คนกรุงเทพ อาจต้อง ใส่หน้ากากกันมลพิษ กันแล้ว เพราะนโยบายพื้นที่สี (ไม่) เขียว (จริง) จากภาครัฐ
ที่พึ่งสุดท้ายของชาวกทม. ก็คือ หน้ากากกันมลพิษอย่าค้าเกินราคาแล้วกัน น่ะ!! จะบอกให้
เนื้อหาจากรายการ สยามสาระพา ตอน ความหวังพื้นที่สีเขียวใน กทม ทางช่องเนชั่นแชนแนล คลิปภาพและเนื้อหา จะอยู่ท้ายบทความครับ ส่วนภาพประกอลเล่าเรื่อง จากอินเตอร์เน็ตครับ มีอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการที่คร่ำหวอดกับสิ่งก่อสร้างและสิ่งแวดล้อม มาให้ข้อคิดว่า กทม.เรา ควรจะเดินไปทิศทางใดเพื่อความสุขอย่างยั่งยืนของประชาชน วิทยากร ในรายการที่เป็นนักวิชาการ 2 ท่าน คือ อ.ชญา ปัญญาสุข นายกสมาคมภูมิสถาปนิก ประเทศไทย และ อ.ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูสอุปนายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
รายการ สยามสาระพา ตอน ความหวังพื้นที่สีเขียวในกทม ทางช่องเนชั่นแชนแนล
คนกรุงเทพฯจะอยู่กันอย่างไรดี ถ้าไปไหน ต้องใส่หน้ากากกันแล้ว ในขณะที่มหานครอื่นๆ ในโลกเค้าคำนึงความสุขประชาชนมาก่อน เป็นลำดับต้นๆ
จะหาความสุขจากที่ไหน ในเมื่อในกรุงเทพฯมีแต่มลพิษพื้นที่สีเขียว มีต่ำกว่ามาตรฐานโลก แล้วมาตรฐานชีวิตในเมืองมลพิษประชาชนจะป่วยกันขนาดไหน ค่ารักษาพยาบาล ที่จะต้องจ่ายกันอีกเท่าไหร่มีใครรับรู้บ้าง ในหลายปัญหาต่างๆ จะเห็นได้ว่า ผู้นำบ้านเรา ไม่ได้มองความยั่งยืนความสุขของคนกรุงเทพฯเลย เพราะพื้นที่สีเขียว มันมีน้อยอยู่แล้วตอนนี้ในหลายโครงการ จะมีการนำพื้นที่สีเขียว ไปตัดเป็นทางด่วนบ้างไปทำโครงการคอมเพล็กซ์ต่างๆ ซึ่งคอมเพล็กซ์ ใน กทม. มันมีมากอยู่แล้วจนเกือบล้นแล้ว แทนที่จะสร้างเสริมความสุขให้คนส่วนใหญ่ มาลำดับต้นๆ แบบยั่งยืนขนาดสิงคโปร์ เค้าจำนวนประชากรต่อพื้นที่หนาแน่นกว่าเราเค้ายังสร้างพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่องกันเลย บ้านเราจะทำลายพื้นที่สีเขียวมันแปลกอีกแล้ว กับนักการเมืองไทย ที่บอกรักประชาชนอย่างเราจริงๆ
มีแต่ภาคประชาชนเท่านั้นครับในตอนนี้ที่ต่อสูเพื่อให้ได้มาพื้นที่สีเขียว พวกเราต้องร่วมมือกัน ขยายเครือข่ายภาคประชาชนครับ
องค์กร ภาคประชาสังคมที่ให้ข้อมูลที่เป็นสาระ มีประโยชน์กับสังคม ใน Social Media และเว็บไซต์ต่างๆ อย่าปล่อยให้องค์กรเหล่านี้ต่อสู้เพียงเดียวดายครับ โปรดช่วยกัน เผยแพร่ ข้อมูลเช่นนี้กันครับเพื่อเมืองของเรา
อัตราส่วนพื้นที่สีเขียวต่อคนใน กทม. อ้างอิง มูลนิธิโลกสีเขียว//www.greenworld.or.th/greenworld/local/2025 หากการมีพื้นที่สีเขียว ส่วนหนึ่งหมายถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีลองมาดูกันว่าคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ เป็นอย่างไร ข้อมูล ณ ปี 2553 จากเว็บไซต์สำนักงานสวนสาธารณะสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ระบุว่า กทม. มีประชากรตามทะเบียน 5,702,595 คนมีพื้นที่สีเขียว 23,378,480.64 ตารางเมตร เมื่อเทียบแล้ว อัตราส่วนพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากร กทม.เท่ากับ 4.09 ตารางเมตร/คน ตัวเลข 4.09 มากหรือน้อย... องค์การอนามัยโลก (WHO) เสนอเกณฑ์ด้านพื้นที่สีเขียวว่าอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 9 ตารางเมตร/คน นั่นหมายถึงคุณภาพชีวิตคน กทม. ตกเกณฑ์องค์การอนามัยโลกมากกว่าเท่าตัว
