It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๓

บทที่ ๒๓ ๗.๑๐ น.

เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ฉันคิด มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตของภรณีและรมณ เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก เด็กๆ หลายๆ คนก็จับจองสติ๊กเกอร์รูปหัวใจมาเป็นเจ้าของ ทั้งสีแดงสีม่วง ดอกกุหลาบก็เป็นสินค้าที่ขายดิบขายดี แม่ค้าหัวใสเอาสินค้ามาขายที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่ต้นเดือน เพราะคิดว่าเด็กๆ แบบพวกฉันจะต้องซื้อสินค้าเหล่านี้ไปให้คนที่แอบชอบ คนที่แอบรักอย่างแน่นนอน

ฉันว่าแม่ค้าพ่อค้าเหล่านี้เก่งนะคะที่จะคิดหาช่องทางขายของให้กับบรรดาเด็กๆ ได้ และก็เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เด็กๆ หลายๆ คนซื้อสินค้า อย่างน้อยๆ ก็ซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจคนละใบสองใบ

เรื่องสติ๊กเกอร์กลายเป็นแฟชั่นที่นิยมกันในโรงเรียนของฉัน ใครที่มีหัวใจสีแดง ม่วง เขียว ติดอยู่ตามเสื้อ เน็คไทด์ มากที่สุดแสดงว่าคนๆ นั้นเป็นที่รู้จักและแอบปลื้มของบรรดาน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ

วันนี่เป็นวันแห่งความรัก ๑๔ กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ ราคาดอกไม้ที่เคยถูกๆ ก็ขึ้นราคา จากดอกละบาท สองบาทกลายเป็น ห้าบาทสิบบาท หรือดอกไหนสวยๆ ก็ยี่สิบบาท ฉันคงไม่ลงทุนซื้อดอกไม้แพงๆ แบบนั้นให้คนที่แอบปลื้มแบบใครๆ เขาหรอกค่ะ เพราะเมื่อเช้าฉันแสดงความรักกับทุกคนในครอบครัวด้วยการตื่นเช้ามาทอดใส้กรอก ไข่ดาว หมูแฮม ให้กับทุกคน แถมยังแจกจุ๊บให้กับคนที่ฉันรักอย่างทั่วถึงนั่นรวมถึงพี่ษาด้วยนะ อิอิ

ฉันกับพี่ษาเมื่อเข้ามาในโรงเรียนก็โดนน้องๆ เอาสติกเกอร์เหล่านั้นมาแปะที่อกข้างซ้ายบ้าง แปะที่หลังไหล่บ้าง เป็นเรื่องปกติ เพราะฉันเองก็เอาสติ๊กเกอร์ไปแปะให้พี่ๆ เหมือนกัน มีน้องๆ เอาดอกไม้มาให้พี่ษาตั้งแต่เช้าเช่นเคยเหมือกับทุกปี ฉันได้แต่ยิ้มๆ เมื่อพี่ษาทำท่าเขินกับเหล่าน้องๆ ที่เดินเอาดอกไม้มาให้ ฉันว่าตลกดีออก เมื่อน้องๆ ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ เดินเอาดอกไม้ในมือมายื่นให้พี่ษา แถมทำท่าเขินหน้าแดง

เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นฉันแอบหลงปลื้มพี่ษาฉันจะกล้าทำแบบน้องๆ บ้างหรือเปล่า แต่ละคนเดินเข้ามาแล้วก็ยึกยัก จะให้ดีไม่ให้ดีก็เลยเป็นท่าทางที่คนที่เห็นอดขำไม่ได้

ฉันแยกกับพี่ษาและเข้าแถวอยู่หน้าเสาธง แผลของฉันหายดีแล้วค่ะ ไม่มีอาการเจ็บปวดแบบเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันเดินได้เร็วขึ้น หิ้วของหนักได้ และไปตัดไหมเรียบร้อย คุณหมอคนสวยบอกว่าแผลไม่อักเสบติดเชื้อ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเม็ดฝรั่งไปตกค้างที่ใส้ติ่งอีกต่อไป แต่ฉันก็เข็ดแล้วไม่กินเม็ดฝรั่งที่แสนจะหวานของโปรดของฉันอีก

น้องน่ารักคนหนึ่งเอาดอกไม้มาให้ภรณีที่แถว แล้วก็ยืนบิดไปบิดมาแถมยังผูกติดจดหมายน้อยมาพร้อมกับดอกไม้ดอกโตนั้นด้วย

ฉันขึ้นมาที่ห้องเรียนและนั่งแกะสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออก เอามาแปะไว้กับสมุดว่างๆ เพราะไม่อยากทิ้ง คนเขาอุตส่าห์ให้มาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยก็ยังดี รมณยังคงนั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ ภรณี ไม่พูดไม่จาแถมยังกระแทกฝาโต๊ะดังปังๆ ทำเอาเพื่อนๆ ตกใจเสียงดังนั้นทั้งห้อง

