It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๔

บทที่ ๒๔ ๗.๑๕ น.

เปิดเทอมใหม่ ฉันเหงาอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีพี่ษาในโรงเรียน ไม่มีพี่ภาคอยว่าฉัน ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ฉันได้สนุกเหมือนก่อน ไม่มีรมณคอยเถียงกับภรณี ฉันว่าภรณีเองก็เหมือนกันไม่ได้ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าโรงเรียนเริ่มไม่มีชีวิตชีวา โลกมันช่างเงียบเหงากว่าเดิมมาก

ตุ๊กตาน้อยเขียนจดหมายมาบอกฉันว่ารมณไปเรียนห้องเดียวกับเธอ รมณเปลี่ยนไปมากไม่พูดไม่จากับใคร แม้กระทั่งกับตุ๊กตาน้อยเองรมณก็ไม่ได้เข้ามาสุงสิงด้วย เธอเก็บตัวเงียบๆ เอาแต่นั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อครูถามรมณก็ไม่ยอมตอบ

ฉันว่าฉันอาจจะเสียเพื่อนคนที่เรียนดีเรียนเก่งไปอีกคนเพราะความรักก็เป็นได้

ส่วนฉันทุ่มเทเวลาว่างทั้งหมดให้กับการซ้อมดนตรี และอ่านหนังสือ ทั้งนิยาย ทั้งหนังสือเรียน และที่สำคัญขาดไม่ได้ ฉันบรรจงเขียนจดหมายถึงพี่ษาทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ

วันไหว้ครูและวันแจกใบประกาศก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พี่ษา พี่ภากลับมาที่โรงเรียนด้วย ในฐานะนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนฉันยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อพี่ๆ ทั้งสองกลับมาสร้างสีสันให้โรงเรียนอีกครั้ง

ฉันได้รับรางวัลนักดนตรีอีกปี เป็นปีที่สอง แถมพ่วงท้ายมาด้วยรางวัล เรียนดีอีกหนึ่งใบ ดังนั้นเราสามคนก็เลยเด่นที่สุดในงาน ฉันควงพี่ภาพี่ษาเดินว่อนไปทั่วโรงเรียน ครูพูดคุยกับพี่ภาพี่ษาอย่างสนิทสนม อย่างกับเป็นเพื่อนเล่นกัน

พี่ภาแวะไปห้องธุรการเอาใบรับรองว่าเธอได้เกรดเท่าไหร่เรียนที่โรงเรียนนี้มากี่ปีและใบรับรองความประพฤติจากทางโรงเรียนเพราะพี่ภาบอกว่าเธอจะเรียน รด. ตายแล้วพี่สาวฉันจะเรียน รด. เอาความคิดนี้มาจากไหน แต่เมื่อถามก็ได้ข้อสรุปมาว่า

“พี่อยากเป็นพยาบาลทหารหรือไม่ก็พยาบาลตำรวจ ถ้าเรียน รด.เค้าจะให้คะแนนพิเศษอีก ๕ % เกิดเราสอบเข้าแล้วคะแนนไม่ถึง”

และฉันก็เริ่มรู้แล้วว่าพี่ภาคิดอะไรเป็นระบบ จะทำอะไรก็นึกึงอนาคตข้างหน้าเสมอๆ ฉันสิไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ฉันจะทำต่อไปมันจะต้องทำอะไรบ้างได้แต่ปล่อยชีวิตไปวันๆ

“ษาไปสมัครสอบเทียบกันปะ” พี่ภาถามพี่ษาขณะที่เราเดินไปที่รถเพื่อที่จะกลับบ้าน

“ดีๆ ภาไปสมัครกันไหนๆ ก็ว่างแล้ว ว่าแต่ที่นี่เค้าเปิดรับสมัครที่โรงเรียนไหน” จากนั้นหัวข้อสนทนาของพี่ๆ ก็คือการไปสมัครสอบเทียบไม่มีเอกสารอะไรมากมาย ก็แค่ใบ รบ.จากโรงเรียนเดิม รูปถ่ายสองใบ กับเงินอีกนิดหน่อย

