เครดิต อ.เจริญตันมหาพราน นักประวัติศาสตร์ชุมชน นักเขียน และช่างภาพ
ที่มาที่ไป ของตู้ไปรษณีย์ที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ที่ไหน และมีความเป็นมาอย่างไร ???
เครดิต อ.เจริญตันมหาพราน นักประวัติศาสตร์ชุมชน นักเขียน และช่างภาพ ขอขอบคุณ มา ณที่นี้ครับ....
ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในโลกตู้แรก
ตู้ไปรษณีย์เป็นสิ่งบริการแก่ประชานชนอย่างหนึ่งสำหรับส่งข่าวสารไปมาระหว่างจังหวัดต่อจังหวัด หรือฝากส่งข้ามประเทศก็ได้โดยมีกฎระเบียดต้องผนึกตราไปรษณียากรตามอัตราที่กำหนดไว้ก่อนที่จะเดินไปหยอดตู้ไปรษณีย์หรือฝาก ณ ที่ทำการไปรษณีย์ที่ใกล้ที่สุด ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จะนำไปรษณียภัณฑ์เหล่านั้นไปส่งยังผู้รับปลายทางด้วยเหตุนี้ ตู้ไปรษณีย์เปรียบเสมือนปัจจัยอย่างหนึ่งที่มนุษย์ต้องพึ่งพาและจะพบได้ตามขอบทางเท้าย่านชุมชนของถนนสายต่างๆ เรียงรายออกเป็นระยะๆ
แต่การสำรวจของสหภาพภาคไปรษณีย์สากลพบว่าตู้ไปรษณีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในเขตท้องที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลาประเทศไทย
เบตง เป็นอำเภอใต้สุดของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศใต้โดยทางรถยนต์ประมาณ ๑,๕๐๖ กิโลเมตร หรือห่างจากตัวจังหวัดยะลา ๑๔๐กิโลเมตร ซึ่งในแต่ละปีจะมีชาวไทยและชาวมาเลเซียเดินทางผ่านแดนเข้าออกด้านเบตงเป็นจำนวนมาก
ในวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๑กรุงสยามกับอังกฤษได้ลงนามในสนธิสัญญา โอนรัฐกลันตัน ไทรบุรี ตรังกานู และเปอร์ริสให้แก่อังกฤษ รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ตารางไมล์และพลเมืองกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คนทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันกัน ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๓ โดยในสนธิสัญญาได้กำหนดให้มีการโอนดินแดนดังกล่าวให้เสร็จภายใน ๓๐ วันนับหลังจากวันแลกเปลี่ยนสัตยาบัน
การเสียดินแดนแก่อังกฤษในครั้งนั้น ไทยยังต้องเสียดินแดนอีก ๔ตำบล คือ ตำบลบาโลม ตำบลโกรแน ตำบลอิตำ และตำบลแซะ หรือโกร๊ะของอำเภอยะรมไปด้วยเนื่องจากการปักปันเขตแดนมณฑลไทรบุรีให้อังกฤษ ในสัญญาได้ถือเอาสันเขาหรือทางน้ำเป็นเส้นเขตแดนซึ่งสันเขาหรือทางน้ำที่อ้างไว้ในสัญญาก็ล้วนเป็นสิ่งที่มิสเตอร์เบอร์คลี่พนักงานที่ดินของอังกฤษสำรวจไว้ล่วงหน้า โดยที่ไทยขาดความชำนาญในเรื่องการสำรวจและการทำแผนที่รู้แต่เพียงต้นเชือกกับปลายเชือกเท่านั้น
ส่วนจะคดเคี้ยววกวนกินดินแดนไทยไปเท่าไรไม่รู้เพราะระยะทางมันยาวนับร้อยนับพันกิโลเมตร ข้ามเขาลงห้วยผ่านไปในถิ่นทุรกันดารซึ่งเจ้าพนักงานไทยยังไม่เคยสำรวจผ่านเส้นทางเส้นนี้เลย พอถึงเวลาจริงไทยเลยหมดโอกาสโต้แย้งหรือคัดค้านใดๆทั้งสิ้น
ผลจากการปักเขตแดนซึ่งไทยต้องเสียพื้นที่ในอำเภอยะรมให้แก่อังกฤษไป ๔ ตำบลดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น ทำให้พระพิชิตบัญชาการนายอำเภอยะรมสมัยนั้นได้ย้ายสถานที่ตั้งอำเภอจากหมู่ที่ ๑ บ้านฮางุด ตำบลเบตงมาตั้งที่หมู่ที่ ๖ บ้านกำปงมัสยิด ในตำบลเดียวกัน
