It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๔

บทที่ ๒๔ ๗.๑๕ น.

เปิดเทอมใหม่ ฉันเหงาอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีพี่ษาในโรงเรียน ไม่มีพี่ภาคอยว่าฉัน ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ฉันได้สนุกเหมือนก่อน ไม่มีรมณคอยเถียงกับภรณี ฉันว่าภรณีเองก็เหมือนกันไม่ได้ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าโรงเรียนเริ่มไม่มีชีวิตชีวา โลกมันช่างเงียบเหงากว่าเดิมมาก

ตุ๊กตาน้อยเขียนจดหมายมาบอกฉันว่ารมณไปเรียนห้องเดียวกับเธอ รมณเปลี่ยนไปมากไม่พูดไม่จากับใคร แม้กระทั่งกับตุ๊กตาน้อยเองรมณก็ไม่ได้เข้ามาสุงสิงด้วย เธอเก็บตัวเงียบๆ เอาแต่นั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อครูถามรมณก็ไม่ยอมตอบ

ฉันว่าฉันอาจจะเสียเพื่อนคนที่เรียนดีเรียนเก่งไปอีกคนเพราะความรักก็เป็นได้

ส่วนฉันทุ่มเทเวลาว่างทั้งหมดให้กับการซ้อมดนตรี และอ่านหนังสือ ทั้งนิยาย ทั้งหนังสือเรียน และที่สำคัญขาดไม่ได้ ฉันบรรจงเขียนจดหมายถึงพี่ษาทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ

วันไหว้ครูและวันแจกใบประกาศก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พี่ษา พี่ภากลับมาที่โรงเรียนด้วย ในฐานะนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนฉันยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อพี่ๆ ทั้งสองกลับมาสร้างสีสันให้โรงเรียนอีกครั้ง

ฉันได้รับรางวัลนักดนตรีอีกปี เป็นปีที่สอง แถมพ่วงท้ายมาด้วยรางวัล เรียนดีอีกหนึ่งใบ ดังนั้นเราสามคนก็เลยเด่นที่สุดในงาน ฉันควงพี่ภาพี่ษาเดินว่อนไปทั่วโรงเรียน ครูพูดคุยกับพี่ภาพี่ษาอย่างสนิทสนม อย่างกับเป็นเพื่อนเล่นกัน

พี่ภาแวะไปห้องธุรการเอาใบรับรองว่าเธอได้เกรดเท่าไหร่เรียนที่โรงเรียนนี้มากี่ปีและใบรับรองความประพฤติจากทางโรงเรียนเพราะพี่ภาบอกว่าเธอจะเรียน รด. ตายแล้วพี่สาวฉันจะเรียน รด. เอาความคิดนี้มาจากไหน แต่เมื่อถามก็ได้ข้อสรุปมาว่า

“พี่อยากเป็นพยาบาลทหารหรือไม่ก็พยาบาลตำรวจ ถ้าเรียน รด.เค้าจะให้คะแนนพิเศษอีก ๕ % เกิดเราสอบเข้าแล้วคะแนนไม่ถึง”

และฉันก็เริ่มรู้แล้วว่าพี่ภาคิดอะไรเป็นระบบ จะทำอะไรก็นึกึงอนาคตข้างหน้าเสมอๆ ฉันสิไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ฉันจะทำต่อไปมันจะต้องทำอะไรบ้างได้แต่ปล่อยชีวิตไปวันๆ

“ษาไปสมัครสอบเทียบกันปะ” พี่ภาถามพี่ษาขณะที่เราเดินไปที่รถเพื่อที่จะกลับบ้าน

“ดีๆ ภาไปสมัครกันไหนๆ ก็ว่างแล้ว ว่าแต่ที่นี่เค้าเปิดรับสมัครที่โรงเรียนไหน” จากนั้นหัวข้อสนทนาของพี่ๆ ก็คือการไปสมัครสอบเทียบไม่มีเอกสารอะไรมากมาย ก็แค่ใบ รบ.จากโรงเรียนเดิม รูปถ่ายสองใบ กับเงินอีกนิดหน่อย

จากนั้นพวกเราก็กลับไปเอาเอกสารที่บ้านแล้วก็พากันไปยังโรงเรียนเป้าหมาย พอไปถึงพี่ๆ ก็สมัครกันเรียบร้อยแต่มีข้อแม้ว่าพี่ๆ ทั้งคู่ต้องเข้าเรียนในวันเสาร์อาทิตย์รวมเวลาทั้งหมด สองเดือนกว่าๆ เพราะเป็นกฎของกระทรวง

“แล้วษาจะมาได้เหรอ ไกลออก” อวภาส์เป็นห่วงแสงอุษาที่ต้องเดินทางไกลเพื่อมาเรียนในวันหยุด

“มาได้สิภา เราอยากกลับบ้านอยู่แล้ว เอาเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการกลับบ้านของเราเลยก็ดีนะ แล้วเราก็จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิมไงดีมะ”

“อืม เรากลัวษาจะเหนื่อยมากกว่าเดิมนะสิ”

“ไม่เป็นไรเราเหงาจะตายไปอยู่ที่โน่นกับแม่บ้านสองคนเอง ว่างๆ ภาก็ไปเที่ยวบ้านที่โน่นเราบ้างสิ เราจะได้มีเพื่อนด้วย พาอาไปด้วยก็ดีนะ”

“ไว้เราขอพ่อกับแม่ได้เราจะพาอาไปหาษาที่โน่นแล้วกันไม่ไกลมาดพ่อคงอนุญาต”

“ดีเลย งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ เย็นนี้ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว เราลาโรงเรียนมาแค่วันเดียวเอง”

“เดินทางปลอดภัยษา”

“เดินทางปลอดภัยพี่ษา”

“บายๆ” พี่ษาบอกลาฉันกับพี่ภา แล้วก็ขี่รถจากไป ฉันเห็นพี่ษาค่อยๆ ไกลออกไปทุกทีๆ จากหัวใจที่เคยชุ่มชื่นเมื่อตอนเช้า มันกลับห่อเหี่ยวลงมาอย่างบอกไม่ถูก พี่ภาคงเห็นฉันที่ยืนเศร้าก็เลยปลอบใจว่า

“ไม่เป็นไรนี่อา วันเสาร์อาทิตย์ษาก็กลับมาแล้ว อย่าเศร้าไปเลยน้อง”

“อืมจริงๆ ด้วยพี่ลืมไปเลยว่าพี่ษาต้องกลับมาเรียน ไชโย ดีใจจังเลยพี่ภา” ฉันกระโดดกอดคอพี่สาวตัวเองเพราะความดีใจจนลืมตัว แถมยังทำให้พี่ภาเกือบล้ม

“อาเบาๆ หน่อยพี่จะล้มแล้ว” พี่ภาบ่นฉัน

“ขอโทษพี่อาดีใจมากไปหน่อย”

“เอาน่ากลับบ้านกันน้องรัก ไปหาซื้ออะไรมาทำกับข้าวกินกันดีกว่า ฉลองเด็กเรียนดีแต่หิวโหย” พี่ภาคงได้ยินเสียงท้องของฉันร้องก็เลยชวนฉันกลับบ้าน

เราสองคนพี่น้องที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มกลับมาติดกันอีกครั้ง และตอนนี้พี่ภาก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ฉันสิกลับเป็นเด็กมากว่าเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยเปลี่ยนไปก็คือยังคงรักพี่สาวที่คลานตามกันมาคนนี้คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

............................

ตั้งแต่ขึ้นมอสี่ดูเหมือนว่าพี่ภาจะมีโปรแกรมมากมาย เธอไปเรียนภาษาเพิ่มกับครูพม่า เรียนดนตรีจนจบเล่ม แถมยังชวนฉันไปเรียนพิมพ์ดีดอีกต่างหาก

“ทำไมเรียนอะไรเยอะงี้อะพี่ภา” ฉันบ่นเพราะฉันก็โดนหนีบไปเรียนด้วยทุกครั้งยกเว้นเปียโนที่ฉันไม่ได้ไปเรียนด้วย

“เอาน่ามันมีประโยชน์ก็แล้วกัน เรียนๆ ไว้ไม่เสียหลายหรอก”

“ก็ได้เรียนก็ได้” ฉันจำใจไปเรียนกับพี่ภาโดยที่ไม่มีจุดหมายอะไร

เวลาเรียนพิมพ์ดีด ก็ไม่เห็นครูที่สอนจะทำอะไรมากมาย แค่สอนให้คืบนิ้ว พิมพ์คำเดิมๆ ซ้ำๆ หลายร้อยหน แถมแป้นพิมพ์ที่กดๆ ก็แข็งอย่างกับหิน กดทีก็เจ็บนิ้วไปหมด พอเวลาจะปัดแคร่ ด้วยความเก่าของเครื่องพิมพ์ดีด ก็ทำให้เมื่อยามปัดแคร่แรงๆ แคร่ก็กระเด็นหลุดออกจากตัวเครื่อง ฉันต้องอายอีกแล้ว ทำอะไรเห่ยๆ อีกแล้วอาคิรา เราสองคนเรียนกันอยู่สามเดือนกว่าๆ ก็จบการเรียน และก็ได้ใบประกาศว่าเราเรียนจบจากโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดที่ดีที่สุดในจังหวัด

เออนะ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว จากนั้นฉันก็ยึดเครื่องพิมพ์ดีดของพ่อมาเป็นเครื่องมือในการเขียนจดหมายถึงพี่ษา และจะมีลายมือของฉันกำกับท้ายจดหมายทุกฉบับ ดูเท่ห์ไม่หยอกกับการเซ็นท้ายจดหมาย เหมือนกับฉันกำลังเป็นเจ้าของบริษัทผู้มีอาจลงนามในหนังสือไงก็ไม่รู้

พี่ภาเริ่มไปเรียน รด. แบบที่พี่เค้าบอก พ่อหารองเท้าคอมแบตหนักอึ้งมาให้พี่ภา แถมยังสอนพี่ภาใส่ซิ่งที่เห็นห่วงสปริงกลมๆ ข้างในเหมือนมีลูกปืนอยู่ด้วย เวลาเดินไปไหนต่อไหน เสียงดังเหมือนกระพรวนน้องหมาข้างบ้าน แถมรองเท้าคู่หนักนั้นก็ยังไปติดเกือกม้าแบบรองเท้าของพ่อ เดินบนพื้นซีเม็นต์ทีดังกึ๊กๆ ยิ่งกว่ารถม้าแถวบ้านวิ่งบนถนนอีกแน่ะ

พอวันเสาร์อาทิตย์ พี่ภากับพี่ษาก็ไปเรียน กศน. ปล่อยฉันนั่งหง่าวอยู่ที่บ้านคนเดียว จะมีก็เฉพาะตอนเย็นเท่านั้นที่เราต้องไปเรียนภาษาด้วยกัน

พี่ษาบอกว่าครูคนนี้สอนดี ฉันว่าก็งั้นๆ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมครูพม่าคนนี้ถึงได้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งนัก และก็ถึงบางอ้อ เมื่อพ่อบอกว่าคนพม่าเมื่อก่อนเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แล้วประเทศเค้าก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอยู่หลายปี และไม่ต้องแปลกใจอะไรเลยที่ครูพม่าที่อายุเยอะๆ แบบครูคนนี้จะพูดภาษาอังกฤษได้และรู้จักทริกในการจดจำหลักไวยากรหรือการสนทนา

ฉันพอพูดภาษาได้มากขึ้นอย่างน้อยหากว่าพ่อพาไปปล่อยที่ไหนฉันก็ขอข้าวของน้ำหรือถามทางได้ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องจะทำอะไรต่อนั่นก็อีกเรื่องนึง ตอบตอนนี้คงไม่ได้เป็นแน่ ทำไมหรือค่ะ ก็ครูยังไม่ได้สอนนะสิถามได้ปั๊ดโธ่เอ๊ย

…………..

พี่ษากับพี่ภา สอบเทียบในเทอมแรกได้หมดทุกวิชา บอกว่าเทอมหน้าเหลืออีกไม่กี่ตัว ก็จะสอบผ่าน และฉันก็รู้ว่าทำไมพี่ภาถึงได้พาฉันไปเรียนพิมพ์ดีดเพราะพี่ภาต้องใช้ในการเอาไปประกอบการสอบเทียบนี่เอง พี่ภายังบอกอีกว่าปีหน้าถ้าฉันไปสอบเทียบบ้างฉันก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนพิมพ์ดีดอีกแล้ว เพราะฉันเรียนจบแล้ว

ใครๆ ก็มักพูดกันเสมอว่าเวลาดังสายน้ำไหล เผลอไปไม่นานเท่าไหร่ก็ใกล้สอบปลายภาคเทอมแรก ฉันไม่ค่อยทำกิจกรรมอย่างอื่นอย่างที่บอกค่ะ เพราะฉันไม่อยากขยับตัวไปไหน แค่ไปนั่งห้องดนตรีสอนน้องซ้อม เพราะฉันไม่ได้เล่นเองแล้ว ฉันเปลี่ยนมาเป็นเป่าคาลิเนทแทนการเล่นเบส ด้วยข้ออ้างที่ว่าฉ้นเจ็บแผล และเจ็บมือ ครูก็ยอมให้ฉันซ้อมเครื่องดนตรีเล็กๆ เครื่องนั้นอย่างง่ายดาย

ฉันบอกพ่อว่าฉันอยากได้คาลิเนท เมื่อครั้งที่ฉันสอบผ่านตอนเรียนมอสอง แม่ก็ว่ามันแพงมากๆ ฉันก็รู้ว่ามันแพงจริงๆ แต่พ่อก็หาเครื่องเก่าๆ หลุดจำนำมาให้ฉันได้หนึ่งเครื่อง มันดูเก่าจริงๆ เมื่อเปิดออกดูในครั้งแรก

“โห่พ่อไมมันเก่างี้อะน่ากลัว” ฉันบ่นเพราะไม่เคยเห็นคาลิเนทอะไรที่จะเก่าได้ใจแบบนี้มาก่อน

“เอาน่าลองเอาไปเช็ดๆ ถูกๆ หน่อยก็อาจจะดีขึ้น”

และก็จริงอย่างที่พ่อบอพอฉันเอามาขัดสีฉวีวรรณมันก็ดูใหม่ขึ้นมาได้บ้าง ดังนั้นไม่ว่าบ้านจะเงียบเหงาแค่ไหน หากมีฉันอยู่ฉันจะเล่นคาลิเนทเสียงดังๆ จากบ้านน้ำเงินของฉัน จนพี่ภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มักจะตะโกนข้ามบ้านมาว่าฉันเสมอๆ ว่า

“เงียบๆ หน่อยได้ไหมคนจะอ่านหนังสือไอ้อาบ้า” และฉันก็จะหยุดเป่าไปได้พักใหญ่ๆ แล้วก็จะเป่าอีก จนพ่อต้องกำหนดเวลาให้ฉันว่าหากจะเป่าต้องเป็นเวลา แต่ฉันก็มักจะเถียงเสมอๆ ว่าเวลาอารมณ์ของศิลปินพุ่งปรี๊ดขึ้นมานั้น มันไม่เป็นเวลาหรอก แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นรางวัลจากพ่อก็คือการโดนเข็กไปที่หน้าผากแรงๆ หนึ่งทีเป็นการสั่งสอน

จากนั้นหากเมื่อไหร่ที่ฉันอยากเป่าเจ้าคาลิเนทตัวจ้อยของฉัน ฉันจะไปที่บ้านในสวน ส่งเสียงเป่าเท่าไรก็ไม่มีใครในบ้านได้ยิน แต่ไก่ หมู เป็ดในเล้า จะร้องกระโต๊ก กระต๊าก อู๊ดอี๊ด ก๊าบกิ๊บ ดังลั่น จนพ่อนึกว่ามีโจรขึ้นบ้าน แต่พอมาเห็นฉัน พ่อก็เดินกลับบ้านไป ปล่อยให้ศิลปินเดี่ยวคาลิเนทต่อไปท่ามกลางเสียงสัตว์ที่คอยเป็นลูกคู่อยู่ไม่ไกลนัก

ฉันเริ่มเล่นเพลงที่ยากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเป่าดังปี๊ดแป๊ด ปู๊ด ก็เล่นเป็นเพลง เริ่มจากเพลงง่ายๆ ที่ครูเคยเอามาสอนเพื่อนๆ ในวง จากนั้นก็เริ่มเล่นเป็นเพลงมากขึ้น เพลงพระราชนิพนธ์เป็นเพลงที่ฉันหัดในเวลาต่อมา ใครจะรู้หรือไม่ว่าเล่นยาก แถมมีเสียงต่ำเสียงสูง ต้องบีบแก้มเป่าจนปวดไปหมดและต้องมีสมาธิในการเล่น

ฉันนึกถึงบีโธเฟ่นที่แต่งเพลงซิมโฟนี่ ฉันว่าก็ไม่ได้แตกต่างกัน ฉันใช่เวลาว่างๆ เวลาที่เหงาๆ ออกมานั่งเป่าปี่เป็นพระอภัยมณีรอนางละเวง ไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่เชื่องช้าเกินไปจนเดินไม่ทันใครๆ ชีวิตง่ายๆ ของอาคิรา

..........................

เมื่อไม่มีรมณ ภรณีดูเปลี่ยนไปอย่างที่ฉันได้บอกไปแล้ว ฉันมีเวลาว่างในวันนี้ ก็เลยถามภรณีถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะคิดว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ภรณีคงลืมไปได้บ้าง

“ณีฉันถามจริงๆ เถอะแกไปทำอะไรให้มณเสียใจจนถึงขนาดตามหึงแกได้ถึงขนาดนั้นมันมีอะไรมากกว่าที่พวกฉันรู้ใช่ไหม”

“อืม” ภรณีเพียงแค่ส่งเสียงผ่านลำคอของเธอเท่านั้น

“หมายความว่าแกกับน้องคนนั้นมีอะไรกันจริง”

“อืม”

“แล้วมณก็จับได้และทนไม่ได้ที่แกเจ้าชู้”

“อืม”

“เฮ้ยไอ้ณีแกตอบอะไรมากกว่าคำว่า อืม ได้ปะวะ”

“ก็จะให้ตอบอะไรเล่า ก็มันจริงทุกอย่างที่แกพูดมา”

“ไอ้ณีทำไมวะทำไมแกมีเพชรดีอยู่ในมือแล้วแกยังไปคว้าเอากรวดมาอีก” ฉันบ่นภรณี

“ก็มณเค้าทำตัวยิ่งกว่าแม่ฉัน แกก็รู้ว่าฉันเคยอิสระ เคยไปไหนต่อไหนได้โดยที่ไม่ต้องขอใคร แกเข้าใจฉันหรือเปล่าวะอา”

“เข้าใจแต่แกทำไมไม่นึกถึงใจของมณบ้างมันรักแกมากนะเว่ย”

“รักที่มีแต่การผูกมัดของมณนะเหรอแก มัดจนฉันกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ จะทำอะไรก็รู้ไปหมดทุกเรื่อง แค่อ้าปากก็แทบจะเอามาประเคนถ้าเคี้ยวให้ได้คงทำให้แล้ว ฉันไม่อยากมีความรักแบบนั้น”

“แล้วไง แกก็เลยนอกใจมณจนมณจับได้ แล้วก็ไม่ไว้ใจแกมาเรื่อยๆ จะไปไหนก็ตามติด เป็นเงาตามตัว”

“ใช่ยิ่งมณทำตัวแบบนั้นฉันก็ยิ่งอยากจะฉีกตัวเองออกมาจากมณมากขึ้นทุกที ฉันอึดอัดทุกครั้งที่อยู่ใกล้มณ ฉันกลายเป็นคนไม่เป็นตัวของตัวเองต้องคอยระเวงว่ามณจะโกรธหรือเปล่า มณจะชอบหรือเปล่า มันอึดอัดจนฉันแทบจะระเบิด พอมีน้องเค้าเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป น้องเค้าใจเย็นน่ารักยิ้มหัวเราะได้ทั้งวัน ฉันจะทำอะไรก็ตามใจฉัน ให้เดินซ้ายก็ไปทางซ้าย ให้เดินขวาก็ไปทางขวา ใครล่ะจะไม่ชอบเป็นใหญ่ ใครล่ะจะไม่ชอบให้คนมาตามใจ ฉันถามแกหน่อยเถอะอาถ้าแกเป็นฉันแกจะทำไง”

คำถามที่ภรณีถามฉันทำเอาฉันอึ้งไปพักใหญ่ จะตอบคำถามของภรณีทันทีว่าฉันจะทำอะไรหรือทำอย่างไรก็ตอบไม่ได้ เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่า หากฉันเป็นภรณี เจอเหตุการณ์แบบภรณีฉันจะทำอย่างไร

“ว่าไงอาแกจะทำไง” ภรณีถามย้ำฉัน

“มันก็ตอบยากมากๆ เลยณี ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฉันเป็นแกฉันจะทำไงแต่ที่แน่ๆ หากว่าพี่ษาทำแบบนั้นฉันก็คงจะคุยกับพี่ษาก่อนว่าฉันอึดอัด”

“ใช่ว่าฉันจะไม่คุยกับมณ ฉันกับมณคุยกันเรื่องนี้บ่อยมากๆ บ่อยจนฉันขี้เกียจจะคุย บ่อยจนเมื่อเราคุยกันไม่ว่าจะครั้งไหนเราก็ต้องทะเลาะกันเป็นประจำ”

“ลิ้นกับฟันกระทบกันมันก็เจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

“มันไม่ใช่แค่นั้นสิอา มณเค้าอารมณ์แรงมากเวลาที่เราทะเลาะกัน มณทำร้าย ตัวเองกรีดตัวเอง”


“เฮ้ยจริงดิ” ฉันค่อนข้างตกใจกับคำบอกเล่าของภรณีเพราะฉันไม่คิดว่าคนเฉยๆ แบบรมณจะกล้าทำร้ายตัวเอง