จากนั้นพวกเราก็กลับไปเอาเอกสารที่บ้านแล้วก็พากันไปยังโรงเรียนเป้าหมาย พอไปถึงพี่ๆ ก็สมัครกันเรียบร้อยแต่มีข้อแม้ว่าพี่ๆ ทั้งคู่ต้องเข้าเรียนในวันเสาร์อาทิตย์รวมเวลาทั้งหมด สองเดือนกว่าๆ เพราะเป็นกฎของกระทรวง

“แล้วษาจะมาได้เหรอ ไกลออก” อวภาส์เป็นห่วงแสงอุษาที่ต้องเดินทางไกลเพื่อมาเรียนในวันหยุด

“มาได้สิภา เราอยากกลับบ้านอยู่แล้ว เอาเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการกลับบ้านของเราเลยก็ดีนะ แล้วเราก็จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิมไงดีมะ”

“อืม เรากลัวษาจะเหนื่อยมากกว่าเดิมนะสิ”

“ไม่เป็นไรเราเหงาจะตายไปอยู่ที่โน่นกับแม่บ้านสองคนเอง ว่างๆ ภาก็ไปเที่ยวบ้านที่โน่นเราบ้างสิ เราจะได้มีเพื่อนด้วย พาอาไปด้วยก็ดีนะ”

“ไว้เราขอพ่อกับแม่ได้เราจะพาอาไปหาษาที่โน่นแล้วกันไม่ไกลมาดพ่อคงอนุญาต”

“ดีเลย งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ เย็นนี้ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว เราลาโรงเรียนมาแค่วันเดียวเอง”

“เดินทางปลอดภัยษา”

“เดินทางปลอดภัยพี่ษา”

“บายๆ” พี่ษาบอกลาฉันกับพี่ภา แล้วก็ขี่รถจากไป ฉันเห็นพี่ษาค่อยๆ ไกลออกไปทุกทีๆ จากหัวใจที่เคยชุ่มชื่นเมื่อตอนเช้า มันกลับห่อเหี่ยวลงมาอย่างบอกไม่ถูก พี่ภาคงเห็นฉันที่ยืนเศร้าก็เลยปลอบใจว่า

“ไม่เป็นไรนี่อา วันเสาร์อาทิตย์ษาก็กลับมาแล้ว อย่าเศร้าไปเลยน้อง”

“อืมจริงๆ ด้วยพี่ลืมไปเลยว่าพี่ษาต้องกลับมาเรียน ไชโย ดีใจจังเลยพี่ภา” ฉันกระโดดกอดคอพี่สาวตัวเองเพราะความดีใจจนลืมตัว แถมยังทำให้พี่ภาเกือบล้ม

“อาเบาๆ หน่อยพี่จะล้มแล้ว” พี่ภาบ่นฉัน

“ขอโทษพี่อาดีใจมากไปหน่อย”

“เอาน่ากลับบ้านกันน้องรัก ไปหาซื้ออะไรมาทำกับข้าวกินกันดีกว่า ฉลองเด็กเรียนดีแต่หิวโหย” พี่ภาคงได้ยินเสียงท้องของฉันร้องก็เลยชวนฉันกลับบ้าน

เราสองคนพี่น้องที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มกลับมาติดกันอีกครั้ง และตอนนี้พี่ภาก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ฉันสิกลับเป็นเด็กมากว่าเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยเปลี่ยนไปก็คือยังคงรักพี่สาวที่คลานตามกันมาคนนี้คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

............................

ตั้งแต่ขึ้นมอสี่ดูเหมือนว่าพี่ภาจะมีโปรแกรมมากมาย เธอไปเรียนภาษาเพิ่มกับครูพม่า เรียนดนตรีจนจบเล่ม แถมยังชวนฉันไปเรียนพิมพ์ดีดอีกต่างหาก

“ทำไมเรียนอะไรเยอะงี้อะพี่ภา” ฉันบ่นเพราะฉันก็โดนหนีบไปเรียนด้วยทุกครั้งยกเว้นเปียโนที่ฉันไม่ได้ไปเรียนด้วย

“เอาน่ามันมีประโยชน์ก็แล้วกัน เรียนๆ ไว้ไม่เสียหลายหรอก”