เกาะกลางถนนในเขตจอมทองซึ่งเป็นเขตที่ติดอันดับ1 ใน 5 เขตที่มีพื้นที่สีเขียวน้อยที่สุด อ้างอิง มูลนิธิโลกสีเขียว//www.greenworld.or.th/greenworld/local/2025
วิธีเพิ่มที่ดินสีเขียวเช่น กรมธนารักษ์ ราชพัสดุ มีพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หรือการบริหารจัดการร่วมกับเอกชนที่มีที่ดินในย่านต่างๆ (ต้องมีกลยุทธ์ ในเชิงบูรณาการต่างๆเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด) แผนที่ google ริมน้ำเจ้าพระยาเกิด Landmark มากมาย
พื้นที่เหลือเฟือมีมากมายริมน้ำเจ้าพระยา รอท่านที่มีวิสัยทัศน์ ท่านใดบ้าง จะเริ่มบุกกันครับ
คนกรุงเทพแสนจะอาภัพ มีที่ติดริมน้ำเจ้าพระยาประมาณหลายสิบกิโลเมตรแต่ไม่ค่อยได้มองเห็นสิ่งดี ที่ตัวเองมี จะมองเห็นเจ้าพระยากันก็ช่วงนั่งรถเมล์รถแท็กซี่ข้ามสะพาน มันแปลกอีกแล้วครับคนกรุงเทพ เจ้าขา!!
คนกรุงเทพฯ แท้ๆ จะทราบกันมั้ยครับว่า มีสถานที่สวยๆริมน้ำเจ้าพระยา อย่างมหาศาล ตามลิ้งก์ จากท่าเรือสาทร ถึง ท่าเตียนไม่น่าแปลกใจครับว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงชอบนั่งเรือกันครับ //www.oknation.net/blog/tourrattanakosin/2011/07/14/entry-2
ถ้าเราบริหารจัดการกันดีๆ กับพื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยา สวนสีเขียวความร่มรื่นก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลเลยครับ
มองเรา มองเพื่อนบ้านเราบ้างครับ เรื่องส่งเสริมเมืองสีเขียวเค้าเป็นอย่างไรบ้าง สิงคโปร์ มาเลเซีย มีกฎหมาย สร้างพื้นที่สีเขียว อย่างเข้มงวดและจริงจัง ของไทย ยัง ล้าหลัง กว่าเค้ามากมาย ไม่ทราบว่าเขียนตรงๆแบบนี้จะยอมรับกันได้หรือเปล่า ...ถ้าไม่เข้าหูก็ขออภัยด้วยน่ะครับ
มาเลเซีย เมืองสีเขียวตัดไม้ใหญ่ซักต้น จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเค้าส่งเสริมอนุรักษ์คุณค่าของต้นไม้ เครดิตภาพ อ้างอิงลิ้งก์ //tjinnovation.com/Section.php?cat=53&id=624
พวกเราประชาชน ควรจะรวมกลุ่มกันอย่างจริงจัง เพราะ เมืองที่จะน่าอยู่เป็นเมืองของเราเราอยากให้เมืองเราน่าอยู่อย่างไร เราก็อย่ารอนักการเมืองคนใดมาช่วยครับเพราะคงจะยากมากแล้ว ในสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ สรุปคือ ภาคประชาชนต้องทำงานเชิงรุกกันเองแล้วครับ ส่วนหน่วยงานการเมือง หน่วยงานรัฐ เค้าจะจริงใจแค่ไหนเราพิจารณากันเองครับ (แต่อย่ารอใครครับ เพราะผลงานที่ผ่านมา มันฟ้องถึงความจริงใจว่ามีอยู่จริงแค่ไหน???) ปัญหาใหญ่ที่เป็นปัญหาจริงๆ ไม่ใช่นักการเมืองไทยอย่างเดียวแต่อยู่ที่เราทุกคน ไปเลือกนักการเมืองเหล่านี้มาบริหาร ถามหาความจริงใจปัญหาใหญ่ จึงยังแก้ไขไม่ได้
ปัญหาบ้านเราที่ท่านวิทยากร พูดในคลิป ผมเห็นว่าน่าจะ Serious มากเลยอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การบริการสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ซึ่งแยกกันทำงานจนน่าเวียนหัวมากมายเลยครับ ทั่วโลกเค้า One Stop Service กันหมดแล้วแต่บ้านเรายัง แบ่งแยก แล้วบริหาร ซึ่งมันไม่น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเลยครับ...(ขอบ่นนิดครับอย่างไรก็แล้วแต่ครับ ความจริงใจในการแก้ปัญหาแบบตรงไปตรงมาของผู้มีอำนาจในบ้านเรา มันน่าเคลือบแคลงจริงๆ ครับ เพราะถ้าระบบมันไม่ทันสมัยมันก็น่าจะปรับปรุงกันเสียที ไม่ดีกว่าหรือ???)