“จริงสิ ครั้งแรกๆ ที่เราเห็นเราก็เสียใจมากๆ เลยนะอาที่เราทำให้คนที่เรารักต้องเจ็บตัว แต่พอมีครั้งที่สองที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ตามมาเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มจะชิน มณอยากจะทำอะไรก็ทำไป อยากจะกรีดก็กรีดไป พอมีเรื่องฉันก็ออกนอกบ้าน มณก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง พอตอนเช้าฉันก็กลับไปรับมณกับน้องฉันมาโรงเรียนตามปกติ”

“แล้วแกไปอยู่ที่ไหน”

“หอน้อง”

“หา แกไปอยู่กับน้องเค้าแล้วทิ้งมณไว้ที่บ้านนี่นะ”

“อืม”

“ไอ้ณีแกบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย”

“ฉันไม่ได้บ้าเลยอา ฉันไปหอน้องแต่ฉันก็ไม่ได้มีอะไรกับน้องเค้า ฉันแค่อยากไปหาที่สงบๆ ทางใจไม่ต้องวุ่นมายอะไรมาก แต่มณไม่เคยเชื่อฉันเลยว่าฉันกับน้องไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน ฉันรักมณมากนะแก”

“ไหนอ้าปากสิ”

“อ้าทำไมเล่า”

“เอาน่าอ้าปากมา” ภรณีอ้าปากให้ฉันดู

“เออค่อยยังชั่วหน่อยไม่ได้อมพระมาพูด เพราะต่อให้แกอมพระมาฉันก็ไม่เชื่อว่าแกไม่ได้มีอะไรกับน้องเค้าจริงๆ”

“ขนาดแกเองเป็นเพื่อนสนิทฉันแกยังไม่เชื่อเลยเหรอ”

“ก็ใช่นะสิฉันเพื่อนสนิทแกคนนี้แหละที่ไม่เชื่อแกร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อว่าคนเจ้าชู้ไวไฟอย่างแกจะไม่มีอะไรกับน้องเค้าเลยสักนิด”

“เชื่อพี่ณีเถอะค่ะพี่เราสองคนไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เราเป็นพี่น้องกันเท่านั้น” เด็กสาวหน้าใสเรียนอยู่มอสองรุ่นน้องที่ฉันกับภรณีเอ่ยพาดพิงถึงก็พูดสวนกลับมาทันที

กมลชนกเป็นเด็กสาวคนที่เป็นหนามยอกอกของรมณ เด็กคนนี้ท่าทางดูดี น่ารักและร่าเริง สมแล้วที่ภรณีจะอยากอยู่ใกล้ชิดด้วย บุคลิกช่างแตกต่างจากรมณเพื่อนของฉันจริงๆ

“จริงๆ นะคะพี่อา หนูกับพี่ณีไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันมากกว่าคำว่าพี่น้อง”

“แล้วมาบอกพี่ทำไมกันล่ะทำไมไม่บอกพี่มณเค้า”

“หนูพยายามบอกพี่มณหลายหนแล้วแต่พี่มณก็ไม่เคยฟังหนูกับพี่ณีเลย”

“น้องเค้าพูดถูกแล้วอา มณไม่เคยฟังเราสองคนเลยสักครั้ง และไม่เคยเชื่อเรื่องที่ฉันพูดเหมือนที่แกไม่เชื่อฉัน”

“ก็หน้าอย่างแกมันน่าเชื่อถือมากนักนี่หว่า”

“แล้วต้องให้ทำไงมณถึงจะเชื่อฉัน”

“เอางี้ดีกว่าแกลองถามใจแกเองดีกว่าณีว่าแกยังรักมณอยู่จริงๆ หรือเปล่า แกพร้อมที่จะให้อภัยเวลาที่มณหึงหวงแกแบบไม่มีเหตุผลหรือเปล่า ถ้าแกถามใจตัวเองแล้วได้ความว่าแกทำได้ แกค่อยคิดว่าแกจะทำไงให้มณกลับมาคืนดีกับแก ฉันก็คงให้คำปรึกษาแกได้เท่านี้ล่ะเพื่อน”

“ขอบใจนะอา”

“ไม่เป็นไรณี เออแต่ฉันได้ข่าวว่ามณไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครเลยนะแก”

“รู้ได้ไง”

“ตุ๊กตาน้อยบอก”

“อืม ขอบใจนะที่ส่งข่าวเรื่องมณให้ฉันรู้”

“ไม่เป็นไรรู้มาแค่นี้ก็บอกแค่ที่รู้ ฉันกลับบ้านแล้วนะณีเจอกันพรุ่งนี้ บายน้องนก”

“บายเพื่อนเจอกันพรุ่งนี้”

ฉันบอกลาภรณีและกมลชนกมาด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว เรื่องของคนสองคนเมื่อมีมือที่สามเข้ามาเอี่ยวด้วยดูเรื่องมันจะบานปลายใหญ่โตมากจนเกินที่จะแก้ไข

ฉันย้ำกับตัวเองว่าฉันจะใช้ตัวอย่างของภรณีเป็นบทเรียนจะไม่เดินตามทางที่เพื่อนฉันเดินอย่างเด็ดขาด ต่อให้ฟ้าถล่มดินทะลาย หากว่าต้องจากกันทั้งๆ ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องคาราคาซังแบบนี้แน่นอน

................

การสอบปลายภาคในเทอมแรกก็มาถึงฉันตั้งใจอ่านหนังสือและตั้งใจทำข้อสอบ เพราะปีนี้เป็นปีที่ฉันต้องทำคะแนนให้ได้มากๆ สนใจกับการเรียนให้มากกว่าที่เคยเป็น ปีสุดท้ายของการเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้

ฉันสอบสามวันติดกัน ส่วนพี่ภาสอบวันเว้นวัน เราไม่ได้คุยอะไรกันนอกจากไปกินข้าวที่บ้านพร้อมกับพ่อแม่ จากนั้นก็ไปบ้านใครบ้านมัน การที่ฉันแยกออกมาอยู่คนเดียวอย่างอิสระที่บ้านน้ำเงินทำให้ฉันไม่ค่อยได้พูดจากับใครในบ้านมากนัก ไม่ได้ดูโทรทัศน์ ได้แต่ฟังวิทยุรายการโปรดแค่นั้น

ฉันมีหนังสือและดนตรีเป็นเพื่อนยามเหงา มีจดหมายของพี่ษาให้อ่านเมื่อยามคิดถึง แม้ว่าฉันจะได้เจอพี่ษาทุกๆ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ มันก็ไม่ได้ทำให้ความคิดถึงของฉันที่มีต่อพี่ษาลดลงเลย กลับทำให้เราคิดถึงกันมากขึ้น

ภรณีเคยถามฉันว่าฉันเคยมีอะไรกับพี่ษาหรือยัง คำตอบที่ภรณีได้รับก็คือไม่เคย เพราะเราทั้งสองเพียงแค่กอดจูบหอมแก้มกันเท่านั้น ภรณีก็ทำท่าเหมือนที่ฉันทำท่าทางไม่เชื่อเธอเช่นกัน ฉันก็พึ่งเข้าใจว่าทำไมภรณีถึงรู้สึกว่าฉันไม่เข้าใจเธอ เพราะตอนนี้ฉันเองก็กำลังเป็นเหมือนภรณีที่ตัวฉันไม่เชื่อเธอ เหมือนเป็นลูกศรย้อนกลับหรือบูมเมอแรง เมื่อยามขว้างไปแล้วก็วนกลับมา

ฉันเข้าใจภรณีมากขึ้นว่าเมื่อเราพูดอะไรไปแล้วเพื่อนสนิทของเราไม่เชื่อมันมีความรู้สึกแบบไหน จะว่าไปเรื่องแบบนี้ต่อให้ฉันเคยมีอะไรแล้วฉันปากแข็งว่าไม่เคยมี หรือว่าฉันไม่เคยมีอะไรแต่ฉันป่าวประกาศว่าฉันเคยมี ใครๆ ก็อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อฉันก็ได้ใครจะรู้

แต่ที่แน่ๆ ฉันกับพี่ษาไม่ไวไฟเหมือนภรณี ฉันไม่กล้าทำอะไรบู่มบ่ามกระโต๊กกระต๊ากแบบที่ภรณีทำ ฉันกับพี่ษาเราตกลงกันตั้งแต่เริ่มคบกันแล้วว่า เราสองคนพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

ปิดเทอมนี้พี่ษามาอยู่ที่บ้านฉันเหมือนเช่นเคย พี่ภากับพี่ภาเริ่มมีเรื่องคุยกันอีกแล้ว สงสัยว่าสองคนนี้ต้องคิดจะทำอะไรกันอีกแน่ๆ เลย ฉันก็เลยไปแอบฟัง (เป็นนิสันที่พ่อไม่ชอบเอามากๆ ด้วยสิ)

“ภาลองไปสอบ AFS ดูสิน่าไปลองดูนะ”

“แต่เค้าว่ามันสอบยากมากๆ เลยนะษา”

“ไม่ลองไม่รู้นี่ภา เห็นว่าจะสอบตอนภาคปลายแต่ของเราต้องไปสอบที่เชียงใหม่”

“คู่แข่งคงเยอะน่าดูเลยนะษาแค่คิดก็ท้อแล้ว”

“ภาลองไปปรึกษาครูแนะแนวดูสิว่าเค้าว่าไงบ้างไม่แน่นะครูอาจมีอะไรแนะนำเราได้ เดี๋ยวเราก็ว่าจะไปปรึกษาครุแนะแนวเหมือนกัน”

“อืมก็ดีไว้เราไปถามครูตอนเปิดเทอมว่าเค้าสอบอะไรกันบ้าง” จากนั้นสองสาวก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว

“ษานี่โชคดีนะไม่ต้องตัดผม เราสิโดนตัดซะสั้นเลย”

“นั่นสิ ตอนแรกที่เราเห็นภาขำแทบแย่จากผมยาวๆ มาตัดสั้นจู๋แบบนี้”

“ก็โรงเรียนเราไม่ยอมให้ไว้ผมยาว คราวที่แล้วเพื่อนเราไม่ตัดผมลองไว้ผมยาวกะว่าปิดเทอมจะไว้ผมยาวไปเที่ยว แต่พอจะเข้าห้องสอบโดนครูตัดซะสั้นเลย เห็นแล้วสงสารมากๆ”

“ชั่งบังคับขืนใจกันดีจริงเลยเน๊อะ”

“แต่เราก็ว่าดีนะอย่างษาไว้ผมยาวดูเป็นสาวเร็วกว่าเราอีก”

“เราว่าการที่พวกเราไว้ผมยาวหรือว่าผมสั้นมันไม่เกี่ยวกับการที่เราจะเป็นสาวเร็วหรือจะใจแตกเร็วหรือไม่แตกเร็วกว่ากันมากนักหรอกภาว่าจริงไหม”

“ก็จริงอย่างษาก็สวยสาวกว่าเราษายังไม่ใจแตก มีเพื่อนเราบางคนไว้ผมสั้นติดติ่งหู แต่ควงผู้ชายรุ่นพี่ไม่ซ้ำหน้า มันก็อยู่ที่คนอย่างที่ษาบอกนั่นล่ะ”

“นี่ภาดูชุดนี้สิสวยจังเลย” พี่ษาชวนพี่ภาดูเสื้อผ้าแบบใหม่ในหนังสือแฟชั่นที่เธอพึ่งจะซื้อมาจากร้านหนังสือ แล้วก็ติโน่นชมนี่ไปตามเรื่องของสาวๆ ที่คุยกัน

“สาวๆ คุยอะไรกันจ๊ะ” ฉันได้เวลาเปิดตัวที่ยืนฟังอยู่ข้างประตูห้องของพี่ภาแล้วก็เดินเข้าไปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามพี่ษากับพี่ภา

“กำลังดูแฟชั่นกันอยู่อามาดูด้วยกันสิ” พี่ษาชวนฉันให้ดูหนังสือแฟชั่นวัยรุ่นฉบับล่าสุดเล่มนั้น

“หึหึ ไม่ดีกว่า” ฉันส่ายหน้า

“อย่าไปชวนลิงดูเพชรเลยษาถึงดูไปก็ไม่รู้เรื่องหรอกต้องชวนให้ดูกล้วยในเครือว่ากินได้หรือยังต่างหาก”

“โหพี่ภาว่าอาเป็นลิงอีกแล้วนะ หลายหนแล้วด้วย”

“แล้วอาไม่ได้เป็นลิงจริงๆ เหรอ พี่นึกว่าแม่เลี้ยงลิงนะนี่” พี่ภาลอยหน้าลอยตา กวนอวัยวะเบื้องล่างอย่างยิ่งยวด

“อาจะฟ้องแม่ว่าพี่ภาว่าแม่เป็นลิงเลยออกลูกเป็นลิง”

“พี่ไปว่าแม่ตอนไหน เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องแม่เลย พี่ไม่กลัวหรอก แล้วแม่ก็ไม่ฟังคนไม่มีเหตุผลด้วยเอะอะฟ้อง เอะอะฟ้องเช๊อะ”

“ก็อาเป็นลูกแม่ ถ้าอาเป็นลิงแม่ก็ต้องเป็นลิงด้วย แถมพี่ภาก็ต้องเป็นพี่ลิง” ฉันโวยกลับแถมป้ายสีพี่ภาอีกด้วย

“นี่ยายอาอย่ามาเหมารวมนะเราเป็นลิงคนเดียวมาเหมาว่าพี่เป็นด้วยพี่ไม่ยอมหรอกพี่จะฟ้องพ่อ”

“งั้นพี่ภาก็เป็นไก่ ชอบไซ้ขนชอบแต่งตัวยืนโชว์”

“พี่ไปแต่ตัวยืนโชว์เป็นไก่ตรงไหนกัน”

“ก็ไม่เคยได้ยินเหรอเค้าว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง พี่ภาไม่ใช่คนแต่เป็นไก่ อิอิ”

“ยายอามาว่าพี่เดี๋ยวเถอะ” ท่าทางพี่ภาจะฉุนจัดจนควันออกหู

“ที่พี่ภายังว่าอาได้เลย อาว่ากลับแค่นี้ทำโมโหโด่เอ๊ย”

“พอกันเลยทั้งพี่ทั้งน้องไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ” แสงอุษาส่ายหน้าระอาใจกับไก่และลิง สัตว์สองชนิดที่อยู่ด้วยกันที่ไรตีกันขนกระจาย หางกระจุยทุกครั้งไป

... จบบทที่ ๒๔ ...




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:13:43 น.
Counter : 301 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๓

บทที่ ๒๓ ๗.๑๐ น.

เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ฉันคิด มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตของภรณีและรมณ เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก เด็กๆ หลายๆ คนก็จับจองสติ๊กเกอร์รูปหัวใจมาเป็นเจ้าของ ทั้งสีแดงสีม่วง ดอกกุหลาบก็เป็นสินค้าที่ขายดิบขายดี แม่ค้าหัวใสเอาสินค้ามาขายที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่ต้นเดือน เพราะคิดว่าเด็กๆ แบบพวกฉันจะต้องซื้อสินค้าเหล่านี้ไปให้คนที่แอบชอบ คนที่แอบรักอย่างแน่นนอน

ฉันว่าแม่ค้าพ่อค้าเหล่านี้เก่งนะคะที่จะคิดหาช่องทางขายของให้กับบรรดาเด็กๆ ได้ และก็เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เด็กๆ หลายๆ คนซื้อสินค้า อย่างน้อยๆ ก็ซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจคนละใบสองใบ

เรื่องสติ๊กเกอร์กลายเป็นแฟชั่นที่นิยมกันในโรงเรียนของฉัน ใครที่มีหัวใจสีแดง ม่วง เขียว ติดอยู่ตามเสื้อ เน็คไทด์ มากที่สุดแสดงว่าคนๆ นั้นเป็นที่รู้จักและแอบปลื้มของบรรดาน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ

วันนี่เป็นวันแห่งความรัก ๑๔ กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ ราคาดอกไม้ที่เคยถูกๆ ก็ขึ้นราคา จากดอกละบาท สองบาทกลายเป็น ห้าบาทสิบบาท หรือดอกไหนสวยๆ ก็ยี่สิบบาท ฉันคงไม่ลงทุนซื้อดอกไม้แพงๆ แบบนั้นให้คนที่แอบปลื้มแบบใครๆ เขาหรอกค่ะ เพราะเมื่อเช้าฉันแสดงความรักกับทุกคนในครอบครัวด้วยการตื่นเช้ามาทอดใส้กรอก ไข่ดาว หมูแฮม ให้กับทุกคน แถมยังแจกจุ๊บให้กับคนที่ฉันรักอย่างทั่วถึงนั่นรวมถึงพี่ษาด้วยนะ อิอิ

ฉันกับพี่ษาเมื่อเข้ามาในโรงเรียนก็โดนน้องๆ เอาสติกเกอร์เหล่านั้นมาแปะที่อกข้างซ้ายบ้าง แปะที่หลังไหล่บ้าง เป็นเรื่องปกติ เพราะฉันเองก็เอาสติ๊กเกอร์ไปแปะให้พี่ๆ เหมือนกัน มีน้องๆ เอาดอกไม้มาให้พี่ษาตั้งแต่เช้าเช่นเคยเหมือกับทุกปี ฉันได้แต่ยิ้มๆ เมื่อพี่ษาทำท่าเขินกับเหล่าน้องๆ ที่เดินเอาดอกไม้มาให้ ฉันว่าตลกดีออก เมื่อน้องๆ ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ เดินเอาดอกไม้ในมือมายื่นให้พี่ษา แถมทำท่าเขินหน้าแดง

เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นฉันแอบหลงปลื้มพี่ษาฉันจะกล้าทำแบบน้องๆ บ้างหรือเปล่า แต่ละคนเดินเข้ามาแล้วก็ยึกยัก จะให้ดีไม่ให้ดีก็เลยเป็นท่าทางที่คนที่เห็นอดขำไม่ได้

ฉันแยกกับพี่ษาและเข้าแถวอยู่หน้าเสาธง แผลของฉันหายดีแล้วค่ะ ไม่มีอาการเจ็บปวดแบบเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันเดินได้เร็วขึ้น หิ้วของหนักได้ และไปตัดไหมเรียบร้อย คุณหมอคนสวยบอกว่าแผลไม่อักเสบติดเชื้อ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเม็ดฝรั่งไปตกค้างที่ใส้ติ่งอีกต่อไป แต่ฉันก็เข็ดแล้วไม่กินเม็ดฝรั่งที่แสนจะหวานของโปรดของฉันอีก

น้องน่ารักคนหนึ่งเอาดอกไม้มาให้ภรณีที่แถว แล้วก็ยืนบิดไปบิดมาแถมยังผูกติดจดหมายน้อยมาพร้อมกับดอกไม้ดอกโตนั้นด้วย

ฉันขึ้นมาที่ห้องเรียนและนั่งแกะสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออก เอามาแปะไว้กับสมุดว่างๆ เพราะไม่อยากทิ้ง คนเขาอุตส่าห์ให้มาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยก็ยังดี รมณยังคงนั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ ภรณี ไม่พูดไม่จาแถมยังกระแทกฝาโต๊ะดังปังๆ ทำเอาเพื่อนๆ ตกใจเสียงดังนั้นทั้งห้อง

ศสิมาสะกิดฉันให้ดูสองคนที่ปั้นปึ่งกัน แถมกระซิบกระซาบว่า

“สงสัยจะแดงเดือด”

“ใคร” ฉันกระซิบกลับ

“มณ” เป็นอันรู้กันว่าวันนี้รมณอารมณ์บ่อจอย

“กินยาผิดมาแน่ๆ เลยวะ” ศสิมายังกระซิบต่อ เพราะท่าทางรมณจะอารมณ์ไม่ดีจริงๆ เพราะตั้งแต่ชั่วโมงเช้าจนถึงตอนนี้ รมณก็ยังทำหน้าเป็นบลูด๊อก หน้าย่นตั้งแต่เช้า

ในตอนเที่ยงเราก็ลงไปกินข้าวกันตามปกติ ฉันแยกไปกินข้าวกับพี่ภาพี่ษาเพราะเมื่อเช้าแม่ลุกขึ้นมาผัดข้าวให้พวกเรา และเอาใส้กรอกหมูแฮมที่ฉันทำไว้เยอะแยะให้พวกเราเอามากินเป็นข้าวมื้อกลางวันด้วย พอกินเสร็จฉันกำลังจะไปล้างปิ่นโตกับพี่ษาก็ไดยินเสียงเอะอะโวยวายลั่นสนามบาส พอจับใจความได้ว่า

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเห็นมันดีกว่าเราใช่ไหม”

ดูเหมือนว่าจะไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายตรงข้าม ฉันกับพี่ษาที่ล้างปิ่นโตเสร็จแล้วกำลังจะเดินกลับไปที่พี่ภารออยู่ก็ได้ยินเสียงร้องห้ามของใครสักคน

“อย่านะอย่าเล่นแบบนี้นะมันอันตราย”

“ทำไมกลัวมันจะเจ็บงั้นเหรอแล้วเราล่ะไม่เจ็บหรือไง” เสียงนั้นตอบโต้ไปมา

“เอ๊ยพี่ษานั่นเสียงไอ้มณกับไอ้นี่นี่” ฉันหยุดเดินแล้วก็หันไปมองหน้าพี่ษา

บริเวณที่เกิดเหตุต้นเสียงมีคนมุงดูกันมากมาย เหมือนๆ กับใครกำลังเล่นโชว์ฟรีให้ดู ฉันก็กลายเป็นหนึ่งในไทยมุงนั้นด้วย และภาพที่เห็นก็ทำให้ฉันแทบช๊อค

รมณถือมีดคัตเตอร์กำลังจะเชือดแขนตัวเอง และมีน้องคนเมื่อเช้ายืนอยู่หลังภรณี ฉันรีบเข้าไปแย่งมีดในมือของรมณ

“ไอ้มณไอ้บ้าแกรู้ไหมกำลังทำอะไร” ฉันตะโกนด่าเพื่อน

“รู้สิ ก็ฉันมันไม่มีใครรักแล้วนี่อา ฉันมันบ้าไปหลงรักคนเจ้าชู้”