ศสิมาสะกิดฉันให้ดูสองคนที่ปั้นปึ่งกัน แถมกระซิบกระซาบว่า

“สงสัยจะแดงเดือด”

“ใคร” ฉันกระซิบกลับ

“มณ” เป็นอันรู้กันว่าวันนี้รมณอารมณ์บ่อจอย

“กินยาผิดมาแน่ๆ เลยวะ” ศสิมายังกระซิบต่อ เพราะท่าทางรมณจะอารมณ์ไม่ดีจริงๆ เพราะตั้งแต่ชั่วโมงเช้าจนถึงตอนนี้ รมณก็ยังทำหน้าเป็นบลูด๊อก หน้าย่นตั้งแต่เช้า

ในตอนเที่ยงเราก็ลงไปกินข้าวกันตามปกติ ฉันแยกไปกินข้าวกับพี่ภาพี่ษาเพราะเมื่อเช้าแม่ลุกขึ้นมาผัดข้าวให้พวกเรา และเอาใส้กรอกหมูแฮมที่ฉันทำไว้เยอะแยะให้พวกเราเอามากินเป็นข้าวมื้อกลางวันด้วย พอกินเสร็จฉันกำลังจะไปล้างปิ่นโตกับพี่ษาก็ไดยินเสียงเอะอะโวยวายลั่นสนามบาส พอจับใจความได้ว่า

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเห็นมันดีกว่าเราใช่ไหม”

ดูเหมือนว่าจะไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายตรงข้าม ฉันกับพี่ษาที่ล้างปิ่นโตเสร็จแล้วกำลังจะเดินกลับไปที่พี่ภารออยู่ก็ได้ยินเสียงร้องห้ามของใครสักคน

“อย่านะอย่าเล่นแบบนี้นะมันอันตราย”

“ทำไมกลัวมันจะเจ็บงั้นเหรอแล้วเราล่ะไม่เจ็บหรือไง” เสียงนั้นตอบโต้ไปมา

“เอ๊ยพี่ษานั่นเสียงไอ้มณกับไอ้นี่นี่” ฉันหยุดเดินแล้วก็หันไปมองหน้าพี่ษา

บริเวณที่เกิดเหตุต้นเสียงมีคนมุงดูกันมากมาย เหมือนๆ กับใครกำลังเล่นโชว์ฟรีให้ดู ฉันก็กลายเป็นหนึ่งในไทยมุงนั้นด้วย และภาพที่เห็นก็ทำให้ฉันแทบช๊อค

รมณถือมีดคัตเตอร์กำลังจะเชือดแขนตัวเอง และมีน้องคนเมื่อเช้ายืนอยู่หลังภรณี ฉันรีบเข้าไปแย่งมีดในมือของรมณ

“ไอ้มณไอ้บ้าแกรู้ไหมกำลังทำอะไร” ฉันตะโกนด่าเพื่อน

“รู้สิ ก็ฉันมันไม่มีใครรักแล้วนี่อา ฉันมันบ้าไปหลงรักคนเจ้าชู้”

“ไอ้มณแกบ้าไปมากกว่า ที่แกทำมันไม่ได้เรียกว่ารักแล้วเพื่อนมันเข้าขั้นบ้าไปแล้ว” รมณไม่ฟังเสียงฉันกดมีดลงไปที่แขนของเธอ

ฉันเข้าไปแย่งหวังว่าจะได้มีดในมือของเพื่อนการทำอะไรแบบนี้ในยามที่โมโห มันอาจอันตรายถึงชีวิต แต่สิ่งที่ฉันทำกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด จริงอยู่รมณไม่โดนมีดบาดที่แขนของเธอ แต่เมื่อเธอสะบัดปายมีดออกมานอกตัว ปลายมีดแหลมๆ นั้นกลับมากรีดลงที่ฝ่ามือของฉันอย่างจัง มีดตัวการตกลงที่พื้น

“กึ๊ก” ความรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างจิ้มลงที่ฝ่ามือของฉันและเลือดก็อาบไปทั้งมือ

“อา” เสียงพี่ษาตะโกนลั่นแล้วก็รับเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลที่มือของฉันเพื่อห้ามเลือด

“ไปบอกครูเร็วเข้าสิ” พี่ษาตะโกนบอกคนที่มุงดูอยู่

เด็กๆ ที่มุงรีบวิ่งไปบอกครูฉันให้พี่ษาห้ามเลือดได้สักพัก ก็เดินตามพี่ษาไปห้องพยาบาล เลือดยังไหลไม่หยุด หยดเป็นรอยตามทางที่ฉันเดิน

“อาไม่เป็นอะไรนะ” พี่ภาที่รู้ข่าวก็รีบเข้ามาประคองฉันเดินไปห้องพยาบาล

ฉันที่แผลยังชาอยู่ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรพี่นิดเดียวเอง”

