Group Blog
 
All blogs
 
Confusion 1/2

For : Onye_Jeeyul
Note : จริงๆ จะวางเรื่องสั้นเรื่องที่ 8 ในวันที่ 8 เดือน 8 ที่เป็นวันเกิดของเพื่อนคนนี้ (แลดูเหมือนตั้งใจยังไงไม่รู้ - -*) แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่ทันจนได้ เลยต้องมาวางวันนี้แทน และอีกอย่างคือเรื่องนี้มันครบ 2 ปีแล้วในวันที่ว่านั่นล่ะ งงๆ เหมือนกันว่า 2 ปีจริงเหรอ แต่นับๆ แล้วมันก็ 2 ปีจริงๆ แฮะ ดังนั้นไหนๆ ตลอด 2 ปีนี้มันก็ดูเป็นซีรีย์ซักเรื่องนึงไปแล้ว เลยขอตั้งชื่อซีรีย์อย่างเป็นทางการแล้วกันค่ะ เพื่อที่ว่าจะได้จัดหมายเลขตอนให้มันชัดเจนไปเลย เพราะจะได้ดูง่ายขึ้นด้วยแล้วกันเนอะ ^ ^











ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว


ผมพอจะรู้มานานแล้วว่าลึกๆ แล้วผมเป็นคนเห็นแก่ตัว แม้ต่อหน้าคนอื่นๆ ผมจะพยายามเก็บและกดมันเอาไว้มากแค่ไหน แต่กับใครไม่กี่คน ใครซักคนคนที่ผมไว้ใจ ความเห็นแก่ตัวนี้ของผมมันก็มักจะแสดงออกไปอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะกับเจ้าเพื่อนที่หน้าตาหล่อเหลาผิดมนุษย์มนาทั่วไปนั่น

เจ้าคนหน้าตาผิดปกติที่ว่านั่นเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม เป็นเพื่อนที่จะว่าสนิทที่สุดก็ไม่ใช่ แต่จะไม่สนิทเลยก็ไม่เชิง เพราะทุกครั้งที่มีปัญหา ผมจะนึกถึงเจ้านั่นก่อนเป็นคนแรก เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่มีเรื่องดีใจ ผมก็จะเห็นหน้ามันลอยมาก่อนเหมือนกัน ทั้งที่แต่ก่อนคนๆ นี้จะเป็นจุนซู แต่อาจจะเพราะเจ้าเด็กเอ๋อนั่นมักจะยุ่ง หรืออาจจะเพราะเวลาไม่ค่อยจะตรงกัน หรืออาจจะเพราะสาเหตุอะไรไม่รู้

แต่ตอนนี้เบอร์แรกที่ผมคิดจะกดโทรออกคือหมายเลขของเจ้าเพื่อนหน้าตาผิดปกติที่ว่านี้

แทบไม่เคยเลยสำหรับโทรศัพท์เครื่องนั้นที่ผมโทรไปแล้วเจ้าของมันจะไม่กดรับ ถึงจะมีเรื่องยุ่งมากมายแค่ไหนแต่เจ้านั่นมันก็จะหาโอกาสโทรกลับมาหาผมเกือบทุกครั้ง

และผมก็รู้ดี ยิ่งถ้าปัญหาของผมมันหนักมากเท่าไหร่ ไม่ถึงวันหรอกที่ประตูบ้านจะถูกเคาะ และสภาพของคนที่ผจญภัยจากสนามบินมาถึงหน้าบ้านได้จะเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นหน้าผม


“นายเป็นยังไงบ้าง? โอเคมั้ย?”


นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้ว ผมก็ยังรู้ตัวอีกว่าตัวเองขี้แย

แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนหรอก อย่างน้อยที่สุดสำหรับเพื่อนสนิทที่สุดในวัยเด็กอย่างจุนซู กลับเป็นคนที่ผมจะไม่แสดงท่าทางอย่างนี้ออกมาให้เจ้าเด็กนั่นเห็นเป็นอันขาด

ไม่มีผู้ชายที่ไหนอยากอ่อนแอต่อหน้าคนที่เรารักหรอก

แต่ก็ใช่ว่าผมจะร้องไห้กับเพื่อนคนอื่นๆ ทุกคน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหน้าหล่อๆ นั้นมันไปสะกิดต่อมน้ำตาของผมเข้าที่ตรงไหน ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่คิดมากแล้ว ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดีแล้ว ทั้งๆ ที่คิดว่าอดทนได้ดีพอแล้ว

แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าเจ้านั่นโผล่มา น้ำตามันไหลออกมาได้ยังไงผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

และจนแม้มันจะทิ้งกระเป๋าหรือสัมภาระอะไรทุกอย่างลงบนพื้นเพื่อคว้าตัวผมไปกอดแรงๆ ผมก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดีว่ายอมอยู่เฉยๆ เพื่อให้มันกอดนิ่งๆ ...ยอมซุกหน้าเข้าไปที่อกกว้างๆ ที่มันก็อุ่นซะจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไร

และยอมยืนอยู่อย่างนั้นนิ่งนานปล่อยให้มันพูดกล่อมอยู่ข้างหูและลูบหัวปลอบผมอยู่อย่างนั้น

สภาพของตัวเองที่ไม่แตกต่างอะไรกับเจ้าช็อคโกที่โดนผมลูบหัวเล่น ผมก็ไม่รู้ตัวสักนิดในการที่ไม่ขัดขืน

แต่บางที...ผม ‘ไม่รู้ตัว’ หรือ ‘ไม่ยอมรับรู้’ แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่อยากจะหาความจริงในใจตัวเองซักเท่าไหร่นักหรอก


อ้อมแขนนั้นมันอุ่นมากเกินไปล่ะมั้ง...มันอุ่นจนผมไม่อยากสลัดมันทิ้ง


หรือแม้แต่ตอนนี้ที่ผมพยายามกลั้นใจสลัดมันออกไปได้อย่างนี้ ผมก็รู้ดีว่าผมยังเสียดายความอบอุ่นนั้น


ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นทุกครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเกือบกดแช่ปุ่มโทรด่วนที่คุ้นเคยตามสัญชาตญาณ แต่พอสมองเริ่มทำงานในวินาทีต่อมา นิ้วของผมก็ชะงักค้างบนปุ่มนั้น และสุดท้ายผมก็ค่อยๆ ยัดมือถือเครื่องนั้นกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม

คิดด้วยตัวเอง แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งจริงๆ ผมควรจะทำอย่างนี้ได้ตั้งนานแล้ว ผมควรจะเลิกพึ่งเจ้านั่นมากเกินไปอย่างทุกทีได้แล้ว

เจ้านั่นที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ หรือแม้กระทั่งนิสัยใจคอ

แต่คนเพอร์เฟคต์อย่างนั้นกลับยังครองตัวเป็นโสดจนหลายคนสงสัย เพราะอะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะผมขโมยเวลาส่วนตัวของเจ้านั่นมาเกือบทั้งหมด

รับโทรศัพท์ไร้สาระของผม ทำนั่นทำนี่ให้ผม

ยิ่งลองมานั่งคิดดูดีๆ ในแต่ละสิ่งละอย่างที่เจ้านั่นทำเพื่อผมแล้ว ผมก็ยิ่งรับรู้ได้ดีว่าผมทำตัวเป็นภาระของเค้ามากแค่ไหน แทนที่เจ้าเพื่อนคนนี้จะได้มีเวลาที่ดีๆ กับคนอื่นเค้าบ้าง ได้ไปออกเดทกับสาวซักคนบ้าง แต่ก็กลับต้องมาผูกติดอยู่กับผม

ดังนั้นผมทำถูกต้องแล้วล่ะ พึ่งตัวเอง และเลิกถ่วงเจ้านั่นซักทีอย่างนี้ดีแล้วล่ะ

คิดได้อย่างนั้นผมก็มีกำลังใจขึ้นกับการที่จะไม่แตะต้องเจ้ามือถือที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงอีก เพราะถ้าผมดูแลตัวเองไม่ได้ซักทีเจ้านั่นก็ไม่ได้เป็นอิสระจากผมซักทีเช่นกัน และถ้าเจ้านั่นไม่มัวแต่ผูกติดอยู่แต่กับผมแล้ว...ความรู้สึกของตัวเองไม่นานเค้าก็คงจะหาเจอ

เค้าคงจะหาเจอและแยกแยะความสับสนระหว่าง ‘เพื่อน’ กับ ‘แฟน’ ได้ออกซักที

เพื่อไอ้เจ้าชายนั่น เพื่อเพื่อนคนสำคัญคนนั้น ผมทำได้


ผมต้องทำให้ได้!


แค่คำด่าจากคนไม่รู้จักแค่นี้เหมือนที่เจ้านั่นเคยพูดไว้ มันคงไม่ทำให้ผมเสียใจจนตายหรอก

คิดได้อย่างนั้นผมก็ขยำกระดาษในมือเพื่อเตรียมโยนทิ้งลงถังขยะ

กระดาษที่ตอนแรกกองรวมอยู่กับจดหมายจากแฟนคลับ แต่เนื้อหาสั้นๆ กลับแตกต่างจากจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าที่ผมเปิดอ่านก่อนหน้านี้ลิบลับ


‘นายน่ะมันคนตีสองหน้า เลิกมานั่งเต๊ะท่าเป็นคนดีได้แล้วอึนฮยอก! พวกเรารู้ธาตุแท้ของนายหมดแล้วล่ะ!’