“ไอ้มณแกบ้าไปมากกว่า ที่แกทำมันไม่ได้เรียกว่ารักแล้วเพื่อนมันเข้าขั้นบ้าไปแล้ว” รมณไม่ฟังเสียงฉันกดมีดลงไปที่แขนของเธอ

ฉันเข้าไปแย่งหวังว่าจะได้มีดในมือของเพื่อนการทำอะไรแบบนี้ในยามที่โมโห มันอาจอันตรายถึงชีวิต แต่สิ่งที่ฉันทำกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด จริงอยู่รมณไม่โดนมีดบาดที่แขนของเธอ แต่เมื่อเธอสะบัดปายมีดออกมานอกตัว ปลายมีดแหลมๆ นั้นกลับมากรีดลงที่ฝ่ามือของฉันอย่างจัง มีดตัวการตกลงที่พื้น

“กึ๊ก” ความรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างจิ้มลงที่ฝ่ามือของฉันและเลือดก็อาบไปทั้งมือ

“อา” เสียงพี่ษาตะโกนลั่นแล้วก็รับเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลที่มือของฉันเพื่อห้ามเลือด

“ไปบอกครูเร็วเข้าสิ” พี่ษาตะโกนบอกคนที่มุงดูอยู่

เด็กๆ ที่มุงรีบวิ่งไปบอกครูฉันให้พี่ษาห้ามเลือดได้สักพัก ก็เดินตามพี่ษาไปห้องพยาบาล เลือดยังไหลไม่หยุด หยดเป็นรอยตามทางที่ฉันเดิน

“อาไม่เป็นอะไรนะ” พี่ภาที่รู้ข่าวก็รีบเข้ามาประคองฉันเดินไปห้องพยาบาล

ฉันที่แผลยังชาอยู่ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรพี่นิดเดียวเอง”

แต่พอมาถึงห้องพยาบาลครูบอกว่าคงต้องไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล จากนั้นฉันกับครูพยาบาลและพี่ภาพี่ษาก็ไปโรงพยาบาลกันอีกครั้ง

“ไงจอมซนไปโดนอะไรมาอีก” คุณหมอคนสวยถามเมื่อเห็นหน้าฉัน

“โห ไปโดนอะไรมานี่” เมื่อหมอเห็นแผลก็ต้องร้องอย่างตกใจ

“โดนคัตเตอร์บาดค่ะหมอ” ฉันตอบยิ้มๆ

“หมอฉีดยาชาให้ก่อนดีกว่านะจะได้ไม่เจ็บตอนเย็บแผล” จากนั้นหมอก็ทำการล้างแผล เย็บแผลให้ฉันจนเสร็จ

“แผลเก่ายังไม่หายดี มีแผลใหม่อีกแล้วนะจอมซน” หมอหันมายิ้มให้ฉัน และฉันก็นั่งยิ้มๆ หน้าซีดๆ กลับไป

“ห้ามโดนน้ำสักอาทิตย์นึ่งจนกว่าแผลจะแห้งสนิทแล้วมาตัดไหมนะจอมซน น้องบอกคุณครูด้วยนะไปเอายาแล้วก็กลับได้ ไกลหัวใจตั้งเยอะ ถนัดซ้ายหรือขวา”

“ขวาค่ะ”

“โชคดีไปโดนข้างซ้ายไม่อย่างนั้นเขียนหนังสือไม่ได้แน่ๆ เลย แต่นี่แผลเรานะมันเนเหมือนเส้นชีวิตเลยนะ สงสัยจะมีคนต่ออายุให้เราแล้วสิยาวเชียว” หมอยังแซวฉันต่อไปอีก

ดูเหมือนว่าฉันกับคุณหมอคนสวยจะดวงสมพงษ์กันเหลือเกิน มาโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็เจอแต่คุณหมอคนนี้ทุกทีสิน่า

ฉันกลับมาที่โรงเรียน ศสิมาบอกว่ารมณและภรณีโดนทำทัณบนและเรียกผู้ปกครองไปพบในวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนรมณจะโดนหนักที่สุดเพราะทำให้ฉํนถึงกับเลือดตกยางออก เห็นว่าครูให้ภรณีเจ้าของเรื่องย้ายโรงเรียนในปีหน้า

ฉันเห็นใจเพื่อนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รมณทำตัวอง ฉันยังปวดหนึบๆ ที่แผลตามแรงเต้นของหัวใจ แถมยังต้องแขวนแขนเอาไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่เอามือห้อยลง ความปวดมันจะเพิ่มาเป็นสองเท่า

วันนแห่งความรักสีแดงก็เป็นวันที่ฉันต้องเสียเลือดสังเวยความรักของรมณกับภรณีไปอย่างที่ไม่อยากจะเสีย

............................

ไม่กี่วันต่อมาผลประกาศสอบข้าวของพี่แสงอุษาก็ประกาศออกมาว่าเธอสอบได้แถมยังได้ห้อง King ด้วยสิ ฉันแสดงความดีใจกับเธอ เพราะฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้ พ่อพี่แสงอุษานั้นดีใจยิ่งกว่าพวกฉันหลายเท่านัก ที่ลูกของตัวเองสอบได้ตามที่ตนต้องการ

พี่ษายังขอสัญญาเดิมจากพ่อของเธอว่าจะอยู่บ้านฉันไปจนกว่าจะต้องไปเรียนที่โรงเรียแห่งใหม่ ดูเหมือนว่าพ่อพี่ษาก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี

ใกล้จะสอบปลายภาคแผลฉันที่โดนรมณกรีดที่ฝ่ามือเริ่มจะหายแล้ว เป็นแต่เพียงรอยแดงๆ โชคดีที่ไม่โดนอะไรที่สำคัญ มันจึงเป็นเพียงรอยที่เหมือนกับเส้นลายมือเส้นหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ฉันไม่ติดใจเอาความอะไรกับเพื่อนของฉัน และไม่ใส่ใจที่จะพูดเรื่องนี้

พ่อกับแม่เคยถามฉันว่าไม่โกรธมณหรือที่ทำให้ฉันเจ็บตัว ฉันตอบไปคำเดียวว่า “ไม่” เรื่องทุกอย่างควรจะยุติลง เพราะหากยืดเยื้อออกไปมันก็ไม่ดี

คนในโรงเรียนพูดไปต่างๆ นานาว่ารมณโกรธที่ฉันไปแย่งภรณีไปจากเธอจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกรีดมือฉันจนเป็นแผล ทั้งๆ ที่เรื่องจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด ฉันกับภรณีหรือจะไปรักชอบพอกันได้ ก็ฉันมีพี่แสงอุษาอยู่ทั้งคน

จะว่าไปเรื่องของเราก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่พูดกันมากมาย บางคนบอกว่า

“รักแบบนี้มันรุนแรง รักของพวกลักเพศก็งี้ล่ะ”

บางคนก็บอกว่า “เสียดายความสวย ผู้ชายดีๆ มีตั้งครึ่งโลก ทำไมมาชอบกันเองเสียดายวะ”

บางคนถึงกับมาถามฉันตรงๆ ว่า “สวยก็สวยทำไมคิดเล่นดนตรีไทย”

ฉันฟังแล้วก็จี๊ดขึ้นสมอง อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า “ฉันเป็นแบบนี้มันไปหนักส่วนไหนของคุณหรือเปล่า” แต่ฉันก็ไม่ได้พูดจาอะไร ได้แต่ยิ้มๆ แทนคำตอบ

เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับหรือปฏิเสธจากฉัน เรื่องก็ซาลงไปเอง ฉันสงสารแต่รมณที่จะต้องย้ายโรงเรียน และตอนนี้รมณก็ต้องออกมาอยู่หอข้างนอกเพราะพ่อแม่ของภรณีรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าทั้งสองท่านจะจับแยกรมณและภรณีไปตลอดชีวิดด้วยซ้ำไป

ภรณีโดนจับแยกไปนั่งอีกมุมห้องหนึ่งให้ห่างจากรมณ ทั้งสองคนไม่เคยพูดจากันอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้น ฉันที่เป็นเพื่อนของทั้งคู่เห็นแล้วก็อดสลดใจไม่ได้ ที่เพื่อนรักของฉันทั้งคู่ต้องกลายมาเป็นคู่อริกัน ภาพที่รมณกับภรณีเคยช่วยเหลือกันมันยังคงติดอยู่ในสมองอันน้อยนิดของฉันไม่มีทางลบเลือนหายไปได้หรอกค่ะ ก็ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีของฉันนี่นา

วันสอบไล่ปลายภาคก็มาถึง ฉันตั้งใจสอบเอาจริงเอาจังเพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่า ถึงแม้ว่าฉันจะผิดเพศ ลักเพศ หรืออะไรก็ตาม ฉันก็สามารถที่จะเรียนได้ดี และเก่งกว่าใครๆ ที่ยกหางตัวเองว่าดีเลิศเลอกว่าฉัน และฉันต้องลบคำสบประมาทของใครๆ อีกหลายคนให้ได้ว่า เมื่อฉันกับพี่ษาต้องแยกกันอยู่ เราสองคนจะไม่สามารถที่จะเรียนได้ดี และต้องเสียอนาคตไปในที่สุด หรือไม่ก็เลิกร้างกันไปง่ายๆ เพราะความห่างไกล

สอบเสร็จปีนี้ พ่อแม่ไม่ได้พาพวกเราไปบ้านของปู่แบบทุกปี เพราะพี่ภาต้องสอบเข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด ฉันก็เลยแกร่ว อยู่กับบ้านคนเดียว ฉันไม่ได้เล่นเป็นเด็กๆ แบบเมื่อปีที่แล้ว อาจเป็นเพราะฉันโตขึ้นมากกว่าเดิม

ใครๆ ก็บอกว่าฉันเป็นสาวแล้วใช่สิปีหน้าฉันก็กลายเป็นพี่มอสาม โตที่สุดในโรงเรียนอีกอย่างเมื่อเรียนปีหน้าจบแล้วฉันก็ต้องไปสอบเข้าที่โรงเรียนประจำจังหวัดเหมือนกับพี่ภาหรืออาจไปสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ษาก็ได้ สุดแล้วแต่ว่าฉันจะเลือกเดินทางไหน

วันประกาศผลสอบไล่ หรือวันที่ใครๆ เรียกว่าวันรับสมุดพก ฉันรับมาแล้วก็ต้องกระโดดดีใจ เพราะฉันได้ที่สองของห้อง ฉันได้คะแนนไม่ดีก็แค่วิชาพละ มีเกรดสามอยู่แค่ตัวเดียว นอกนั้นได้สี่หมด มันเป็นความภูมิใจของฉันมากมาย

“พี่ภา อาได้ที่สอง” ฉันวิ่งและร้องตะโกนไปบอกพี่ภาพี่สาวคนเดียวของฉัน

“เก่งมากไอ้น้องรัก ทำได้ดีเยี่ยมไปเลย” พี่ภากัดฟันพูดแถมยังจับแก้มฉันสองข้างดึงแบบที่เธอเคยเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ

“โอ๊ยเจ็บนะ” ฉันร้องเพราะมันเจ็บจริงๆ

“แล้วพี่ภาออะได้ที่เท่าไหร่” ฉันถามกลับบ้าง พี่ภาก็เลยยื่นสมุดพกให้ฉันดู

“โหที่หนึ่งอีกแล้ว คนอะไรวะเรียนเก่งฉิบ” ฉันบ่นพี่สาวของตัวเองฉันไม่เคยสู้อะไรพี่ภาได้เลย ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานบ้านงานเรือน

จะว่าไปการที่มีพี่เรียนเก่งๆ มาตั้งแต่เด็กก็ทำให้ฉันเครียดอยู่เหมือนกัน เพราะใครๆ ก็คาดหวังว่าฉันจะเรียนเก่งแบบพี่สาว เค้าเรียกกันว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว ฉันเคยโดนรูบ่นเรื่องที่ฉันเรียนไม่เก่ง อะไรก็สู้พี่ภาไม่ได้ แล้วก็เคยนึกน้อยใจว่าทำไมฉันถึงเรียนไม่เก่งแบบพี่ภาบ้าง

แต่เมื่อไปบ่นกับพ่อเมื่อหลายปีก่อนโน้น พ่อกลับบอกว่า

“ไม่เป็นไรอา แค่เราเป็นคนดีไม่ทำให้พ่อต้องกลุ้มใจพ่อก็ดีใจแล้ว” แถมพ่อยังบอกอีกว่า

“พ่อเองก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไร อาศัยขยันพอให้สอบผ่านไปวันๆ เรียนเสร็จก็เททิ้งลงถัยขยะหมดพอจะสอบก็มาอ่านใหม่” พ่อให้กำลังใจฉันเสมอมา ไม่เคยตอกย้ำความรู้สึกปมด้อยของฉัน เพราะอย่างน้อยฉันก็มีพวกคือพ่อที่เป็นแบบเดียวกับฉัน

ถึงพ่อจะเรียนไม่เก่ง แต่พ่อก็มีหน้าที่การงานในสังคมที่ดีกว่าใครๆ หลายๆ คน พ่อเป็นคนที่ขยันทำงานและไต่เต้ามาด้วยลำแข้งของพ่อเอง ทั้งปราบโจร จับโจร พ่อทำได้หมด ยกเว้นเรื่องเดียวพ่อแพ้แม่มาตลอด แม่จะเป็นใหญ่ในบ้าน ฉันเคยถามพ่อว่าทำไมไม่เถียงแม่บ้างพ่อบอกฉันว่า

“พ่อกับแม่เคยตกลงกันไว้ว่า เรื่องใหญ่ๆ ในบ้านพ่อค่อยทำค่อยออกความเห็น”

“แล้วทำไมอาไม่เคยเห็นพ่อออกความเห็นในบ้านสักเรื่องเลยล่ะคะ”

“ก็เพราะตั้งแต่พ่อกับแม่แต่งงานกันมาไม่เคยมีเรื่องอะไรใหญ่ๆ เกิดขึ้นในบ้านเราสักเรื่องเลยนะสิอา พ่อก็เลยไม่ออกความคิดเห็นดีกว่า เดี๋ยวแม่เค้าจะหาว่าพ่อก้าวก่ายเรื่องในบ้านของแม่เค้า”

คำตอบของพ่อ ทำให้ฉํนขำ เพราะฉันคิดเสมอว่าพ่อกลัวแม่มาโดยตลอด แต่ที่ไหนได้กลับเป็นเพราะพ่อกับแม่มีการตกลงกันตั้งแต่ตอนก่อนแต่งงานแบบนี้นี่เอง พ่อก็เลยไม่เคยมีปากเสียงกับแม่ อยู่แบบสงบเสงี่ยมเสมอมา เป็นพ่อที่ดีของฉัน เป็นสามีที่ดีของแม่มาโดยตลอด

พี่ษาเดินมาหาพวกฉันที่ยืนคุยกันอยู่สองคนพี่น้องพร้อมกับรอยยิ้ม

“เป็นไงภา อา เกรดดีปะ”

“ของเราก็ปกติ แต่แม่อาสิได้ตั้งที่สองของห้อง” พี่ภาตอบพี่ษา

“โหเก่งจังเด็กน้อยได้ตั้งที่สอง ปีนี้หยุดเรียนไปตั้งหลายวัน ยังเรียนดีอีกนะ สุดยอดจริงๆ เรานี่” แสงอุษาชมอาคิรายิ้มไปชมไป

เธอรู้อยู่แล้วว่าอาคิราเป็นเด็กฉลาด คิดอะไรได้รวดเร็วเพียงแต่ต้องมีคนแนะนำเท่านั้น อาคิราเป็นเด็กที่มีความจำดี แต่บางครั้งก็ไม่คิดที่จะจดจำ บางครั้งเธอสอนอาคิราแค่ครั้งเดียวอาคิราก็จำได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องอ่านหนังสือซ้ำ แบบที่เธอต้องทำ คนมีพรสวรรค์ทำอะไรก็ดูง่ายไปหมด

“ปะไปร้านลูกชิ้นกันไปฉลองกับผลการสอบของเรา” พี่ภาบอกกับพวกเราและเราก็ออกจากโรงเรียนมาพร้อมกัน

ฉันเห็นภรณีกับรมณต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเดิน ภาพที่เห็นมันทำให้ฉันหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

“พี่ภาทำไมคนเราเคนรักกันเป็นลมหายใจเข้าออกของกันและกันถึงได้แยกทางกันง่ายแบบนี้” ฉันสะกิดพี่ภาที่เดินนำหน้าฉันคู่กับพี่ษาให้หันมาดูรมณกับภรณี

“พี่ว่าเรื่องของคนสองคนเราไปตอบอะไรแทนเค้าไม่ได้หรอกอา เรื่องบางเรื่องมันก็คิดแทนใครไม่ได้ ณีกับมณเค้าอาจจะมีอะไรที่เราไม่รู้ เพราะทั้งคู่ก็ไม่ได้บอกเรานี่ว่าเวลาเค้าอยู่ด้วยกันสองคนเค้าทำอะไรกันบ้าง มีความมกดดันกันมากแค่ไหน บางทีนะเค้าอาจจะไม่เคยลงรอยกันมาก่อนก็ได้ เพราะต่างคนก็ต่างถือธิฐิว่าตัวก็หนึ่งในตองอู แต่ในตองอูมีคนเก่งมากมาย ไม่ได้มีแค่คนเดียว”

“แล้วมันไปเกี่ยวกับตองอูตรงไหนกันอะพี่ภา อางงแล้วนี่”

“เอ๊าอา ก็แบบพ่อเราไงเก่งหรือเปล่า”

“เก่ง”

“แล้วแม่เราอะเก่งปะ”

“ก็เก่ง”

“นั่นล่ะ พ่อกับแม่เก่งด้วยกันทั้งคู่เมื่ออยู่นอกบ้านใช่ปะ”

“ใช่ถามทำไมอะ”

“ก็ทั้งพ่อกับแม่เก่งแต่ทำไมพ่อยอมแม่ล่ะอา ก็เพราะพ่อรู้ว่า ถ้าเก่งด้วยกันทั้งคู่ก็ต้องแย่งกัยใหญ่ในบ้านหากว่าใครสักคนยอมกันมาตั้งแต่ต้นเรื่องก็ไม่เกิด แถมยังอยู่กันด้วยความสงบด้วยสิ แม่เองเมื่อพ่ออยู่นอกบ้านก็ไม่เคยข่มว่าพ่อด้อยกว่า ให้เกียรติพ่อเสมอมา แบบนี้ไงเค้าถึงเรียกว่ากิ่งทองใบหยก”

“อ๋อ” ฉันลากเสียงยาวๆ ตอบกลับพี่ภา

“แล้วแม่ก็ไม่เคยหึงหวงพ่อด้วยใช่ปะ”

“ช่ายแล้วน้องรัก แม่ไม่เคยหึงหวงพ่อ ไว้ใจพ่อมาตลอด แต่แม่มีความห่วงพ่อเมื่อพ่อต้องไปทำงานที่เสี่ยง คอยเป็นกำลังใจให้พ่อเสมอมา พี่ยังอยากเอาพ่อกับแม่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเลยอา แต่พี่คงทำได้ไม่เท่าครึ่งของที่แม่กับพ่อทำ ปะหิวๆ แล้วไปกินๆ กันเถอะ” พาภาตัดบทแล้วก็ขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ของเธอบึ่งไปร้านลูกชิ้นข้างวัด ร้านประจำที่เราชอบไปกิน

ฉันนั่งซ้อนรถพี่ษาเพราะมือของฉันแม้ว่าจะหายดีแต่ก็ยังขี่รถไม่สะดวก ยังแอบเจ็บๆ ที่มือบ้างในบางครั้ง ฉันก็เลยกลายเป็นคุณนายนั่งซ้อนรถมีสารถีขับขี่ไปส่งไหนๆ ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ร้านลูกชิ้นเจ้าประจำมีคนนั่งกินอยู่มากมา เราสั่งลูกชิ้นลวกมาครึ่งกิโล กับหมูลวกอีกหนึ่งจานกินแกล้มกับน้ำจิ้มสูตรเด็ดของที่ร้าน พี่ษาไปตักผักต้มมากินแกล้ม ให้หายเผ็ด

“ค่อยๆ เคี้ยวอาไม่ต้องรีบ” พี่ภาเตือนฉัน ที่รีบๆ ลกๆ จับโน่นนี่เข้าปากไม่หยุด ราวกับอดอยากมาจากเอธิโอเปีย

“แล้วเดี๋ยวพี่ภาไปไหน”

“ไปเรียนเปียโน วันนี้จะสอบเล่มหก”

“อ้าวเหรอก็ไม่บอก”

“บอกทำไมเล่าไปสอบเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“เอ๊าก็ไปให้กำลังใจไง จะได้สอบผ่าน”

“ไม่ต้องไปขืนไปพี่เสียสมาธิหมด ไปสอบนะเฟ้ยไม่ได้ไปแข่งขันจะได้มีคนไปเชียร์” พี่ภาโวยวาย

“ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวอาให้พี่ษาไปส่งบ้านก็ได้ พี่ภาไปเถอะ” หลังจากกินลูกชิ้นเจ้าประจำเรียบร้อย ฉันกับพี่ภาก็แยกกันที่สี่แยกไฟแดง พี่ภาเข้าเมืองส่วนฉันกับพี่ษาก็กลับบ้าน

ฉันที่นั่งอยู่ท้ายรถมอเตอร์ไซด์ก็หันไปมองถนนหนทาง ตอนที่ฉันเป็นคนขี่ฉันไม่มีเวลาที่จะมองทางแบบนี้เพราะฉันจะใจจดใจจ่ออยู่กับไฟแดง ฉันเห็นด้านหลังของภาที่ค่อยๆ ไกลออกไปทุกทีจากที่เราแยกกัน ฉันนั่งกอดเอวพี่ษาแน่นกว่าเดิมเพราะรถกำลังแล่นออกจากสี่แยกไฟแดงนั้น

ทางแยกมีอยู่มากมาย หนทางข้างหน้ายังอีกไกล ตอนนี้ฉันกับพี่ษายังคงเดินทางมาในเส้นทางเดียวกัน แต่ใครจะรู้ได้ว่าก่อนที่จะถึงจุดหมาย ถึงตอนนั้น เราสองคนจะได้เดินทางในเส้นทางเดียวกันอีกหรือไม่

เมื่อเวลานั้นมาถึงเราสองคนจะยังรักกันเหมือนกับวันนี้หรือเปล่า

ไม่มีใครรู้ได้ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจณ์

................................