เนื่องจากท้องที่ยะรมอยู่ห่างความเจริญ การคมนาคมไม่สะดวกจึงได้เปลี่ยนชื่อจากอำเภอระยม มาเป็นที่ว่าราชการอำเภอเบตงและมีฐานะเทียบเท่ากับจังหวัดหนึ่งของไทย(แต่ใช้อยู่จนถึง พ.ศ.๒๔๗๖ก็ยกเลิก) โดยแบ่งเขตการปกครองใหม่เป็น ๔ ตำบล คือตำบลเบตง ตำบลยะรมตำบลอัยเยอร์เวง และตำบลตาเนาะแมเราะ
หากเปรียบแผ่นดินภาคใต้เป็นอาวุธเบตงก็ไม่ต่างกับใบหอกที่พุ่งปักเข้าไปในพื้นที่ของสหพันธรัฐมาเลเซียเพราะถูกล้อมรอบด้วยเขตแดนของมาเลเซียถึง ๓ ด้าน คือ
ทิศเหนือ จรดพื้นที่อำเภอธารโตจังหวัดยะลา
ทิศตะวันออก จรดอำเภอสุคิรินจังหวัดนราธิวาส และ อำเภอกริ๊ก รัฐเประ สหพันธรัฐมาเลเซีย
ทิศใต้ จรดกิ่งอำเภอโกร๊ะ และอำเภอกริ๊ก รัฐเประ สหพันธรัฐมาเลเซีย
ทิศตะวันตก จรดกิ่งอำเภอบาลิ่งรัฐเคดาห์ สหพันธรัฐมาเลเซีย
ภาพสถานที่ทำการไปรษณีย์อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อ 20 ปีก่อน (ภาพสะสม อ.เจริญ ตันมหาพราน)
สมัยนั้น เหตุการณ์บ้านเมืองทั่วไปสงบเรียบร้อยดี แต่เค้าแห่งความวุ่นวายก็เริ่มก่อตัวอย่างเงียบๆอยู่หลายปีโดยนายโลวเซ็กงี่ อดียนายสิบตำรวจลับแห่งมลายูเข้ามาปักหลักทำมาหากินอยู่อำเภอเบตงก่อนปี พ.ศ.๒๔๗๐ดูจากภายนอกนายโลวเซ็กงี่เหมือนคนเรียบร้อย รักความสงบไม่มีท่าที่จะกลายเป็นหัวหน้าโจรจีนที่ปล้นเบตงที่เกรียวกราวสุดๆในประวัติศาสตร์ไทย
วันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖ในท้องที่เบตงเกิดมีโจรจีนกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของนายโลวเซ็กงี่บุกเข้าปล้นสถานที่ราชกาลต่างๆแต่ก็ได้รับการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการหลายฝ่ายในที่สุดโจรจีนได้ล่าถอยจากไป
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ต.หลวงเจริญตำรวจการ ๙ ธันวาคม ๒๕๒๓ ได้มีข้อความเกี่ยวกับการปราบปรามโจรจีนภาคใต้ดังต่อไปนี้
...ครั้นเวลา ๑๓.๐๐ น. พวกโจรจีนประมาณ ๕๐๐ คนได้แยกย้ายกันมาทิศทางต่างๆ มุ่งเข้ายึดสถานีตำรวจอำเภอเบตงพวกโจรจีนได้ประเดิมด้วยการระดมยิงเข้ามายังฝ่ายเราอย่างหูดับตับไหม้ทีเดียวข้าพเจ้ารีบตัดสินใจสั่งการให้ตำรวจเข้ายึดเสาปูนโรงพักขนาด ๒๔ นิ้วเป็นที่กำบังพร้อมกับสั่งให้ทำการยิงสกัดกั้นแบบถวายชีวิต คำว่าถอยหรือหลบหนีไม่ให้มีเป็นอันขาดได้มีการยิงต่อสู้กันอยู่ถึงสองชั่วโมงเต็มโจรจีนที่บุกเข้าถึงบันไดโรงพักถูกยิงตายคาที่ถึง ๓ ศพ ต่อหน้าต่อตาของข้าพเจ้าครั้นแล้วพวกโจรจีนก็ล่าถอยไปอย่างไม่เป็นขบวน ตำรวจฝ่ายเราทั้ง ๑๖ นาย ปลอดภัยเมื่อออกไปตรวจเหตุการณ์ข้างนอกโรงพัก ปรากฏว่าโจรจีนถูกยิงตายทั้งสิ้น รวม ๘๒ ศพ
สำหรับเรื่องนี้อำมาตย์ตรี พระทำนุประชากิจ ผู้ว่าราชการอำเภอเบตงได้มีหนังสือไปยังอำมาตย์ตรี หลวงสถิตย์โทรกล ผู้จัดการไปรษณีย์โทรเสขภาคใต้สงขลาดังมีข้อความต่อไปนี้
ที่ ๒/๕๕๖
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๖
เรียนอำมาตย์ตรี หลวงสถิตย์โทรกล ผู้จัดการไปรษณีย์โทรเลขภาคใต้ สงขลา
