า....หยุด...”

หัวใจมันเต้นแรงซะจนแทบจะกลบเสียงพูดสั่นเครือของตัวเอง แต่แล้วคำพูดนั้นกลับได้ผลเมื่อลมหายใจร้อนๆ ที่ค่อยๆ เข้ามาชิดหน้านั้นหยุดลง ความร้อนผ่าวบนหน้าผากบอกตำแหน่งของใบหน้าหล่อเหลานั่นชัดเจนนัก แต่ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะถอนหายใจอย่างโล่งอก....ริมฝีปากอุ่นจัดที่ปัดผ่านหน้าผากที่แม้จะเบาหวิวราวกับสัมผัสจากปีกผีเสื้อแต่กลับแทบทำให้ตำแหน่งที่ถูกแตะกลับร้อนจัดจนแทบไหม้!

เมื่อกี้เจ้าบ้านี่มันทำอะไร!!

ความแปลกใจและตกใจทำให้หน้าขาวเงยมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก แต่เพราะทำอย่างนั้นเลยทำให้เจ๊อะเข้าเต็มๆ กับใบหน้าคมเข้มและสายตาคมกริบที่ยังจ้องหน้าตัวเองนิ่งๆ

ซ้ำตำแหน่งที่ถูกจ้องยังเป็นปากแดงจัดที่เผลออ้าค้างอีก!

ร้อน....ทั้งหน้าทั้งตัวมันร้อนจัดแล้วตอนนี้!!!

แต่ยังไม่ทันที่จะมีเวลาได้คิดจะถามอะไร...หน้าที่จ้องนิ่งๆ ด้วยความจริงจังตอนแรกกลับค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาและยังไม่ทันที่อีกคนจะปรับอารมณ์ถูก...มือใหญ่ก็ถูกยกขึ้นมาตรงหน้าขาวสว่าง...

ก่อนที่อึนฮยอกจะทันได้คิดอะไรทันจริงๆ....นิ้วยาวก็ถูกดีดลงไปบนหน้าผากขาวเนียนนั่นแล้ว!


แป๊ะ!!


“โอ้ย!”

“อ่อนจริงฮยอกแจ นี่เร้อสุดยอดนักเต้นของวงเรา โดนแค่นี้ก็นิ่งซะแล้ว ไม่ไหวๆ อนาคตเอสเจจะเป็นไงเนี่ย...เฮ้อ....”

เจ้าชายที่อยู่ในโหมดไล่ล่าดีๆ แต่กลับเปลี่ยนมาเป็นโหมดกวนประสาทได้ทันใจแทบจะทำให้อีกคนที่ตามไม่ทันเริ่มจะหน้าหงิกและมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่ยังทำให้เจ้าตัวไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากตอบโต้

ครั้งแรกจริงๆ ....ครั้งแรกที่เพิ่งสัมผัสซีวอนในรูปแบบนี้ทำให้เมื่อกี้หัวใจแทบหยุดเต้นไปแล้วด้วยความกลัว จะเชื่อไม่เชื่อยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว....กับตัวเองด้วย......แม้แต่ตอนนี้หัวใจมันยังเต้นรัวอยู่เลย

เชื่อแล้วล่ะ...เขาเชิ่อแล้วล่ะว่าเจ้าบ้านี่มันเป็นศัตรูของผู้หญิงทั้งโลกจริงๆ!


และหลังจากนั้นถึงแม้อึนฮยอกจะทำเป็นงอนไม่พูดด้วยนิดหน่อยแต่กับข้าวอร่อยฝีมือคนตัวสูงที่เตรียมให้ก็ทำให้เจ้าตัวกลับมาพูดเจื้อยแจ้วได้เหมือนเดิม อีกคนที่นั่งดูคนที่กำลังกินไปพูดไปก็มองไปยิ้มไปด้วยสายตาเอ็นดู

กินได้ท่าทางอร่อยแตกต่างจากชาวบ้านเค้าซะจริง ไม่ต่างกับลูกหมาน้อยๆ นั่งซัดข้าวเล้ย

ปากแดงเรื่อที่อ้าปากพูดไม่หยุดก็ทำให้อีกคนเผลอจ้องเป็นระยะๆ ก่อนจะเบนหน้าหนีเมื่อคิดได้ว่าร่างโปร่งอาจจะรู้สึกตัวได้ว่าตัวเองถูกแอบมองและถูกแอบมองตรงส่วนไหน

แต่...เกือบไปแล้วล่ะ....ไม่กี่นาทีที่ผ่านมาก็เกือบไปแล้วที่จะเผลอก้มหน้าลงไป...