แต่พอมาถึงห้องพยาบาลครูบอกว่าคงต้องไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล จากนั้นฉันกับครูพยาบาลและพี่ภาพี่ษาก็ไปโรงพยาบาลกันอีกครั้ง

“ไงจอมซนไปโดนอะไรมาอีก” คุณหมอคนสวยถามเมื่อเห็นหน้าฉัน

“โห ไปโดนอะไรมานี่” เมื่อหมอเห็นแผลก็ต้องร้องอย่างตกใจ

“โดนคัตเตอร์บาดค่ะหมอ” ฉันตอบยิ้มๆ

“หมอฉีดยาชาให้ก่อนดีกว่านะจะได้ไม่เจ็บตอนเย็บแผล” จากนั้นหมอก็ทำการล้างแผล เย็บแผลให้ฉันจนเสร็จ

“แผลเก่ายังไม่หายดี มีแผลใหม่อีกแล้วนะจอมซน” หมอหันมายิ้มให้ฉัน และฉันก็นั่งยิ้มๆ หน้าซีดๆ กลับไป

“ห้ามโดนน้ำสักอาทิตย์นึ่งจนกว่าแผลจะแห้งสนิทแล้วมาตัดไหมนะจอมซน น้องบอกคุณครูด้วยนะไปเอายาแล้วก็กลับได้ ไกลหัวใจตั้งเยอะ ถนัดซ้ายหรือขวา”

“ขวาค่ะ”

“โชคดีไปโดนข้างซ้ายไม่อย่างนั้นเขียนหนังสือไม่ได้แน่ๆ เลย แต่นี่แผลเรานะมันเนเหมือนเส้นชีวิตเลยนะ สงสัยจะมีคนต่ออายุให้เราแล้วสิยาวเชียว” หมอยังแซวฉันต่อไปอีก

ดูเหมือนว่าฉันกับคุณหมอคนสวยจะดวงสมพงษ์กันเหลือเกิน มาโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็เจอแต่คุณหมอคนนี้ทุกทีสิน่า

ฉันกลับมาที่โรงเรียน ศสิมาบอกว่ารมณและภรณีโดนทำทัณบนและเรียกผู้ปกครองไปพบในวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนรมณจะโดนหนักที่สุดเพราะทำให้ฉํนถึงกับเลือดตกยางออก เห็นว่าครูให้ภรณีเจ้าของเรื่องย้ายโรงเรียนในปีหน้า

ฉันเห็นใจเพื่อนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รมณทำตัวอง ฉันยังปวดหนึบๆ ที่แผลตามแรงเต้นของหัวใจ แถมยังต้องแขวนแขนเอาไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่เอามือห้อยลง ความปวดมันจะเพิ่มาเป็นสองเท่า

วันนแห่งความรักสีแดงก็เป็นวันที่ฉันต้องเสียเลือดสังเวยความรักของรมณกับภรณีไปอย่างที่ไม่อยากจะเสีย

............................

ไม่กี่วันต่อมาผลประกาศสอบข้าวของพี่แสงอุษาก็ประกาศออกมาว่าเธอสอบได้แถมยังได้ห้อง King ด้วยสิ ฉันแสดงความดีใจกับเธอ เพราะฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้ พ่อพี่แสงอุษานั้นดีใจยิ่งกว่าพวกฉันหลายเท่านัก ที่ลูกของตัวเองสอบได้ตามที่ตนต้องการ

พี่ษายังขอสัญญาเดิมจากพ่อของเธอว่าจะอยู่บ้านฉันไปจนกว่าจะต้องไปเรียนที่โรงเรียแห่งใหม่ ดูเหมือนว่าพ่อพี่ษาก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี

ใกล้จะสอบปลายภาคแผลฉันที่โดนรมณกรีดที่ฝ่ามือเริ่มจะหายแล้ว เป็นแต่เพียงรอยแดงๆ โชคดีที่ไม่โดนอะไรที่สำคัญ มันจึงเป็นเพียงรอยที่เหมือนกับเส้นลายมือเส้นหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ฉันไม่ติดใจเอาความอะไรกับเพื่อนของฉัน และไม่ใส่ใจที่จะพูดเรื่องนี้

พ่อกับแม่เคยถามฉันว่าไม่โกรธมณหรือที่ทำให้ฉันเจ็บตัว ฉันตอบไปคำเดียวว่า “ไม่” เรื่องทุกอย่างควรจะยุติลง เพราะหากยืดเยื้อออกไปมันก็ไม่ดี

คนในโรงเรียนพูดไปต่างๆ นานาว่ารมณโกรธที่ฉันไปแย่งภรณีไปจากเธอจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกรีดมือฉันจนเป็นแผล ทั้งๆ ที่เรื่องจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด ฉันกับภรณีหรือจะไปรักชอบพอกันได้ ก็ฉันมีพี่แสงอุษาอยู่ทั้งคน