พี่ษาไปมอบตัวและเริ่มเรียนปรับพื้นฐานที่โรงเรียนใหม่แล้ว โรงเรียนพี่ษาเรียนเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่ พี่โทรมาบอกว่าที่โรงเรียนนี้เรียนโหดจริงๆ ครูเข้ามาสอนๆ แล้วก็ให้การบ้าน ทั้งๆ ที่เป็นแค่การปรับพื้นฐานของเด็กๆ แต่ก็โหดใช่เล่น

พี่ษาส่งรูปที่เธอถ่ายในชุดนักเรียนโรงเรียนใหม่มาให้ฉันดู เธอสวยในแบบของเธอ และดูเป็นสาวมากวก่าเดิม พี่ษาบอกว่าใครๆ ที่เรียนโรงเรียนนนี้ก็อยากที่จะสอบเทียบกันทั้งนั้น เพราะใครที่สอบเทียบได้ก็จะมีโอกาสที่จะสอบเข้ามาหาวิทยาลัยได้ก่อนใครๆ ฉันเอาความรู้ใหม่นี้ไปบอกกับพี่ภา

“พี่ภาลองไปสมัครสอบเทียบดูสิน่าลองออก”

“อืมเพื่อนพี่ก็บอกแบบนั้นเหมือนกัน พี่เองก็ว่าจะไปลองสมัครดูแต่ต้องรอให้เปิดเทอมก่อน ผลสอบเข้าโรงเรียนก็ยังไม่ออกมาเลยไว้ได้เรียนก่อนค่อยคิด” พี่ภาบอกฉัน และฉันก็เห็นคล้อยตามที่พี่ภาพูดเหมือนกัน ตอนนี้ พี่ภายังไม่มีโรงเรียนที่จะเรียนเลย จะให้ไปพูดถึงเรื่องสอบเทียบคงจะไกลเกินไป

ฉันยังคิดเลยไปถึงขนาดที่ว่า ถ้าฉันได้เรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ษาฉันคงสนุกมากว่านี้ แต่อย่างฉันจะทำได้แบบพี่ษาหรือ แต่พี่ษาก็ให้ความหวังฉันเสมอมาว่า

“ไม่มีอะไรเกินกว่าความพยายาม”

……………..

และในที่สุดผลการสอบข้าวของพี่ภาก็ออกมาว่าเธอสอบติดหนึ่งในห้าของนักเรียนที่สอบเข้าได้ด้วยสิ เก่งจริงๆ พี่ฉานคริกๆๆ

พ่อกับแม่พาพวกเราไปกินข้าวนอกบ้านเป็นการฉลองการสอบได้ของพี่ภา ฉันก็พลอยมีหน้ามีตากับใครๆ ไปด้วยเพราะมีพี่เก่ง และแน่นอนเปิดเทอมหน้า โรงเรียนก็ต้องมาป่าวประกาศว่าพี่สาวของฉันสอบติดอันดับดีๆ ในโรงเรียนประจำจังหวัด

แถมยังจะเป็นการประกาศโฆษณาไปในตัวให้ใครๆ รู้ว่า โรงเรียนนี้ดีเด็กเรียนเก่ง สอบได้ที่ดีๆ เหมือนเป็นการชักชวนกรายๆ ว่า นี่นะโรงเรียนเด่นดังให้ลูดเธอมาเรียนที่นี่รับรองเริดค้าเริด

พี่ภาไปเรียนปรับพื้นฐานแบบเดียวกับพี่ษาเหมือนกัน ฉํนก็ไม่รู้ว่าการปรับพื้นฐานมันดีในแง่ไหน เห็นนิยมกันจังเรื่องปรับให้เด็กๆ เข้าใจในบทเรียนก่อนที่จะมีการเรียนการสอน

ฉันว่าจริงๆ แล้วเด็กจากที่ไหนๆ ก็เหมือนๆ กัน เพราะต่อให้ปรับให้ตายอย่างไร เด็กไม่เก่งก็ไม่สามารถที่จะเก่งกว่าเด็กที่เรียนเก่งอยู่แล้ว ฉันรู้และเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะฉันเคยเป็นมาแล้วเมื่อตอนที่ต้องไปปรับเข้ามอหนึ่งเมื่อสองปีก่อน ต่อให้เรียนให้ตายฉันก็สู้ขวัญหทัยไม่ได้

แต่เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของเด็กมากกว่า ถ้ามัวแต่คิดว่าสมองดีแล้วไม่ตั้งใจทำการบ้านหรืออ่านหนังสือ ต่อให้สมองดีแค่ไหนก็จบเห่

ฉันเขียนจดหมายติดต่อกับพี่ษาทุกวัน เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะเขียนเหมือนเป็นดาอารี่ประจำวันของเราเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเราให้กันและกันฟัง

ลายมือฉันอ่านยากก็จริงแต่พี่ษาไม่เคยบ่น พี่ษาบอกว่าอ่านยากแค่ไหนก็จะอ่าน เราสองคนก็เลยส่งจดหมายถึงกันทุกวัน และฉันก็จะยิ้มดีใจทุกครั้งที่พี่ไปรษณีย์สุดหล่อเอาจดหมายมาเสียบไว้ที่กล่องรับจดหมายที่หน้ารั้วบ้าน

สิ่งแรกที่ฉันกลับมาจากโรงเรียนและต้องทำก็คือเปิดตู้จดหมายดูว่ามีจดหมายของพี่ษาหรือเปล่าและฉันก็รู้มาว่า จดหมายที่เขียนในวันพฤหัสและศุกร์จะมาถึงในตอนกลางวันของวันจันทร์ คงเพราะพี่ไปรษณีย์ไม่ทำงานเสาร์อาทิตย์ จดหมายก็เลยเว้นช่วงเสาร์และอาทิตย์เสมอๆ

ฉันเริ่มแต่งกลอนส่งไปแทนการเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับพี่ษาได้รับรู้ หนึ่งในกลอนนั้นเขียนว่า

“ห่างเหินแลเหินห่าง ให้อ้างว้างอยู่เดียวดาย
ห่างร้างยามห่างไกล ให้ดวงใจนั้นร้าวราน

ร้อนรนวิ่งวนว่าย ไปในห้วงแห่งละหาน
ร้อนแรงกระแสธาร แห่งความคิดระโหยหา

ใจร้าวแลเจ็บนัก เมื่อคนรักร้างแรมลา
ใจเจ็บแสบดังว่า โดนไฟเผาเร้าร้อนจริง

กายเราและกายเจ้า ต้องผันตามกระแสสินธุ์
กายสองไม่ยลยิน กระแสธารผ่านพัดไป

สองจิตคิดพันผูก เพียงเพราะถูกมัดใจไว้
สองคนเมื่อยามไกล ก็มิได้ใจห่างกัน

ทางไกลให้ได้คิด ผู้พันจิตคิดหมายมั่น
ทางใกล้ใช้ว่าวัน และเวลามิลืมเลือน

แด่พี่ษาสุดที่รักของอาคิรา”

ลิเกไหมจ๊ะอาคิราคนสวย อิอิ

... จบบทที่ ๒๓ ....




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2551 12:44:36 น.
Counter : 344 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๒

บทที่ ๒๒ ๗.๐๕ น.

พ่อพาพี่ษากับพี่ภามาเยี่ยมฉันในตอนเช้า และเอาชุดมาเปลี่ยนให้แม่ ฉันพึ่งเห็นว่าแม่อยู่ในชุดนอนเมื่อคืนทุกคนคงตกใจที่ฉันไม่สบายก็เลยออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า

“วันนี้พ่อโทรไปลางานให้แม่ด้วยนะสักสองวัน”

“จ้าแม่พ่อจะโทรให้บอกว่าลิงที่บ้านไม่สบายต้องนอนโรงพยาบาล”

“พ่ออะว่าอาเป็นลิง โอ๊ย” ฉันพูดงอนๆ พ่อ แล้วก็เสียวแปล๊บที่ท้องของฉันจนต้องร้องออกมา

“เป็นไงว่าพ่อว่าเชื้อกรรมตามสนอง” พ่อยังหันมาพูดเล่นกับฉัน

“ไงอาสมน้ำหน้ากินไปดิเม็ดฝรั่ง กินอีกมะพี่จะซื้อมาฝาก” พี่ภาเหมือนจะเยอะเย้ยฉันอีกแล้วคร๊าบท่าน

“ไม่กิน” ฉันตอบห้วนๆ งอนทั้งพ่อทั้งพี่

“ไปล้อน้องแค่นี้ก็เข็ดจนตายแล้ว” แม่เข้าข้างฉัน

“แม่ก็ภาบอกน้องแล้วนะว่าอย่ากินๆ แต่น้องไม่เชื่อภาเองนี่แม่”

“เออภาบอครูของน้องด้วยนะว่าน้องลาป่วยอาทิตย์นึง”

“ค่ะแม่”

“แล้วเรากับษาก็ไปโรงเรียนได้แล้วเดี๋ยวไปสายถูกทำโทษ แล้วนี่มากันยังไงมากับพ่อหรือว่าเอารถมาเอง”

“มากันเองค่ะแม่ เอารถมาสองคันเพราะตอนเย็นภามีเรียนภาษาอังกฤษ” พี่ภาตอบแม่

“ดีนะคนเราน้องไม่สบายยังมีแก่ใจไปเรียนพิเศษอีก” ฉันยังพอมีแรงกัดพี่ภาอยู่บ้างก็ไม่ละเลิกเมื่อมีช่องทาง

“ก็ใช่นะสิ เรานะมีคนดูแลอยู่แล้ว ต้องห่วงไปทำไมกัน ห่วงตัวเองดีกว่า” พี่ภากระแทกเสียงใส่ฉันกลับมาบ้างเหมือนเป็นการเอาคืน

“พอๆ พี่น้องคู่นี้ไปภาไปโรงเรียนได้แล้ว พ่อก็จะไปทำงานแล้วด้วยเหมือนกัน แม่เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมาเปลี่ยนเฝ้าแทนแม่แล้วกัน เจอกันตอนเย็นนะอาพ่อไปก่อน” พ่อห้ามศึกระหว่างฉันกับพี่ภาและก็หันไปบอกแม่จากนั้น ทั้งหมดก็เปิดประตูออกไปจากห้องคนป่วย

พี่ษาหันมามองหน้าฉันเหมือนบอกว่าเย็นนี้เจอกันนะ ฉันพยักหน้ารับ

หลังจากที่พ่อออกไปไม่นานหมอก็เข้ามาในห้อง

“เป็นไงเด็กน้อยยังปวดแผลอยู่หรือเปล่า”

“ปวดค่ะหมอ เจ็บจี๊ดๆ”

“ต้องลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำบ้างนะ เดี๋ยวหมอจะเอาสายสวนออกแล้ว ตอนกลางวันก็ดื่มน้ำซุปได้ อาหารอ่อนๆ ก็น่าจะได้แล้วพรุ่งนี้ คุณแม่ค่ะถ้าน้องผายลมก็บอกพยาบาลด้วยนะคะ จะได้รู้ว่าลำไส้ทำงานแล้ว”

“ค่ะคุณหมอ”

“อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วคนเก่ง” หมอบอกกับฉัน

“ค่ะหมอ”

“แต่กลับไปก็อย่าพึ่งไปปีนต้นไม้อีกนะเดี๋ยวแผลปริหมอไม่รู้ด้วยน้า”

หมอคนสวยคนเดิมที่เคยรักษาฉันเมื่อตอนที่ตกจากต้นไม้คราวก่อน ยังสัพยอกฉันอีกด้วย หมอคงเห็นฉันเป็นลิงเป็นค่างตามที่พ่อกับแม่เห็นจริงๆ แล้วมังนี่

ฉันได้แต่นั่งหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับอยู่ที่เตียงคนไข้ เจ็บตัวก็เจ็บ เจ็บใจก็เจ็บ ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเป็นคำพูดได้ว่าอย่างไร

ตอนเย็นพี่ษามาหาฉันก่อนใครๆ พร้อมกับพาเอาตัวแสบภรณีกับรมณมาด้วย ดูเหมือนว่าเพื่อนๆ จะแวะมาเยี่ยมฉันไม่ขาดระยะจนทำให้ฉันแทบไม่ได้นอน

ก็จะอะไรซะอีกเล่า ก็ภรณีนะสิ ซื้อใส้กรอกทอดมาแถมกลิ่นยังยั่วน้ำลายของฉันอย่างหนัก แต่สิ่งที่ฉันต้องกินก็แค่น้ำซุปใสๆ เท่านั้น

“ไอ้ณีแกไปไกลๆ ฉันเลยไป” ฉันไล่ภรณีเห็นๆ

“อะไรวะเพื่อนมาเยี่ยมดันมาไล่”

“ก็ที่แกถือติดมือมาด้วยน่ะนะมันยั่วน้ำลายฉันเว่ย” ฉันบอกสาเหตุของการไล่เพื่อนออกจากห้อง

“ทำไมหิวเหรอแกกินสิฉันไม่หวง” ภรณียังมีหน้ายื่นใสกรอกทอดในมือของเธอมาให้ฉัน

“อย่ากินนะอาเดี๋ยวแผลแตก” พี่ษาขัดคอฉันที่กำลังตะบะแตกเพราะใส้กรอกของภรณี

และสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันก็เกิดขึ้น

“ปู๊ดดดดดดดดดดดด” เสียงผายลมของฉันทั้งดังและยาวมากๆ ฉันเองไม่ได้ตั้งใจแต่มันบังคับไม่ได้ อายก็อาย ขายขี้หน้าที่สุดเท่าที่เคยเกิดเป็นอาคิรามาสิบสามปี

“ฮ่าๆๆ ไอ้อาตดเว่ย กร๊ากกกก ตอนนี้แกไม่ไล่ฉัน ฉันก็ไปวะไอ้อา เหม็นเว้ย” ภรณีพูดจบก็วิ่งเปิดประตูออกไปจากห้องคนไข้ แถมยังทำสีหน้าท่าทางว่าเหม็นกลิ่นที่ฉันปล่อยออกมาจนทนไม่ไหว

ขวัญหทัย ศสิมา รวิภา ตุลา สกุนา นิพาดา นันท์นลิน พรสวรรค์ ศุภดา วีรวรรณ กันตา เพื่อนๆ ในกลุ่มเนตรนารีของฉัน และใครๆ อีกหลายคน ที่แวะมาเยี่ยมฉันขำกลิ้งกันไปหมด มันไม่มีกลิ่นอย่างที่ภรณีทำท่าทางหรอกค่ะ แต่เพราะเสียงที่ดังและความนานของการปล่อยออกมาทำให้ภรณีแกล้งให้ฉันหน้าแตก

ฉันจะหัวเราะก็ไม่ได้มันเจ็บแผล ครั้งจะโวยวายก็ใช่ที่เพราะฉันยังมีสภาพไม่เต็มร้อย

และเสียงสวรรค์ของแม่ก็พูดกับพี่ษาว่า

“ษาจ๋าแม่วานอะไรหน่อยสิลูก”

“คะแม่”

“เดินไปบอกคุณพยาบาลที่ว่าน้องผายลมแล้ว เดี๋ยวให้คุณหมอมาดูน้องด้วย”

“ค่ะแม่” พี่ษารับคำแม่แล้วก็เดินออกไปจากห้องไปบอกพยาบาล

“ทำไมต้องบอกพยาบาลด้วยคะแม่” รมณที่ไม่เข้าใจถามแม่ของฉัน

“พอดีหมอบอกว่าถ้าอาปล่อยลมออกมาได้ให้ไปบอกหมอ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอาจเพราะจะดูว่าลำไส้ทำงานแล้วหรือยังมั๊ง เพราะอาเค้าท้องมีแต่ลม ดูสิป่องลมเลย เคาะไปได้ยินเสียงเหมือนกลอง”

“ถ้าท้องอาปล่อยลมได้ขนาดนี้นะค่ะแม่ พุงอาคงเป็นกลองปุนจา หรือไม่ก็กลองศึกแล้วค่ะแม่” รมณเข้าใจเปรียบเทียบ แถมยังทำให้เพื่อนๆ หัวเราะกันครืนอีกรอบ

“ขำอะไรกันขอขำด้วยคนดิ” ภรณีตัวแสบกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับพี่ษา

“ขำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับแกไอ้ตัวยุ่ง” ฉันบ่นภรณี

“เอ๊ะก็อยากขำนี่หว่า มณบอกเราหน่อยดิว่าขำอะไรกัน”

“ขำที่แม่บอกว่าท้องอามีลมเสียงเหมือนกลอง พวกเราเลยว่าถ้าอาปล่อยลมได้ขนาดนั้นคงเป็นกลองปุนจาหรือไม่ก็กลองศึก” รมณบอกที่มาที่ไปของอาการขำของเพื่อนๆ ทั้งหมด

“เออจริงด้วยอา ฉันว่าไม่ใช่แค่กลองศึกอย่างเดียวนะแก อย่างนี้ต้องกลองหลวงแล้วแกเอ๊ย”

ฉันจะขำก็ขำไม่ออก จะโกรธก็โกรธไม่ลง ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน และพูดว่า

“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ณี ฉันหายดีเมื่อไหร่แกตายแน่”

“รับฝากไว้ชั่วชีวิตเลยแกเอ๊ย เพื่อนรักพร้อมเมื่อไหร่ฉันรอแกมาเอาคืนและจะบวกดอกเบี้ยค่าฝากให้ด้วยถ้าแกมีปัญญา” ภรณียังมีหน้ามาท้ารบกับฉันอีกรอบ

ฉันทำอะไรไม่ได้ก็เลยเอนตัวพิงหัวเตียง ประกอบกับคุณหมอคนสวยเดินเข้ามาในห้องเพื่อนๆ ทั้งหมดก็เลยขอตัวกลับบ้าน ปล่อยให้ฉันอยู่กับแม่ พี่ษาและคุณหมอคนสวยเท่านั้น

.............................

เมื่อพ่อกับพี่ภาตามมาสมทบตอนหลัง แม่ก็เตียมตัวกลับบ้าน เพื่อผลัดให้พ่อเป็นคนเฝ้าฉันแทน

“พ่อแม่ค่ะ ถ้าพ่อแม่ไม่ว่าอะไรษาของเฝ้าน้องเอง” พี่ษาบอกพ่อกับแม่

พ่อกับแม่มองหน้ากันแล้วแม่ก็บอกว่า

“ก็ได้ษาเพราะตอนนี้อาการน้องไม่น่าเป็นห่วงอะไรแล้ว จะมียุ่งนิดๆ หน่อยๆ ก็ตอนเดินไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น ษาดูแลน้องได้แน่นะ”

“ค่ะแม่ษาดูแลน้องได้ค่ะแม่” พี่ษาตอบรับคำแม่ท่าทางจริงจัง

“งั้นแม่ฝากน้องไว้กับษาแล้วกันปะพ่อ เรากลับบ้านกันเถอะ” แม่แตะแขนพ่อแล้วก็เดินนำหน้าพ่อออกไปจากห้อง

“ษาเดี๋ยวเราเอาชุดมาให้ษาแล้วกันนะพรุ่งนี้แม่คงมาเปลี่ยนษาแต่เช้า”

“ขอบใจนะภา”

“ไม่เป็นไรเพื่อน ษาเฝ้าน้องไปเราจะได้ไม่ต้องเฝ้าแม่ลิงอา ก็ดีเหมือนกัน แล้วษาทำการบ้านเสร็จหรือยัง”

“ยังเลยแต่เดี๋ยวเราจะทำ”

“อาอย่ากวนษามากนักล่ะรู้ไหมษามีการบ้านต้องทำเข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจแล้วน่าพี่ภาทำอย่างกับอาเป็นเด็กๆ ไปได้ โด่ อารู้หรอกนะอะไรควรอะไรไม่ควร”

“ขอให้จริงเถอะ งั้นเดี๋ยวเรามานะภา จะเอาอะไรอีกหรือเปล่า”

จากนั้นพี่ษาก็บอกรายการที่เธอต้องการให้กับพี่ภาและไม่ลืมสั่งหนังสือและการบ้านที่พี่ษายังไม่ได้ส่งให้พี่ภาเอามาให้พี่ษาด้วย จากนั้นพี่ภาก็กลับบ้าน ไม่นานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับของที่พี่ษาสั่งไม่ขาดตกบกพร่องไปสักรายการเดียว

“นี่ถ้าใครเป็นแฟนภาคงปลื้มน่าดูเลยเน๊อะเรียบร้อยดีจังเลย”

“แฟนเราหรอ ท่าทางจะยังไม่เกิด หรือไมเกิดแล้วก็ยังไม่เจอกัน ไม่โชคดีเหมือนษาเน๊อะได้เจอเนื้อคู่กระดูคู่ตั้งแต่เด็กๆ แต่เราว่าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะษาขืนมาเป็นแฟนยายอาตั้งแต่ตอนนี้ ตอนโตไปจะเสียใจว่าไม่น่าเล๊ย ไม่น่าหลงผิดมาชอบยายนี่เลย”

“เอาน่าไหนๆ ก็หลวมตัวมาแล้วอดหลวมตัวไปอีกหลายๆ ปีจะเป็นไรไป ขอบใจนะภาที่เอาของมาให้เรา”

“ไม่เป็นไรษาเราไปก่อนนะ อาอย่าไปกวนษาล่ะนอนหลับฝันดีทั้งคู่ บั๊ยบาย” พี่ภาพูดจบก็เดินจากไปปล่อยให้ฉันกับพี่ษาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

“พี่ษากินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยพี่ไม่หิว”

“อะนี่พี่ส้มกินรองท้องไปก่อน” ฉันยื่นส้มในตะกร้า ที่เพื่อนแม่เอาเมาเยี่ยมฉันให้กับพี่ษา