“ก็ได้เรียนก็ได้” ฉันจำใจไปเรียนกับพี่ภาโดยที่ไม่มีจุดหมายอะไร

เวลาเรียนพิมพ์ดีด ก็ไม่เห็นครูที่สอนจะทำอะไรมากมาย แค่สอนให้คืบนิ้ว พิมพ์คำเดิมๆ ซ้ำๆ หลายร้อยหน แถมแป้นพิมพ์ที่กดๆ ก็แข็งอย่างกับหิน กดทีก็เจ็บนิ้วไปหมด พอเวลาจะปัดแคร่ ด้วยความเก่าของเครื่องพิมพ์ดีด ก็ทำให้เมื่อยามปัดแคร่แรงๆ แคร่ก็กระเด็นหลุดออกจากตัวเครื่อง ฉันต้องอายอีกแล้ว ทำอะไรเห่ยๆ อีกแล้วอาคิรา เราสองคนเรียนกันอยู่สามเดือนกว่าๆ ก็จบการเรียน และก็ได้ใบประกาศว่าเราเรียนจบจากโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดที่ดีที่สุดในจังหวัด

เออนะ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว จากนั้นฉันก็ยึดเครื่องพิมพ์ดีดของพ่อมาเป็นเครื่องมือในการเขียนจดหมายถึงพี่ษา และจะมีลายมือของฉันกำกับท้ายจดหมายทุกฉบับ ดูเท่ห์ไม่หยอกกับการเซ็นท้ายจดหมาย เหมือนกับฉันกำลังเป็นเจ้าของบริษัทผู้มีอาจลงนามในหนังสือไงก็ไม่รู้

พี่ภาเริ่มไปเรียน รด. แบบที่พี่เค้าบอก พ่อหารองเท้าคอมแบตหนักอึ้งมาให้พี่ภา แถมยังสอนพี่ภาใส่ซิ่งที่เห็นห่วงสปริงกลมๆ ข้างในเหมือนมีลูกปืนอยู่ด้วย เวลาเดินไปไหนต่อไหน เสียงดังเหมือนกระพรวนน้องหมาข้างบ้าน แถมรองเท้าคู่หนักนั้นก็ยังไปติดเกือกม้าแบบรองเท้าของพ่อ เดินบนพื้นซีเม็นต์ทีดังกึ๊กๆ ยิ่งกว่ารถม้าแถวบ้านวิ่งบนถนนอีกแน่ะ

พอวันเสาร์อาทิตย์ พี่ภากับพี่ษาก็ไปเรียน กศน. ปล่อยฉันนั่งหง่าวอยู่ที่บ้านคนเดียว จะมีก็เฉพาะตอนเย็นเท่านั้นที่เราต้องไปเรียนภาษาด้วยกัน

พี่ษาบอกว่าครูคนนี้สอนดี ฉันว่าก็งั้นๆ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมครูพม่าคนนี้ถึงได้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งนัก และก็ถึงบางอ้อ เมื่อพ่อบอกว่าคนพม่าเมื่อก่อนเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แล้วประเทศเค้าก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอยู่หลายปี และไม่ต้องแปลกใจอะไรเลยที่ครูพม่าที่อายุเยอะๆ แบบครูคนนี้จะพูดภาษาอังกฤษได้และรู้จักทริกในการจดจำหลักไวยากรหรือการสนทนา

ฉันพอพูดภาษาได้มากขึ้นอย่างน้อยหากว่าพ่อพาไปปล่อยที่ไหนฉันก็ขอข้าวของน้ำหรือถามทางได้ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องจะทำอะไรต่อนั่นก็อีกเรื่องนึง ตอบตอนนี้คงไม่ได้เป็นแน่ ทำไมหรือค่ะ ก็ครูยังไม่ได้สอนนะสิถามได้ปั๊ดโธ่เอ๊ย

…………..