จะว่าไปเรื่องของเราก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่พูดกันมากมาย บางคนบอกว่า

“รักแบบนี้มันรุนแรง รักของพวกลักเพศก็งี้ล่ะ”

บางคนก็บอกว่า “เสียดายความสวย ผู้ชายดีๆ มีตั้งครึ่งโลก ทำไมมาชอบกันเองเสียดายวะ”

บางคนถึงกับมาถามฉันตรงๆ ว่า “สวยก็สวยทำไมคิดเล่นดนตรีไทย”

ฉันฟังแล้วก็จี๊ดขึ้นสมอง อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า “ฉันเป็นแบบนี้มันไปหนักส่วนไหนของคุณหรือเปล่า” แต่ฉันก็ไม่ได้พูดจาอะไร ได้แต่ยิ้มๆ แทนคำตอบ

เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับหรือปฏิเสธจากฉัน เรื่องก็ซาลงไปเอง ฉันสงสารแต่รมณที่จะต้องย้ายโรงเรียน และตอนนี้รมณก็ต้องออกมาอยู่หอข้างนอกเพราะพ่อแม่ของภรณีรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าทั้งสองท่านจะจับแยกรมณและภรณีไปตลอดชีวิดด้วยซ้ำไป

ภรณีโดนจับแยกไปนั่งอีกมุมห้องหนึ่งให้ห่างจากรมณ ทั้งสองคนไม่เคยพูดจากันอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้น ฉันที่เป็นเพื่อนของทั้งคู่เห็นแล้วก็อดสลดใจไม่ได้ ที่เพื่อนรักของฉันทั้งคู่ต้องกลายมาเป็นคู่อริกัน ภาพที่รมณกับภรณีเคยช่วยเหลือกันมันยังคงติดอยู่ในสมองอันน้อยนิดของฉันไม่มีทางลบเลือนหายไปได้หรอกค่ะ ก็ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีของฉันนี่นา

วันสอบไล่ปลายภาคก็มาถึง ฉันตั้งใจสอบเอาจริงเอาจังเพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่า ถึงแม้ว่าฉันจะผิดเพศ ลักเพศ หรืออะไรก็ตาม ฉันก็สามารถที่จะเรียนได้ดี และเก่งกว่าใครๆ ที่ยกหางตัวเองว่าดีเลิศเลอกว่าฉัน และฉันต้องลบคำสบประมาทของใครๆ อีกหลายคนให้ได้ว่า เมื่อฉันกับพี่ษาต้องแยกกันอยู่ เราสองคนจะไม่สามารถที่จะเรียนได้ดี และต้องเสียอนาคตไปในที่สุด หรือไม่ก็เลิกร้างกันไปง่ายๆ เพราะความห่างไกล

สอบเสร็จปีนี้ พ่อแม่ไม่ได้พาพวกเราไปบ้านของปู่แบบทุกปี เพราะพี่ภาต้องสอบเข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด ฉันก็เลยแกร่ว อยู่กับบ้านคนเดียว ฉันไม่ได้เล่นเป็นเด็กๆ แบบเมื่อปีที่แล้ว อาจเป็นเพราะฉันโตขึ้นมากกว่าเดิม

ใครๆ ก็บอกว่าฉันเป็นสาวแล้วใช่สิปีหน้าฉันก็กลายเป็นพี่มอสาม โตที่สุดในโรงเรียนอีกอย่างเมื่อเรียนปีหน้าจบแล้วฉันก็ต้องไปสอบเข้าที่โรงเรียนประจำจังหวัดเหมือนกับพี่ภาหรืออาจไปสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ษาก็ได้ สุดแล้วแต่ว่าฉันจะเลือกเดินทางไหน

วันประกาศผลสอบไล่ หรือวันที่ใครๆ เรียกว่าวันรับสมุดพก ฉันรับมาแล้วก็ต้องกระโดดดีใจ เพราะฉันได้ที่สองของห้อง ฉันได้คะแนนไม่ดีก็แค่วิชาพละ มีเกรดสามอยู่แค่ตัวเดียว นอกนั้นได้สี่หมด มันเป็นความภูมิใจของฉันมากมาย

“พี่ภา อาได้ที่สอง” ฉันวิ่งและร้องตะโกนไปบอกพี่ภาพี่สาวคนเดียวของฉัน

“เก่งมากไอ้น้องรัก ทำได้ดีเยี่ยมไปเลย” พี่ภากัดฟันพูดแถมยังจับแก้มฉันสองข้างดึงแบบที่เธอเคยเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ

“โอ๊ยเจ็บนะ” ฉันร้องเพราะมันเจ็บจริงๆ

“แล้วพี่ภาออะได้ที่เท่าไหร่” ฉันถามกลับบ้าง พี่ภาก็เลยยื่นสมุดพกให้ฉันดู

“โหที่หนึ่งอีกแล้ว คนอะไรวะเรียนเก่งฉิบ” ฉันบ่นพี่สาวของตัวเองฉันไม่เคยสู้อะไรพี่ภาได้เลย ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานบ้านงานเรือน