ดี....ที่ยังรู้สักตัวทัน...โชคดีจริงๆ!



แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นก็เหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะค่อยๆ ใกล้ชิดกันเรื่อยๆ เมื่อได้ทะเลาะกันซะบ้างเพราะมันทำให้ยิ่งรู้สึกว่าสนิทกันจนทะเลาะได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยเมื่อจะเริ่มเห็นสองคนนี้ตัวติดกันตลอดนอกเหนือจากเวลาทำงาน

ในขณะที่อีกคนที่ยังรู้สึกผิดไม่หายเพราะคำพูดที่ได้เคยตวาดไปก็ค่อนข้างแรงพอควรส่วนอีกคนก็เริ่มที่จะสำนึกได้ว่าเพราะคนตวาดเป็นอย่างนี้ถึงได้กลายมาเป็นจุดอ่อนของตัวเอง

ไก่น้อยที่รักและให้ความสำคัญกับเพื่อนมากขนาดนี้ไม่ใช่เหรอถึงได้ทำให้คิดว่าน่ารักจนหยุดมองไม่ได้

เพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในจำนวน ‘เพื่อน’ พวกนั้นของร่างเล็กเช่นกัน!

แต่ในวันนี้เจ้าตัวกำลังจะออกไปพบเพื่อนคนที่สำคัญที่สุดที่ถึงกับอุตส่าห์ลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่และเตรียมของขวัญชิ้นพิเศษให้เพื่อนคนที่ว่านั้นด้วย

ทั้งใช้เวลาในการเลือก...และใช้เวลาในการทำนานซะจนน่าจะกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของอึนฮยอกก็ว่าได้

เสื้อตัวเล็กๆ ที่ไม่น่าจะมีใครใส่ได้ถูกตัดและเย็บด้วยมือเรียวที่ตอนนี้มีพลาสเตอร์พันไว้เกือบทุกนิ้ว รูปการ์ตูนที่เป็นหน้าคนเล็กๆ ที่ถูกพิมพ์ลายลงบนผ้าที่เป็นหน้าของหนึ่งในห้าของสมาชิกวงที่โด่งดังที่สุดวงหนึ่งของเกาหลีก็ถูกตัดแปะและกระจายเย็บลงไปบนเสื้อตัวนั้นในลักษณะที่มีแทบทุกสีหน้า

‘เสื้อของตุ๊กตาปลาโลมาของจุนซูน่ะ ถ้าจุนซูรู้ว่าของขวัญที่ฉันให้กลับให้ปลาโลมาของตัวเองแทนคนทำหน้าพึลึกแน่ๆ ล่ะ กร๊ากกกกกก แค่คิดก็ขำแล้วนะเนี่ย”

พูดเสร็จหัวเราะเองคนเดียวเสร็จเจ้าตัวก็ก้มหน้าลงไปเย็บหน้าเล็กๆ นั้นเข้ากับเสื้อตัวที่ว่าต่อ นอกจากจะซื้อตุ๊กตาให้แล้วยังตามไปเย็บเสื้อให้เจ้าตุ๊กตานั่นอีก

นายคิดว่าทุกคนดูนายไม่ออกรึไงนะ?