แค่เนื้อหาสั้นๆ ...แค่ประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยคที่ก็ทำเอาผมสะอึกและเงียบกริบได้ แล้วผมก็เงียบไปนานและนั่งจ้องกระดาษแผ่นนั้นอยู่อย่างนั้นจนหัวหน้าวงต้องสะกิดเรียก ความเคยชินในการที่ไม่อยากทำให้ใครเป็นห่วงทำให้ผมต้องเงยหน้าไปยิ้มให้พี่ชายก่อนที่จะทันรู้ตัวซะอีก

แต่ความเก่งกาจของพี่ชายคนนี้คือการจับความรู้สึกของคนรอบข้างได้ไวจนน่าตกใจ พี่ทำท่าจะเดินเข้ามาหาผมแต่ก็ถูกพี่ฮีชอลลากไปช่วยต่อบทกันก่อน ท่าทางที่พี่ละล้าละลังมองมาที่ผมในขณะที่ถูกลากออกไปจากห้องโถง ทำให้ผมต้องพยายามยิ้มให้มากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้พี่เป็นห่วง ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มหงอยลงเรื่อยๆ เมื่อร่างโปร่งๆ นั้นลับตาไปแล้ว

ผมไม่ใช่คนดีมากมายเหมือนที่คนอื่นๆ ชอบชมหรอก ผมก็แค่ตีสองหน้าเก่งเหมือนที่คนเขียนจดหมายว่าเอาไว้นั่นแหละ

ผมแค่อยากเป็นเด็กดีต่อหน้าคนอื่นๆ แค่อยากให้ทุกคนรัก แค่ไม่อยากให้ใครเกลียดผมแค่นั้นเอง

หลายๆ ครั้งที่ผมอิจฉาความเป็นตัวของตัวเองของคิบอม อิจฉาความเด็ดเดี่ยวจนเกือบเหมือนเอาแต่ใจของพี่ฮีชอล อิจฉาความร่าเริงเป็นธรรมชาติของทงเฮ

ผมก็แค่ไม่ได้มั่นใจพอที่จะทำอย่างนั้น เพราะผมกลัว กลัวว่าถ้าทำอะไรตามใจลงไปจะทำให้ทุกคนไม่อยากเข้าใกล้เหมือนตอนแรกๆ ที่ฟอร์มวง

ความรู้สึกที่เหมือนทุกคนหลีกหนีตัวเองแบบนั้นน่ะ ผมไม่อยากจะรู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว!

ทว่าถึงผมพยายามจะควบคุมตัวเองมากมายแค่ไหน แต่เจ้านั่นกลับเป็นคนๆ เดียวที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกสิ่ง

ไม่รู้หน้าหล่อๆ นั้นไปสะกิดต่อมอะไรอีกซักต่อมของผม ที่พออยู่กับเจ้านั่นทีไรผมก็จะเผลอพล่ามออกไปอย่างไม่รู้ตัว พูดอะไรไม่รู้วุ่นวายตีกันไปหมด จนแม้แต่ผมเองยังแทบปะติดปะต่อคำพูดตัวเองไม่ได้

แต่หน้าหล่อๆ ของไอ้เจ้าชายกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้เสมอ ยิ้ม...และนิ่งฟังคำพูดของผมอย่างตั้งใจเต็มที่ แม้คำพูดนั้นจะเห็นแก่ตัวแค่ไหน จะร้ายกาจแค่ไหน จะพูดจาไม่ดีแค่ไหน แต่เจ้านั่นก็ไม่บ่นอะไรผมซักคำ จนสุดท้ายที่รอจนผมพูดจบพร้อมหอบหายใจนิดๆ ด้วยความเหนื่อย มือใหญ่ๆ น่าอิจฉาก็จะถูกยกมาลูบหัวผม ก่อนปากหยักๆ สวยๆ ที่ยิ่งน่าอิจฉาก็จะพูดปลอบพร้อมแนะนำต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ไปด้วย

คำพูดที่ปกติชอบกวนประสาท แต่ในเวลาอย่างนี้มันกลับอบอุ่นซะจนผมยอมอยู่นิ่งๆ ให้มันลูบหัวอยู่อย่างนั้นไม่ขัดขืนต่อต้านอะไร

ตัวผมเองก็คงจะผิดปกติไปบ้างเหมือนกันนั่นล่ะ

แต่ในตอนนี้ก็ไม่ได้มีมือใหญ่ๆ มาคอยปลอบผมแล้ว ไม่ได้มีเสียงทุ้มๆ มาคอยถามไถ่เย้าแหย่เหมือนเดิมแล้ว เพราะผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะปล่อยให้เจ้ายักษ์ของผมเป็นอิสระ ผมเลยสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ให้กำลังใจตัวเองก่อนจะหอบกองจดหมายที่ผมเอากลับมาอ่านที่บ้านเข้าไปเก็บในห้องนอน พร้อมๆ กับที่จะทิ้งเจ้ากระดาษแผ่นที่ว่าลงในถังขยะข้างๆ โต๊ะอ่านหนังสือ

ให้มันลงไปกองรวมอยู่กับพวกเดียวกับมันที่ก็นอนรออยู่หลายแผ่นแล้วก่อนหน้านี้

ผมไม่ควรจะแคร์กับคนแค่ไม่กี่คนที่ไม่รู้จักมากไปกว่าเพื่อนที่คบกันมาตั้งนาน เจ้านั่นมันเคยบอกผมอย่างนั้น ดังนั้นถ้าพวกเค้าเก่งพอที่จะเขียนมาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมก็ต้องเก่งพอที่จะทิ้งมันได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ล่ะ

ลองมาดูกันสิว่าการเขียนกับการทิ้งอะไรมันจะง่ายกว่ากัน!

แรกๆ ผมให้กำลังใจตัวเองอย่างนั้น และผมก็ทำได้ดีซะด้วยกับการที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ซึ่งมันก็ดีแล้ว ทุกคนกำลังกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ตอนนี้บรรยากาศในวงเลยมันสนุกสนานและอวลไปด้วยความรู้สึก ‘คิดถึง’ ลอยเต็มไปหมด

แกล้งกัน หยอกล้อกัน นี่ล่ะธรรมชาติของพวกเราที่ทำให้ทุกห้องที่เราไปมันวุ่นวายซะยิ่งกว่าลิงแตกฝูง จนทั้งผู้จัดการและสตาฟทั้งบ่นทั้งยิ้มอย่างเหนื่อยใจกันไปเป็นแถบๆ

ดังนั้นสีหน้าของผมที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะลอบขยำกระดาษในมือและแอบหย่อนลงในถังขยะข้างๆ คงไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก


‘นายมันไม่มีอะไรดีเลยอึนฮยอก หน้าตาก็แย่เสียงก็ห่วย! พวกตีสองหน้าเห่ยๆ อย่างนายน่ะลาออกจากวงการไปซะเถอะ!’


จริงๆ ถ้าผมเก่งอย่างที่คิดไว้ตอนแรกผมไม่ควรจะสะดุดที่เห็นเนื้อความในจดหมายที่มีแฟนๆ วิ่งเอาเข้ามาให้ถึงตัวตอนที่มาถึงหน้าบริษัทหรอก แต่เพราะสิ่งที่ผมคิดพลาดไปอย่างคือไม่ใช่แค่ทิ้งไปได้เลย แต่มันเพราะผมต้องได้อ่านมันทุกครั้งนั่นต่างหาก

หนึ่งครั้ง....สองครั้ง....สามครั้ง.....สิบครั้ง....หลายสิบครั้ง.....

และเกือบร้อยครั้ง....

ข้อความพวกนี้ผ่านเข้ามาในสายตาผมจนตอนนี้น่าจะนับไปได้เป็นร้อยกว่าฉบับแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้พวกเธอ พวกเธอถึงได้จงเกลียดจงชังผมมากขนาดนั้นและโจมตีรุนแรงหนักในช่วงนี้ แล้วในขณะที่ผมสงสัยอย่างนี้ก็มีบางฉบับเหมือนกันที่พูดประมาณว่า...

‘แค่เห็นหน้านายทางทีวีก็กินข้าวไม่ลงแล้ว ดังนั้นแค่มีนายอยู่โลกก็หดหู่ได้แล้วอีฮยอกแจ!’

แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ?

กลับไปตายแล้วเกิดใหม่อย่างนั้นมั้ยพวกเธอถึงจะเลิกเกลียดผม เอาแต่ด่าผมปาวๆ ฝ่ายเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้อธิบายบ้างว่าไปทำอะไรเอาไว้แล้วจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะ?

‘นายมันก็ดีแต่ใช้ความใจดีของคนอื่นมาปกป้องตัวเอง! คนขี้ขลาดอย่างนายน่ะน่าจะหายๆ ไปซะเถอะ อยู่ไปก็มีแต่เดือดร้อนคนอื่นเค้า!’