จะว่าไปการที่มีพี่เรียนเก่งๆ มาตั้งแต่เด็กก็ทำให้ฉันเครียดอยู่เหมือนกัน เพราะใครๆ ก็คาดหวังว่าฉันจะเรียนเก่งแบบพี่สาว เค้าเรียกกันว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว ฉันเคยโดนรูบ่นเรื่องที่ฉันเรียนไม่เก่ง อะไรก็สู้พี่ภาไม่ได้ แล้วก็เคยนึกน้อยใจว่าทำไมฉันถึงเรียนไม่เก่งแบบพี่ภาบ้าง

แต่เมื่อไปบ่นกับพ่อเมื่อหลายปีก่อนโน้น พ่อกลับบอกว่า

“ไม่เป็นไรอา แค่เราเป็นคนดีไม่ทำให้พ่อต้องกลุ้มใจพ่อก็ดีใจแล้ว” แถมพ่อยังบอกอีกว่า

“พ่อเองก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไร อาศัยขยันพอให้สอบผ่านไปวันๆ เรียนเสร็จก็เททิ้งลงถัยขยะหมดพอจะสอบก็มาอ่านใหม่” พ่อให้กำลังใจฉันเสมอมา ไม่เคยตอกย้ำความรู้สึกปมด้อยของฉัน เพราะอย่างน้อยฉันก็มีพวกคือพ่อที่เป็นแบบเดียวกับฉัน

ถึงพ่อจะเรียนไม่เก่ง แต่พ่อก็มีหน้าที่การงานในสังคมที่ดีกว่าใครๆ หลายๆ คน พ่อเป็นคนที่ขยันทำงานและไต่เต้ามาด้วยลำแข้งของพ่อเอง ทั้งปราบโจร จับโจร พ่อทำได้หมด ยกเว้นเรื่องเดียวพ่อแพ้แม่มาตลอด แม่จะเป็นใหญ่ในบ้าน ฉันเคยถามพ่อว่าทำไมไม่เถียงแม่บ้างพ่อบอกฉันว่า

“พ่อกับแม่เคยตกลงกันไว้ว่า เรื่องใหญ่ๆ ในบ้านพ่อค่อยทำค่อยออกความเห็น”

“แล้วทำไมอาไม่เคยเห็นพ่อออกความเห็นในบ้านสักเรื่องเลยล่ะคะ”

“ก็เพราะตั้งแต่พ่อกับแม่แต่งงานกันมาไม่เคยมีเรื่องอะไรใหญ่ๆ เกิดขึ้นในบ้านเราสักเรื่องเลยนะสิอา พ่อก็เลยไม่ออกความคิดเห็นดีกว่า เดี๋ยวแม่เค้าจะหาว่าพ่อก้าวก่ายเรื่องในบ้านของแม่เค้า”

คำตอบของพ่อ ทำให้ฉํนขำ เพราะฉันคิดเสมอว่าพ่อกลัวแม่มาโดยตลอด แต่ที่ไหนได้กลับเป็นเพราะพ่อกับแม่มีการตกลงกันตั้งแต่ตอนก่อนแต่งงานแบบนี้นี่เอง พ่อก็เลยไม่เคยมีปากเสียงกับแม่ อยู่แบบสงบเสงี่ยมเสมอมา เป็นพ่อที่ดีของฉัน เป็นสามีที่ดีของแม่มาโดยตลอด

พี่ษาเดินมาหาพวกฉันที่ยืนคุยกันอยู่สองคนพี่น้องพร้อมกับรอยยิ้ม

“เป็นไงภา อา เกรดดีปะ”

“ของเราก็ปกติ แต่แม่อาสิได้ตั้งที่สองของห้อง” พี่ภาตอบพี่ษา

“โหเก่งจังเด็กน้อยได้ตั้งที่สอง ปีนี้หยุดเรียนไปตั้งหลายวัน ยังเรียนดีอีกนะ สุดยอดจริงๆ เรานี่” แสงอุษาชมอาคิรายิ้มไปชมไป

เธอรู้อยู่แล้วว่าอาคิราเป็นเด็กฉลาด คิดอะไรได้รวดเร็วเพียงแต่ต้องมีคนแนะนำเท่านั้น อาคิราเป็นเด็กที่มีความจำดี แต่บางครั้งก็ไม่คิดที่จะจดจำ บางครั้งเธอสอนอาคิราแค่ครั้งเดียวอาคิราก็จำได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องอ่านหนังสือซ้ำ แบบที่เธอต้องทำ คนมีพรสวรรค์ทำอะไรก็ดูง่ายไปหมด