แต่ก็นั่นล่ะ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปบอกให้เจ้าตัวรู้สึกตัวเมื่อความจริงนั้นกลับจะกลายเป็นผลเสียต่อตัวเองแทน ที่ทำได้จึงเป็นคอยช่วยส่งเข็มส่งผ้าให้และฉวยโอกาสนั่งจ้องหน้าที่กำลังขะมักเขม้นเย็บผ้าอย่างเก้ๆ กังๆ แต่น่ารักได้สุดๆ เงียบๆ

ถ้าเปลี่ยนจากเจ้าเสื้อตัวเล็กนั่นมาเป็นเสื้อตัวใหญ่ของเขามันจะน่าดีใจได้มากขนาดไหนนะ?

แต่ถึงจะคิดเพ้อฝันยังไงตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เสื้อมันจะไปอยู่กับเจ้าของซักที เมื่อคนที่เย็บเสร็จจนได้ก็รีบห่อของขวัญและรีบคว้าทุกอย่างที่ต้องใช้ร้อนรนออกไปจากบ้านเพราะใกล้ถึงเวลาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่วายหันกลับมาบอกคนที่มายืนส่งที่หน้าประตูบ้านด้วยใบหน้าเริงร่าทั้งๆ ที่พูดไปก็ใส่รองเท้าอย่างรีบๆ ไป

“คืนนี้นายค้างที่นี่อีกใช่มั้ย? อย่าเพิ่งนอนนะ แล้วฉันกลับมาจะเล่าให้ฟังว่าจุนซูทำหน้ายังไง”

“อืม รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทัน”

คำเอ่ยบอกทำให้มือเรียวกำลังจะเปิดประตูออกไปแล้วแต่สีหน้าของคนส่งที่ถึงแม้จะยิ้มแต่กลับแทรกอะไรบางอย่างเอาไว้ลึกๆ ก็ทำให้มือนั้นชะงักเมื่อเจ้าของมันหันกลับมามองหน้าร่างสูงด้วยความแปลกใจ

“...........”

“อ้าว ทำไมไม่ออกไปล่ะ ลืมอะไรเหรอ?”

หน้าขาวสว่างที่จ้องมานิ่งๆ แต่ไม่พูดอะไรออกมาทำให้อีกคนขมวดคิ้วเข้มอย่างแปลกใจตาม แต่ยังไม่ทันที่ซีวอนจะหันกลับไปเช็คแทนว่าร่างเล็กลืมอะไร เสียงนุ่มๆ ใสๆ กลับทำให้เจ้าชายชะงักกึกอยู่ตรงหน้าประตูนั่นเอง

“เปล่าหรอก...แต่...นายทำหน้าแปลกๆ อ่ะ”

อึก!

หน้าหล่อเหลาที่มันเสียไปวูบต้องรีบบอกตัวเองให้เก๊กหน้าใหม่เมื่อตากลมเรียวยังจ้องตรงมาอย่างค้นหา รอยแย้มยิ้มกว้างพร้อมลักยิ้มจึงถูกส่งไปให้ก่อนก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมไปขยี้ผมนุ่มนั้นเบาๆ

“ฉันก็ทำหน้าปกตินี่นา ก็หล่อเหมือนเดิม ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”

ไม่ใช่ว่านายรู้ตัวแล้วหรอกนะ!

ทว่าคำพูดยกยอพวกนั้นกลับไม่ได้ทำให้อีกคนด่ากลับเช่นเคยเมื่อไก่น้อยยังเงยหน้าขึ้นจ้องคนที่ลูบหัวตัวเองด้วยสายตาแปลกใจเหมือนเดิม

“ตกลงนายไม่ได้เป็นอะไรนะ? ไม่ได้ไม่สบายตรงไหนใช่มั้ย?”