ก็แล้วมันจะทำไมล่ะ? ก็ผมก็เป็นอย่างนี้ของผมนี่ พวกเค้าไม่เคยคิดบ้างเหรอว่าผมเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนี้หรอก

ทำไมผมถึงไม่อยากเป็นคนเก่งและมั่นใจในตัวเองเหมือนคนอื่นๆ เค้าบ้างล่ะ แต่เพราะผมคืออีฮยอกแจไง เพราะเป็นผม...เป็นแค่ผม....

เป็นแค่อีฮยอกแจไงล่ะ!

ยิ่งคิดเล็บของผมยิ่งจิกเข้าไปในเนื้อ เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเพื่อนๆ ในห้องมันกลับไม่เข้าหูผมเลยสักนิด ดวงตาผมควรที่จะมองเห็นภาพตรงหน้า...แต่ทำไมไม่รู้มันกลับพร่าไปด้วยน้ำอุ่นๆ บางอย่างที่มันเริ่มรื้นขึ้นมาจนบดบังเบื้องหน้าไปเกือบหมด

ดังนั้นผมเลยต้องรีบก้มหน้าต่ำลงและกระพริบตาถี่ๆ เพื่อบังคับให้น้ำอุ่นๆ พวกนั้นมันไหลย้อนกลับทางเดิมซะก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็น

โดยเฉพาะเมื่อเสียงนุ่มๆ ของพี่เยซองที่คงเริ่มรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมแล้ว ก็พูดโพล่งล้อเลียนขึ้นมาโต้งๆ ผมเลยต้องจิกนิ้วแน่นกว่าเดิมเพื่อสะกดกลั้นมันให้ได้ก่อนพี่จะจับได้

“เฮ้ย! อะไรวะอึนฮยอก? โดนแฟนพุ่งมาส่งจดหมายรักให้ถึงตัวถึงกับตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออกเลยเรอะ! เฮอะ...อย่าหลงตัวเองนักเลยน่า เป็นแค่น้องแค่นุ่งอย่าคิดจะมาเทียบชั้นกับรุ่นพี่นักเลย แค่นี้น่ะฉันโดนมาจนจะเบื่อแล้ว เด็กๆ ว่ะ...โอ้ย! ปล่อยนะเว้ยทงเฮ ฉันว่าเจ้าไก่มันนะเว้ยไม่ได้ว่านายซักหน่อย ...อย่าขึ้นมานะ...เสื้อมันจะยับนะเว้ยได้เด็กบ้า...”

บางครั้งบางคราคำพูดกร่างหาเรื่องอย่างขำๆ ของพี่เยซองก็ช่วยผมได้เหมือนกัน เพราะนอกจากมันจะทำให้เผลอหลุดขำทั้งๆ ที่บางคำมันเสียดแทงให้เผลอเจ็บเล็กๆ แล้ว สภาพของคนพูดที่โดนเจ้าเพื่อนปลาป่วนกระโดดขี่หลังและรัดคอแน่นจนพี่เยซองเอนไปเอียงมาก็ทำให้ผมเผลอหัวเราะขำเอาจริงๆ จังๆ ได้

ดังนั้นน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะเสียงหัวเราะที่มันผสมกับน้ำอุ่นๆ ก่อนหน้านี้ไปด้วยคงยังไม่มีใครจับได้หรอก

“ก็พี่ไปว่าเพื่อนผมทำไมล่ะ นานๆ ทีจะมีคนส่งจดหมายหามันบ้างพี่ก็น่าจะจัดงานฉลองให้มันต่างหาก แต่จริงแล้วพี่ว่ามันเพราะว่าอิจฉามันใช่มั้ยล่า เพราะไม่เคยมีคนส่งจดหมายให้พี่แบบนี้บ้างพี่เลยอิจฉาน้องใช่มั้ยพี่เยซอง ฮุๆๆๆ พี่เยซองเองก็เป็นคนขี้อิจฉาเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ”

สภาพที่ลูกปลากระโตงกระเตงอยู่บนหลังเถ้าแก่เย่ก็เรียกเสียงหัวเราะและเสียงลุ้นจากผู้ชมได้ดีว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าคนเป็นพี่จะพยายามสะบัดร่างของน้องที่รัดคอตัวเองออกแรงเท่าไหร่ แต่เจ้าน้องคนนั้นก็กลับเอาขาเกาะเกี่ยวรัดเอวพี่ไว้แน่นและทรงตัวได้ดีพอจะไม่ตกลงไปพร้อมๆ กับส่งเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงให้ด้วย

สองคนตรงหน้าอายุ 26 และ 24 แล้ว แต่ดูยังไงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการละเล่นของเด็ก 10 ขวบเลยนะผมว่า- -*

และในขณะที่ทั้งห้องกำลังส่งเสียงลุ้นเป็นระยะราวกับดูมวยก็ไม่ปาน สุดท้ายพี่เยซองที่เริ่มหัวเสียแล้วเลยต้องเอาสองมือยันเข่าไว้และหอบหายใจเหนื่อยๆ ในขณะที่ยังมีเจ้าเพื่อนป่วนของผมเกาะอยู่บนหลังและยื่นใบหน้าใสๆ ไปยิ้มล้อๆ ให้ และเมื่อพี่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมทำท่าจะสะบัดอีกครั้ง อยู่ๆ การต่อสู้รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ก็จบลงเมื่อพี่เยซองเผลอตวัดหน้ามาทางผมที่ยืนขวางประตูอยู่

แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อก็เปลี่ยนจากอึ้งนิดๆ เป็นเริ่มยิ้มน้อยๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยิ่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิมจนสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างสะใจแทน

พี่ผมเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย?

“ฮ่าๆๆๆ ในตอนนี้นายไม่ใช่คนที่ฮ็อตที่สุดแล้วเว้ยอึนฮยอก มีคนมาทวงตำแหน่งนี้คืนแล้วล่ะฉันว่า ฮ่าๆๆๆ”

ทั้งหัวเราะและพูดอะไรแปลกๆ ก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ใช่แค่พี่เยซองคนเดียวที่แปลกไป ทั้งเจ้าปลาน้อยที่เกาะอยู่บนหลังพี่ ทั้งคนอื่นๆ ในวงที่ยืนเชียร์อยู่ในห้องก็มองมาทางผมพร้อมๆ กับเหมือนจะอ้าปากค้างกันด้วย

พร้อมๆ กับที่รู้สึกได้ถึงไออุ่นๆ เหมือนมีคนมายืนซ้อนหลัง หลายๆ อย่างรวมทั้งสัญชาตญาณก็ทำให้ผมหันกลับไปมองข้างหลังพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่รู้ตัว


และผมก็เข้าใจแล้วล่ะว่าทำพี่เยซองต้องพูดอย่างนั้น


เพราะตรงหน้าผมคือร่างที่มีออร่าเป็นประกายวิ้งๆ กำลังยิ้มเจ้าชายให้กับทุกคนในห้องที่ก็คงยังอ้าปากค้างกัน แต่ที่ทำให้หลายๆ ปากยังไม่หุบลงน่ะไม่ใช่ความหล่อของมันหรอก เห็นกันจนชินตาแล้ว แต่สิ่งที่ยังทำให้ทั้งห้องเงียบกริบแบบผิดปกติ (ของพวกเรา) คือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซีวอนต่างหาก

คนข้างๆ ที่ตรงข้ามกับพวกเราลิบลับ เมื่อร่างโปร่งๆ แบบบางขาวจัดในชุดเดรสสีฟ้าใสกำลังส่งยิ้มมาให้ทุกคน ผมสีน้ำตาลอ่อนๆ หยิกยาวล้อมกรอบใบหน้าหวานๆ ที่แฝงเอาไว้ซึ่งความมั่นใจของเธอก็กำลังทำให้ทุกคนตกตะลึง จนแม้แต่ทงเฮที่โดนพี่เยซองเอียงตัวทิ้งให้เจ้าตัวตกลงบนพื้นยังไม่หายจากอาการตกใจนี้เลยด้วยซ้ำไป


“โอ๊ย!”