“ปะไปร้านลูกชิ้นกันไปฉลองกับผลการสอบของเรา” พี่ภาบอกกับพวกเราและเราก็ออกจากโรงเรียนมาพร้อมกัน

ฉันเห็นภรณีกับรมณต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเดิน ภาพที่เห็นมันทำให้ฉันหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

“พี่ภาทำไมคนเราเคนรักกันเป็นลมหายใจเข้าออกของกันและกันถึงได้แยกทางกันง่ายแบบนี้” ฉันสะกิดพี่ภาที่เดินนำหน้าฉันคู่กับพี่ษาให้หันมาดูรมณกับภรณี

“พี่ว่าเรื่องของคนสองคนเราไปตอบอะไรแทนเค้าไม่ได้หรอกอา เรื่องบางเรื่องมันก็คิดแทนใครไม่ได้ ณีกับมณเค้าอาจจะมีอะไรที่เราไม่รู้ เพราะทั้งคู่ก็ไม่ได้บอกเรานี่ว่าเวลาเค้าอยู่ด้วยกันสองคนเค้าทำอะไรกันบ้าง มีความมกดดันกันมากแค่ไหน บางทีนะเค้าอาจจะไม่เคยลงรอยกันมาก่อนก็ได้ เพราะต่างคนก็ต่างถือธิฐิว่าตัวก็หนึ่งในตองอู แต่ในตองอูมีคนเก่งมากมาย ไม่ได้มีแค่คนเดียว”

“แล้วมันไปเกี่ยวกับตองอูตรงไหนกันอะพี่ภา อางงแล้วนี่”

“เอ๊าอา ก็แบบพ่อเราไงเก่งหรือเปล่า”

“เก่ง”

“แล้วแม่เราอะเก่งปะ”

“ก็เก่ง”

“นั่นล่ะ พ่อกับแม่เก่งด้วยกันทั้งคู่เมื่ออยู่นอกบ้านใช่ปะ”

“ใช่ถามทำไมอะ”

“ก็ทั้งพ่อกับแม่เก่งแต่ทำไมพ่อยอมแม่ล่ะอา ก็เพราะพ่อรู้ว่า ถ้าเก่งด้วยกันทั้งคู่ก็ต้องแย่งกัยใหญ่ในบ้านหากว่าใครสักคนยอมกันมาตั้งแต่ต้นเรื่องก็ไม่เกิด แถมยังอยู่กันด้วยความสงบด้วยสิ แม่เองเมื่อพ่ออยู่นอกบ้านก็ไม่เคยข่มว่าพ่อด้อยกว่า ให้เกียรติพ่อเสมอมา แบบนี้ไงเค้าถึงเรียกว่ากิ่งทองใบหยก”

“อ๋อ” ฉันลากเสียงยาวๆ ตอบกลับพี่ภา

“แล้วแม่ก็ไม่เคยหึงหวงพ่อด้วยใช่ปะ”

“ช่ายแล้วน้องรัก แม่ไม่เคยหึงหวงพ่อ ไว้ใจพ่อมาตลอด แต่แม่มีความห่วงพ่อเมื่อพ่อต้องไปทำงานที่เสี่ยง คอยเป็นกำลังใจให้พ่อเสมอมา พี่ยังอยากเอาพ่อกับแม่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเลยอา แต่พี่คงทำได้ไม่เท่าครึ่งของที่แม่กับพ่อทำ ปะหิวๆ แล้วไปกินๆ กันเถอะ” พาภาตัดบทแล้วก็ขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ของเธอบึ่งไปร้านลูกชิ้นข้างวัด ร้านประจำที่เราชอบไปกิน

ฉันนั่งซ้อนรถพี่ษาเพราะมือของฉันแม้ว่าจะหายดีแต่ก็ยังขี่รถไม่สะดวก ยังแอบเจ็บๆ ที่มือบ้างในบางครั้ง ฉันก็เลยกลายเป็นคุณนายนั่งซ้อนรถมีสารถีขับขี่ไปส่งไหนๆ ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ร้านลูกชิ้นเจ้าประจำมีคนนั่งกินอยู่มากมา เราสั่งลูกชิ้นลวกมาครึ่งกิโล กับหมูลวกอีกหนึ่งจานกินแกล้มกับน้ำจิ้มสูตรเด็ดของที่ร้าน พี่ษาไปตักผักต้มมากินแกล้ม ให้หายเผ็ด

“ค่อยๆ เคี้ยวอาไม่ต้องรีบ” พี่ภาเตือนฉัน ที่รีบๆ ลกๆ จับโน่นนี่เข้าปากไม่หยุด ราวกับอดอยากมาจากเอธิโอเปีย

“แล้วเดี๋ยวพี่ภาไปไหน”

“ไปเรียนเปียโน วันนี้จะสอบเล่มหก”

“อ้าวเหรอก็ไม่บอก”

