จากกรณีเครือข่ายโซเชียลมีเดียและกรมศิลปากร ดำเนินการคัดค้านศาลฎีกาดำเนินการรื้อถอนอาคารเก่า 2 หลังซึ่งหลังแรกเป็นอาคารศาลยุติธรรม ตั้งอยู่บริเวณหลังอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หลังที่ 2 เป็นศาลอาญากรุงเทพใต้ อยู่ติดกับคลองหลอด ซึ่งทั้ง 2 อาคารถือว่าเป็นโบราณสถานมีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้านการพัฒนากฎหมาย กระทั่งสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศมอบรางวัลอาคารควรค่าแก่การอนุรักษ์ เมื่อปี 2550 และรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นในปี 2552นั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.
นายสุวิชญ์ รัศมิภูติ คณะกรรมการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์กล่าวว่า เรื่องการรื้อถอนอาคารเก่าของศาลฎีกาทั้ง 2 หลัง ทางศาลฎีกาได้มาร่วมประชุมกับกรมศิลปากร และคณะกรรมการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์หลายครั้งโดยทางคณะกรรมการฯและกรมศิลปากรได้ให้เหตุผลว่าเป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่สมควรอนุรักษ์เอาไว้ หากรื้อถอนในเกาะรัตนโกสินทร์ก็จะไม่เหลืออาคารสำคัญนี้ และไม่มีอีกแล้วในประเทศแห่งนี้ส่งผลให้ทางศาลฎีกาชะลอโครงการนี้มานานกว่า 5 ปีแต่ตอนนี้ทางศาลฎีกาไม่ฟัง และดำเนินการรื้อถอนอาคารทั้ง 2หลัง โดยยึดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2531ให้ดำเนินการรื้อถอนอาคารทั้ง 2หลังได้แต่ต้องส่งแบบไปยังกรมศิลปากร ขณะที่ทางศาลฎีกาก็ไม่ได้ส่งแบบการก่อสร้างมาให้กรมศิลปากรพิจารณาแต่อย่างใด
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าทำอะไร เพราะกลัวอำนาจของศาลแม้แต่คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ที่ทำหน้าที่ทัดทาน ก็ยังไม่กล้าซึ่งสมควรที่จะลาออกทั้งคณะและผมเองก็จะลาออกหากยังรักษามรดกของกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ไม่ได้ตอนนี้ในเกาะรัตนโกสินทร์แทบจะไม่เหลืออาคารเก่าแล้ว นอกจากพระบรมมหาราชวังกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หรือวังหน้าวังสราญรมย์ กรมการรักษาดินแดน ผมมองว่า มติคณะรัฐมนตรีที่นานกว่า 20 ปีไม่ควรจะนำมาใช้ ให้มองความสำคัญของประวัติศาสตร์ไม่งั้นคณะรัฐมนตรีไม่อยากเก็บอาคารเก่าในเกาะรัตนโกสินทร์เอาไว้มีคำสั่งรื้อก็ต้องรื้อออกทั้งหมดคณะกรรมการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์กล่าว
นายสุวิชญ์ กล่าวอีกว่า การทุบรื้อถอนอาคารทั้ง 2 หลังนี้ตนได้รับทราบเหตุผลมาจากศาลฎีกาอีกข้อหนึ่งว่าโครงสร้างของอาคารเก่าเกินไปไม่สามารถดำเนินการบูรณะได้ ซึ่งตนในฐานะที่บูรณะอาคารเก่ามาทั่วประเทศและเคยเป็นอธิบดีกรมศิลปากรขอบอกเลยว่า อาคารเก่าทั้ง 2หลังของศาลฎีกาใหม่กว่าอาคารของกระทรวงกลาโหม ถึง 80 ปีเป็นไปไม่ได้ที่โครงสร้างจะใช้งานไม่ได้ หากทำไม่ได้ตนจะบูรณะให้ดู ตนขอรับรองว่าอาคารยังมีความมั่นคงแข็งแรงดี และทางอีโคโมส สมาคมสถาปนิกสยามฯก็ได้พยายามคัดค้าน แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดังนั้น ตนขอเสนอแนะให้กรมศิลปากรแจ้งจับผู้รับเหมา เพื่อชะลอการรื้ออาคาร แต่ว่าจะกล้าหรือไม่ เพราะเป็นศาลอย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ กรมศิลปากร ภาคประชาชนทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องยอมเสียสมบัติของชาติไป