สายตาแปลกใจ....ที่มันแทรกความห่วงใยเอาไว้ในนั้นด้วย


เท่านี้ก็น่าดีใจมากเกินพอแล้วล่ะ


พร้อมๆ กับความเต็มตื้นที่เอ่อล้นขึ้นมา..รอยยิ้มอ่อนโยนจากใจที่นานๆ ทีจะมีก็ถูกส่งให้คนที่ยังยืนมองอยู่นั่น มือใหญ่อีกมือเป็นฝ่ายเอื้อมไปเปิดประตูออกให้ซะเองพร้อมๆ กับรุนหลังบางนั่นออกไปด้วย

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ถ้าไม่รีบจะสายจริงๆ นะ”

“อื้อ...ไปก็ได้ แต่ถ้านายไม่สบายก็โทรมาบอกฉันได้นะ วันนี้ไม่มีใครอยู่เลยเดี๋ยวนายล้มขึ้นมาจะแย่”

“คร้าบบบบบบ ท่านปีศาจไก่น้อย ถ้ากระผมรู้สึกไม่ดีเมื่อไหร่จะรีบโทรไปบอกทันทีเลยครับ พอใจมั้ยครับ”

“ได้อย่างนั้นก็ดี”

ท่าที่ยักไหล่กวนประสาทก่อนจะเอ่ยลาและแทรกตัวผ่านประตูออกไปไม่ได้ทำให้อีกคนฉุนหรอกเมื่อยังยืนมองส่งคนที่กำลังจะลงลิฟต์อยู่ที่หน้าประตูบ้าน แต่ทันทีที่ร่างนั้นก้าวเข้าลิฟต์ไปแล้วและประตูบ้านปิดเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ...มือใหญ่ที่ถูกกำและชกลงไปที่ประตูเต็มแรงคงทำให้ใครที่ผ่านไปมาแทบสะดุ้งด้วยความแปลกใจแน่!


โครม!!!


จะมีอะไรเจ็บยิ่งไปกว่าการยืนส่งดวงใจตัวเองให้ไปหาคนที่เจ้าตัวมีใจให้อีก!

..

..

..


แกร็กกก.....

จะสี่ทุ่มแล้ว....

เสียงเปิดและปิดประตูที่เบามากๆ จนแทบไม่ได้ยินทำให้ร่างสูงที่นั่งหน้าจอทีวีในเวลาดึกขนาดนี้ต้องขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันนิดๆ เกือบแล้วล่ะที่ใบหน้าหล่อเหลาจะไม่หันกลับไปที่หน้าประตูบ้าน...แต่บางอย่างที่สะกิดใจก็กลับทำให้เจ้าตัวทำตรงข้ามกับที่คิดแทน

“ฮยอคแจ?”

แว่บเดียวที่ทันเห็นร่างบางยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และก็แค่แว่บเดียวจริงๆ ที่ทันเห็นหน้าที่ถึงขาวสว่างเหมือนเดิมแต่จมูกที่แดงจัดกลับทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น!

เป็นอะไรไป?

แต่ยังไม่ทันที่ปากหยักจะได้เอื้อนเอ่ยถาม...คนที่ยืนอยู่นั่นก็ทรุดตัวลงนั่งหันหลังให้ดื้อๆ พร้อมๆ กับทำท่าถอดรองเท้าไปด้วย

เคยด้วยเหรอที่ไก่น้อยจะก้มลงไปถอดรองเท้าดีๆ นอกจากจะเหยียบส้นออกและก้มหยิบวางที่ชั้นวางเลย

เป็นอะไรไป!

อะไรซักอย่างที่แผ่ออกมาจากแผ่นหลังบางทำให้ซีวอนผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินตรงไปยังร่างที่ถอดรองเท้าไม่เสร็จซักทีนั่น หน้าเนียนที่ก้มจนคอแทบซุกเข้าไปในอกตัวเองก็ไม่เงยขึ้นมาซักนิดแม้แต่ตอนที่เอ่ยปากถามไถ่ก็ตาม

“ยะ...อึก...ยังไม่นอนเหรอ?”


ร้องไห้?


“วะ...วันนี้...อึก!...นายก็....ก็...ค้างที่นี่เหรอ?


ไม่น่าจะ...ก็ไปงานวันเกิด ‘เพื่อนสนิท’ ...ก็ไม่น่า....


“คือ...คือ...ฉันไม่หิว....อึก...จะไปนอนเลย...ฮึกๆ.....นาย...นายดูทีวีต่อ...ฮึกๆ...เลย....ก็ได้....อ้ะ!”