ตามหนังสือของท่านที่ ๑๖๐๗ ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๗๖เรื่องอนุญาตให้นายสงวน จิรจินดา นายไปรษณีย์ไปช่วยราชการอำเภอความแจ้งอยู่แล้วนั้น
บัดนี้ การงานทางอำเภอได้สิ้นสุดลงและได้อนุญาตให้ นายสงวนจิรจินดา กลับไปรับราชการตามหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคมศกนี้แล้วโดยหนังสือฉบับนี้ข้าพเจ้าได้ทำบันทึกกิจการที่นายสงวน จิรจินดา ได้ปฏิบัติมาแล้ว
ในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๗๖ซึ่งเป็นวันที่โจรจีนยกเข้ามาปล้นสถานีตำรวจอย่างรุนแรงร้ายกาจนั้นขณะที่กองโจรด้านตะวันตกกำลังแตกถอยนายสงวน จิรจินดา ได้วิ่งมาสถานีตำรวจจวนเจียนจะได้รับอัตรายจากกระสุนปืนของตำรวจเอง เมื่อมาถึงสถานีผู้บังคับกองตำรวจได้จ่ายปืนให้ นายสงวน จิรจินดา ได้ลงไปยึดมั่นที่หน้าสถานีเพื่อต่อสู้กับโจรจีนที่รุกเข้ามาทางด้านตะวันออกต่อมาข้าพเจ้าได้ร้องสั่งลงไปจากบนสถานี นายสงวน จิรจินดา นำตำรวจ ๓ นายไปยึดที่ทำการไปรษณีย์ เพื่อป้องกันรักษาและส่งโทรเลขแจ้งไปยังจังหวัดและกระทรวง
นายสงวน จิรจินดาผู้สร้างตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในโลก
นายสงวน จิรจินดาได้ยิงต่อสู้กับผู้ร้ายที่ยกเข้ามาที่ทำการไปรษณีย์เป็นเวลา ๓๐ นาทีในระหว่างต่อสู้ นายสงวน จิรจินดายังได้เขียนโทรเลขซึ่งต้องหยุดบ้างเขียนบ้างเป็นระยะส่งไปถึงเจ้าเมืองและเทศาฯเพื่อแจ้งเหตุการณ์และขอกำลังตำรวจโดยถูกต้องอีกด้วยเมื่อเขียนโทรเลขเสร็จยังได้นำตำรวจ ๓ นายนั้นรุกเข้าไปถึงตลาดเพื่อรับตัวบุรุษไปรษณีย์ให้ไปที่ทำการไปรษณีย์และรับตัวเสมียนไปรษณีย์ให้ไปส่งโทรเลขซึ่งในเวลานั้นยังมีสมัครพรรคพวกผู้ร้ายจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในโรงรถว่างห่างกันราว๒ เส้นเท่านั้น กับยังได้ระวังป้องกันอยู่กับเจ้าหน้าที่โทรเลขจนเสร็จ
แลในเย็นวันนั้นเองนายสงวน จิรจินดาได้ติดตามผู้บังคับกองตำรวจออกทำการตรวจค้นพวกผู้ร้ายในตลาดได้ทำหน้าที่ตำรวจอยู่ยามเป็นต้นจนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๗๖
ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าได้ยืมตัวนายสงวน จิรจินดา มาช่วยราชการทางอำเภอเพื่อเขียนโทรเลขโรมันไนส์และทำการติดต่อโต้ตอบกับทางต่างประเทศเรียบเรียงและแปลภาษาต่างๆที่เกี่ยวกับปล้นรายนี้เป็นเวลา ๑ เดือนเต็ม
อนึ่ง ในตอนเช้าวันที่ ๒๘ ตุลาคมก่อนที่จะเกิดการปล้นไม่กี่ชั่วโมง นายสงวน จิรจินดาได้เป็นธุระบอกผู้บังคับกองตำรวจให้ทราบเรื่องราษฎรแตกตื่นจะเกิดการปล้นเพื่อให้ผู้บังคับกองมาหาหรือกับข้าพเจ้ากับยังได้ให้ความรู้ในเรื่องการผิดสังเกตของนายโลวเซ็กงี่ผู้ร้ายตัวการสำคัญจนข้าพเจ้าสั่งให้จับตัวนายโลวเซ็กงี่หัวหน้าโจรรายนี้เป็นการตัดทอนกำลังของพวกโจรจีนลงได้เป็นอันมาก
การกระทำของนายสงวน จิรจินดาครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์แก่ทางราชการทั้งฝ่ายกำลังและฝ่ายธุรการสมควรได้รับความชอบเป็นบำเหน็จ จึงขอท่านได้โปรดเสนอเพื่อพิจารณาเป็นลำดับต่อไป
โอกาสนี้ขอแสดงความนับถือมายังท่าน