จนเมื่อร่างเล็กๆ นั้นแตะลงบนพื้นอย่างไม่เบานักและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บนั่นล่ะ ทุกคนถึงเพิ่งรู้สึกตัว แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจกับผลแพ้ชนะระหว่างพี่น้องคู่นี้แล้ว เมื่อเสียงถามไถ่ก็ดังประสานไปมาชนิดจับใจความไม่ได้ในขณะที่ต่างก็มุ่งความสนใจไปยังสาวสวยที่ยืนอยู่ในอ้อมแขนของซีวอนแทน

“วู้ววววววววว เจ้าชายพาสาวมาล่ะเว้ยเฮ้ย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นพาใครมาเลยนี่หว่า นี่ตกลงคนนี้เอาจริงเหรอวะ? ชเวซีวอนเตรียมสละโสดแล้วต้องเป็นข่าวใหญ่แน่งานนี้”

“นายไปซุ่มเงียบตั้งแต่ตอนไหนน่ะ ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย นี่ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ”

“สวัสดีครับ ผมเยซองนะ ผมจะขอเตือนคุณไว้ก่อนเลยนะว่าเจ้าซีวอนน่ะมันไม่ได้ดีอย่างที่เห็นหรอก มันเจ้าชู้จะตาย เลิกกับมันแล้วเป็นแฟนกับผมดีกว่านะ ฮ่าๆๆๆ”

และอีกสารพัดคำเอ่ยแซวเหมือนฝูงลิงเห็นกล้วยลูกใหม่นั่นแหละ คนในอ้อมแขนซีวอนก็หัวเราะเบาๆ อย่างสนุกกับคำพูดคำถามทะเล้นพวกนั้น จนเมื่อเธอพูดออกมาทุกคนถึงหันมามองผมเป็นตาเดียวแทน

“ฉันชื่อแชอึนค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกับซีวอนอย่างที่ทุกคนคิดหรอก ฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของฮยอกแจค่ะ”

แค่นั้นล่ะที่ลูกกะตานับสิบคู่จะหันมามองผมเป็นตาเดียวด้วยแววตาหลายอย่าง ทั้งแปลกใจ ทั้งสงสัย ทั้งไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ๆ หนึ่งในนั้นคือสายตาที่แสร้งทำให้ขุ่นมัวของพี่ชายที่ชอบแกล้งผมเป็นประจำ

“ไม่ยุติธรรมนี่หว่าเจ้าไก่ เล่นแนะนำเพื่อนสวยๆ ให้ซีวอนคนเดียวอย่างนี้ลำเอียงนี่นา ใช่มั้ยทงเฮ?”

“ครับพี่! นายไม่ยุติธรรมอ่ะอึนฮยอก ไม่ยุติธรรม!”

แม้คำพูดหาเรื่องพวกนั้นผมจะได้ยินมันบ่อยๆ และไม่ยากที่จะชวนทะเลาะเล่นๆ กลับไปเหมือนทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันกลับแปลกกว่าครั้งอื่นที่ผมยังตื้อจนคิดอะไรไม่ออก

พอจะรู้เหมือนกันจากที่เธอโทรมาเล่าความคืบหน้าให้ฟัง แต่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าผมจะได้เห็นภาพของทั้งสองคนตำตาเร็วขนาดนี้

นี่แต่ก่อนผมคงเป็นตัวภาระของซีวอนอยู่ตลอดเวลาเลยสินะ

แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวคิดสับสนไปมาอย่างนี้เช่นกัน เพราะทุกคนกำลังมองมาที่ผมที่ยังอ้ำๆ อึ้งๆ อย่างรอคอยคำตอบ โดยเฉพาะสายตาคมกริบสีดำสนิทของไอ้เจ้าชายที่มันไม่ได้บอกถึงความแปลกใจอยากรู้เหมือนทุกคน เพราะบางสิ่งบางอย่างที่สื่อออกมาตรงๆ ก็ส่งผลให้ใจผมกระตุกไปวูบหนึ่งก่อนที่ผมจะเผลอหลบตาไปอีกทาง และพยายามเค้นเสียงล้อๆ ให้มันออกมาให้ได้

“ก็พี่หล่อพี่สูงเท่าซีวอนมันรึเปล่าล่ะ ผมก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เพื่อนผมสิ ถ้าคบกับพี่หรือพวกตระกูลอีชาตินี้แชอึนคงไม่ได้ใส่รองเท้ามีส้นกันพอดี”

แค่นั้นแหละที่พี่เยซองจะจี๊ดขึ้นมา ก่อนจะหันไปสบตากับทงเฮแวบหนึ่งและผละมารวมหัวกันประทุษร้ายผมด้วยรอยยิ้มที่กระจายอยู่เต็มหน้า

“มันว่าพวกเราว่ะ งั้นรุมกันเลยทงเฮ!”

“ได้เลย! ซองมินมาช่วยกันเร็วๆ สิ มาถล่มเจ้าบ้าฮยอกแจกันเถอะ!”

“อย่านะ...ผมพูดอะไรผิดที่ไหนเล่า นอกจากจะเตี้ยกันแล้วยังอ้วนกันอีกด้วย อย่าทับลงมานะทงเฮ...ฉันอาจจะกระดูกหักได้เลยนะเว้ยเจ้าปลาตันๆ”

แต่คำเอ่ยห้ามของผมในขณะที่โดนคนสองคนกระโดดโถมทับลงมาพวกนี้ก็คงไม่ฟังกันหรอก เพราะยิ่งผมพูดไปหัวเราะไปเจ้าวายร้ายพวกนี้ก็ยิ่งขย่มๆ กลุ้มรุมลงมาบนตัวผมยังกะกำลังเล่นรักบี้กันอยู่ยังไงยังงั้นเลย

“ปากดีนักใช่มั้ย นี่แน่ะๆ ว่าแต่คนอื่นตัวเองก็เตี้ยเหมือนกันล่ะน่าอึนฮยอกกี้! แล้วอย่างฉันเรียกตันที่ไหน ต้องพูดว่าล่ำแมนแอนด์แฮนด์ซั่มตะหากเล่า นี่ๆ เอาเลยๆ ซองมินนี่ ทับลงไปเลย ชอบมาแบ่งแยกคนอื่นอย่างนี้ต้องให้รู้สำนึกซะบ้าง ฮะๆๆๆ ทับเลยๆ”

แล้วในตอนนี้ทั้งวงก็เปลี่ยนความสนใจมาที่พวกผมแทน ในขณะที่ส่วนใหญ่ส่งเสียงเชียร์โต้ไปมา ส่วนน้อยอย่างพี่ชายหน้าสวยก็ผละเข้ามาพยายามแยกพวกเราออกจากกัน และเสียงหัวเราะวุ่นวายของพวกเราก็ดังประสานกันไปมาอีกครั้งในขณะที่คนเดินผ่านไปมาก็หันมามองและก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความเคยชิน

แม้แต่แชอึนเองยังหัวเราะไปกับคนอื่นเค้าด้วยก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปพูดอะไรบางอย่างกับไอ้เจ้าชาย รอยยิ้มเจนตาถูกส่งลงไปให้สาวสวยในอ้อมแขนแล้วค่อยผละมามองผมด้วยใบหน้าที่รอยยิ้มนั้นกำลังค่อยๆ เลือนหายไป จนสถดท้ายก็กลายเป็นใบหน้าสงบราบเรียบที่จ้องตรงมาทางนี้แทน

แต่ก่อนถ้ามีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ไม่ต้องรอถึงมือพี่จองซูหรอก เพราะเจ้าลิงพวกนี้จะถูกยกออกจากตัวผมก่อนที่แขนใหญ่ๆ จะช้อนตัวผมยกขึ้นและวางท่าเป็นพระเอกมาดแมนเตรียมพร้อมปกป้องเต็มที่ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยชอบใจนักที่โดนมันหิ้วเอาไว้ด้วยมือเดียวได้ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่มีเวลาคิดอะไรแล้วเพราะต้องรวมพลังกับไอ้เจ้าชายต่อสู้กับเจ้าพวกวายร้ายต่อ จนสุดท้ายที่พวกเราที่เหนื่อยไปตามๆ กันก็จะแผ่หลาลงไปกับพื้นพรมและนอนหอบหายใจกันอย่างหมดแรงนั่นล่ะ

ในวันนั้นใบหน้าหล่อๆ เปื้อนเหงื่อนั้นจะหันมาทางผมและอวดลักยิ้มบุ๋มที่แก้มทั้งสองข้างให้ ก่อนมือใหญ่ๆ จะถูกยกมาเช็ดเหงื่อและปัดปอยผมที่มันตกระแก้มออกให้อย่างเบามือ น้ำเสียงนุ่มๆ ที่พูดกับผมในตอนนั้นก็ทำให้ผมคิดว่าไม่แปลกหรอกที่เจ้ายักษ์จะฮ็อตมากในหมู่ผู้หญิง

‘เหนื่อยมั้ย?’

แค่คำถามสั้นๆ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ที่แม้กระทั่งผู้ชายแท้ๆ อย่างผมยังหัวใจกระตุกและทำหน้าไม่ถูก แล้วนับประสาอะไรกับสาวๆ ล่ะ ที่ถ้าได้มาเห็นภาพนี้และได้ยินเสียงอย่างนี้ หัวใจก็คงละลายไปเป็นแถบๆ แล้ว แต่เพราะบ้านเราไม่ได้มีสาวๆ แต่กลับมีแต่ลิงแตกฝูงแทน ที่ทำให้เจ้าปลาน้อยที่ก็เหนื่อยพอกัน แต่พอได้ยินเสียงถามอย่างนั้นมันก็มีแรงฮึดจากความอิจฉามากซะจนพลิกกลับมาเล่นมวยปล้ำกับซีวอนเอาอีกรอบ

ผมเลยได้แต่นอนมองภาพนั้นและหัวเราะไปด้วย ก่อนจะนึกสนุกกลับเข้าไปวงต่อสู้นั้นอีกคน


อดีตที่มีความสุขมักจะผุดขึ้นมาเสมอในตอนที่เรากำลังมีความทุกข์ หนังสือซักเล่มเคยบอกผมไว้ว่าอย่างนั้น


งั้นตอนนี้ผมกำลังมีความทุกข์งั้นเหรอ?

ทุกข์ที่เห็นซีวอนให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าผมงั้นเหรอ?