ยังใม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำเมื่อร่างสูงทรุดตัวลงนั่งซ้อนข้างหลังและตวัดร่างนั้นเข้ามากอดแน่น!


“เกิดอะไรขึ้น?”


เมื่อแน่ใจเต็มที่แล้วว่าแผ่นหลังบางที่สั่นสะท้านนี่เกิดเพราะคนพูดกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ซีวอนก็เลยไม่แกล้งแล้วเมื่อปล่อยน้ำเสียงทุ้มปนปลอบออกมาถามเลย


“เกิดอะไรขึ้นฮยอกแจ?”


คำถามที่อ่อนโยนเหลือเกินแทบจะทำให้น้ำตาเม็ดสวยร่วงพราวลงมาอีก มือเล็กทั้งสองถูกเจ้าของยกมาปิดทั้งตาและปากกั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นไม่ให้อีกคนเห็นและได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นเสียงสั่นเครือเป็นระลอกก็หลุดออกมาจนได้ทั้งๆ ที่เจ้าตัวกลั้นไว้เต็มที่แล้ว


“บอกฉันได้มั้ย?”


อ้อมกอดที่โยกไปมาเหมือนปลอบก็อบอุ่นซะจนอีกคนเริ่มผ่อนคลาย เสียงใสเลยเผลอหลุดออกมาจนได้แม้จะกระท่อนกระแท่นก็ตาม


“...ฮึก....จุน.....จุนซู......”


“...............”


“จุนซู....กับ....ยูซอ.......ฮึก.....อึก!”


“..............”


“....ฉะ...ฉัน....ฉันเป็น...ฮึก....เป็นคนน่ารังเกียจ....อึกๆ....พอเห็นพวกเค้า...จะ....”


“............”


“....ทะ....ทำไมล่ะซีวอน....แค่เห็น....ฮึกๆๆ....แล้วทำไมฉันต้องเจ็บล่ะ....อื้อๆๆ...”


“............”


“ฉันก็แค่....ก็แค่....เห็น....อึก...เห็นแล้วก็.....ฮึกๆ.....อิจฉา...อึก........หึง....”


“.........”


“ฉัน...ฉันรักมัน....ฉัน...ฮึกๆ....รักจุนซู.....รัก......อึก....เพื่อนตัวเอง.....ฉัน...น่ารังเกียจ....ฮึกๆ....มากมั้ย?...”


“..............”


“นะ....นายเอง.....ฮึกๆๆ....นายเองก็....กำลัง....อึก....รังเกียจฉัน....อึก....ใช่มั้ย?....”


เสียงถามที่ออกมาจากปากแดงอย่างคาดหวังทำให้คนถูกถามชะงักกึกเมื่อไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี


ความรู้สึกของฉันนายในตอนนี้คงไม่พร้อมที่จะรับฟังหรอก


“มากสิ! มากด้วย!!”

คำตอบที่ออกมาจากปากหยักทำให้คนตัวเล็กชะงักกึกก่อนจะเริ่มขยับดิ้นออกจากอกกว้างเมื่อแปลได้ชัดๆ ว่าคนข้างหลังพูดอะไร

แต่ก็นั่นล่ะ....ถ้าร่างสูงไม่คิดจะปล่อยก็ไม่มีทางที่คนถูกกอดจะหลุดออกไปได้หรอก!

“นะ....นาย...อึก....ปล่อย!”

“ฉันเกลียดนายจะตายไปนายรู้ตัวบ้างมั้ย?”

“...อึก...ทะ...ทำไมต้องพูด.....”

“เกลียดนายตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า! เกลียดตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก!”

“...ฮึกๆๆ...ไอ้....ไอ้บ้า....ปล่อย...เกลียดก็ปล่อยสิ!”