อำมาตย์ตรี พระทำนุประชากิจ
ผู้ว่าราชการอำเภอเบตง
ประทับตราประจำตำแหน่งมาเป็นสำคัญ
ในเวลาต่อมานายสงวน จิรจินดาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดังสำเนาต่อไปนี้
ที่ ก.ท. ๑/๑๒
๒๖ เมษายน ๒๔๘๐
เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
จากอธิบดีไปรษณีย์โทรเลข ถึง นายสงวน จิรจินดา นายไปรษณีย์เบตง
ตามที่ท่านได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่านบ้านเมืองเข้าต่อสู้โจรจีนที่เบตงเพื่อป้องกันทรัพย์สมบัติของรัฐบาลและประชาชนเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖๗ นั้นคณะรัฐมนตรีได้ขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบญจมาภรณ์มงกุฎสยามให้บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแล้ว จึงขอส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยาม๑ ดวง มาพร้อมกับหนังสือนี้
เมื่อการกระทำของท่านบังเกิดผลเป็นเกียรติยศทั้งแต่ตนเองตลอดถึงหมู่คณะเช่นนี้ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นหัวหน้ากรมรู้สึกปลาบปลื้มยินดีปีติเป็นอย่างยิ่งหวังว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้จะเป็นเครื่องส่งเสริมให้ท่านประกอบแต่คุณความดีอันจะนำเกียรติยศและชื่อเสียงมาสู่ตนและหมู่คณะในกาลต่อไปยิ่งๆขึ้น
ในที่สุด ข้าพเจ้าขออำนวยพรให้ท่านจงมีความเจริญด้วยจตุรพิตรคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เทอญ
ขอแสดงความนับถือ
อริจกิจวิจารณ์
ผู้ช่วยอธิบดีฝ่ายการในประเทศ ลงนามแทน
ต่อมา นายสงวน จิรจินดา นายไปรษณีย์โทรเลขเบตงมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เวลาบ้านเมืองมีเหตุวุ่นวายไม่สามารถที่จะติดต่อกับหน่วยงานอื่นๆได้ ดังนั้นครบเกษียณอายุราชการจึงได้ออกมาสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลและได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเบตงคนแรกและแลเห็นว่าท้องที่อำเภอเบตงอยู่ห่างไกลมาก ไม่สามารถติดต่อสื่อสารใดๆ ได้นอกจากทางจดหมายเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของอำเภอเบตงในด้านการติดต่อสื่อสารและในอดีตเคยเป็นนายไปรษณีย์โทรเลขจึงได้สร้างตู้ไปรษณีย์ขึ้น โดยใช้คอนกรีตเสริมเหล็กรูปวงกลม ทรงกระบอก แยกเป็น ๒ส่วน คือ ส่วนฐานและส่วนตู้
ส่วนกลางที่เป็นฐาน วัดเส้นรอบวงได้ ๑๖๐ เซนติเมตรสูงจากพื้นดิน ๑๓๐ เซนติเมตร
ส่วนบนเป็นตัวตู้วัดเส้นรอบวงได้ ๑๔๐ เซนติเมตรความสูงของตัวตู้วัดได้ ๒๙๐ เซนติเมตรในขณะเดียวกันด้านบนของตู้ไปรษณีย์ได้บรรจุลำโพงไว้ข้างในและเจาะรูกลมๆไว้รอบๆสำหรับกระจายเสียงในยามเช้า เพื่อรายงานข่างสารทางราชการเวลาชาวบ้านไปจ่ายตลาดโดยตั้งอยู่ตรงสี่แยกหอนาฬิกา ดังนั้นหากจะนับจากฐานขึ้นไปถึงส่วนสูงของตู้ไปรษณีย์ ทั้งหมดวัดได้ ๔๒๐ เซนติเมตร
ปัจจุบัน ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตู้แรกใบนี้ยังสามารถใช้การได้อยู่
ข้อมูลจากหนังสือที่ระลึกงานแสดงตราไปรษณียากรแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๕๔๔หน้าที่ ๖๙-๗๑