“อากินไม่ได้นี่เน๊อะเสียดายจัง”

“หมอบอกว่าสักสองสามวันอาก็กินได้ปกติแล้วพี่แต่ต้องเป็นอาหารอ่อนๆ เท่านั้น”

“อืมพี่ก็ว่างั้น กินอ่อนๆ ไปก่อนดีกว่า เพราะเกิดกินอะไรแข็งๆ ลงไปแล้วใส้แตกอีกจะยุ่งไปเปล่าๆ”

“พี่ษาทำการบ้านเถอะไม่ต้องห่วงอา เดี๋ยวอาอ่านสมุดจดของมณก่อน ไม่ได้ไปเรียนกลัวตามเพื่อนไม่ทันเหมือนกัน” ฉันบอกกับพี่ษาแล้วก็หยิบสมุดจดของรมณขึ้นมาอ่า

ฤดูหนาวก็ยังเหมือนเดิม มืดเร็วเหมือนเดิม อากาศหนาวๆ เหมือนเดิม

สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือตอนนี้ฉันมีร่างกายไม่ครบแบบคนอื่นทั่วไป ฉันหันไปมองขวดเก็บใส้ติ่งที่หมอเอามาให้แม่เก็บไว้เป็นที่ระลึก มองไปแล้วก็ดูน่ากลัว นี่เหรอใส้ติ่งที่ใครบอกว่าไม่มีประโยชน์

ฉันมองไปก็นึกถึงขันทีสมัยโบราณที่ต้องตัดชิ้นส่วนสำคัญของร่างกายออกไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก “เป่าเป้ย” ของขันทีก็คงมีลักษณะคล้ายใส้ติ่งของฉันที่ถูกแช่อยู่ในขวดนี้แน่ๆ เลย

“พี่ษาๆ” ฉันเรียกพี่ษาที่นั่งทำการบ้านอยู่ที่โซฟา

“อาจะเข้าห้องน้ำเหรอ” พี่ษาเดินมาหาฉันที่เตียงแล้วถาม

“เปล่าหรอกพี่ อาจะถามพี่ว่าอาต้องเก็บใส้ติ่งของอาไว้หรือเปล่า”

“ถามทำไมอะ อาอยากเก็บก็เก็บไว้สิ”

“ก็อาเห็นในหนังจีนเวลาที่ขันทีโดนตอนเค้าบอกว่าต้องเก็บเป่าเป้ยไว้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดมาในชาติหน้าไม่ได้ เพราะตอนตายไปไม่ครบร่างกายเดิม อาก็เลยอยากรู้ไง”

“แล้วอาเก็บฟังน้ำนมของอาไว้หรือเปล่า”

“ไม่ได้เก็บแม่ให้เอาฟันบนขุดหลุมฝัง เอาฟันล่างโยนขึ้นไปบนหลังคา พี่ษาถามทำไมเหรอ”

“ก็เพราะมันคงเหมือนฟันมั๊ง อะไรที่เราไม่ได้ใช้มันก็คงไม่ต้องเก็บ แต่เรื่องขันทีมันคงเป็นความเชื่อของคนสมัยนั้นว่าหากมาเท่าไหร่ก็ต้องไปเท่านั้น อีกอย่างเห็นพี่ๆ ที่เค้าไปแปลงเพศ เค้าก็ไม่ได้เก็บอะไรไว้นะ ไม่เห็นเค้าจะกลัวว่าเกิดชาติหน้าจะออกมาไม่ครบอย่างพวกขันทีเลยนี่เน๊อะ”

“นั่นสิพี่” ฉันวางขวดใส้ติ่งไว้บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนเดิมแล้วก็เลิกนึกถึงเรื่องที่โดนตัดใส้ติ่งไป

“พี่ษาๆ” ฉันเรียกพี่ษาอีกครั้ง

“ว่างัยจ๊ะเด็กน้อย”

“อาปวดฉิ้งฉ่องพาอาไปห้องน้ำหน่อยสิ” ฉันขยับตัวจะลุกขึ้นจากเตียงเองแต่พี่ษาก็ห้ามไว้

“ช้าๆ อา รอเดี๋ยว” พี่ษาเข้ามาประคองฉันให้ลุกนั่งบนเตียงตั้งตัวก่อนที่จะลงเดินไปห้องน้ำ พี่ษาเดินประคองฉันเข้ามาและเอาสายน้ำเกลือแขวนไว้ให้ และเดินออกไปยืนรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ

“ไม่ต้องปิดประตูนะอาเสร็จแล้วเรียกพี่”

และในห้องน้ำครั้งนี้ การระบายลมยาวๆ ของฉันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันอดนึกถึงไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งเคยได้ยินคนพูดเสมอว่า ผู้ใหญ่ทำเป็นการระบายลม ถ้าเด็กๆ แบบฉันทำจะเป็นการเสียมารยาท ทำไมต้องมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของเด็กด้วยก็ไม่รู้

ครั้งนี้ไม่มีเสียงหัวเราะของพี่ษาเหมือนเสียงหัวเราะของภรณี พี่ษาที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำเปิดประตูมามองฉันแล้วก็ยิ้มๆ ก่อนที่จะพูดว่า

“ดีขึ้นไหมหายแน่นท้องหรือเปล่า”

“ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะเลยพี่”

“ดีแล้วไม่ต้องเกรงใจพี่นะถ้ามันจะออกมาอีกพี่ไม่ว่าอะไรหรอกพี่เข้าใจ” พี่ษาเข้ามาพยุงฉันออกจากห้องน้ำ และพาไปที่เตียงจัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปที่โซฟาและทำการบ้านต่อ

จากนั้นฉันก็หลับตาลงด้วยความง่วงอีกครั้ง ก่อนจะหลับจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนแม่มาลูบผมที่หน้าผากฉันและจูบที่แก้มฉัน และบอกฉันว่า “หลับฝันดีนะคนดี”

.......................

ฉันหยุดเรียนไปหนึ่งสัปดาห์เพราะฉันไม่มีแรงที่จะลุกเดิน เดินแต่ละครั้งก็เสียวแปล๊บๆ ที่ท้องที่แผล แต่หมอสั่งให้ฉันเดินบ้าง ลำไส้จะได้ทำงานเป็นปกติ แผลผ่าตัดประมานนิ้วกว่าๆ ที่พุงด้านขวาของฉัน ทำให้ฉันไม่สามารถที่จะไปเล่นดนตรีได้อีก

อย่าว่าแต่เล่นดนตรีเลยค่ะ ให้ฉันเดินไปเดินมาฉันยังไม่อยากเดินเลย ปีนี้งานฤดูหนาวฉันก็เลยไม่ได้ไปเล่นอะไรแบบเพื่อนๆ ทำตัวเป็นเด็กเรียบร้อยที่เก็บกด หัวเราะมากๆ ก็ไม่ได้ เจ๊บเจ็บ เดินมากๆ ก็ไม่ได้โคตาระเจ็บ

ฉันกลายเป็น “คนพิเศษ” ไม่ต้องไปเข้าค่ายที่จะมีอีก สองสามวันที่จะถึง ปีนี้ตุลาก็เลยเป็นหัวหน้าหมู่แทนฉัน

เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี ฉันเริ่มเบื่อที่ทำอะไรก็ต้องช้าๆ เดินช้าๆ กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด ที่ต้องทำตามหมอสั่งก็เพราะฉันเข็ดไม่อยากเจ็บตัวซ้ำสอง หมอบอกว่าถ้าแผลปริแล้วเศษอาหารตกลงไปในช่องท้องต้องทำการล้างท้องยุ่งยาก นึกแล้วก็บรื้อๆๆ น้องศรีธนนชัยของจริงแน่ๆ เลยอาคิรา

ฉันได้แต่นั่งมองเพื่อนๆ ซ้อมดนตรีเดินแถวจนเหนื่อยเหงื่อตกไปตามๆ กัน และก็ต้องมองดูเพื่อนๆ เล่นกระโดนหนังยาง ยังโชคดีที่พี่ภากับพี่ษาไม่ทิ้งฉัน หาหนังสือนิยายและการ์ตูนมาให้ฉันอ่านเวลาที่ฉันเบื่อๆ พี่ทั้งสองเอาใจใส่ฉันมากกว่าที่เคยโดยเฉพาะพี่ภา

“วันนี้เราจะกินอะไร โจ๊กอีกหรือเปล่า” พี่ภาถามฉันเมื่อเรากลับมาถึงที่บ้าน

“ไม่เอาอะอาเบื่อแล้ว อาอยากกินข้าวต้มกับไข่เยี่ยวม้า”

“มันมีที่ไหนเล่าไข่เยี่ยวมา มีแต่หมูหยองกับผักกาดกระป๋อง”

“ก็อาไม่อยากกินหมูหยองนี่นา มันเบื่อแล้ว”

“มีอันนี้จะกินอันโน้น มีอันโน้นจะกินอันนู้น คนอะไรวะ” พี่ภาบ่นฉันแต่เธอก็เอารถมอเตอร์ไซด์ออก

“แล้วพี่ภาจะไปไหน”

“ก็จะไปซื้อไข่เยี่ยวม้าไงเล่า จะเอาอะไรกับฉันอีกแม่ตัวดี” พี่ภาตะคอกใส่ฉันแล้วก็ขี่รถออกไปจากบ้าน

“อานี่นะไปแกล้งภา” พี่ษาบ่นฉันอีกคนแล้ว

“ก็อาไม่อยากกินหมูหยองจริงๆ นี่พี่ษา” ฉันนั่งหน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจ (อีกแล้ว)

“ก็ตามใจ แล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จหรือยัง”

“ยังเลยพี่ษา อาเอากลับมาทำที่บ้าน เมื่อกลางวันอ่านนิยายค้างไว้ก็เลยรีบอ่านให้จบ”

“สนใจเรียนบ้างนะเราไม่ใช่อ่านแต่นิยาย”

“แล้วใครอะที่ยืมนิยายมาให้อาอ่าน”

“อะพี่ผิดเองก็ได้ ที่ยืมนิยายมาให้อาอ่าน” พี่ษาคงเริ่มรู้สึกเบื่อเด็กเอาแต่ใจแบบฉันขึ้นมาแล้วบ้างเหมือนกัน

“เสาร์นี้พี่ต้องไปสอบที่เชียงใหม่นะอาคงไม่ได้อยู่กับอาหรอก”

“เหรอว๊าแย่จังเลย พี่ษาใกล้จะไปอยู่เชียงใหม่แล้เหรอ น่าเสียดายจังเลยเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันมันเริ่มน้อยลงทุกทีแล้วเน๊อะพี่ษา”

“ใช่สิอา เพราะฉะนั้นเราสองคนต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่องอย่างทำตัวงี่เง่า เพราะเวลาของเราสองคนมันน้อยลงทุกที”

“ขอให้พี่ษาสอบผ่านนะคะจะได้ไปเรียนสมใจ”

“พี่ยังไม่อยากผ่านเลยอาพี่กลัวจะต้องจากอาไปไกลๆ พี่ไม่อยากจากอาไปไหนจริงๆ นะ”

“นั่นแน่พี่ษางี่เง่าแล้ว” ถึงแม้ในใจของฉันจะรู้สึกท้อใจเมื่อต้องจากไกลกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องทำก็คือให้กำลังใจคนที่ฉันรัก ไม่ให้เธอท้อ

“ภามาแล้วอา กินข้าวได้แล้วเดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้แล้วกัน” พี่ษาเปลี่ยนเรื่องเมื่อได้ยินเสียงรถของพี่ภาเล่นเข้ามาในบ้าน

“เอานี่ไข่เยี่ยวม้าอยากกินนักก็กินซะ แต่อย่ากินเยอะนะเดี๋ยวลมในท้องเยอะอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” พี่ภายังคงเบรกฉันเช่นเดิม

ข้าวมื้อนั้นก็เลยเป็นการกินที่ฉันต้องกินสิ่งที่ไม่ชอบปะปนกับสิ่งที่ชอบไปด้วย

..............

พี่ษาอ่านหนังสือทั้งคืนฉันเห็นแล้วก็รู้สึกเหนื่อยแทน ขนาดฉันอ่านหนังสือนิยายยังรู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้า ลูกตาจนแทบจะหลับอยู่แล้ว

ฉันเดินไปหยิบนมกระป๋องที่มีคนเอามาเยี่ยมฉันเมื่อตอนอยู่โรงพยาลาน นมกระป๋องนี้มีโฆษณาว่าเพื่อคนที่คุณรักและตัวคุณเอง เจาะนมกระป๋องนั้นรินใส่แก้วและยกไปให้พี่ษาดื่ม

“เพื่อคนที่คุณรักและตัวคุณเอง” ฉันยื่นให้พร้อมกับบอกข้อความโฆษณานั้นไปด้วย

“ขอบใจนะอา” พี่ษารับแก้วนมไปดื่ม “แล้วอาไม่ดื่มนมเหรอ”

“ไม่อะพี่อากลัวจะอืดท้อง พี่ษาดื่มแล้วก็อ่านต่อเถอะอาไปนอนแล้ว อย่านอนดึกนักนะพี่เดี๋ยวจะไม่สบายไปก่อนที่จะไปสอบ” ฉันเดินกลับไปที่เตียงนอนและล้มตัวลงนอน

เสียงพี่ษาไอค๊อกๆ แค๊กๆ จนฉันต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

“พี่ษาไม่สบายหรือเปล่า”

“พี่ไอนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองไม่มีอะไรหรอก”

“พี่ษาไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าที่มันหนากว่านี้ใส่บางๆ แบบนี้มันก็หนาวแย่สิพี่” ฉันเห็นพี่ษายังคงนั่งอ่านหนังสือและเธอก็ใส่แค่เสื้อคลุมบางๆ ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาว แถมยังเปิดหน้าต่างให้ลมโกรกเข้ามา หนาวๆ แบบนี้ยังอดทนอ่านหนังสือ

“ไม่เป็นไรหรอกอา นอนต่อเถอะ”

“พี่นั่นแหละมานอนได้แล้ว ไม่ต้องอ่านแล้ว พรุ่งนี้ค่อยตื่นขึ้นมาอ่าน” ฉันฉุดพี่ษาให้ลุกจากเก้าอี้มานอนกับฉันที่เตียง

“อ่านได้แต่อย่าบ้าอ่านนะพี่ษา อ่านแบบพี่สุขภาพเสื่อมหมด นอนเถอะคนดี เรามีเวลานอนกอดกันแบบนี้น้อยลงทุกวันแล้วนะพี่” ฉันบอกคนในอ้อมกอดที่ตัวเย็นเหมือนน้ำแข็ง

“ดูสิตัวเย็นไปหมดเลย ไม่สบายไปจะว่าไงนี่พี่ษา” ฉันบ่น

“อาตัวอุ่นจังเลย” พี่ษากอดฉันแน่นกว่าเดิม

“อุ่นก็กอดอาไว้สิพี่แล้วก็หลับซะ ฝันดีค่ะพี่ษา”

“ฝันดีเด็กน้อย” เราสองคนหลบตาลงพร้อมๆ กัน ฉันถ่ายไออุ่นให้เธอเพื่อให้เธอคลายหนาว ฉันอยากโอบกอดเธอไว้แบบนี้ทุกวัน แต่มันก็คงทำไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่วันเธอก็ต้องจากฉันไป

ฉันไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้ แต่เรื่องที่ฉันคิดมันต้องเป็นเรื่องจริง พี่ษาเรียนเก่งขนาดนี้จะสอบไม่ติดได้อย่างไร ถ้าพี่ษาสอบไม่ติดแสดงว่าพี่ษาตั้งใจที่จะทำให้ไม่ติด

ใจหนึ่งก็อยากให้คนรักอยู่ใกล้ๆ แต่อีกใจก็อยากให้เธอเดินไปตามเส้นทางของพ่อเธอที่ขีดเส้นเอาไว้ เพราะถึงพี่ษาสอบไม่ติดจริงๆ ฉันว่าพ่อพี่ษาก็ต้องทำให้พี่ษาเข้าเรียนในโรงเรียนนั้นจนได้ล่ะน่า เพราะฉันรู้มาว่าพ่อพี่ษามีเส้นสายอยู่ในโรงเรียนนั้นบ้างเหมือนกัน อย่างน้อยพ่อพี่ษาก็เคยเป็นศิษย์เก่าที่นั่นด้วยอาจจะพอมีลู่ทางให้ลูกของเขาได้เข้าเรียนสมใจ

............................

งานกีฬาฤดูหนาวปีนี้มีช้ากว่าทุกปี ฉันไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่นั่งเชียร์เงียบๆ ไม่ลุกไปไหน พี่ษายังคงเป็นเชียร์ลีดเดอร์เหมือนเคย ปีนี้พี่ษาสวยอย่าบอกใคร เป็นสาวกว่าปีที่แล้วมาก ฉันนั่งร้องเพลงเชียร์อยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ

ตุ๊กตาน้อยลงแข่งเหมือนปีที่แล้ว และฉันก็รู้ว่าเธอต้องชนะเหมือนเดิม พี่ปูเจ็บก่อนที่จะลงแข่งขันรายการนี้ พี่ปูบอกว่ากล้ามเนื้อต้นขงคงจะอักเสบเพราะพี่ปูออกกลังมากเกินไป

ปีนี้คนมาเป็นที่หนึ่งก็คงหนีไม่พ้นตุ๊กตาน้อยเพื่อนคนเก่งของฉัน

เพื่อนๆ แสดงดนตรีคั่นเวลาเสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่อัฒจรรย์ ภรณีกับรมณดูจะเครียดๆ ด้วยกันทั้งคู่ รมณบอกว่ามีน้องมาจีบภรณี แล้วก็เอาดอกไม้มาให้ ภรณีก็รับไว้ แถมยังยอมให้น้องหอมแก้มไปด้วย รมณเลยโกรธภรณีเอามากๆ

ภรณีพยายามง้อรมณอยู่นานจนฉันเองก็อ่อนใจแทนภรณี เพราะฉันว่าเพื่อนของฉันไม่ผิดที่มีเด็กๆ มาแอบปลื้ม

อีกอย่างรมณก็ขี้หึงจนออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันแถมยังไปไหนต่อไหนด้วยกัน ตัวติดกันยิ่งกว่าแม่เหล็ก แล้วภรณีจะไปมีโอกาสที่จะนอกใจรมณได้อย่างไรกัน

ฉันเห็นเพื่อนทั้งคู่แล้วก็อยากที่จะเอาค้อนไปทุบที่สำหรับใส่หมวกของทั้งคู่จังเลย ทุบแล้วเอาออกมาดูว่ามีขี้เถ้าอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงได้คิดอะไรแปลกๆ

“แกสองคนนี้นะบ้านก็อยู่ด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน เรียนก็เรียนด้วยกัน ยังจะมาตามหึงตามหวงกันอีก” ฉันบ่นสองเพื่อนซี้

“ก็ณีนะสิอาเล่นให้น้องหอมแก้มต่อหน้าต่อตาเรา”

“แล้วจะให้ไอ้ณีลากน้องไปหอมแก้มในห้องน้ำหรือไงมณ มันทำอะไรให้มณเห็นต่อหน้าอะดีแล้วดีกว่าทำลับๆ ล่อๆ ปกปิด” ฉันเตือนสติเพื่อนรัก

“ใช่ๆๆ อาพูดถูก” ภรณีรีบสนับสนุนคำพูดฉันทันที

“รีบเชียวไอ้กะล่อน”

“ก็ถ้าณีไม่ไปทำท่าทางว่าชอบน้องเค้า เค้าจะกล้ามาหอมแก้มณีเหรอ”

“เราไปทำตอนไหนมณ เพราะเปล่าทำสักหน่อยน้องเค้าเอาดอกไม้มาให้เราเอง แล้วเราก็ไม่ได้ไปแสดงทีท่าว่าเราชอบอะไรน้องเค้าเลย อย่าพูดแบบนี้อีกนะมณเราไม่ชอบ มีอะไรไว้ไปคุยกันที่บ้านดีกว่าเสียงดังแบบนี้อายเค้า”

“ใช่สิ เรามันคิดมากไปเอง เรามันของตายแล้วนี่ณีไม่รักเราแล้วไปรักเด็กๆ ใช่ไหม ก็ดีงั้นเราจะออกจากบ้านณีวันนี้เลยก็ได้ เราจะไปอยู่หอ”

“ไปกันใหญ่แล้วมณ” ฉันรีบห้ามทั้งสองคนให้เลิกทะเลาะกัน กีฬาอะไรไม่ได้ดูทั้งนั้น เพราะตอนนี้ทั้งคู่เถียงกันจนเสียงดัง เด็กๆ น้องๆ หันมามองกันเป็นตาเดียว

ฉันลากทั้งคู่ให้ลงมาจากอัฒจรรย์ก่อนที่น้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ จะรู้เรื่องต่างๆ ไปมากกว่านี้

แน่ล่ะ ฉันไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องของเพื่อนฉันมากมายนัก

การเป็นเรื่องพูดติดปากของคนอื่นในทางที่เสื่อมเสีย เพราะมันจะลือกระฉ่อนแบบที่หงส์หยกเคยโดนมาแล้ว

เรื่องไม่เป็นเรื่องกำลังจะเป็นเรื่องในไม่ช้า ฉันไม่อาจคาดเดาได้ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นทั้งสองคนจะรับมือกับเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร

และพ่อแม่ของทั้งคู่จะรับได้หรือไม่

คำถามที่ฉันเองตอบแทนใครไม่ได้ ที่แน่ๆ กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

....จบบทที่ ๒๒ .....




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2551 8:17:49 น.
Counter : 325 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๑

บทที่ ๒๑ ๗.๐๐ น.