“ก็นั่นล่ะ...ฉันเกลียดนายมาตั้งนานแล้ว! มองนายห่วยมาตั้งนานแล้ว! ฉันไม่เคยเห็นนายดีอยู่แล้วล่ะ! ถึงจะทำอะไรแย่ๆ ก็คงไม่แย่ไปยิ่งกว่านี้แล้วล่ะ”

“...ปล่อยนะ! ฮึก.....ฉันกำลังอกหักอยู่นะทำไมนายต้องซ้ำเติมด้วยเล่า! ฮึกๆ......ปล่อยเด้!”

“ตัวก็เล็กแล้วยังทำปากเก่ง! หน้าตาก็ห่วยก็ยังชอบชมตัวเองอีก....เฮ้อ....จะมีใครโหลยโท่ยเท่าไก่น้อยโง่ๆ อีกมั้ยเนี่ย!”

“ไอ้บ้า! ฮือๆ.....อย่ามาด่ากันนะ! ถึงฉันจะเศร้าแต่ฉันก็ด่านายกลับได้นะเฟ้ยไอ้ยักษ์!!”

อารมณ์ที่มันเริ่มเปลี่ยนจากโหมดเศร้ามาเป็นโหมดโกรธก็ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวมั้ย แต่คนพูดหาเรื่องกลับรู้ดีเมื่อยิ่งกระชับอ้อมแขนแน่นเข้าไปอีกพร้อมๆ กับที่คำพูดกวนประสาทก็ยังออกมาจากปากหยักไม่หยุด

“หุ่นก็แย่ หน้าตาก็แย่ แถมนิสัยแย่ยิ่งกว่าอีก ทัง้ตัวนายมีอะไรดีมั้ยฮยอค?”

“..อ่ะ...ไอ้....แมร่ง ถ้านายเกลียดฉันมากก็ปล่อยสิ! มากอดทำไมล่ะ ปล่อย!!”

“ฉันก็แค่หนาว....ฉันไม่ได้อยากกอดนายซักนิดหรอกแต่ก็แค่หนาวเท่านั้นเอง ฉันไม่เคยคิดว่านายดีสักครั้งหรอกดังนั้นถึงจะทำอะไรมันก็คงไม่แย่ยิ่งกว่านี้หรอกเจ้าไก่โง่”

“...............”

ถึงแม้คำพูดนั้นจะทำให้ฉุนจี๊ดๆ แต่สิ่งที่แทรกอยู่ในประโยคพวกนั้นและอ้อมอกกว้างที่อบอุ่นขัดกับคำพูดก็ทำให้ร่างเล็กเริ่มรู้แล้วคนข้างหลังกำลังทำอะไร

หลักฐานก็คือน้ำตาที่มันค่อยๆ หายไปแล้วไงล่ะ


“ฮึก...ฉันไม่ได้น่าสงสารหรอกนะเฟ้ย ฉันเข้มแข็งพอ...นายปล่อยฉันได้แล้วไม่จำเป็นต้องมาปลอบหรอก!”

“ใครบอกว่าฉันปลอบนาย? ฉันบอกแล้วไงว่าหนาว อย่าหลงตัวเองนักเลย!”

“เอ๊ะ ไอ้ขี้เก๊กนี่! ฮึก....เมื่อไหร่จะพูดจาดีๆ บ้างอ่ะ!”

“ฉันเกลียดนาย”

“เออๆ ฉันรู้แล้วว่านายเกลียด! ซื้ด.....เกลียดก็ปล่อยสักทีสิ”

“ฉันกลียดนาย”

“เอ๊ะ! ก็บอกว่ารู้แล้วไงเล่า ไม่จำเป็นก็อย่าย้ำได้มะ!”

“เกลียด....ตั้งแต่แรกที่เจอหน้า ตั้งแต่แรกที่รู้จัก”

“ก็บอกว่ารู้.....”

“ยิ่งรู้จักก็ยิ่งเกลียดมากขึ้นๆ ตอนนี้ฉันเกลียดนายจนจะแย่แล้วรู้มั้ย?”

“......................”