พี่ษากับพี่ภา สอบเทียบในเทอมแรกได้หมดทุกวิชา บอกว่าเทอมหน้าเหลืออีกไม่กี่ตัว ก็จะสอบผ่าน และฉันก็รู้ว่าทำไมพี่ภาถึงได้พาฉันไปเรียนพิมพ์ดีดเพราะพี่ภาต้องใช้ในการเอาไปประกอบการสอบเทียบนี่เอง พี่ภายังบอกอีกว่าปีหน้าถ้าฉันไปสอบเทียบบ้างฉันก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนพิมพ์ดีดอีกแล้ว เพราะฉันเรียนจบแล้ว

ใครๆ ก็มักพูดกันเสมอว่าเวลาดังสายน้ำไหล เผลอไปไม่นานเท่าไหร่ก็ใกล้สอบปลายภาคเทอมแรก ฉันไม่ค่อยทำกิจกรรมอย่างอื่นอย่างที่บอกค่ะ เพราะฉันไม่อยากขยับตัวไปไหน แค่ไปนั่งห้องดนตรีสอนน้องซ้อม เพราะฉันไม่ได้เล่นเองแล้ว ฉันเปลี่ยนมาเป็นเป่าคาลิเนทแทนการเล่นเบส ด้วยข้ออ้างที่ว่าฉ้นเจ็บแผล และเจ็บมือ ครูก็ยอมให้ฉันซ้อมเครื่องดนตรีเล็กๆ เครื่องนั้นอย่างง่ายดาย

ฉันบอกพ่อว่าฉันอยากได้คาลิเนท เมื่อครั้งที่ฉันสอบผ่านตอนเรียนมอสอง แม่ก็ว่ามันแพงมากๆ ฉันก็รู้ว่ามันแพงจริงๆ แต่พ่อก็หาเครื่องเก่าๆ หลุดจำนำมาให้ฉันได้หนึ่งเครื่อง มันดูเก่าจริงๆ เมื่อเปิดออกดูในครั้งแรก

“โห่พ่อไมมันเก่างี้อะน่ากลัว” ฉันบ่นเพราะไม่เคยเห็นคาลิเนทอะไรที่จะเก่าได้ใจแบบนี้มาก่อน

“เอาน่าลองเอาไปเช็ดๆ ถูกๆ หน่อยก็อาจจะดีขึ้น”

และก็จริงอย่างที่พ่อบอพอฉันเอามาขัดสีฉวีวรรณมันก็ดูใหม่ขึ้นมาได้บ้าง ดังนั้นไม่ว่าบ้านจะเงียบเหงาแค่ไหน หากมีฉันอยู่ฉันจะเล่นคาลิเนทเสียงดังๆ จากบ้านน้ำเงินของฉัน จนพี่ภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มักจะตะโกนข้ามบ้านมาว่าฉันเสมอๆ ว่า

“เงียบๆ หน่อยได้ไหมคนจะอ่านหนังสือไอ้อาบ้า” และฉันก็จะหยุดเป่าไปได้พักใหญ่ๆ แล้วก็จะเป่าอีก จนพ่อต้องกำหนดเวลาให้ฉันว่าหากจะเป่าต้องเป็นเวลา แต่ฉันก็มักจะเถียงเสมอๆ ว่าเวลาอารมณ์ของศิลปินพุ่งปรี๊ดขึ้นมานั้น มันไม่เป็นเวลาหรอก แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นรางวัลจากพ่อก็คือการโดนเข็กไปที่หน้าผากแรงๆ หนึ่งทีเป็นการสั่งสอน

จากนั้นหากเมื่อไหร่ที่ฉันอยากเป่าเจ้าคาลิเนทตัวจ้อยของฉัน ฉันจะไปที่บ้านในสวน ส่งเสียงเป่าเท่าไรก็ไม่มีใครในบ้านได้ยิน แต่ไก่ หมู เป็ดในเล้า จะร้องกระโต๊ก กระต๊าก อู๊ดอี๊ด ก๊าบกิ๊บ ดังลั่น จนพ่อนึกว่ามีโจรขึ้นบ้าน แต่พอมาเห็นฉัน พ่อก็เดินกลับบ้านไป ปล่อยให้ศิลปินเดี่ยวคาลิเนทต่อไปท่ามกลางเสียงสัตว์ที่คอยเป็นลูกคู่อยู่ไม่ไกลนัก

ฉันเริ่มเล่นเพลงที่ยากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเป่าดังปี๊ดแป๊ด ปู๊ด ก็เล่นเป็นเพลง เริ่มจากเพลงง่ายๆ ที่ครูเคยเอามาสอนเพื่อนๆ ในวง จากนั้นก็เริ่มเล่นเป็นเพลงมากขึ้น เพลงพระราชนิพนธ์เป็นเพลงที่ฉันหัดในเวลาต่อมา ใครจะรู้หรือไม่ว่าเล่นยาก แถมมีเสียงต่ำเสียงสูง ต้องบีบแก้มเป่าจนปวดไปหมดและต้องมีสมาธิในการเล่น