ด้านนายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่าขณะนี้ตนได้ลงนามส่งหนังสือนำเรียนไปยังประธานศาลฎีกา และเลขาธิการศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการชะลอการรื้อถอนอาคารเก่าทั้ง 2 หลังว่า ทางศาลฎีกาจะมีความเห็นเป็นเช่นไร เพื่อที่จะดำเนินการให้เกิดความเหมาะสมต่อไป
อีกข่าวหนึ่งทางด้าน Social Media ก็มี จดหมายเปิดผนึก จาก อ. ชาตรีประกิตนนทการ
อาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร
จดหมายเปิดผนึกถึงโฆษกศาลยุติธรรม, อธิบดีกรมศิลปากร,และผู้สนใจ กรณีรื้อกลุ่มอาคารศาลฎีกา
โดย Chatri Prakitnonthakan เมื่อ 21 ธันวาคม 2012 เวลา 15:03 น. ·
เรียน โฆษกศาลยุติธรรม และ อธิบดีกรมศิลปากร
ตามที่ได้รับฟังคำสัมภาษณ์ของอธิบดีกรมศิลปากรตามสื่อต่างๆที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555และคำชี้แจงของโฆษกศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ต่อกรณีการรื้อถอนกลุ่มอาคารศาลฎีกาที่กำลังดำเนินการอยู่ ณ ปัจจุบันผมมีประเด็นที่อยากสอบถามและแลกเปลี่ยนความเห็นใน 5ข้อดังต่อไปนี้
1. ความชอบธรรมทางกฏหมาย: กรณีความสูงอาคาร 32 เมตร
กฏหมายเรื่องความสูงอาคารที่บังคับใช้ในพื้นที่นี้ห้ามสร้างอาคารใหม่ที่มีความสูงเกิน 16 เมตรโดยเด็ดขาดกฏหมายนี้ประกาศใช้มาเกือบ 30 ปี และยังคงถูกบังคับใช้อยู่ ณปัจจุบัน.อาคารหน่วยราชการทุกแห่งปฏิบัติตามข้อกฏหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัดเสมอมา.แต่กลุ่มอาคารศาลฎีกาใหม่กลับได้รับอนุมัติเป็นกรณีพิเศษให้สามารถสร้างได้ถึง 32 เมตร ด้วยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2531. ดังนั้นแม้จะไม่ผิดกฏหมาย (เพราะได้รับอนุมัติพิเศษ) แต่ย่อมเป็นการปฏิบัติที่ขาดซึ่ง ความชอบธรรม เป็นอย่างยิ่ง และที่น่าเสียดายที่สุดคือ เป็นการขอละเว้นกฏหมาย โดยหน่วยงานที่ควรจะเป็นต้นแบบของการปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดที่สุด.
หากปล่อยให้มีการสร้างจริงกฏหมายข้อนี้จะยังคงเหลือความศักดิ์สิทธิ์หรือชอบธรรมในการบังคับใช้ต่อไปในอนาคตได้หรือไม่?
โฆษกศาลที่ได้กล่าวถึงความสูง 32 เมตรที่มาจากการคำนวณความสูงโดยเฉลี่ยของกลุ่มอาคารภายในพระบรมมหาราชวังนั้นอยากเรียนว่ามิใช่ประเด็นที่จะนำมาเป็นเหตุผลในการละเมิดกฏหมายเรื่องความสูงอาคารในพื้นที่ได้.เพราะหากยอมรับในเหตุผลนี้หน่วยราชการใดจะอ้างอิงบรรทัดฐานจากคำชี้แจงของศาลดังกล่าว ไปใช้ในการก่อสร้างอาคารสูง32 เมตรในพื้นที่นี้ก็ย่อมทำได้ ใช่หรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้นจริง กฏหมายกำหนดความสูง 16เมตรก็ควรถูกยกเลิกไปเสีย เพื่อให้เกิดความเสมอภาคในการบังคับใช้กฏหมาย
2. ความเป็นโบราณสถานของกลุ่มอาคารศาลฎีกา