ฉันปรับสีหน้าให้ดูสดชื่นและก็เดินลงไปหาทั้งสามคนที่นั่งคุยกันพร้อมกับการกินแตงโมรอฉันอยู่บริเวณม้าหินอ่อนข้างๆ ห้องอาบน้ำของโรงเรียน

“มาแล้วคนสวยมาแล้ว”

“สวยไม่เสร็จนะสิไอ้อา” ภรณีแย้ง

“ถึงจะสวยไม่เสร็จก็มีคนรักแล้วกันอะโด่”

“ไอ้ขี้โม้เอ๊ย” ภรณีหันมาผลักฉันและฉันก็เซไปปะทะกับพี่ษาแบบไม่ได้ตั้งใจจนพี่ษาเกือบล้มดีที่ฉันคว้าเอวเธอไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงไปคลุกกับพื้น

“นี่ไอ้ณีเล่นแกล้งกันน่ะฉันไม่ว่าหรอกแต่มาทำให้ที่รักเจ็บตัวไปด้วยอภัยไม่ได้เว่ย มาโดนตืบซะดีๆ ไอ้ลุงณีฮ่าๆๆๆ” ฉันกับภรณีวิ่งไล่กันไปจนถึงห้องดนตรีและก็ยังไล่กันไม่เลิกทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็หยิบเอาเครื่องดนตรีของตัวเองลงมาด้านล่างแล้ว

ฉันดูจะเสียเปรียบภรณีอยู่บ้างเพราะเครื่องดนตรีของฉันทั้งหนักทั้งใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน เพราะฉันมีช่วงขาที่ยาวกว่าภรณีมากพอสมควรวิ่งได้ทันอยู่แล้วอย่างสบายๆ

และเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เกิดขึ้น ภรณีระหว่างที่วิ่งหนีฉันเธอทิ้งเปลือกแตงโมชิ้นเล็กๆ ลงที่พื้นเพราะเธอคงจะกินหมดแล้วแต่ยังหาที่ทิ้งไม่ได้ประกอบกับอยู่ในช่วงชุลมุนวิ่งไล่ฟัดเป็นทอมแอนด์เจอรี่กันอยู่ภรณีก็เลยตัดสินใจสละเปลือกแตงโมทิ้งลงพื้นอย่างง่ายดาย

ฉันที่มองไม่เห็นว่ามีเปลือกแตงโมหล่นอยู่เพราะเครื่องดนตรีของฉันบังไว้ก็เหยียบและพลาดลื่นล้มก้นจ้ำเป้าลงไปอย่างจัง ด้วยความห่วงว่าทูบ้าเครื่องดนตรีที่แพงแสนแพงในมือของฉันจะพัง ขณะที่ฉันลื่นล้มสติสัมปชัญญะสุดท้ายของฉันบอกฉันว่าให้ฉันยกแขนข้างที่ถือเครื่องดนตรีขึ้นเหนือศีรษะ และยอมที่จะล้มหงายหลัง

ท่าทางที่ล้มของฉันทำให้ภรณีที่วิ่งหนีฉันและหันหลังกลับมาดูพอดีหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อเธอเห็นฉันไม่ยอมลุกขึ้นมาจากการล้มก็คิดว่าคงจะเจ็บเธอวิ่งกลับมาที่ฉันหยิบเครื่องดนตรีจากมือฉันเอาไปวางข้างๆ ตัวฉัน จากนั้นก็ร้องเรียกรมณให้มาช่วยกันพยุงฉันลุกขึ้น

ฉันนั่งจุกแบบที่เคยเป็นมาแล้วตอนที่ตกมาจากบ้านต้นไม้แต่คราวนี้ฉันไม่ได้ปวดที่ขา แต่มันกลับเจ็บที่ก้นกบ เจ็บเหมือนว่าก้นของฉันจะหักเป็นเสี่ยงๆ

“เป็นไงอากบตัวโตไหมเพื่อนหรือว่าลงไปวัดพื้นโลงวะฮ่าๆๆ” ภรณีขำฉันดูสิเธอทำได้ ไม่ช่วยแล้วยังจะมาถากถาง

“เป็นไงบ้างอาลุกไหวไหม” รมณสิที่ยังพอมีน้ำใจถามฉันขณะที่พยายามจะพยุงฉันขึ้นจากพื้น

ฉันไม่พูดไม่จายกมือโบกเป็นท่าทางบอกว่าไม่ๆๆๆ ฉันไม่ลุก

พี่แสงอุษาเห็นภรณีและรมณรุมฉันอยู่ก็วิ่งมาหาฉันพร้อมกับไม้ดรัมในมือเธอ

“อาเป็นไรนั่งไม่ลุกเจ็บมาหรือเปล่า” พี่แสงอุษาพยุงฉันด้วยสองมือของเธอให้นั่งพิงเธอ

“อามันลื่นล้มพี่ษาไม่รู้ใครเอาเปลือกแตงโมมาทิ้งไว้ อาวิ่งไล่ตามณีแล้วก็ลื่นล้มลงไปดีที่ทูบ้าไม่ตก รักเครื่องดนตรียิ่งชีพ” ภรณีตอบพี่แสงอุษาแทนฉันที่จุกจนพูดไม่ออก

“ดีนะยอมเจ็บดีกว่าเครื่องพัง” พี่แสงอุษาประชดประชันฉันอยู่ด้านหลัง

ฉันที่พอจะพูดได้บ้างแล้วก็อ้อมแอ้มตอบไปทั้งนั่งแอ้งแม้งขาเหยียดมือยันพื้นหมดสภาพไปว่า

“พี่ษาไม่รู้อะไรไอ้นี่มันแพงมากๆ ถ้าเกิดว่ามันพังไปเอาตัวอาไปขายก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมันได้หรือเปล่าเลย” ฉันพยายามจะอธิบาย

“ฮ่าๆๆๆ เออจริงว่ะมันแพงจริงๆ ไอ้อา ดีแล้วที่แกทำแบบนี้เพราะตัวแกขายไม่ได้ราคา หรือแกจะขายมอไซด์คู่ชีพของแกไปเงินยังไม่พอซื้อไอ้บ้านี่ไม่ได้เลย ไอ้พวกความรับผิดชอบสูงก็งี่ล่ะ ฮ่าๆๆ”

ภรณีหัวเราะฉันและเรียกเครื่องดนตรีของฉันว่า “ไอ้บ้า” จะว่าไปเครื่องของฉันมันก็มีชื่อที่ไม่เหมือนใคร ซูซ่าโฟนเพื่อนก็เรียกกันว่า “คอห่าน” บ้างล่ะ “โถส้วม” บ้างล่ะ ถึงฉันจะเปลี่ยนมาเล่นทูบ้าแทนก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องของฉันจะมีชื่อเสียงเรียงนามที่เพราะพริ้งกว่าเครื่องของใคร

ฉันแอบค้อนภรณีวงใหญ่เพราะแทนที่เธอจะเป็นห่วงฉันเธอกลับมานั่งขำความงกของฉันแทนเสียนี่ แถมยังทำให้รมณและพี่แสงอุษาขำตามเธอไปด้วย

มันน่านักภรณี มันน่าจะให้มาลื่นพร้อมฉันดูสิว่าจะทำแบบเดียวกันกับฉันหรือเปล่า

กว่าฉันจะลุกขึ้นมาได้ก็ต้องทำใจอยู่นาน ครูเห็นฉันเดินกระโผลกกระเผลกก็เลยถามว่าไปทำอะไรมา ฉันตอบได้คำเดียวว่าลื่นล้ม จากนั้นฉันก็เป็นคนเดียวที่ซ้อมแถวแบบไม่ต้องพบหรือแบกเครื่องดนตรีติดตัวเหมือนใครๆ เดินตัวปลิวจนใครๆ อิจฉา

อาการเคล็ดขัดยอกของฉันหมดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่อาการเคล็ดขัดใจในตัวภรณีของฉันยังกรุ่นอยู่ข้างใน แค้นนี้เมื่อไหร่ชำระได้ อาคิราไม่มีทางปล่อยผ่านอย่างแน่นอน

ไม่นานนักสวรรค์ก็สร้างสถานการณ์ให้กับจอมยุทธ์อย่างอาคิราให้แก้แค้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แค้นที่ต้องการชำระก็ได้บังเกิดหนทางแห่งการล้างแค้น เมื่อคู่ต่อสู่เพลี้ยงพล้ำ มีหรือที่อริอย่างอาคิราจะไม่กระหน่ำซ้ำซัด

หลังเลิกซ้อมทุกคนก็เอาเครื่องดนตรีไปเก็บที่ห้องพร้อมๆ กับทำความสะอาดเหมือนเช่นทุกครั้ง ฉันนั่งเช็ดเครื่องและหยอดน้ำมันในสูบอยู่ดีๆ ภรณีก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องเครื่องดนตรีของเธอที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว

ส่วนฉันยังเช็ดไม่เสร็จ เพราะกว่าจะลงบลาสโซกว่าจะเช็ดออก กว่าจะหยอดน้ำมัน กินเวลาไปมากเหมือนกัน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำน้ำมันหล่อลื่นสูบหกเปื้อนที่พื้นห้องหรอกนะจะบอกให้ ก็เพราะว่าฉันยังทำอะไรไม่เสร็จก็เลยปล่อยให้น้ำมันยังคงหยดอยู่ที่พื้นไม่ได้เช็ดออก อีกอย่างฉันเองก็นั่งอยู่ตรงนั้นคงไม่มีใครตาถั่วมาลื่นต่อหน้าต่อตาของฉันได้หรอก

ภรณีชูกล่องเครื่องของเธอให้ฉันดูว่าเธอจัดการเรียบร้อย ประหนึ่งว่าจะเยาะเย้ยถากถางฉันกลายๆ ว่าเชื่องช้าเป็นเต่า ฉันก็ยิ้มๆ และลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะจัดเก็บอุปกรณ์ลงกล่องอย่างที่เคยทำ ฉันโชคดีหน่อยที่ไม่ต้องแบกเครื่องไปวางไว้บนชั้นจัดเก็บแบบเพื่อนคนอื่นๆ

อาจเป็นเพราะครูเห็นว่าเครื่องของฉันใหญ่เกินไปที่จะเอาไปวางที่ชั้นเก็บ มันจึงไปซุกอยู่ที่ซอกหลืบข้างๆ ชั้นวางด้านหนึ่ง ภรณีแกว่งกล่องเครื่องไปมาพร้อมๆ กับเต้นเบรคด๊านซ์ไปด้วย

ใครๆ ก็รู้ว่าภรณีเป็นนักเต้นที่เก่งเข้าขั้น บอยจ๊อร์จก็บอยจ๊อร์จเถอะไหนจะสู้ภรณีเพื่อนฉันคนนี้ได้ เธอเต้นเข้ามาใกล้ๆ ฉัน และสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น

ภรณีลื่นล้มเสียงดังปั๊ก!!! ลั่นห้องทำให้เพื่อนๆ ที่กำลังทยอยกันเก็บเครื่องหันมามองกันเป็นตาเดียว ด้วยพื้นที่ห้องดนตรีก็ถูขัดจนมันวับ แถมยังมีน้ำมันหล่อลื่นสูบของฉันเป็นตัวช่วยให้ความลื่นเพิ่มมากขึ้นภรณีที่มัวเอาแต่เต้นไปเต้นมาไม่ได้มองที่พื้นจึงลื่นล้มอย่างง่ายดาย

ภาพที่เห็นก็คือภรณียกกล่องเครื่องไว้เหนือศรีษะ และลงไปนอนราบขาข้างหนึ่งพับอีกข้างหนึ่งเหยียด ไม่ต่างอะไรกับฉันเมื่อตอนบ่าย เป็นการรีเพลย์ภาพที่เหมือนกันราวกับแกะ

“ฮ่าๆๆๆ เป็นไงไอ้ณีกบตัวโตไหม” ฉันเดินไปหาภรณีและหยิบกล่องในมือเธอที่ชูไว้เหนือศีรษะมาถือไว้ที่มือของตัวเอง ก้อนที่จะจับกล่องนั้นเก็บไว้ที่ชั้นวางอย่างเรียบร้อย

ภรณีท่าทางไม่ได้แตกต่างไปจากฉัน ภรณีนั่งจุกพูดไม่ออก แถมยังส่งสายตาเว้าวอนให้ฉันช่วยเธอ แต่ฉันก็ช้ากว่ารมณที่เข้ามาหาภรณีรวดเร็วราวกับหน่วยกู้ภัยของพี่ปอกับพี่ร่วมที่ดังระเบิดระเบ้อในกรุงเทพ

“เป็นไงบ้างณีเจ็บมากไหม แล้วล้มลงไปได้ไงนี่” ท่าทางของรมณไม่ได้แตกต่างกับพี่แสงอุษาอีกเช่นกัน รมณคอยช่วยภรณีให้ลุกขึ้นนั่งและประคองภรณีไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ เรียกได้ว่าอังศุมาลินกับโกโบริยังสู้ภรณีกับรมณไม่ได้

ฉันมองที่พื้นต้นเหตุของการลื่นล้มของภรณีแล้วก็รีบเอากระดาษทิสชู่เช็ดน้ำมันหล่อลื่นที่พื้นก่อนที่ใครจะมาลื่นล้มอีกเป็นคนที่สองต่อจากภรณี

“เป็นไงล่ะไอ้ณีคราวนี้รู้หรือยังว่าจุกจนพูดไม่ออกมันเป็นแบบไหน เค้าเรียกกงกำกงเกวียนเว่ยเพื่อนรัก” ฉันอดแขวะภรณีไม่ได้

ถึงใครจะว่าฉันว่าโหดไม่รักเพื่อน แต่ของแบบนี้ไม่โดนกับตัวไม่รู้หรอกค่ะว่า

สะใจแค่ไหน ฮิ้ว.........

.........

พูดถึงเรื่องเปลือกแตงโม พวกฉันชอบเอามาเล่นกันแทนรองเท้าสเก็ต เนื่องจากว่ารองเท้าสเก็ตสี่ล้อหมุนๆ มันมีราคาแพงเอามากๆ

โรงเรียนของเราจะขายแตงโมที่ปลอกแล้วแต่ยังมีเปลือกติดอยู่ว่ากันว่ามันง่ายเมื่อจะขายเป็นชิ้นๆ และราคาไม่แพงชิ้นละห้าสิบสตางค์

เมื่อเรากินแตงโมเสร็จก็จะมีเปลือกเหลืออยู่ พวกเราจะเลือกพื้นที่เป็นซีเม็นต์ขัดมัน โดยเฉพาะสนามบาส เอาเปลือกแตงโมมาวางที่พื้นและเหยียบไปบนนั้นเล่นให้ลื่นๆ ไปตามพื้น ใครที่ทรงตัวอยู่ได้นานๆ หรือสเก็ตไปไกลๆ ได้ก็คือผู้ชนะ

สนุกแบบคนไร้สตางค์ถึงแม้ไม่มีรองเท้าสเก็ตคู่แพงลิบลิ่วเราก็สเก็ตกันได้ เมื่อมีผู้นำก็ต้องมีผู้ตาม สนามบาสเลอะเทอะไปหมด ครูต้องให้พวกที่เล่นเอาน้ำมาล้างสนามบาสกลางแจ้งทุกวันเพราะไม่อย่างนั้นมดก็จะเดินพาเรดมาที่สนามยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

พอโดนทำโทษล้างสนามมากๆ เข้าการเล่นของเราก็เลิกไปโดยปริยาย แต่จะย้ายไปเล่นที่ระเบียงหน้าห้องที่ขัดจนเงาวับ เดินแต่ละครั้งก็ต้องจิกปลายเท้าเดิน

เมื่อวันไหนอยากเล่นเราก็จะเอาผ้ามารองไว้ที่ถุงเท้าเล่นลื่นไถลไปมากันอย่างสนุกสนาน ตั้งหลักที่มุมระเบียงด้านหนึ่งวิ่งถลาไปอีกด้านหนึ่ง ล้มบ้างลื่นบ้างแล้วแต่ว่าใครจะทรงตัวได้ดีกว่ากัน

เมื่อเราเล่นกันมากๆ เข้าก็มีกฎห้ามวิ่งเล่นบริเวณระเบียงห้องขึ้นมาอีกข้อ ไหนเลยวัยรุ่นอย่างเราจะยอมแพ้ ยังคงหาเรื่องเล่นแบบลื่นๆ ไปอีกเรื่อยๆ

สุดท้ายพวกฉันก็ช่วยกันหาเรื่องใส่ตัวเพราะ มีอยู่วันหนึ่งขวัญหทัยเธอมีเวรที่จะต้องลงขี้ผึ้งที่พื้น พวกฉันด้วยความหวังดีไปช่วนเธอขัด ด้วยวิธีการเล่นลื่นของพวกเรา

แต่จะด้วยอะไรก็ไม่รู้ได้ขวัญหทัยลื่นล้มหัวฟาดพื้นต้องเย็บไปหลายเข็ม จากนั้นกฎที่เคยมีไว้ก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเราไม่สามารถฝืนได้เพราะว่าหากฝืนเมื่อไรเราก็จะโดนตีคนละหนึ่งโหล ใครจะอยากเจ็บตัวเพราะการละเล่นของตัวเอง เราก็เลยต้องเลิกเล่นไปตั้งแต่ขวัญหทัยต้องเจ็บตัวตั้งแต่นั้นมา

เมื่อไม่ได้เล่นอย่างหนึ่งก็มีอีกอย่างหนึ่งให้เล่นต่อไป การเล่นกระโดดหนังยางเริ่มเป็นที่นิยมกันในหมู่พวกเราอีกครั้ง เด็กๆ บ้าพลังแบบพวกฉันมีหรือจะหยุดเล่น ต่อให้ใครเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ฟงแฟนลืมชื่อไปหมดเมื่อยามได้เล่นแบบเด็กๆ ตามวัย

ฉันกับภรณีเราตกลงกันว่าจะช่วยกันร้อยหนังยางมาเล่นกระโดดเชือก ในวันว่างๆ ของพวกเรา จะว่ากิจกรรมนี้ไม่มีเพื่อนเล่นเลยก็ไม่ใช่ มีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก จะมีลิงอยู่ไม่กี่คนที่เล่นได้แบบพวกฉัน แต่โดยส่วนใหญ่พอถึงท่าที่ต้องชูแขนขึ้นสูงๆ ก็หมดแรงกระโดดกันแล้ว

งานกีฬาฤดูหนาวก็เข้ามาเยือนอีกครั้งครูจับพวกฉันที่ชอบกระโดดหนังยางไปเล่นกระโดดสูงแทน ครูบอกอีกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจะเล่นเป็นลิงเป็นค่างกันแบบไม่มีประโยชน์ทำไมกัน จับไปกระโดดสูงเลยดีกว่า

ครูยังบอกอีกว่าปีนี้พี่ปูจะเล่นกีฬาให้โรงเรียนของเราเป็นปีสุดท้ายแล้วต่อไปจากนี้ครูต้องปั้นนักกีฬาคนใหม่มาแทนพี่ปู ฉันว่าถึงจะปั้นอย่างไรก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับฉัน

ครูจับพวกฉันและเพื่อนๆ น้องๆ อีกหลายคนมาซ้อมกระโดดสูง กระโดดไกล ทุ่มน้ำหนัก ขว้างจักร พุ่งแหลน และวิ่ง ฉันคิดถึงตุ๊กตาน้อยเพื่อนรักในอดีตที่เธอต้องมาซ้อมกีฬาทุกวัน วิ่งทุกวัน แค่ฉันวิ่งนิดๆ ก็เหนื่อยแล้ว เวลาเล่นกับเวลาซ้อมกีฬาให้ความรู้สึกแต่กต่างกันมากมายเหลือเกิน

ตอนเล่นมีแต่ความสนุกครึกครื้น จะเล่นแบบไหนก็ได้โกงอะไรก็ได้ เพราะนั่นก็คือเพื่อนของเรา แต่เวลาซ้อมกีฬามันกลับโหดมากกว่าเล่น ต้องจริงจัง ต้องทำให้ได้ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้กฏเกณฑ์มากมายจนฉันเวียนหัวไปหมด

ฉันมักชอบคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกแต่ในความเป็นจริงฉันก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความฝันอยู่ในโลกของจินตนาการ เรียกได้ว่าฉันเอาดีทางด้านกีฬาอะไรไม่ได้เลย

สมัยก่อนฉันอยากเป็นจุงโคชิกะแบบในละครที่เด็กๆ แบบฉันติดกันงอมแงม “ยอดหญิงชิงโอลิมปิค” แต่ฉันก็เล่นวอลเล่ย์บอลได้ห่วยมากๆ เสริ์ฟยังไม่ข้ามเนท อย่าว่าแต่รับลูกตบเลยแค่รับลูกที่ข้ามตาข่ายมาธรรมดาๆ ฉันยังรับกระฉอกออกไปนอกสนามให้เพื่อนๆ ต้องตามเก็บกันจ้าละหวั่น พี่ภาเคยล้อฉันเล่นว่าอย่างฉันต้องไปเล่นลิเกจะเหมาะสมที่สุด

ตอนนี้ฉันชักจะเชื่อพี่ภาแล้วสิว่าฉังคงเหมาะกับการเล่นลิเกจริงๆ

..........................