ไม่สิ ตอนนี้ผมควรจะมีความสุขต่างหาก เพราะผมอยากให้มันเป็นอย่างนี้เองนี่ ตั้งแต่แนะนำแชอึนให้ซีวอน ผมอยากให้ผลมันออกมาเป็นอย่างนี้นี่นา ดังนั้นตอนนี้ผมน่าจะมีความสุขมากๆ ต่างหาก

มีความสุขมากๆ กับการที่เพื่อนคนสำคัญของผมจะได้มีความสุขกับเค้าซักที

แต่แทนที่จะรู้สึกอย่างนั้นแล้วเจ้าอาการเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวใจนี่มันคืออะไรล่ะ? ทำไมผมต้องรู้สึกอย่างนี้ทุกครั้งที่หางตาตวัดไปเห็นทั้งสองคนยืนคู่กัน ทำไมยิ่งเห็นถึงยิ่งเจ็บมากขึ้นล่ะ?

พอคิดอย่างนั้นผมก็ต้องหาเหตุผลให้ตัวเองเพื่อกลบความรู้สึกนี้ลงไปซะ คงเพราะอาจจะเป็นความเหงาล่ะมั้ง ความเหงาที่เพื่อนที่เคยสนิทที่สุดกำลังจะห่างผมออกไปแล้ว

ก็แค่เหงาเท่านั้นล่ะมั้งเนอะ...

ก็แค่เหงาเท่านั้น

...


...


วันนั้นทั้งวันผ่านไปด้วยความอึดอัด

หัวเราะ หยอกล้อ แกล้งกันไปมา

ทั้งที่บรรยากาศในวงมันก็เป็นเหมือนเดิมอย่างนั้น เหมือนอย่างก่อนที่ซีวอนและแชอึนจะเข้ามา แต่ทำไมความรู้สึกของผมมันกลับไม่เหมือนเดิม

ผมอึดอัด...อึดอัดจนอยากจะหายออกไปจากห้องนี้ ออกไปจากห้องที่ไม่ต้องเห็นภาพพวกนี้

อึดอัดที่ต้องหัวเราะทั้งๆ ที่หัวใจมันไม่ได้หัวเราะไปด้วย เพราะยิ่งไม่อยากให้ใครรู้ความรู้สึกผมตอนนี้ ผมเลยต้องยิ่งหัวเราะมากกว่าเดิม มากซะจนหลายๆ คนยังทักอย่างแปลกใจว่าผมคงจะมีความสุขจากจดหมายฉบับนั้นเอาจริงๆ

ที่ผ่านมาจะมีอยู่คนหนึ่งเสมอที่มักจะจับได้ว่าสิ่งที่ผมทำตอนนี้มันคือการโกหก แต่วันนี้คนๆ นั้นก็คงจะไม่รับรู้เหมือนทุกวันหรอก เพราะสายตาคู่นั้นมันไม่ได้จับจ้องมาที่ผมเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ไม่...อีกต่อไปแล้ว

“นายจะกลับเลยเหรอซีวอน ออกไปกินข้าวด้วยกันก่อนสิ เฮ้อ...เหนื่อยชะมัดเลยวันนี้ หิวก็หิวด้วยเนี่ย แชอึนก็ด้วยนะ ไปหาอะไรอร่อยๆ กินด้วยกัน”

เสียงนุ่มๆ ของพี่จองซูเอ่ยชักชวนทุกคนเหมือนเคยหลังการซ้อม ในขณะที่ต่างก็กำลังเก็บของกัน แต่สองคนที่ถูกเรียกก็สบตากันแวบหนึ่งก่อนที่ซีวอนจะหันมาปฏิเสธ

“ไม่ล่ะครับ นี่มันเย็นมากแล้ว ผมว่าจะไปส่งแชอึนที่บ้านก่อน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะครับ”

“ฮิ้วววววว ไปส่ง ‘บ้าน’ เนี่ย มัน ‘บ้าน’ ใครวะซีวอน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ทันนายน่า ฮ่าๆๆๆ นายเองก็อย่าไปรั้งน้องมันไว้เลยจองซู น้องมันก็คงอยากมีเวลากุ๊กกิ๊กกับแฟนตามลำ...”

“ผมจะพาแชอึนไปส่งที่บ้านของแชอึนตอนนี้ครับ!”

ยังไม่ทันที่เสียงล้อๆ แซวๆ จากพี่เยซองจะครบประโยคหรอก อยู่ดีๆ เสียงพูดลงน้ำหนักเข้มๆ (แบบสุภาพ) ก็ดังมาจากปากหยักๆ ของซีวอนแล้ว และผสมไปกับดวงตาสีดำคมกริบที่จ้องมองมาตรงๆ แค่นั้นก็ทำให้ปากของพี่อ้าค้างได้เหมือนกัน ก่อนจะค่อยๆ หุบกลับลงไปไม่ล้อต่ออีก เพราะท่าทางแบบนั้นบอกว่าไอ้เจ้าชายมันเอาจริงแน่!

‘ไอ้เจ้าชาย’ คือ ‘ไอ้เจ้าชาย’ ทุกคนต่างรู้ดี ด้วยหลายๆ อย่างที่มีของมันไม่แปลกหรอกที่ไม่จำเป็นต้องจีบแต่ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายเข้าหาก่อนแล้ว ทุกครั้งที่เจอมันกับเพื่อนสาวและเอ่ยแซวล้อหนักๆ ประมาณนี้ ไอ้เจ้าชายมันก็จะทำแค่ยิ้มนิดๆ ให้

ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ

ดังนั้นนี่จึงเป็นคนแรกที่ซีวอนออกโรงปกป้องเต็มที่ขนาดนี้ ท่าทางเอาจริงเอาจังจนทุกคนก็รู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นของซีวอน

ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ทั้งห้องก็เงียบกริบไปพักใหญ่ๆ เมื่อต่างก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

จนสุดท้ายคนที่คลายสถานการณ์ตอนนี้คือหญิงสาวสวยเพื่อนเก่าของผม ที่มองหน้าเอาจริงของซีวอนสลับกับหน้ายิ้มแหยๆ แบบทำอะไรไม่ถูกของพี่เยซองแล้วแชอึนก็ค่อยๆ แทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มนิดๆ

“เอ่อ...คือ...วันนี้คุณแม่ฉันตั้งใจว่าจะทำอาหารอร่อยๆ เลี้ยงขอบคุณซีวอนน่ะค่ะที่มาอุดหนุนที่ร้านบ่อยๆ เราเลยต้องรีบกลับกัน ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ก่อความยุ่งยากให้ คราวหน้าฉันคงไม่ยึดตัวซีวอนเอาไว้อย่างวันนี้อีกแล้ว แต่วันนี้ได้ดูการซ้อมของพวกคุณแล้วฉันประทับใจและทึ่งมากเลยค่ะ ทุกคนตั้งใจมากๆ สมกับเป็นมืออาชีพมากเลย ขอบคุณที่ให้ชมการซ้อมดีๆ อย่างนี้นะคะ”

เพราะนี่คือกลุ่มผู้ชายล้วน ดังนั้นได้เห็นหน้าหวานๆ พร้อมคำพูดชมยิ้มๆ แค่นี้ก็ดีใจกันตัวจะลอยแล้ว ทุกคนจึงได้แต่ยิ้มรับเขินๆ และบอกไม่เป็นไร จะมาดูอีกเมื่อไหร่ก็ได้ บรรยากาศอึดอัดเมื่อครู่จึงหายไปแทบจะทันที

สุดท้ายในขณะที่ซีวอนเก็บของเสร็จและสองคนนั้นกำลังจะออกไปด้วยกัน อยู่ๆ แชอึนก็ผละจากซีวอนเพื่อเดินมาทางผมที่ก้มหน้างุดทำท่าเช็ดหน้าเช็ดตาไม่สนใจใครอยู่เหมือนเดิม รอยยิ้มสว่างไสวที่เธอส่งมาให้ไม่แตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนเลยสักนิด

รอยยิ้มที่ผมเคยตกหลุมรัก

“ไปกินข้าวบ้านฉันมั้ย? คุณแม่ฉันถามถึงนายด้วยนะ บอกว่าเห็นนายทางทีวีแล้วก็คิดถึงเจ้าเด็กกุ้งแห้งที่เคยเดินมาส่งฉันที่บ้านตอนเด็กๆ น่ะ ไม่คิดว่าตอนนี้จะเท่ห์ขนาดนี้แล้ว อ้ะ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังไม่คิดว่านายเท่หรอกนะเจ้ากุ้งแห้งแม่ลูกอ่อนอีฮยอกแจ! แต่เพราะแม่ฉันอยากเจอนายน่ะ วันนี้คุณแม่ยังบอกให้ชวนนายมาด้วยจะทำของโปรดของนายเอาไว้เยอะๆ เลย นะๆ ไปกินข้าวบ้านฉันกันนะ ^ ^”

แรงเขย่าจากมือนุ่มๆ ที่แขนทำให้ผมชักจะทำอะไรไม่ถูก และเหมือนทุกๆ ครั้งที่เจอลูกอ้อนแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ทั้งที่ตอนนี้ถ้าทำได้ผมแทบอยากจะออกไปจากห้องซ้อมซะตอนนี้ และก็หาที่เงียบๆ อยู่ซักที่เพื่อระบายความอึดอัดที่มันสะสมตลอดบ่ายออกมาให้หมด

แต่ผมก็ไม่กล้าจะปฏิเสธออกไปแม้จะไม่อยากไปแค่ไหนก็ตาม ทำไมพระเจ้าไม่ประทานความกล้าให้ผมได้ซักครึ่งของพี่ฮีชอลบ้างนะ

และในขณะที่ผมก็ยังทำอะไรไม่ถูกท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา อยู่ๆ ไอ้เจ้าชายก็ยื่นมือมาคว้ามือนุ่มๆ ออกจากแขนผม สายตาสีดำสนิทที่เคยมองแต่ผมตอนนี้กำลังก้มลงไปสบกับดวงตาโตๆ ของแชอึนพร้อมกับยิ้มนิดๆ ให้

“ฮยอกแจมีอัดรายการวิทยุต่อจากนี้น่ะ ถ้าไปกินข้าวกับเราเดี๋ยวไปทำงานไม่ทันจะแย่ เอาไว้คราวหน้าดีกว่านะ”

“งั้นเหรอ แย่จัง งั้นคราวหน้านายต้องไปให้ได้นะ ฉันจะชวนเพื่อนเก่าๆ ของพวกเรามาด้วย ทุกคนบ่นคิดถึงนายทั้งนั้นเลยรู้มั้ย?”