โฆษกศาลได้ชี้แจงว่า กลุ่มอาคารศาลฎีกามิได้จดทะเบียนขึ้นเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร. ซึ่งเป็นการชี้แจงที่ถูกต้องเพราะยังไม่มีอาคารหลังใดในพื้นที่ศาลฎีกาได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นโบราณสถาน.แต่โฆษกศาลมิได้กล่าวถึง จดหมายด่วนที่สุด ที่ วธ. 0403/3323 เรื่องการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลฎีกาหลังใหม่ ลงวันที่ 31สิงหาคม พ.ศ. 2552 ที่ลงนามโดยอธิบดีกรมศิลปากรและส่งไปถึงประธานศาลฎีกา ณ ขณะนั้น ทีมีใจความสำคัญว่า อาคารส่วนที่ 1 (หลังอนุสาวรีย์) และ อาคารส่วนที่ 2ฝั่งด้านคลองคูเมืองเดิม (ซึ่งกำลังโดนรื้อถอนอยู่ในขณะนี้) มีลักษณะเป็น โบราณสถาน ตามที่กำหนดในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ ดังนั้น ห้ามมีการรื้อถอน ต่อเติมทำลาย เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร
อีกทั้ง จากคำสัมภาษณ์ของอธิบดีกรมศิลปากรเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมพ.ศ. 2555 ตามสื่อต่างๆ อธิบดีก็ยังยืนยันเหมือนข้อความที่ปรากฏในจดหมายที่ส่งไปยังศาลฎีกาเมื่อพ.ศ. 2552. แต่จากการชี้แจงของโฆษกศาลในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555 กลับยืนยันว่าการรื้อถอนครั้งนี้ได้รับความยินยอมแล้วจากกรมศิลปากร
ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่อยากเรียนถามและร้องขอจึงมีดังต่อไปนี้
2.1 อธิบดีกรมศิลปากรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกมาชี้แจงให้สาธารณะได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงที่ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ว่า สรุปแล้วกลุ่มอาคารศาลฎีกาที่กำลังรื้ออยู่ ณ ตอนนี้เข้าข่ายเป็นโบราณสถานหรือไม่ อย่างไร?
2.2 หากโฆษกศาลยืนยันว่าได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรแล้วอยากเรียกร้องให้ศาลได้เผยแพร่จดหมายอนุญาตจากกรมศิลปากรต่อสาธารณะ เนื่องจากการอนุญาตจะต้องมีการส่งอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร
2.3 หาก จดหมายด่วนที่สุด จากอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2552 มิได้มีผลบังคับใช้ตามกฏหมายจริง แสดงว่า นับตั้งแต่นี้ หากในอนาคตอธิบดีกรมศิลปากรทำจดหมายในลักษณะดังกล่าวส่งไปยังหน่วยงานอื่นๆที่กำลังรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่กรมศิลปากรถือว่าเป็น โบราณสถาน(แต่ยังมิได้ทำการขึ้นทะเบียน)ก็ย่อมสามารถถือปฏิบัติได้ในแบบเดียวกับที่ศาลกำลังปฏิบัติอยู่ ใช่หรือไม่?
3. ปัญหาว่าด้วยความเสื่อมสภาพของกลุ่มอาคารศาลฎีกา
ในการชี้แจ้งของโฆษกศาล ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลจากหลายๆฝ่ายที่สนับสนุนการรื้อ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญประการหนึ่ง คือการเสื่อมสภาพของกลุ่มอาคารศาลฎีกา ในระดับที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปและจะเป็นอันตรายในระดับที่อาจจะมีการพังถล่มลงมาได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง.
แต่จากงานวิจัย โครงการศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาอาคารศาลฎีกาและอาคารบริเวณรอบศาลฎีกาที่ทำโดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ได้ทำขึ้นเมื่อก่อนการอนุมัติรื้อเมื่อปี พ.ศ. 2550ไม่นาน และเป็นงานวิจัยที่ทางศาลได้เป็นผู้ว่าจ้างด้วยตนเองด้วยนั้นหากอ่านในส่วนที่ว่าด้วยการสำรวจและวิเคราะห์สภาพอาคารแม้งานวิจัยจะแสดงให้เห็นถึงปัญหาการเสื่อมสภาพของอาคารอันเนื่องมาจากอายุการใช้งานแต่งานวิจัยก็ไม่ได้สรุปไปในทิศทางที่แสดงให้เห็นเลยว่า กลุ่มอาคารศาลฎีกาเสื่อมสภาพในระดับที่อาจจะพังถล่มโดยเร็วและเกินกว่าการบูรณะซ่อมแซมแต่อย่างใด.
อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนในประเด็นนี้อยากเรียกร้องให้มีการเข้าไปสำรวจสภาพอาคารโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพื่อความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว
4. ประเด็นว่าด้วยรูปแบบทางสถาปัตยกรรม
โฆษกศาลได้ชี้แจงว่า การออกแบบอาคารศาลฎีกาใหม่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านสถาปัตยกรรมไทยมากมายหลายท่านถูกระเบียบแบบแผนทางสถาปัตยกรรมไทย และสอดรับกับความสง่างามของพระบรมมหาราชวัง
ผมอยากเรียนชี้แจงว่า ประเด็นสำคัญในกรณีนี้มิได้อยู่ที่ว่าหน้าตาอาคารเป็นไทยดีแล้ว ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญดีแล้วและส่งเสริมความสง่างามของพระบรมมหาราชวัง แต่อย่างใด. เพราะประเด็นสำคัญคือการได้มาซึ่งอาคารใหม่นั้น ทำลายอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ลง และมีความสูงเกินกว่าที่กฏมายกำหนด (แต่ถูกกฏมายเพราะได้รับสิทธิพิเศษ) ดังนั้นไม่ว่าใครจะเป็นผู้ออกแบบและหน้าตาอาคารจะสวยงามแค่ไหน ย่อมไม่ใช่สาระสำคัญ
5. อาคารใดบ้างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในเรื่องการได้มาซึ่งเอกราชสมบูรณ์ทางการศาล
โฆษกศาลได้ชี้แจงว่า ตามแบบที่จะสร้างใหม่ได้ตกลงเก็บอาคารด้านหลังอนุสาวรีย์เอาไว้เพียงหลังเดียว เพราะอาคารดังกล่าวคืออาคารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการได้มาซึ่งเอกราชสมบูรณ์ทางการศาลเมื่อ พ.ศ. 2481. แต่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้มาจากเอกสารในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนเมื่อแรกสร้างว่าอาคารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเอกราชทางการศาลนั้นมิใช่มีเพียงหลังเดียวที่อยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์เท่านั้นแต่ยังหมายรวมถึงอาคารด้านที่ติดคลองคูเมือง (ซึ่งกำลังถูกรื้อถอนอยู่ในปัจจุบัน)ด้วย ฉะนั้น การอนุรักษ์เพียงอาคารเดียวจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเชิงประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม การเก็บรักษาไว้ย่อมมิได้หมายถึงการรักษาในลักษณะแช่แข็ง ห้ามทำอะไรเลย ก็หาไม่.ความก้าวหน้าในเชิงเทคโนโลยีสมัยใหม่และหลักการด้านการอนุรักษ์ที่ก้าวหน้าขึ้นมากมายในโลกปัจจุบันสามารถที่จะทำการอนุรักษ์อาคารเก่าโดยที่สามารถตอบสนองการใช้สอยสมัยใหม่ได้อย่างเต็มที่ดังนั้น การรื้อถอนและสร้างใหม่เพราะเชื่อว่าจะทำให้สามารถใช้สอยพื้นที่ได้ดีกว่านั้นจึงไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องอีกแล้วในโลกปัจจุบัน.
จากเหตุผลที่กล่าวมาอยากเรียกร้องให้ศาลพิจารณาระงับการรื้อถอนอาคารออกไปก่อนเพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นต่างๆ และอยากเรียกร้องให้อธิบดีกรมศิลปากรออกมาให้ความกระจ่างในประเด็นต่างๆที่ยังขัดแย้งกันอยู่ระหว่างคำชี้แจงของศาลกับคำสัมภาษณ์ของอธิบดีกรมศิลปากร
สุดท้ายนี้ หวังว่า กรณีการรื้อถอนกลุ่มอาคารศาลฎีกาจะนำมาสู่การศึกษาเรื่องคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modern Architecture) ที่สัมพันธ์สอดคล้องกับพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมในโลกสากลและคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ของงานสถาปัตยกรรมรูปแบบนี้ที่ถูกนำเข้ามาใช้ในสังคมไทยในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. 2475 โดยกลุ่มคณะราษฎรเพื่อสะท้อนถึงอุดมคติอย่างใหม่ในระบอบประชาธิปไตย ในระดับที่สูงมากขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การก้าวพ้นเพดานความคิดในเชิงประวัติศาสตร์และอนุรักษ์ที่คับแคบของสังคมไทยในปัจจุบัน
ด้วยความนับถือ
ชาตรี ประกิตนนทการ
21 ธันวาคม พ.ศ 2555