ภาพเล่าเรื่อง การประสานงานที่ดูไม่ลื่นไหล ของหน่วยงานต่างๆจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงาน กทม. ดังคำกล่าวของบางคนที่ว่า หน่วยนี้มาก็ขุดหน่วยนั้นมาทีหลัง ก็ขุดกันอีก ทำไมไม่ทำอะไรพร้อมๆ กันไปทีเดียวเลย ข้อความนี้ผมไม่ได้พูดเองน่ะครับ หลายท่านที่ประสบปัญหาดังกล่าว ก็บ่นกันจนเป็นที่รับรู้กันทั้งเมืองครับ.... เจ้าของพื้นที่ คือ กรุงเทพมหานคร ก็จริงอยู่แต่มีหลายหน่วยงานที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ ในการวางโครงข่ายต่างๆเช่นการไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง องค์การโทรศัพท์ ฯลฯ บางท่านบอกว่าต้นไม้ในกรุงเทพมหานคร ตัดได้น่าเกลียดติดอันดับโลก ก็เพราะหน่วยงานที่ตัดต้นไม้ บางครั้งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดูแลต้นไม้โดยตรงของกทม. แต่เป็นหน่วยงานอื่น นอกสังกัด กทม. เป็นคนตัด เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน เพราะต้นไม้ สร้างบรรยากาศ ให้เมืองร่มรื่น สวยงาม น่าชมน่าเดิน แล้วการประสานงานบ้านเรา มันดี หรือไม่ดีอย่างไร ทุกท่านก็โปรดพิจารณากันเองครับส่วนผมเห็นว่า มันน่าจะปรับเปลี่ยนเข้ากับยุคสมัยได้แล้ว เพื่อลดขั้นตอนต่างๆรวมทั้งสิ้นเปลืองงบประมาณ ในด้านการซ้ำซ้อนของงาน หลายประเทศอย่างที่กล่าวมาครับเค้า One Stop Service กันหมดแล้ว ไม่ยุ่งยากมากมายอะไรเลย การจัดการระบบต่างๆ ในเมืองใหญ่ๆ เช่นสิงคโปร์ เค้า One Stop Service ไปที่เดียว งานเรียบร้อย แต่บ้านเรา แยกส่วนกันบริหารทำให้การประสานเกิดปัญหาอย่างมากมาย ดังเช่นในปัจจุบัน และสิ้นเปลืองงบประมาณทรัพยากร ไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่น่าเชื่ออีกแล้ว ที่รู้ปัญหากันทั้งประเทศแต่หาคนมาแก้ไขไม่ได้เลย นับสิบๆ ปีที่ผ่านมา
สิงคโปร์หน่วยงานให้บริการแบบรวมศูนย์ One StopService เครดิตภาพ //worldbusinesskey.com/wp-content/uploads/2012/11/Image-52.png
ส่วนความหวังพื้นที่สีเขียวใน กทม. จะเป็นเช่นไรทางที่ดีพวกเรา อย่าไปรอความหวังจากใครกันเลยรีบเร่งช่วยกันทำงานในเชิงรุกดีกว่าครับ เพราะบ้านเมืองเป็นของเราถ้าบ้านเมืองสีเขียว มีสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม พวกเราก็ได้ประโยชน์ทุกคนพวกเราต้องมองความยั่งยืน ส่วนนักการเมือง นักธุรกิจการเมืองเค้าจะมองความสุขของเราเป็นตัวตั้ง หรือเปล่าทุกท่านก็โปรดใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลกันเองครับ....แต่เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเห็นนักการเมืองส่วนใหญ่จริงๆ มองความสุขของพวกเราเป็นตัวตั้งเลยครับ รายละเอียดทั้งหมดท่านสามารถชมได้ตามลิ้งก์ด้านล่างครับ
ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ผมอ้างอิงเนื้อหาด้านบนนี้ -รายการ สยามสาระพาNation Channel อ.ชญา ปัญญาสุข นายกสมาคมภูมิสถาปนิก ประเทศไทย และ อ.ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูสอุปนายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และภาพถ่ายมากมายจากอินเตอร์เน็ต
Create Date : 23 มกราคม 2556 | | |
Last Update : 23 มกราคม 2556 21:15:46 น. |
Counter : 2410 Pageviews. |
| |
|
|
|