ฉันไม่ผ่านการตัดตัวเป็นนักกีฬาของโรงเรียนใช่ว่าฉันจะเสียใจนะคะ ฉันดีใจแทบเนื้อเต้นที่ไม่ต้องไปซ้อมกีฬาอีก พี่ภาดูเหมือนว่าจะรู้ว่าฉันไม่ชอบเล่นกีฬาจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้

“ไงอาไม่ผ่านการตัดตัวเสียใจปะ” พี่ภาถามฉันที่นั่งจุมปุ๊กอยู่ข้างๆ สนาม

“ใครว่าเสียใจพี่ภาอาดีใจมากต่างหากเล่า”

“โอ๊ะ ลิงอาดีใจที่ไม่ผ่านการตัดตัวเป็นไปได้ไง”

“เป็นไปได้สิพี่ภา ก็อาไม่อยากเหนื่อยซ้อมกีฬานี่”

“แล้วถ้าไม่เล่นกีฬาอาจะไปทำอะไร”

“ไม่รู้สิพี่แต่อาไม่อยากไปวิ่งๆ แบบนั้นมันจุกไง”

“กินน้ำไปเยอะสิถึงได้จุก”

“เปล่าหรอกไม่ได้กินน้ำเยอะ”

“แล้วทำไมจุก”

“อาพึ่งกินขนมมาไงพี่เมื่อกี้มณเอาฝรั่งที่บ้านสวนมาแบ่งให้ก็เลยกินไปตั้งหลายลูก”

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงพี่ภาหัวเราะฉันดังไปทั่ว

“ขำอะไรเล่า แค่คนจุกทำเป็นขำไปได้”

“ก็ขำนักกีฬาตกรอบนั่งจุก คนเรานะเห็นแก่กินจนเสียงานเสียการหมด”

“ก็คนมันชอบกินขนมนี่นา แค่กินแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกน่าพี่ภา”

“ไม่ตายร๊อก แค่จุกแค่นั้นเอ๊ง”

“เออขอให้จริงเถอะ จุกๆ แบบนี้ระวังเถอะจะเป็นโรค”

“เอ๊ามาแช่งชักหักกระดูกน้องได้ไงกันพี่ภา”

“เปล่าแช่งแต่เราก็ระวังไว้ด้วยแล้วกัน ชอบนักกินเม็ดฝรั่ง กลืนเม็ดมะยม ใครเค้าบ้ากินลงไปแบบนั้น”

“ก็คนมันชอบกินเม็ดฝรั่งนี่นาหวานกว่าเนื้อฝรั่งตั้งเยอะ อีกอย่างก็ขี้เกียจบุ้ยเม็ดมะยมกลืนๆ ลงไปมันอร่อยอย่าบอกใครเชียว” ฉันยังคงเถียงพี่ภา

แล้วเรื่องที่พี่ภาบ่นฉันก็เกิดขึ้นจริงๆ คืนนั้นฉันนอนปวดท้องแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้ เหงื่อไหลออกมาเต็มตัวไปหมด

“อาเป็นอะไรหรือเปล่า” พี่ษาได้ยินเสียงครางฮือๆ ของฉันก็สะดุ้งตื่น

“อาเป็นอะไร”

“อาปวดท้องพี่ษาปวดไปหมดเลย เจ็ยจังเลย” ฉันบอกกับพี่ษา

พี่ษาเอามือแตะที่ท้องของฉันแล้วก็มีเสียงร้องออกมาจากปากฉัน

“โอ๊ยเจ็บ” ฉันร้องเสียงดังลั่นบ้าน

“เดี๋ยวพี่มานะอา”

แสงอุษาวิ่งไปที่บ้านใหญ่ เคาะประตูเรียก สักพักอวภาก็เดินมาเปิดประตู

“ภาอาไม่สบายปวดท้องร้องใหญ่เลย”

“ตายล่ะหว่า นี่พูเล่นๆ อาปวดท้องจริงๆ เหรอนี่” อวภาอุทานด้วยความตกใจ

“ทำไมเหรออาไปทำอะไรมา”

“ก็อานะสิกินเม็ดฝรั่งไปตั้งหลายลูกเตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังสงสัยจะเป็นใส้ติ่งแน่ๆ เลย เดี๋ยวนะเราไปบอกพ่อก่อนให้พาอาไปหาหมอ”

จากนั้นอวภาส์ก็ไปบอกบิดาของเธอให้พาอาคิราไปส่งโรงพยาบาล

....................

บนรถเข็นของโรงพยาบาลที่เข็นพาอาคิราไปตามทางเข้าห้องฉุกเฉิน มีทั้งพ่อแม่พี่และแสงอุษาเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง

“ญาติรอข้างนอกนะค่ะ” พยาบาลสาวสวยเอ่ยบอกกับคนทั้งสี่คน

“อาจะเป็นอะไรมากไหมนี่” แสงอุษาพูดอย่างร้อนรน

“ไม่เป็นอะไรหรอกอย่างมากก็ท้องอืดเพราะเกินเยอะไม่ก็ใส้ติ่งอักเสบ” แม่ตอบแสงอุษา

รออยู่สักพักใหญ่หมอก็ออกมาบอกว่า

“เด็กเป็นใส้ติ่งอักเสบค่ะคงต้องผ่าตัดเด็กกินข้าวมื้อเย็นไปตอนกี่โมงค่ะ” หมอหันมาถามแม่

“ไม่ได้กินค่ะ เอไม่แนใจ ษาน้องกินข้าวไปหรือเปล่าลูก”

“ไม่ได้กินค่ะแม่อาบอกว่าอืดๆ ก็เลยไม่ยอมดื่มนมแล้วก็ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น”

“งั้นก็คงเกินหกชั่วโมงแล้วเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะค่ะ”

จากนั้นหมอก็หายไปอีกให้พวกเรายืนรออยู่หน้าห้อง แล้วก็มีพยาบาลเอาเอกสารยินยอมการผ่าตัดมาให้พ่อกับแม่เซ็น

“ยายอาจะขึ้นเขียงจริงๆ เหรอคะแม่” อวภาส์ถามแม่เพราะเธอรู้สึกเจ็บแทนน้องสาวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงว่าน้องสาวคนเดียวของเธอต้องขึ้นเขียงโดนหมอเอามีดกรีดลงไปที่ท้อง ควักใส้ออกมาแล้วตัดใส้ติ่งทิ้ง

“อืมต้องผ่าจริงๆ แล้วนี่น้องไปกินอะไรมาภารู้บ้างหรือเปล่า” พ่อถามอวภาส์

“น้องบอกว่ากินฝรั่งไปค่ะพ่อน่าจะหลายลูกด้วย ไม่น่าเล๊ยอาเตือนแล้วก็ไม่ฟัง”

“อืมเหรอไปนั่งรอกันที่เก้าอี้ดีกว่าคิดว่าอีกนานกว่าจะผ่าเสร็จ” พ่อพยักหน้ารับรู้แล้วพวกเราก็ไปหาที่นั่งรอ

เรารอจนหมอเข็นอาคิราออกจากห้องผ่าตัด เห็นอาคิราหลับมีสายน้ำเกลือ ติดอยู่ที่แขนของน้องอาคิราไม่เคยเป็นโรคร้ายแรงอะไรมาตั้งแต่เล็กๆ หวัดก็นานๆ จะเป็นสักครั้ง อาคิราแข็งแรงจนฉันที่เป็นพี่สาวนึกอิจฉา

พ่อบอกเสมอๆ ว่าอาเป็นเด็กแข็งแรงกินดินกินหินมาแต่เล็กแต่น้อยภูมิคุ้มกันสูงกว่าฉันที่เป็นเด็กไม่ค่อยจะแข็งแรงโดนลมโดนฝนนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นไข้ไปหลายวัน

อาคิราถึงแม้ว่าจะชอบเล่นคลุกฝุ่นคลุกดิน แต่เธอก็ไม่ได้เป็นเด็กสกปรก อาบน้ำแต่ละครั้งถ้าไม่นานเป็นชั่วโมง ก็ต้องมีฉันซึ่งเป็นพี่สาวคนเดียวคอยขัดขี้ไคลให้ อาบน้ำเสร็จก็ประแป้งแก้มขาวเป็นแมว เที่ยวเอามาให้ใครต่อใครได้ดมว่าเธออาบน้ำแล้ว หอมแล้ว

แม่ยังเคยบอกกับฉันว่าดีนะที่ไม่ได้บอกให้ฉํนอาบน้ำล้างใส้ล้างพุงให้น้องแบบศรีธนนชัย เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงจับน้องผ่าใส้ ควักใส้น้องอออกมาล้างน้ำ ก่อนที่จะเอาใส้ทั้งหมดเข้าไปเก็บที่เดิม

“แม่ค่ะแล้วอาจะเป็นแบบน้องของศรีธนนชัยหรือเปล่า”

“ไม่หรอกลูก หมอแค่ตัดใส้ติ่งออกไปเองอย่าห่วงน้องมากเลย พ่อพาษากับภากลับบ้านก่อนเถอะ ทางนีแม่ดูลูกเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนกันพอดี” แม่บอกพ่อ

“อืมก็ดีเหมือนกัน ปะลูกๆ กลับบ้านกัน ไว้พรุ่งนี้ก่อนไปโรงเรียนค่อยแวะมาเยี่ยมน้องดีไหม”

“ค่ะพ่อ” ฉันตอบรับคำพ่อและคว้าข้อมือของแสงอุษาให้เดินตามกันออกจากห้องคนป่วย

“เราอยากอยู่ดูอา” แสงอาบอกกับอวภาส์

“อย่าเลยษาแม่ดูอยู่แล้วเราเป็นเด็กทำหน้าที่ได้ดีที่สุดก็แค่นั้น กลับบ้านไปนอนกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้พ่อก็คงพาเรามาเยี่ยมน้องเองแหละ อย่าห่วงเลย แม่ไม่ปล่อยให้อาเป็นอะไรหรอกเชื่อเราสิษา”

จากนั้นเราทั้งหมดก็ออกจากโรงพยาบาลกลับมาที่บ้าน ฉันไปนอนกับษาที่บ้านตุ๊กตาของอาคิรา เพราะเราสองคนตอนนี้ก็นอนลืมตาโพลงมองเพดาน มองต้นไม้นอกหน้าต่าง ฉันคิดว่าเราสองคนก็คงไม่ได้แตกต่างกันเป็นห่วงอาคิราเช่นเดียวกัน

“ป่านนี้อาคงรู้สึกตัวตื่นแล้วเน๊อะภา”

“นั่นสิป่านนี้คงร้องโวยวายเจ็บๆ ปวดๆ เสียงดังลั่นห้องไปแล้ว” อวภาส์ยังคงนึกถึงน้องของเธอที่เป็นจอมโวยวาย จอมเรื่องมาก และจอมป่วนของบ้าน

ตอนนี้บ้านสงบไปมากเมื่อไม่มีอาคิราน้องสาวสุดแสบของเธอคอยส่งเสียงดังๆ ร้องเพลงเสียงแปร่งๆ ลั่นบ้าน เมื่อไม่มีอาคิราสีสันของบ้านก็แทบไม่มีอะไรเหลือ

“คิดถึงอาจังเลยภา”

“เอาน่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็ได้เจออาแล้ว ไม่ต้องห่วงนะษานอนเถอะเพื่อน” อวภาส์หลับตาลงอย่างช้าๆ โดยมีแสงอุษาที่นอนลืมตามองความมืดอยู่คนเดียวเพราะเธอหลับตาไม่ลง

ห่วงคนดีเหลือเกินแล้ว อย่าเจ็บอย่าป่วยอีกเลยนะ

อาคิราคนดีของแสงอุษา

..........................

เช้าวันใหม่ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดระบมไปทั่วท้อง จำได้แต่ว่าพ่อกับแม่พาฉันมาโรงพยาบาลแล้วหมอก็บอกว่าจะผ่าตัดใส้ติ่งของฉัน เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนโซฟาข้างๆ เตียงคนป่วยของฉัน

“แม่จ๋าอาหิวน้ำ” ฉันเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า

แม่ลุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของฉัน แล้วก็เดินมาที่เตียงของฉัน

“หิวน้ำหรือลูกยังกินอะไรไม่ได้นะหมอยังห้ามกิน อดทนอีกนิดนะลูกนะ นอนพักต่อเถอะอาแม่อยู่เป็นเพื่อนข้างๆ อานี้แหละไม่ได้ไปไหน” แม่บอกฉันพร้อมกับก้มลงมาหอมแก้มฉันหนึ่งทีก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียงกุมมือข้างที่มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่

ฉันรู้สึกว่าเริ่มจะง่วงอีกครั้งและหลับไปอย่างไม่รู้สึกตัวอีกรอบ ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาเพราะพยาบาลเอาปรอทมาวัดไข้ และวัดความดันของฉัน

“ไม่มีไข้แล้วนะคะคุณแม่ ความดันก็ปกติดี” เสียงของพยาบาลบอกกับแม่

“ค่ะ”

ฉันลืมตาขึ้นมามองหน้าแม่ แม่คงแทบไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเฝ้าฉัน

“แม่จ๋าง่วงหรือเปล่า” เสียงแหบๆ ของฉันถามแม่

“ไม่ง่วงรอกอาถมทำไมเหรอลูก”

“ก็แม่ไม่ได้นอนทั้งคืนมานั่งเฝ้าอาอาก็เป็นห่วงแม่บ้างไม่ได้เหรอ”

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกอา นอนพักมากๆ หลับตาเถอะคนดีของแม่”

“แม่ร้องเพลงกล่อมอาหน่อยสิ” ฉันเริ่มมีข้อแม้ เพราะแม่ไม่ได้ร้องเพลงกล่อมฉันมานานแล้วตั้งแต่ฉันแยกห้องนอนมานอนกับพี่ภาเมื่อหลายปีก่อน

แม่ลูบผมของฉันมือหนึ่งอีกมือหนึ่งก็จับมือของฉันไว้ก่อนที่จะร้องเพลงกล่อม มันชื่อเพลงอะไรก็ไม่รู้แต่เมื่อฟังเสียงของแม่ที่ร้องแล้วทำให้ฉันหลับตาลงอย่างง่ายดาย

“นอนเสียเถิดคนดี แม่นี้รูปทรามกาลีในอกยังมีความรักของแม่ คนเคยชมเชย โธ่เอยถึงพ่อไม่แล รักเจ้าไม่มีเปลี่ยนแปลแท้จริงจนกว่าวันตาย” เสียงเพลงที่แม่กล่อมยังคงก้องอยู่ในหูของฉัน

จะมีใครรักฉันเท่าแม่อีกหรือเปล่าหนอในชีวิตของอาคิราคนนี้

หากจะมีใครรักฉันได้เพียงครึ่งหนึ่งที่แม่รัก ฉันจะดีใจไม่น้อยเลยเชียว

… จบบทที่ ๒๑ ...




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 11:18:54 น.
Counter : 322 Pageviews.  

เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๐

บทที่ ๒๐ ๖.๕๕ น.

เสียงเดินออกจากห้องของคนสองคนเงียบลง ฉันรีบวิ่งออกจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงของพี่ษาพูดกับพี่ภา หัวใจของฉันร้อนไปหมด และตอนนี้ฉันไม่เหลือซากของความหยิ่งยโส เพราะเธอกำลังจะจากฉันไป

“พี่ษาหยุดเถอะค่ะอย่าจากอาไปไหนเลยอาขอร้อง” ฉันกอดเธอจากด้านหลังและร้องไห้จนเสื้อของเธอเปียกไปด้วยน้ำตาของฉัน

ฉันรู้ว่าเธอเองก็ร้องไห้เช่นกันเพราะว่าแผ่นหลังของเธอกระตุกเป็นพักๆ

อวภาส์เดินออกมาจากบ้านพ่อพร้อมกับกุญแจรถและก็ต้องหยุดเดินเพื่อยืนมองอาคิรากับแสงอุษากอดกัน พ่อกับแม่ก็เช่นกัน

“ภาแม่มีเรื่องจะต้องคุยกับภาตอนนี้ด้วยลูก”

พ่อกับแม่เดินนำอวภาส์เข้าไปในห้องของเธอ ความเงียบเข้ามาเยือนในห้องนั้นแบบไม่ได้รับเชิญ ก่อนที่แม่จะทำลายความเงียบนั้นลง

“ภาบอกแม่มาสิว่าอากับษามีอะไรกันมากว่าคำว่าพี่น้องหรือเปล่า”

“ให้ตอบว่าไงดีล่ะคะแม่”

“ตอบเท่าที่ภารู้ก็ได้ลูก” พ่อบอกกับอวภาส์เพราะคิดว่าอวภาส์คงจะคิดหนักเช่นกัน

“เท่าที่รู้สองคนนี้เค้ารักกันคะ แต่จะถึงขั้นไหนภาคงตอบไม่ได้ แต่แม่คะอย่าไปว่าอะไรอาเค้าเลยนะอาเค้าพยายามที่จะบอกพ่อกับแม่หลายครั้งแล้วแต่เค้าก็ไม่กล้า”

“แม่ไม่ได้ว่าอะไรอาหรอกลูก แม่รู้ว่าลูกของแม่ต้องไม่ทำอะไรเกินเลยเพราะแม่เลี้ยงของแม่มากับมือตัวเอง และแม่ก็รู้ด้วยว่าภาดูแลน้องอย่างดีแล้วนะลูก”

“พ่อว่าก็ดีเหมือนกันนะที่สองคนนั้นได้แยกกันไปไกลๆ ดูอย่างติวตุ๊กตาน้อยของอาสิ ตอนนี้ไม่เห็นเจ้าอาปลื้มกับจดหมายที่เขียนตอบไปมาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้าสองคนนี้ฝ่าฟันคำว่าห่างไกลกันไปได้ และยังจะคบกันอยู่อีกพ่อว่าถึงตอนนั้นพ่อก็คงจะห้ามอะไรไม่ได้แล้ว”

“จริงอย่างที่พ่อพูด อาอาจจะรักน้องษาแบบแฟชั่นทั่วไปของเด็กๆ สมัยนี้ก็ได้นะภา ดูๆ น้องไปก่อนเถอะ สักวันเราจะรู้เองว่าน้องเลือกทางเดินแบบไหน”

“แม่ไม่โกรธน้องจริงๆ หรือคะ”

“แม่จะโกรธน้องทำไมล่ะลูก อย่างน้อยแม่ก็รู้ว่าลูกของแม่โตแล้วและก็ยังมีหัวใจรักใครเป็นด้วย ไม่ใช่เล่นเป็นลิงอยู่ในสวนเหมือนอย่างที่เคยเป็น อีกอย่างแม่ว่าความรักทำให้คนเราอ่อนโยนลงนะไม่เชื่อถามพ่อสิ” แม่เริ่มบุ้ยใบ้ให้กับพ่อ

“จริงๆ ลูกพ่อกับแม่รักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน มศ.๓ เราสองคนช่วยกันเรียนช่วยกันติว จนพ่อสอบเข้าเตรียมได้ พ่อกับแม่ก็ยังคบกันมาตลอด แม่เค้าสมัยเรียนมหาลัยมีแต่คนตามจีบนะภา พ่อถึงได้บอกว่าถ้าษากับอาผ่านเรื่องนี้ไปได้ และยังคงรักกันอยู่พ่ก็จะไม่ห้ามอะไร เพราะพ่อเคยเป็นมาก่อน”

“ถึงแม้ว่าน้องจะรักผู้หญิงด้วยกันเองนะเหรอคะพ่อ”

“ใช่ลูก เพื่อนของแม่เค้าก็มีที่รักผู้หญิงด้วยกันเองและทุกวันนี้ก็ไม่เห็นเค้าจะเป็นคนไม่ดีตรงไหน พ่อกับแม่ก็ยังเป็นเพื่อนกับเค้าอยู่จนเดี๋ยวนี้”

“ใครกันคะพ่อ”

“ภารู้จักดีเชียวล่ะลูก ก็น้าเปิ้ลกับน้าเตยไง”

“น้าเปิ้ลกับน้าเตยนี่นะคะแม่รักกันภาไม่เห็นจะมีใครเป็นทอมสักคน”

“ก็นั่นแหละไม่มีใครเป็นทอมหรือดี้อะไรทั้งนั้น แต่ทั้งสองคนก็รักกันมาตั้งแต่สมัยแม่เป็นนักเรียนรักกันมานานมาก จนน้าเปิ้ลไปเรียนเมืองนอกกลับมาน้าเตยก็ยังรอน้าเปิ้ลไม่เคยเปลี่ยน”

“โห รักกันนานจังเลยนะคะแม่” อวภาส์รู้สึกชื่นชมในความรักของเพื่อนแม่ทั้งสองคน และเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างน้องสาวของเธอกับแสงอุษาจะไปกันได้อีกนานแค่ไหน

พ่อแม่และอวภาส์ยืนมองอาคิรากับแสงอุษาที่กอดกันร้องไห้จากหน้าต่างห้องของอวภาส์และหันมามองหน้ากันไปมาสามคน และสุดท้ายก็จบลงด้วยรอยยิ้มของพ่อและคำพูดที่ว่า

“ดีเว่ยเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ลูกผม” และสามคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

แต่อีกสองคนด้านนอกยังคงร้องไห้ไม่หยุด และไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ด้วยสิ

......................