“บอกทำไมเล่าไปสอบเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“เอ๊าก็ไปให้กำลังใจไง จะได้สอบผ่าน”

“ไม่ต้องไปขืนไปพี่เสียสมาธิหมด ไปสอบนะเฟ้ยไม่ได้ไปแข่งขันจะได้มีคนไปเชียร์” พี่ภาโวยวาย

“ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวอาให้พี่ษาไปส่งบ้านก็ได้ พี่ภาไปเถอะ” หลังจากกินลูกชิ้นเจ้าประจำเรียบร้อย ฉันกับพี่ภาก็แยกกันที่สี่แยกไฟแดง พี่ภาเข้าเมืองส่วนฉันกับพี่ษาก็กลับบ้าน

ฉันที่นั่งอยู่ท้ายรถมอเตอร์ไซด์ก็หันไปมองถนนหนทาง ตอนที่ฉันเป็นคนขี่ฉันไม่มีเวลาที่จะมองทางแบบนี้เพราะฉันจะใจจดใจจ่ออยู่กับไฟแดง ฉันเห็นด้านหลังของภาที่ค่อยๆ ไกลออกไปทุกทีจากที่เราแยกกัน ฉันนั่งกอดเอวพี่ษาแน่นกว่าเดิมเพราะรถกำลังแล่นออกจากสี่แยกไฟแดงนั้น

ทางแยกมีอยู่มากมาย หนทางข้างหน้ายังอีกไกล ตอนนี้ฉันกับพี่ษายังคงเดินทางมาในเส้นทางเดียวกัน แต่ใครจะรู้ได้ว่าก่อนที่จะถึงจุดหมาย ถึงตอนนั้น เราสองคนจะได้เดินทางในเส้นทางเดียวกันอีกหรือไม่

เมื่อเวลานั้นมาถึงเราสองคนจะยังรักกันเหมือนกับวันนี้หรือเปล่า

ไม่มีใครรู้ได้ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจณ์

................................

พี่ษาไปมอบตัวและเริ่มเรียนปรับพื้นฐานที่โรงเรียนใหม่แล้ว โรงเรียนพี่ษาเรียนเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่ พี่โทรมาบอกว่าที่โรงเรียนนี้เรียนโหดจริงๆ ครูเข้ามาสอนๆ แล้วก็ให้การบ้าน ทั้งๆ ที่เป็นแค่การปรับพื้นฐานของเด็กๆ แต่ก็โหดใช่เล่น

พี่ษาส่งรูปที่เธอถ่ายในชุดนักเรียนโรงเรียนใหม่มาให้ฉันดู เธอสวยในแบบของเธอ และดูเป็นสาวมากวก่าเดิม พี่ษาบอกว่าใครๆ ที่เรียนโรงเรียนนนี้ก็อยากที่จะสอบเทียบกันทั้งนั้น เพราะใครที่สอบเทียบได้ก็จะมีโอกาสที่จะสอบเข้ามาหาวิทยาลัยได้ก่อนใครๆ ฉันเอาความรู้ใหม่นี้ไปบอกกับพี่ภา

“พี่ภาลองไปสมัครสอบเทียบดูสิน่าลองออก”

“อืมเพื่อนพี่ก็บอกแบบนั้นเหมือนกัน พี่เองก็ว่าจะไปลองสมัครดูแต่ต้องรอให้เปิดเทอมก่อน ผลสอบเข้าโรงเรียนก็ยังไม่ออกมาเลยไว้ได้เรียนก่อนค่อยคิด” พี่ภาบอกฉัน และฉันก็เห็นคล้อยตามที่พี่ภาพูดเหมือนกัน ตอนนี้ พี่ภายังไม่มีโรงเรียนที่จะเรียนเลย จะให้ไปพูดถึงเรื่องสอบเทียบคงจะไกลเกินไป

ฉันยังคิดเลยไปถึงขนาดที่ว่า ถ้าฉันได้เรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ษาฉันคงสนุกมากว่านี้ แต่อย่างฉันจะทำได้แบบพี่ษาหรือ แต่พี่ษาก็ให้ความหวังฉันเสมอมาว่า

“ไม่มีอะไรเกินกว่าความพยายาม”

……………..

และในที่สุดผลการสอบข้าวของพี่ภาก็ออกมาว่าเธอสอบติดหนึ่งในห้าของนักเรียนที่สอบเข้าได้ด้วยสิ เก่งจริงๆ พี่ฉานคริกๆๆ

พ่อกับแม่พาพวกเราไปกินข้าวนอกบ้านเป็นการฉลองการสอบได้ของพี่ภา ฉันก็พลอยมีหน้ามีตากับใครๆ ไปด้วยเพราะมีพี่เก่ง และแน่นอนเปิดเทอมหน้า โรงเรียนก็ต้องมาป่าวประกาศว่าพี่สาวของฉันสอบติดอันดับดีๆ ในโรงเรียนประจำจังหวัด