แล้วผมก็ต้องยิ้มตอบรับคำพูดนั้นและยกมือโบกลาเธอที่ก็ยังโบกมาก่อนจะเดินลับหายไปจากห้องตามแรงจูงของซีวอน จนเมื่อสองคนนั้นออกไปได้ซักพักเท่านั้นล่ะพี่เยซองที่เงียบกริบมาตลอดถึงจะเริ่มหายใจหายคอได้บ้างและบ่นอุบเลยว่าเมื่อกี้ซีวอนทำหน้าน่ากลัวแค่ไหน แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็เอาสองคนนี้มาเป็นประเด็นว่าคนนี้ซีวอนน่าจะจริงจัง และมีการพนันกันด้วยว่าจะคบกันได้กี่เดือน ในขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนจ้องประตูห้องที่ทั้งสองคนออกไปค้างอยู่อย่างนั้น

หึ...อัดรายการวิทยุงั้นเหรอ

รายการนั้นมันมีที่ไหนกันล่ะวันนี้!

นี่ตกลงคนที่เคยไปนั่งรอผมประจำจำตารางงานผมไม่ได้ หรือเพราะเค้าไม่อยากให้ผมไปด้วยกันแน่ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบไหนก็ทำให้หัวใจมันเจ็บจี๊ดๆ ได้พอๆ กันนั่นล่ะ

ช่วงนี้ผมอ่อนแอเกินไปรึเปล่านะ แย่ๆ

สุดท้ายหลังจากนั้นทุกคนก็ออกไปกินข้าวด้วยกัน ในขณะที่ผมบอกขอตัวและขอซ้อมต่ออีกหน่อย หัวหน้าวงมองหน้าผมนิดหนึ่งแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร นอกจากบอกว่าอย่ากลับดึกมากแล้วกัน แล้วก็ให้กินข้าวด้วยก่อนจะนอน พอทุกคนออกไปได้ผมก็กลับเข้าไปในห้องซ้อมเต้นอีกครั้ง


ที่ของผม


ที่ๆ ผมจะสามารถระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอึดอัดออกมาได้


ที่ๆ ผมไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องพยายามหัวเราะเพื่อใครอีกต่อไป


แต่จะให้มานั่งหดหู่ร้องไห้มันก็ไม่ใช่ตัวผมเช่นกัน เพลงเปิดอัลบั้มใหม่ถูกเปิดไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ผมเต้นและเต้นด้วยพลังที่ใส่ลงไปเต็มที่


หยาดเหงื่อมากมายที่มันไหลออกมาจากร่างก็ไม่ต่างอะไรกับหยาดน้ำตาที่ระบายความเจ็บทุกอย่างออกมา


มองตัวเองที่เต้นไปด้วยเนื้อตัวที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อในภาพที่สะท้อนจากกระจกบานใหญ่ก็ทำให้ผมยิ้มสมใจนิดๆ ได้เหมือนกัน แค่นี้ก็คงไม่มีอะไรติดค้างในใจอีกแล้ว

นี่ล่ะวิธีการระบายออกของผม ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาด้วยการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ

จนสุดท้ายที่เหมือนอารมณ์ใกล้จะคงที่แล้ว และคิดว่าเต้นต่อไปอีกซักพักก็คงพอ อยู่ๆ ใบหน้าของใครบางคนข้างประตูที่สะท้อนอยู่ในกระจกก็ทำให้การทรงตัวในท่าที่จุดศูนย์ถ่วงอยู่นอกตัวอยู่แล้ว กอปรกับอาการตกใจของผมที่ไม่คิดว่าจะเห็นใบหน้านั้นก็ทำให้ตัวผมที่มันเอนๆ ไปข้างหลังก็เสียหลักและล้มลงกระแทกพื้นอย่างไม่ทันรู้ตัว


โครม!!!


“โอ้ย!”


พร้อมๆ กับที่หัวสัมผัสพื้นผมก็รู้สึกได้ถึงอาการเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า ในขณะที่เหมือนๆ จะได้ยินเสียงทุ้มๆ ที่ไม่น่าจะได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อผมอีกแล้วดังแทรกขึ้นมาในห้องซ้อมตอนนี้


“ฮยอกแจ!”


ถัดจากเสียงนั้นและการพยายามกลั้นใจลืมตาขึ้นมาได้ผมก็เห็นใบหน้าหล่อๆ ของไอ้เจ้าชายอยู่ตรงหน้า มือใหญ่ทั้งคู่วางเสื้อแจ็คเก๊ตที่คงลืมเอาไว้ไว้ข้างตัวเพื่อใช้มันมาจับข้อเท้าผมพลิกดู

รอยแดงเรื่อที่มันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทำให้เหงื่อของคนตรงหน้าผุดออกมามากกว่าเหงื่อผมซะอีก

“อย่าเพิ่งขยับนะ อยู่นิ่งๆ ก่อน ท่าทางคงเคล็ดนิดหน่อย ฉันจะจับข้อเท้าให้ก่อน นายทนไหวมั้ย?”

ถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองผมที่มองนิ่งๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อดวงตาของเราประสานกันซีวอนก็ชะงักไปอึดใจก่อนจะหลบสายตาลงมองข้อเท้าผมแทน

แปลกมั้ยถ้าจะบอกว่าตอนนี้ผมไม่ค่อยจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่ แม้แต่หูตัวเองด้วย

ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพที่เห็นตรงหน้าและสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง

ซีวอนยังใจดีกับผม ยังดูแลผม ยังพูดกับผมเหมือนเดิมทั้งๆ ที่ผมทำเรื่องร้ายกาจเอาไว้ขนาดนั้น

หรือบางทีไอ้เจ้าชายอาจจะรู้ใจตัวเองแล้วก็ได้ ตอนนี้อาจจะอยากขอบคุณที่ผมแนะนำเพื่อนสวยๆ นิสัยดีๆ ให้ก็ได้

ต้องเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง...ต้องเป็นอย่างนั้น

แล้วหลังจากที่ผมตอบรับไปว่าจัดการได้เลย ผมก็ต้องกัดฟันแน่นและหันหนีไปทางอื่นเมื่อมือใหญ่ๆ นั้นเตรียมจะจับข้อเท้าให้ ความเจ็บแปล๊บผุดขึ้นมานิดหนึ่งแต่มันก็มากพอที่จะทำผมน้ำตาซึมได้ ยังไม่ทันที่จะรีบเช็ดน้ำตาที่หางตาทิ้งและจะเอ่ยขอบคุณ มือคู่นั้นก็วางเท้าของผมเอาไว้บนพื้นก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงสวบสาบของการขยับตัวและลุกขึ้นจากพื้น

“คือ...พอดี...แชอึนรอฉันอยู่ข้างล่างน่ะ เดี๋ยวยังไงฉันไปบอกพี่จองซูให้พานายไปหาหมอนะ นายนั่งรอที่นี่ก่อนคนเดียวได้ใช่มั้ย?”