ยุงเริ่มบินว่อนไปทั่วบริเวณที่แสงอุษาและอาคิรายืนอยู่ด้วยกัน จนแสงอุษาต้องขยับตัวและบอกกับคนที่กอดเธอร้องไห้ว่า

“อาเข้าบ้านเถอะยุงตอมแล้ว”

อาคิราเดินตามแสงอุษาเข้าบ้านอย่างว่าง่าย

“อาไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวพี่ไปอาบบ้านแม่แล้วจะกลับมา”

“พี่ษาอาบที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวอาไปอาบบ้านแม่เอง”

“งั้นไม่ต้องไปอาบด้วยกันนี่แหละ ปิดไฟอาบ” แสงอุษาเห็นว่าเรื่องชักยุ่งยาก ก็เลยเสนอออกมาแบบลืมตัว

อาคิราตาวาวขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่การร้องไห้ที่ผ่านมาไม่นานทำให้ตาทั้งสองข้างบวมเป่ง และแดงไปหมด

“นั่นๆ อย่ามาคิดอะไรทะลึ่งนะ แค่อาบน้ำไม่ได้ให้ไปทำอะไรก็แบบเดียวกับที่อาอาบน้ำพร้อมกับภาไงทำคิดลึกไปได้”

“อาเปล่าคิดอะไรสักหน่อยพี่ษาก็”

“ไม่คิดหน่อยแต่คิดเยอะใช่ไหม สรุปจะอาบน้ำหรือไม่อาบ ถ้าไม่อาบพี่ไปอาบแล้วนะ”

“อาบๆๆๆ ไปๆๆ อาบๆๆ” อาคิรารีบตอบแบบไม่ต้องคิด ก็ใครจะปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือไปได้เล่า จริงปะจ๊ะ

แต่ก็ไม่ทันการแล้วแสงอุษาเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอนไปเรียบร้อย

“พี่ษาเปิดประตูเลยนะอาจะอาบน้ำ”

“ไม่เปิดรอพี่อาบเสร็จก่อนค่อยมาต่อคิวแล้วกัน”

สิ้นเสียงของแสงอุษาก็มีเสียงตะโกนมาจากบ้านแม่ว่า

“สองคนนั้นนะจะคุยอะไรกันก็เบาๆ หน่อยพ่อกับแม่จะนอนเอะอะโวยวายกันอยู่ได้หนวกหูจริงๆ เชียว”

เสียงของแม่นั่นเองที่ตะโกนมา ทำเอาฉันและพี่ษาต้องปิดปากเงียบไปโดยปริยาย เพราะว่าเราสองคนลืมไปว่าบ้านหลังนี้ด้านข้างติดกับห้องนอนของพ่อกับแม่และบ้านก็ไม่ได้เก็บเสียงแต่อย่างใดเพราะฉันเปิดหน้าต่างรับลมไว้ทุกบาน

พี่ษาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ทำท่าทางสั่นๆ

“หนาวบรื้อๆๆ”

“ก็นะบ้านนี้ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนี่พี่ ก็ต้องหนาวเป็นธรรมดาแหละ” ฉันออกจะขำท่าทางของพี่ษาเพราะเธอดูจะหนาวจริงๆ

แล้วฉันก็เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำน้ำเย็นๆ ทำเอาฉันสั่นไปหมดทั้งตัว แทบจะกระโดดออกจากห้องน้ำมาโดยไม่อาบน้ำ แต่ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ ต้องรีบๆ ที่จะอาบและออกไปจากห้องน้ำที่แสนเย็นโดยเร็วที่สุด

ฉันยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าไปก็สั่นไป เหมือนกับที่พี่ษาสั่นเมื่อสักครู่นี้ เสียงฟันของฉันกระทบกันดังกึ๊กๆ ตลอดเวลา เดือนพฤษจิกายนแบบนี้เป็นฤดูหนาวที่แท้จริง อากาศทางภาคเหนือก็จะเริ่มหนาวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพ้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็จะค่อยๆ คลายหนาวไปทีละน้อยๆ จนร้อนมากๆ ในเดือนเมษายน

ฉันรีบมุดเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับพี่ษาอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องโดนเตือนเรื่องปิดประตูบ้าน

“อาไปปิดประตูบ้านก่อนสิเดี๋ยวใครเข้ามาไม่รู้เรื่อง” พี่ษาพูดไปก็หวีผมยาวสลวยของเธอไปเรื่อยๆ เพราะเธอพึ่งจะสระผมก็เลยยังนอนไม่ได้ ต้องรอให้ผมแห้งก่อน

“พี่ษาเป่าผมไม๊อาเป่าให้” ฉันอาสาทำให้เพราะเห็นว่าหากปล่อยให้แห้งเองคืนนี้ก็คงไม่ต้องนอน

“ก็ดีนะอามีไดร์เป่าผมเหรอ”

“มีค่ะเดี๋ยวนะอาหาก่อนมันคงอยู่ในตู้เสื้อผ้า” ฉันเปิดตู้ดูแล้วก็เจอสิ่งที่ค้นหา

จากนั้นก็บรรจงเป่าผมให้กับพี่ษาและหวีไปเรื่อยๆ ฉันว่าผมของพี่ษามันขลับและสวยสลวยดีจังเลย

“ผมพี่สวยจัง” ฉันจับผมของเธอลูบเล่นไปมา

“เหรอสวยสู้ของอาไม่ได้หรอกมั๊งเมื่อก่อนอาผมยาวสวยกว่าพี่ตั้งเยอะ”

“ไม่หรอกพี่ผมของอาเส้นเล็ก แต่ของพี่ผมเส้นไม่เล็กมาก มีน้ำหนักดีออก ของอาเวลาแห้งมันจะฟูทั้งหัวเลยนะพี่ต้องมัดไว้ไม่อย่างนั้นลมโกรกมาทีไรปลิวกระจายอ้องฟ่อง”

“เหรอเสร็จหรือยังล่ะอาพี่ง่วงแล้ว”

“เสร็จแล้วพี่นอนเถอะเดี๋ยวอาไปปิดประตูบ้านก่อน พี่ษาอาวานเปิดไฟหัวเตียงให้ด้วยนะกลัวมองไม่เห็นยังไม่ชินกับห้องใหม่น่ะพี่”

ฉันปิดประตูบ้านเสร็จก็รีบๆ มุดกลับไปในผ้าห่มอีกครั้ง

“หนาวจังพี่ขอกอดนอนหน่อยนะ” ฉันพูดพร้อมกับสอดแขนไปใต้คอของพี่ษาและกอดเธอไว้แน่น

เธอเองก็เช่นกันหันมากอดฉันแน่นเราสองคนถ่ายเทความอบอุ่นของตัวเองให้แก่กันและกัน

“พี่ษาพร้อมจะเป็นครูให้กับอาหรือยังพี่” ฉันกระซิบที่ใบหูสวยของเธอผ่านความมืดที่ครอบคลุมอยู่

เธอไม่ได้ตอบฉันเพียงแต่พยักหน้ารับกับคำถามที่ฉันถามเธอ

“งั้นขอบทเรียนแรกเลยนะพี่หอมแก้ม” ฉันหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่เหมือนกับว่าใบหน้านั้นเป็นดงดอกไม้ที่หอมและหวาน

เธอก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยงแต่ประการใดปล่อยให้ผึ้งน้อยอย่างฉันได้ดอมดมดอกไม้หอมหวานไปจนหนำใจ ผึ้งอย่างฉันจะยอมหยุดไว้เท่านี้เหรอเป็นไปไม่ได้หรอก ไหนๆ มีครูที่สวยแบบนี้แล้วขืนปล่อยไปก็เสียชื่อผึ้งน้อยพเนจรหมดสิ

“บทเรียนที่สองจูบ”

ฉันเคลื่อนริมฝีปากไปประกบปากของเธออยู่เนิ่นนาน และสุดท้ายก็อดทนต่อไปไม่ไหวฉกลิ้นเข้าไปชิมความหวานของเรียวปากที่ฉันเกลียดนักหนา และลิ้มลองรสชาติของความหวานอยู่เนิ่นนาน

จากอากาศที่หนาวตอนนี้เราสองคนร้อนไปด้วยแรงปรารถนาซึ่งกันและกัน ฉันลิ้มรสจนลืมหายใจและเธอเองก็เช่นเดียวกัน

กลิ่นลมหายใจของกันและกันมันช่างเย้ายวนให้ฉันเตลิดไปไหนต่อไหน และเมื่อฉันจะรุกเธอไปมากกว่านั้น เธอเองกลับห้ามฉัน

“อาพอเถอะพี่ไม่ไหวแล้ว”

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่”

“เปล่าพี่หายใจไม่ทัน”

“ฮ่าๆๆ เหรอ งั้นนอนเถอะคะพี่ จะได้หายใจทันแต่อาของนอนกอดพี่นะกอดก่อนที่จะไม่ได้กอดไปอีกนาน”

“ได้เลยเด็กน้อยแต่พี่ก็ขอกอดคืนด้วยเหมือนกันนะจะได้ไม่มีใครเสียเปรียบ”

ฉันกอดเธอนอนไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“แม้เพียงเชยกลิ่นเจ้าเราก็หลง แม้เพียงยลโฉมเจ้าเราก็ฝัน
แม้เพียงเจ้ายิ้มให้ใจเราหวั่น แม้เพียงนั้นใจติดตรึงตลอดกาล

แม้หากเจ้าห่างกายไปสักนิด เราอาจคิดถึงเจ้ามากสักหน่อย
ขอเชยชมทรามสงวนแม่นวลน้อย เจ้าอย่าปล่อยให้เราเศร้าเดียวดาย

ขอฝากรอยจุมพิตติดตัวเจ้า อย่าได้เศร้าเหมือนเช่นเราที่เป็นอยู่
อยากจะบอกเจ้าสักนิดแม่โฉมตรู เรารักอยู่เพียงเจ้านั้นคนเดียว”

ฉันแต่งกลอนสดๆ ให้พี่ษาถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยจะคล้องจองกันมากสักเท่าไหร่แต่ฉันก็คิดได้เท่านี้จริงๆ พร้อมๆ กับสูดดมกลิ่นแชมพูที่เรือนผมสวยของเธอไปด้วย

“นอกจากลิเกแล้วยังเจ้าบทเจ้ากลอนอีกนะอา”

“ไม่ได้สิพี่อาต้องมีอะไรดีๆ บ้างล่ะถึงจะลิเกก็รักพี่น้าสิบอกไห่”

“นอนได้แล้วพรุ่งนี้จะตื่นสาย”

“พรุ่งนี้วันหยุดตื่นสายได้ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ษา”

“แล้วไม่ต้องไปซ้อมดนตรีเหรอ”

“เออจริงสิลืมไปพรุ่งนี้ครูให้ไปซ้อมแถวใหม่ พี่ก็ต้องไปด้วยนี่นา”

“ก็ใช่นะสิงั้นนอนได้แล้วครูนัดเก้าโมงฝันดีนะจ๊ะที่รัก”

“อิอิ ฝันดีเช่นกันที่รัก” เสียงคุยจุ๋งจิ๋งของเราสองคนก็เงียบลงไปเมื่อนึกถึงภาระกิจที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากไม่มีการซ้อมแถววันพรุ่งนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะนอนหลับกันไปตอนกี่โมงกันแน่

..........................

กว่าพวกเราจะซ้อมเดินแถวเสร็จก็เกือบบ่ายโมง ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวแต่ก็ไม่ได้ลดทอนแสงแดดที่ส่องลงมาตอนกลางวันลงได้ ฉันค่อนข้างจะชินที่ต้องมาเดินวนไปวนมาซ้อมเรื่อยๆ แต่สำหรับพี่ษานานๆ จะได้เดินตากแดดสักครั้งก็ทำให้เธอเหนื่อยและนั่นหอบไปเหมือนกัน

ภรณีดูแลเอาใจใส่รมณจนออกนอกหน้าทั้งผ้าเช็ดหน้าทั้งน้ำดื่มเย็นๆ ฉันมองแล้วก็รู้สึกอิจฉารมณที่มีคนเอาใจอย่างใกล้ชิด

ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันเดินไปหยิบน้ำและนำไปยื่นให้กับพี่ษาที่นั่งถอดหมวกและเอาหมวกมาพัดตัวเองให้คลายร้อน และยื่นผ้าขนหนูผืนน้อยให้เธอเพื่อซับเหงื่อบนใบหน้า แต่ตัวฉันเองก็เหงื่อโทรมกายเช่นกัน

“ไม่เช็ดตัวเองก่อนล่ะอามานั่งลงเดี๋ยวพี่เช็ดให้” เธอฉุดแขนของฉันให้นั่งลงข้างๆ ตัวเธอ

“พี่เช็ดเถอะดื่มน้ำด้วยเดี๋ยวอาไปล้างหน้าเอาเช็ดอย่างเดียวมันเหนียวๆ ไงไม่รู้”

“ล้างหน้าตอนร้อนๆ ระวังเป็นฝ้านะอา”

“ไม่หรอกพี่เดี๋ยวพอเหงื่อมันแห้งหน่อยๆ แล้วค่อยไปล้าง ว่าแต่พี่เหนื่อยหรือเปล่าคะครูให้ซ้อมตั้งหลายรอบ”

“ไม่เหนื่อยก็ไม่ใช่คนแล้วอานานๆ จะเดินตากแดดแบบนี้เหมือนๆ จะเป็นลม”

“อ้าวเหรอเอายาดมไหมพี่อามีนะ” ฉันควักยาดมออกมายื่นให้เธอ

“พี่ว่าจะเป็นลมเพราะหิวข้าวมากกว่าก็เมื่อเช้าอาตื่นสายพี่เลยไม่ได้กินข้าวเช้ามาด้วยหิวจนลมจะจับแล้ว”

“ก็นะพี่อาอยากกอดพี่ให้นานที่สุดนี่นา”

“อดข้าวดอกเจ้าชีวาวาย แต่มิตายหรอกเพราะอดสิเน่หา เอ่อ... จะเป็นลม” พี่ษาทำท่าทางเหมือนคนกำลังลมจะจับ มองแล้วดูน่ารักในสายตาของฉัน

“ใครว่าล่ะพี่ อดข้าวดอกเจ้าชีวาวาย แทบจะตายหากอดสิเน่หา...ต่างหาก" ฉันส่งสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยให้กับพี่ษา

“จะตายหรือจะวายตอนนี้ไม่รู้ล่ะออกไปกินข้าวกันเถอะพี่หิวจะแย่แล้ว” เธอค้อนให้ฉันวงใหญ่ยักษ์และลุกขึ้นจากพื้นที่เรานั่ง

“ไปเร็วอาจะไปล้างหน้าล้างตาก็รีบๆ เข้า” เธอฉุดฉันให้ลุกขึ้นและเดินนำไปที่ก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า

พี่ษาค่อยๆ กวักน้ำจากก๊อกขึ้นมาลูบใบหน้าของเธอ ผิดกับฉันที่รีบๆ กวัดและเอาน้ำมาล้างหน้าจนเปียกไปหมดทั้งตัว เพราะฉันไม่ได้ล้างแค่หน้าอย่างเดียวยังล้างแขนและลำคอด้วย เสื้อของฉันชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำไหลเป็นทางและฟองสบู่ก็ยังติดอยู่ตามใบหูและคอ

“ล้างดีๆ หน่อยสิอาดูทำเข้าไปอาบน้ำเลยดีไหมแบบนี้” เธอเอาผ้าขนหนูผืนที่ฉันให้มาเช็ดหน้าลำคอและแขนให้ฉันและบ่นไปเรื่อยๆ

“ความคิดประเสริฐมากเลยพี่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จอาจะไปอาบน้ำไม่ต้องห่วงอิอิ”

“นี่พี่ประชดนะทำจริงๆ เหรอ”

“อ้าวพี่ไม่รู้เหรอว่าฉายาอาเซฟโซ่ของอาได้มาไง ก็เพราะว่าอาเป็นคนรักสะอาดแต่แอบสกปรกไงพี่ฮ่าๆๆ ไปกินข้าวเถอะ”

ฉันชวนรมณกับภรณีออกไปกินข้าวด้วยกันเพราะต้องรีบกลับมาให้ทันบ่ายสองครูจะเริ่มซ้อมอีกครั้งเนื่องจากการเดินแถวของพวกเรายังไม่เป็นระเบียบมากพอ และตอนบ่ายครูจะให้เอาเครื่องดนตรีมาซ้อมด้วยคนหนักหนาสาหัสกว่าช่วงเช้าอีกมาก

“ลุงกินอะไรดีเราว่ากินข้าวกระเพราไข่ดาวก็แล้วกันนะ”

“จ้ะป้าว่าไงลุงก็ว่างั้น” การสนทนาของรมณกับภรณีทำเอาฉันและพี่ษานั่งขำจนฉันอดแซวเพื่อนทั้งสองไม่ได้

“ลุงขาแล้วหนูล่ะคะกินอะไรดี”

“หนูก็กินรองเท้าเบอร์หกของลุงดีไหมจ๊ะ เดี๋ยวปั๊ดทำมาแซว” ภรณีดูจะร้อนตัวรีบเถียงกลับทันที

“แซวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ไอ้ณีแหมตั้งแต่มีคนรักไปอยู่ด้วยท่าทางแกกระชุ่มกระชวยดีจริงโด๊ปไข่ดาวเช้ากลางวันเย็นมีไข่ลวกด้วยเปล่าล่ะนี่ไอ้ณี”

“ไม่ได้สิเพื่อนเรื่องแบบนี้มันต้องฟิตกันหน่อยโด๊ปกันหน่อยเดี๋ยวป้าไม่รักล่ะแย่เลย เกิดมีข่าวฉันตายคาอกขึ้นมาเพราะหมดแรงเสียฟอร์มแย่”

“ป้ามณนะเหรอจะไม่รักแกไอ้ณี เห็นแล้วไม่อยากจะเชื่อลุงณีกลัวป้ามณหงอขนาดนี้ป้ามณไม่รักก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว”

“นี่เธอสองคนนะหยุดแซวกันซะที่ได้ไหมจะสั่งหรือไม่สั่งข้าวนะ เดี๋ยวกลับไปไม่ทันบ่ายสองไม่รู้เรื่องด้วย” รมณที่นั่งเงียบๆ อยู่นานก็โพล่งขึ้นมาทำเอาฉันกับภรณีจ๋อยไปตามระเบียบ

ฉันหันไปมองหน้าพี่ษาประมาณจะถามว่ากินอะไรดี

“เอากะเพราตับแล้วกันอาเอาแบบพี่ไหม”

“ค่ะพี่จะได้เร็วๆ แต่อาไม่เอาไข่ดาวนะเพราะว่ากินมาเยอะแล้วไม่เหมือนใครบางคนหรอกไม่มีไข่ดาวให้กินเลยต้องมากินนอกบ้าน” ฉันแกล้งพูดให้ขำๆ

“ไปกินที่ไหนมาเมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวนี่นา” พี่ษาแย้งฉันทันที

ฉันแกล้งก้มลงไปมองหน้าอกของพี่ษาและคนสามคนก็มองมาที่ฉัน

“ว๊ายลามก นี่แอบมากินตอนไหนกันจ๊ะทำไมไม่รู้เรื่อง” เสียงพี่ษาร้องขึ้นและตีฉันด้วยฝ่ามือของเธออีกแล้ว

“เก่งเว่ยเพื่อนแอบกินได้ด้วยแสดงว่าฉันไม่เซียนพอ หรือไม่ก็พี่ษาหลับเป็นตายแน่ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ”

“สองคนนี้จำไว้เลยนะกินในที่ลับไขในที่แจ้งระวังเถอะเกิดพวกเรารวมตัวกันนินทาพวกเธอบ้างแล้วจะหนาว” รมณขู่พวกฉันทันทีเช่นกันเพราะเธอคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่สมควรเอามาพูดเล่นเป็นเรื่องตลก

“ใช่ๆๆ มณพี่เห็นด้วยไว้วันหลังเรามานินทาสองคนนี้กัน แต่ตอนนี้สั่งข้าวดีกว่าพี่หิวจะแย่แล้ว เจ้คะเจ้สั่งข้าวด้วยคะ” พี่ษาเห็นด้วยกับรมณและสั่งข้าวทันทีเพราะเธอดูเวลาแล้วมันเหลืออีกไม่มาก

ดูเหมือนข้าวมื้อนั้นจะทำให้พวกเราเจริญอาหารกันมากๆ เพราะทั้งหิวและเหนื่อย ใช้เวลาไม่นานข้าวในจานก็หมดลงแบบไม่เหลือซากให้เห็นมีเพียงจานเปล่าและช้อนส้อมเท่านั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ

พี่ษาเรียกเจ้มาเก็บค่าเสียหายและเราก็กลับเข้าไปในโรงเรียน ฉันแวะไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำโดยที่พี่ษานั่งรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ กับรมณและภรณี

“ได้ข่าวว่าพี่ษาจะไปเรียนที่เชียงใหม่เหรอคะ” รมณชวนแสงอุษาคุย

“ค่ะพี่จะไปเรียน เดือนหน้าก็ต้องไปสอบโควต้าแล้ว”

“อย่างนี้ไอ้อาไม่คิดถึงพี่แย่เลยเหรอน่าสงสารอาจังเลยพี่” ภรณีออกความเห็นบ้าง

“ทำไงได้ล่ะณีก็พ่อพี่เค้าจะให้ไปเรียนที่โน่นเราเป็นลูกก็ต้องทำตามที่พ่อแม่บอก อีกอย่างช่วงนี้พี่ก็ขอพ่อมานอนกับอาเค้าทุกวัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องที่พี่ต้องย้ายโรงเรียน ตอนแรกพ่อก็ไม่ให้หรอกนะแต่พี่บอกว่าถ้าไม่ให้พี่ก็จะไม่ทำตามใจพ่อ พูดแล้วก็อยากร้องไห้จังเลยมณ”

“มณเข้าใจพี่ว่าเวลารักใครแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันมันเป็นแบบไหน มณอยู่ทางนี้จะดูแลไอ้อาแทนพี่เองรับรองไม่ให้ใครมาจีบมาเกี้ยวไอ้อาได้แน่นอนพี่ษาเองก็รักษาสุขภาพและตั้งใจเรียนก็แล้วกันคะเรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วงพวกเราดูแลให้เอง”

“ขอบใจนะมณพี่ไม่ได้ห่วงเรื่องอะไรหรอกนอกจากกลัวอาเค้าจะไม่ตั้งใจเรียน เรื่องของพี่กับอามันก็อาจจะเป็นไปได้แค่คนเคยเดินผ่านทางมาเจอกันแล้วต่างคนก็ต่างต้องเดินไปในทิศทางของตัวเอง และก็ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะมีวันที่จะมาบรรจบกันเพื่อเดินต่อไปด้วยกันอีกหรือเปล่า” แสงอุษาถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ

“เราสองคนก็เหมือนกันรักษาความรักของพวกเราไว้ดีๆ เมื่อยามที่อยู่ด้วยกันเก็บเกี่ยวความสุขและความเอื้ออาทรกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อวันใดที่ต้องแยกจากกันจะได้ไม่เสียใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้กับคนที่เรารัก” แสงอุษาจับมือของภรณีและรมณมาวางทับกัน

“อย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนะทั้งคู่ ดูพี่เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน รักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้มันทรมานยิ่งกว่าไม่ได้รักกันเป็นไหนๆ จำไว้นะทั้งสองคน”

ฉันยืนดูทั้งสามคนคุยกันและเข้าใจจิตใจของพี่ษาเป็นอย่างดี เพราะฉันในตอนนี้ก็ไม่ได้มีสภาพแตกต่างไปจากเธอ ความรักครั้งแรกของฉันมีอุปสรรคให้ต้องฝ่าฟันไปอีกนานแสนนาน

แม้เส้นทางแห่งรักนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบที่ใครหลายๆ คนต้องการ ฉันก็จะเดินหน้าต่อไป เพื่อรอวันและเวลาที่ทางของฉันและของเธอจะมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหนก็ตามเถอะ อาคิราคนนี้จะคอยอย่างมีความหวัง

.... จบบทที่ ๒๐ ...




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2551    
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 4:31:18 น.
Counter : 302 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.