แถมยังจะเป็นการประกาศโฆษณาไปในตัวให้ใครๆ รู้ว่า โรงเรียนนี้ดีเด็กเรียนเก่ง สอบได้ที่ดีๆ เหมือนเป็นการชักชวนกรายๆ ว่า นี่นะโรงเรียนเด่นดังให้ลูดเธอมาเรียนที่นี่รับรองเริดค้าเริด

พี่ภาไปเรียนปรับพื้นฐานแบบเดียวกับพี่ษาเหมือนกัน ฉํนก็ไม่รู้ว่าการปรับพื้นฐานมันดีในแง่ไหน เห็นนิยมกันจังเรื่องปรับให้เด็กๆ เข้าใจในบทเรียนก่อนที่จะมีการเรียนการสอน

ฉันว่าจริงๆ แล้วเด็กจากที่ไหนๆ ก็เหมือนๆ กัน เพราะต่อให้ปรับให้ตายอย่างไร เด็กไม่เก่งก็ไม่สามารถที่จะเก่งกว่าเด็กที่เรียนเก่งอยู่แล้ว ฉันรู้และเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะฉันเคยเป็นมาแล้วเมื่อตอนที่ต้องไปปรับเข้ามอหนึ่งเมื่อสองปีก่อน ต่อให้เรียนให้ตายฉันก็สู้ขวัญหทัยไม่ได้

แต่เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของเด็กมากกว่า ถ้ามัวแต่คิดว่าสมองดีแล้วไม่ตั้งใจทำการบ้านหรืออ่านหนังสือ ต่อให้สมองดีแค่ไหนก็จบเห่

ฉันเขียนจดหมายติดต่อกับพี่ษาทุกวัน เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะเขียนเหมือนเป็นดาอารี่ประจำวันของเราเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเราให้กันและกันฟัง

ลายมือฉันอ่านยากก็จริงแต่พี่ษาไม่เคยบ่น พี่ษาบอกว่าอ่านยากแค่ไหนก็จะอ่าน เราสองคนก็เลยส่งจดหมายถึงกันทุกวัน และฉันก็จะยิ้มดีใจทุกครั้งที่พี่ไปรษณีย์สุดหล่อเอาจดหมายมาเสียบไว้ที่กล่องรับจดหมายที่หน้ารั้วบ้าน

สิ่งแรกที่ฉันกลับมาจากโรงเรียนและต้องทำก็คือเปิดตู้จดหมายดูว่ามีจดหมายของพี่ษาหรือเปล่าและฉันก็รู้มาว่า จดหมายที่เขียนในวันพฤหัสและศุกร์จะมาถึงในตอนกลางวันของวันจันทร์ คงเพราะพี่ไปรษณีย์ไม่ทำงานเสาร์อาทิตย์ จดหมายก็เลยเว้นช่วงเสาร์และอาทิตย์เสมอๆ

ฉันเริ่มแต่งกลอนส่งไปแทนการเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับพี่ษาได้รับรู้ หนึ่งในกลอนนั้นเขียนว่า

“ห่างเหินแลเหินห่าง ให้อ้างว้างอยู่เดียวดาย
ห่างร้างยามห่างไกล ให้ดวงใจนั้นร้าวราน

ร้อนรนวิ่งวนว่าย ไปในห้วงแห่งละหาน
ร้อนแรงกระแสธาร แห่งความคิดระโหยหา

ใจร้าวแลเจ็บนัก เมื่อคนรักร้างแรมลา
ใจเจ็บแสบดังว่า โดนไฟเผาเร้าร้อนจริง

กายเราและกายเจ้า ต้องผันตามกระแสสินธุ์
กายสองไม่ยลยิน กระแสธารผ่านพัดไป

สองจิตคิดพันผูก เพียงเพราะถูกมัดใจไว้
สองคนเมื่อยามไกล ก็มิได้ใจห่างกัน

ทางไกลให้ได้คิด ผู้พันจิตคิดหมายมั่น
ทางใกล้ใช้ว่าวัน และเวลามิลืมเลือน

แด่พี่ษาสุดที่รักของอาคิรา”

ลิเกไหมจ๊ะอาคิราคนสวย อิอิ

... จบบทที่ ๒๓ ....



Create Date : 04 กรกฎาคม 2551
Last Update : 4 กรกฎาคม 2551 12:44:36 น. 2 comments
Counter : 344 Pageviews.

 
ตามมาอ่านๆอิอิ
ระยะทางพิสูจน์ใจ^_^


โดย: หมอก IP: 124.121.61.136 วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:03:12 น.  

 
เย้ เย้ ได้อ่านแล้ว พี่รันหณ์ใจดีมากๆๆๆ

รักแท้จะแพ้ระยะทางรึเปล่านะ อาคิรา สู้ สู้


โดย: ไอ IP: 203.107.203.114 วันที่: 5 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:26:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.