คำถามนั้นทำให้คำพูดมากมายที่เตรียมจะปรับความเข้าใจกับคนตรงหน้ามันจุกอยู่ที่คอ และก็ต้องเปลี่ยนเป็นตอบรับคำพูดนั้นด้วยการพยักหน้าเบาๆ ทั้งที่ยังก้มจ้องพื้นอยู่อย่างนั้น คนที่ถามก็มีท่าทีลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายซีวอนก็เลือกที่จะทิ้งผมเอาไว้และเดินออกจากห้องไป...ทิ้งให้ผมรับรู้ความจริงบางอย่างที่มันชัดเจนขึ้นมาในใจ


ผมไม่ได้เป็นที่หนึ่งสำหรับซีวอนอีกต่อไปแล้ว


ไม่นานนักจากนั้นหัวหน้าวงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พี่ชายคนสวยถามไถ่อาการผมด้วยท่าทางที่ดูแย่ยิ่งกว่าคนป่วยอย่างผมเสียอีก ผมก็ได้แต่ยิ้มนิดๆ และบอกว่าไม่เจ็บมาก ไม่ต้องห่วง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นค่อยๆ อ้าปากค้างเมื่อเจอว่าใครเดินตามหลังพี่ชายเข้ามาด้วย

ยังไม่ทันที่ผมจะได้หาเสียงตัวเองเจอพอจะถามหรอก มือใหญ่ๆ แขนใหญ่ๆ ก็ยกตัวผมขึ้นไปขี่บนแผ่นหลังกว้างๆ ใหญ่ๆ ไม่ต่างกับหมียักษ์นั่นแล้ว ก้าวย่างที่มั่นคงทั้งๆ ที่มีผมเกาะอยู่บนหลังทำให้ผมต้องกอดรัดคอแกร่งๆ นั้นแน่นพร้อมซบใบหน้าที่เปียกชื้นลงกับแผ่นหลังที่คอยปกป้องพวกเราอยู่เสมอ

“อะไรเนี่ยๆ ไม่เจอกันตั้งนานเจ้าไก่น้อยก็ยังขี้แยอยู่เรอะ ไม่รู้จักโตซักทีแล้วอย่างนี้ฉันจะไว้ใจให้พวกนายอยู่กันได้ยังไงฮึ”

“ผมเปล่านะ...ฮึก...ผม...ผมแค่เจ็บที่ข้อเท้าต่างหากเล่า ใครเค้าจะร้องไห้ที่ได้เจอพี่กัน ไม่เจอกันตั้งนานนิสัยหลงตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปเล้ย! ...ฮึก...”

“ฮ่าๆ ได้ๆ ไม่ได้ร้องเพราะคิดถึงพี่ชายคนนี้ก็ได้ ฉันหลงตัวเองไปคนเดียวก็ได้ เห็นแก่ที่นายเป็นคนเจ็บหรอกนะงั้นวันนี้ฉันจะยอมให้ก่อนซักวันก็ได้ เอ้า! จับดีๆ สิ อยากตกลงไปเป็นไก่คลุกฝุ่นรึไง”

คำพูดนั้นทำให้ผมแกล้งรัดคอหนาๆ นั้นแน่นขึ้นจนเจ้าของแผ่นหลังนี้ร้องโอดโอยและทำท่าจะปล่อยผมลงไปบนพื้นจริงๆ พี่จองซูเลยต้องรีบเข้ามาช่วยผมพร้อมๆ กับขู่คาดโทษเจ้าพี่หมียักษ์ไปด้วยว่าถ้าปล่อยผมตกลงไปเป็นเรื่องแน่ แต่เจ้าพี่คนนี้ก็ไม่ได้คิดจะทำตามหรอก เพราะก็เดินไปหัวเราะไปและแกล้งผมไปตลอดทาง

แต่ก่อนผมก็เคยทำอย่างนี้ เวลาที่ขี้เกียจเดินหรือไม่ก็ซ้อมจนเหนื่อย ผมจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจเมื่ออยู่ต่อหน้าใครซักคนหนึ่ง และผมก็รู้สำหรับว่าคนๆ นั้นเค้าไม่เคยจะปฏิเสธผม แขนใหญ่ๆ นั้นจะอ้อมมารัดใต้เข่าผมที่เกาะอยู่บนแผ่นหลังกว้างๆ กันตก คนชอบกวนประสาทคนนั้นจะบ่นและแกล้งผมนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็จะจบลงด้วยคำพูดที่ว่า

‘กินอะไรดี?’

ผมในตอนนั้นก็แกล้งลูบหัวมันเล่นเอาคืนบ้างที่มันชอบลูบหัวผม (เพราะปกติลูบไม่ถึง) และก็จะตะโกนออกมาด้วยความหิวเต็มที่

‘หมูย่างๆๆ ไปกินหมูย่างกันเถอะ หมูย่างๆๆๆ’

และเสียงตอบรับคำพูดของผมคือเสียงพูดแกมบ่นพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ ของไอ้เจ้าชาย

อดีตอันมีความสุขที่คงไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้ว



...


...


ออกจากบริษัทได้พี่ก็พาผมไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คกระดูก คุณหมอบอกว่าแค่เคล็ดนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก พักซักสามสี่วันก็จะเริ่มกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม หลังจากนั้นผมก็ไปกินข้าวกับพี่ทั้งสองคนจนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว สารถีที่ทั้งขับและจ่ายตังค์เลี้ยงข้าวก็กำลังจะกลับเหมือนกัน หลังจากที่ฝากบอกผมให้เงียบไว้เรื่องที่เจอพี่เพราะไม่งั้นน้องๆ คนอื่นๆ คงบ่นจนหูชาแน่ว่ามีผมได้เจอแค่คนเดียว

โบกมือลารถคันสวยนั้นผมก็เกาะไหล่หัวหน้าวงเดินเขยกๆ ไปขึ้นลิฟต์กลับบ้านที่ทุกคนรอฟังข่าวอยู่แล้ว พอเห็นผมมาพร้อมไม้เท้าทุกคนก็เข้ามารุมถามอาการ (และแกล้งด้วยถ้าทำได้) จนดึกมากๆ นั่นแหละถึงแยกย้ายกันเข้าห้องตัวเอง แต่ก่อนที่ผมจะกลับห้องบ้างเรียวอุคก็ยื่นซองจดหมายปึกนึงพร้อมโถสตรอเบอร์รี่เชื่อมที่เหลืออยู่แค่ครึ่งโถส่งให้

“ส่วนของพี่น่ะ ผมแยกไว้ให้ตั้งแต่ตอนค่ำ แต่สตรอเบอร์รี่ที่หายไปไม่ใช่ฝีมือผมนะ ตอนที่พี่ทงเฮเอามาให้และทำท่าเหมือนจะเคี้ยวอะไรไปด้วยมันก็เหลือแค่นี้แล้ว งั้นผมเอาส่วนที่เหลือไปให้คนอื่นก่อนนะ”

ผมยิ้มรับเสียงบอกใสๆ ของน้องและเอ่ยขอบคุณก่อนจะรับกระดาษปึกนั้นพร้อมโถสตรอเบอรร์รี่มาด้วยหัวใจที่หนักอึ้งปนกลัวนิดๆ

ไม่มีวันไหนเลยที่จดหมายพวกนั้นจะไม่ถูกส่งมาช่วงนี้

เปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปผมก็วางทุกอย่างลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบจดหมายมาเปิดดูทีละฉบับด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก กระดาษโดยส่วนมากที่อ่านจะถูกเก็บลงไปในกล่องที่ผมเตรียมไว้แล้ว ถ้ามันเต็มเมื่อไหร่ค่อยเอาไปเก็บที่บ้าน เปิดดูเรื่อยๆ จนมาถึงซองสุดท้ายผมก็ค่อนข้างโล่งใจมากพอควร

วันนี้คงไม่มีล่ะมั้ง นั่งเขียนนั่งพิมพ์ทุกวันๆ ก็คงเหนื่อยเป็นกันบ้างเหมือนกันล่ะน่า คนเราก็ต้องมีธุระปะปังกันบ้าง คงไม่มีใครว่างขนาดมาส่งจดหมายให้ผมถึงหน้าบ้านได้ทุกวันหรอก

ดังนั้นวันนี้ก็กำลังจะจบลงด้วยดีอยู่แล้ว ด้วยกำลังใจมากมายจากแฟนๆ ที่ส่งมาให้ แต่สุดท้ายแล้วหน้ายิ้มๆ คงผมมันคงค่อยๆ เลือนหายเมื่ออ่านเจอประโยคแค่ไม่กี่ประโยคบนกระดาษสีขาวสะอาด

เท่าที่จำได้คือผมจ้องกระดาษแผ่นนั้นอยู่นิ่งๆ ไปพักใหญ่ๆ ก่อนลมหายใจเหยียดยาวจะค่อยๆ ถูกผ่อนออกมา พร้อมๆ กับที่จะลดมือที่ถือกระดาษลงด้วยดวงตาที่เริ่มพร่าเพราะหยาดน้ำอุ่นๆ ที่มันเริ่มรื้นขึ้นมา

สุดท้ายที่อยู่ของกระดาษแผ่นนี้มันก็ไม่ได้ไปอยู่ในกล่องเหมือนแผ่นก่อนหน้านี้หรอก เพราะมันก็ตามไปอยู่รวมกับเพื่อนๆ มันในถังขยะข้างโต๊ะเหมือนเดิม ในสภาพเดิม เพราะมือผมอ่อนแรงจนเกินกว่าจะขยำมัน


'อีฮยอกแจคนขี้เหร่~ คนขี้เหร่ห่วยแตกที่ชอบสร้างภาพเป็นคนดี ~ เลิกได้แล้วนะ ~ เลิกได้แล้วนะ ~ ไม่งั้นพวกเราจะประจานนายเอง!'


ผมไปทำอะไรให้พวกเธอเกลียดได้ขนาดนี้กันนะ?