ฉันรู้....รู้ว่านายกำลังรู้สึกยังไง....รู้ว่าถึงพูดความจริงออกไปตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากนายจะทำตัวเหินห่าง ดังนั้นฉันก็จะพูดในสิ่งที่นายอยากฟัง


แต่


นายแปลมันออกบ้างมั้ย? แปลคำพูดพวกนี้ออกบ้างมั้ย?


ทุกอย่างมันตรงกันข้ามหมดเลย


นายแปลมันออกบ้างมั้ย?


“ฉันเกลียดนายฮยอกแจ เกลียดมาก.....มากจนไม่รู้จะทำยังไง?

ให้ฉันแทนที่เค้าได้มั้ย ถ้าทำยังไงเค้าก็ไม่ได้รักนายก็ให้ฉันแทนที่เค้าได้มั้ย?

“ฮือ...ฉันก็เกลียดนายเหมือนกันก็ได้...ซื้ด....อย่าพูดดิ”

เสียงสูดจมูกฟืดฟาดเริ่มมาแทนเสียงสะอื้นเมื่อคำพูดนั้นมันกลับกลายเป็นคำกล่อมจนร่างบางยอมนั่งนิ่งๆ ในอ้อมแขนนั้นแต่โดยดี มือเล็กเกาะแขนใหญ่ตรงหน้าตัวเองก่อนจะซบหน้าเงียบๆ ไม่ขัดขืนอะไรอีกเลย

อ้อมกอดที่อบอุ่นตรงข้ามกับคำพูดมันยืนยันได้ดีว่าคนที่กอดตัวเองกำลังปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนมากเพียงใด

“นายไม่มีอะไรดีเลยรู้ตัวมั้ย? ดังนั้นจะทำอะไรก็ไม่เคยดีอยู่แล้วล่ะ”


“ฉันรู้น่าเจ้าโง่ ไม่ต้องย้ำก็ได้หรอก ปล่อยได้แล้ว”


“ฉันก็แค่หนาวเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้คิดอยากกอดคนนิสัยแย่ๆ อย่างนายซักนิดเลย”

เสียงทุ้มยังพูดเบาๆ เมื่อโยกคนตัวเล็กในอ้อมกอดไปด้วย ใบหน้ารวดร้าวที่กำลังแหงนมองเพดานคงไม่มีใครรับรู้หรอกนอกจากเจ้าตัวที่กำลังพยายามเหลือเกินที่จะเก็บกดความรู้สึกมากมายนั้นให้มันซุกซ่อนต่อไป

เพราะฉันรู้ว่านายชอบเค้าและนายก็รู้ตัวแล้ว...บอกไปจะได้อะไรขึ้นมานอกจากความไม่เหมือนเดิมระหว่างเรา


แต่


เป็นฉันได้มั้ย?


คำพูดที่อยากพูดออกไปใจแทบขาดมันติดอยู่ที่ลำคอเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าพูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา


แต่ถ้าวันนึงนายเจ็บปวดกับความรักครั้งนี้จนทนไม่ไหวก็ให้เป็นฉันแทนได้มั้ย?

ให้ฉันได้เป็นคนอยู่ข้างๆ นายแทนเค้าได้มั้ย?


“ซื้ด....เพราะฉันตัวอุ่นต่างหากนายถึงอยากกอดอ่ะ อย่าลืมจ่ายค่ากอดมาด้วยล่ะ ฉันไม่ได้ให้กอดฟรีๆ หรอกนะ”


“ฉันเกลียดนายฮยอกแจ”


“ฉันก็หมั่นไส้นายเจ้าขี้เก๊ก”


“ฉันเกลียดนายมากเหลือเกิน”


“งั้นฉันก็โคตรจะหมั่นไส้คนหลงตัวเองอย่างนายมากเหมือนกันล่ะ”


“ฉันเกลียดนาย”


นายแปลคำพูดพวกนี้ออกบ้างมั้ย?







The End






















 

Create Date : 26 ธันวาคม 2551    
Last Update : 27 ธันวาคม 2551 1:15:38 น.
Counter : 236 Pageviews.  

1  2  3  

ryoshin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ryoshin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.