โปรดติดตามตอนต่อไป






ครั้งแรกที่ได้ลงท้ายอย่างนี้ในเรื่องสั้นชุดนี้
ดูๆ ไปก็แปลกตาดีเหมือนกันเนอะ แต่ถ้าลงทีเดียวมันก็ยาวจริงๆ จังๆ อ่านทีปวดตาแน่เลยขอตัดครึ่งแล้วกันนะคะ^ ^



Create Date : 13 สิงหาคม 2553
Last Update : 15 สิงหาคม 2553 23:52:44 น. 5 comments
Counter : 236 Pageviews.

 
มาแบบไร้สุ่มเสียง..แต่ยังคงรออย่างมีความหวังเสมอค่ะ^ ^
ได้อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอึดอัดใจมากค่ะ
เหมือนเวลาเรามีความทุกข์แล้วทุกอย่างมันรุมเร้าไปหมด
อดคิดไม่ได้ว่าคนที่ฆ่าตัวตายอาจจะเคยจอปัญหาแบบ
ฮยอกแจหรือเปล่าที่ต้องเจอจดหมายแบบนั้นและเอาแต่
เก็บกดแบกรับความรู้สึกนั้นอยู่คนเดียว มันน่าเศร้ามากเลยไม่ใช่หรือ? อยากให้คนเหล่านั้นได้ระบายออกมา ได้พูดออกมา ได้คำปรึกษา ได้กำลังใจแก้ปัญหา คนเหล่านี้
น่าสงสาร(นอกเรื่องไปไกลเลย)
กลับมาที่เนื่อเรื่องค่ะ ฝีมือยังคงดีเช่นเคย ดึงอารมณ์ได้
ต่อเนื่องเรียกก้อนสะอื้นให้มาจุกที่คอ และหยาดน้ำตาคลอเบ้าทีเดียว(ไม่กล้าให้ไหลอายคนในออฟฟิศค่ะ)
เชื่อมั้ยคะ?คนอ่านรู้สึกอย่างมากเช่นเดียวกับฮยอกแจ
ทำไม ฮยอกแจทำอะไรให้คุณเกลียดได้ขนาดนั้นเลยเหรอนั่นซิ ทำไม เพราะอะไร และใครกันที่ทำอย่างนั้น
เพื่ออะไร ความมานะ ขยันขันแข็งในการส่งมาทุกวันน่าจะไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์มากกว่านั้นซิ คนเหล่านี้ก็น่าสงสารอีกเช่นกัน ถูกครอบงำด้วยความคิดที่ไม่ดี
อ่านไป อินไป และก็ทำให้รู้สึกว่าชีวิตฉันนี่โชคดีจริงๆ ไม่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ชีวิตนี้ก็มีความสุขแล้ว
ทำให้คิดได้เลยว่าจะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับเราแค่นั้นเอง
ถ้าฮยอกแจสามารถทำได้ ความสุขก็จะอยู่กับฮยอกแจ
หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นค่ะ

ขอบคุณสำหรับตอนนี้นะคะไม่รู้ว่า ใครอ่านแล้วได้อะไรไปบ้างแต่เราอ่าน
แล้วได้หลายๆ แง่มุมเสมอ นั่นทำให้ยังคงรออ่านผลงานของคุณเรียวชินต่อไปค่ะ


โดย: ooysl45 IP: 118.172.175.173 วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:16:46:37 น.  

 
ููขอบคุณมากๆ เช่นกัน สำหรับคอมเม้นท์ที่ทำให้หัวใจพองโตค่า ^ ^
ว่าจะตอบนานแล้ว ตั้งแต่เห็นแรกๆ แต่เพราะอยากตอบดีๆ เลยว่าหายยุ่งก่อนค่อยมาตอบ
แต่เท่าที่ดูตอนนี้แล้ว วันนั้นคงยังมาไม่ถึงในเวลาอันใกล้นี้ ดังนั้นน่าจะชิงตอบก่อนดีกว่า - -*

ยังเป็นคอมเม้นท์ที่จับอารมณ์เรื่องได้ดีทุกครั้งเลยค่ะ ดีเกินไปด้วยซ้ำ
ไม่ได้กะให้มันเศร้าขนาดนั้นน้า T^T กะเอาแบบซึ้งๆ ปนซ่อนความฮาเฮไว้หน่อยน่ะค่ะ
(แต่ถึงงั้นประโยคที่คนอ่านบอกว่ากลั้นน้ำตานี่เรากลับยิ้มหน้าบานเลยค่ะ หรือจริงๆ ชอบอะไรอย่างนี้ - -*)

อีกอย่างที่อยากขอโทษคือเรื่องของการมาต่อช้าคะ ต้องขอโทษจริงๆ
เพราะฟิคสั้นเรื่องนี้จะแต่งเมื่อพล็อตและอารมณ์มา มันเลยค่อนข้างนานหน่อย
แต่ถ้ามาเมื่อไหร่อย่างน้อยก็จะรีบร่างไว้ทันที
ถึงอย่างนั้นแล้วคุณ ooysl45 ก็ยังเข้ามาเม้นให้อย่างรวดเร็วทันใจมาก ต้องขอขอบคุณจริงๆนะคะ
อย่างน้อยรู้สึกว่ายังมีคนจำเรื่องนี้ได้ และติดตามแบบนี้ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ^ ^

จริงๆ ตอนต่อแต่งเสร็จแล้ว เสร็จทั้งตอนนั่นล่ะค่ะ
แต่เพราะเรากำลังไล่วางในบ้านบีลีฟอยู่ เลยกะว่าจะปล่อยตอนจบทีเดียวทุกบ้านเลยดีกว่า

ไม่เกินสัปดาห์ได้เจอกันอีกทีแน่นอนค่ะ เจอกันอีกทีตอนนั้น และขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งค่ะ ^ ^


โดย: ryoshin วันที่: 23 สิงหาคม 2553 เวลา:23:18:00 น.  

 
ปล. ลืมบอก เม้นง่ายขึ้นใช่มั้ยเอ่ย จุ๊ๆ ไว้ว่าเพราะเราลบกันก็อปออกน่ะค่ะ code ตัวนี้มีผลทำให้กดกล่องคอมเม้นท์ยากลำบาก และเพราะลางสังหรณ์บอกว่าต้องมีคนๆ เดิมตามมาให้กำลังใจเราในนี้แน่ๆ เลยลบออกรอล่วงหน้าเลยค่ะ คราวนี้จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวนั่งพิมพ์ไว้หรือนั่งรีเฟรชซ้ำๆ แล้วค่า ^ ^


โดย: ryoshin วันที่: 23 สิงหาคม 2553 เวลา:23:20:42 น.  

 
เรื่องเวลาไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ เรื่องนี้เข้าใจค่ะ
อย่างเคยอ่านบางเรื่อง(ของท่านอื่นนะคะ)
บางทีมันก็นึกไม่ออกว่าจะคอมเม้นท์อะไร
เคยเป็นเหมือนกันค่ะ ดังนั้นรอได้เสมอค่ะ
ขอแค่คุณ ryoshin ยังคงสรรสร้างผลงานออกมา
พร้อมจะรอแน่นอนค่ะ ^ ^

ส่วนเรื่องที่คนอ่านอินเกินเหตุ55+
บางทีแค่บางคำมันก็โดนใจไปเต็มๆ ค่ะ
ต้องยกให้ผู้แต่งที่เลือกใช้คำในสถานการณ์ต่างๆได้ดีเกินไป
สถานการณ์ต่างๆ ต่อเนื่อง และเหมาะเจาะกับความรู้สึกของตัวละครนั่นทำให้เรื่องราวลื่นไหล และคนอ่านตกหลุมรักเรื่องนี้เข้าไปอย่างจังค่ะ

แล้วจะรอตอนต่อไปค่ะ
ส่วนเรื่องกันก็อปไม่ต้องเอาออกก็ได้ค่ะ จะพยายามเม้นท์ให้ได้แน่นอนค่ะ

ไม่อยากให้ผลงานดีๆ ที่ผู้แต่งกลั่นกรองและตั้งใจสรรสร้างออกมา ต้องถูกขโมยไปค่ะ ^ ^


โดย: ooysl45 IP: 118.172.179.19 วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:19:14:23 น.  

 
ขอตอบในส่วนของ code ค่า
(เพราะถ้าตอบในส่วนของความเร็วในการต่อก็ยังมิสามารถให้คำยืนยันได้แหงม T^T)

คิดไปคิดมาก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะเรื่องนี้วางในสองบอร์ดก็ไม่ได้มี code อยู่แล้ว
และถ้าเค้าจะเอาไปจริงๆ ก็ไม่อะไรหรอกมั้งคะ กลัวจนเลิกกลัว จนตอนนี้กลายเป็นคาดหวังแล้ว
ประมาณทำไมยังไม่มีใครลอกเราซักที ตอนนี้เลยคิดมากประมาณนี้แหละค่ะ - -*
งานเราก็คืองานเรา ถึงจะอยู่ไหน ขึ้นว่าใครแต่งมันก็ยังเป็นงานเราอยุ่ดี
ถ้าคิดในอีกแง่คือเค้าชอบมากจนเอาไปลอกนั่นล่ะค่ะ ก็น่าภูมิใจเหมือนกันเน้อ
อย่างที่บอก กลัวมานานจนกลายเป็นรอคอยไปแล้วค่ะ ^ ^


โดย: ryoshin วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:21:23:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ryoshin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ryoshin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.