ฉันนึกถึงบีโธเฟ่นที่แต่งเพลงซิมโฟนี่ ฉันว่าก็ไม่ได้แตกต่างกัน ฉันใช่เวลาว่างๆ เวลาที่เหงาๆ ออกมานั่งเป่าปี่เป็นพระอภัยมณีรอนางละเวง ไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่เชื่องช้าเกินไปจนเดินไม่ทันใครๆ ชีวิตง่ายๆ ของอาคิรา

..........................

เมื่อไม่มีรมณ ภรณีดูเปลี่ยนไปอย่างที่ฉันได้บอกไปแล้ว ฉันมีเวลาว่างในวันนี้ ก็เลยถามภรณีถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะคิดว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ภรณีคงลืมไปได้บ้าง

“ณีฉันถามจริงๆ เถอะแกไปทำอะไรให้มณเสียใจจนถึงขนาดตามหึงแกได้ถึงขนาดนั้นมันมีอะไรมากกว่าที่พวกฉันรู้ใช่ไหม”

“อืม” ภรณีเพียงแค่ส่งเสียงผ่านลำคอของเธอเท่านั้น

“หมายความว่าแกกับน้องคนนั้นมีอะไรกันจริง”

“อืม”

“แล้วมณก็จับได้และทนไม่ได้ที่แกเจ้าชู้”

“อืม”

“เฮ้ยไอ้ณีแกตอบอะไรมากกว่าคำว่า อืม ได้ปะวะ”

“ก็จะให้ตอบอะไรเล่า ก็มันจริงทุกอย่างที่แกพูดมา”

“ไอ้ณีทำไมวะทำไมแกมีเพชรดีอยู่ในมือแล้วแกยังไปคว้าเอากรวดมาอีก” ฉันบ่นภรณี

“ก็มณเค้าทำตัวยิ่งกว่าแม่ฉัน แกก็รู้ว่าฉันเคยอิสระ เคยไปไหนต่อไหนได้โดยที่ไม่ต้องขอใคร แกเข้าใจฉันหรือเปล่าวะอา”

“เข้าใจแต่แกทำไมไม่นึกถึงใจของมณบ้างมันรักแกมากนะเว่ย”

“รักที่มีแต่การผูกมัดของมณนะเหรอแก มัดจนฉันกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ จะทำอะไรก็รู้ไปหมดทุกเรื่อง แค่อ้าปากก็แทบจะเอามาประเคนถ้าเคี้ยวให้ได้คงทำให้แล้ว ฉันไม่อยากมีความรักแบบนั้น”

“แล้วไง แกก็เลยนอกใจมณจนมณจับได้ แล้วก็ไม่ไว้ใจแกมาเรื่อยๆ จะไปไหนก็ตามติด เป็นเงาตามตัว”

“ใช่ยิ่งมณทำตัวแบบนั้นฉันก็ยิ่งอยากจะฉีกตัวเองออกมาจากมณมากขึ้นทุกที ฉันอึดอัดทุกครั้งที่อยู่ใกล้มณ ฉันกลายเป็นคนไม่เป็นตัวของตัวเองต้องคอยระเวงว่ามณจะโกรธหรือเปล่า มณจะชอบหรือเปล่า มันอึดอัดจนฉันแทบจะระเบิด พอมีน้องเค้าเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป น้องเค้าใจเย็นน่ารักยิ้มหัวเราะได้ทั้งวัน ฉันจะทำอะไรก็ตามใจฉัน ให้เดินซ้ายก็ไปทางซ้าย ให้เดินขวาก็ไปทางขวา ใครล่ะจะไม่ชอบเป็นใหญ่ ใครล่ะจะไม่ชอบให้คนมาตามใจ ฉันถามแกหน่อยเถอะอาถ้าแกเป็นฉันแกจะทำไง”

คำถามที่ภรณีถามฉันทำเอาฉันอึ้งไปพักใหญ่ จะตอบคำถามของภรณีทันทีว่าฉันจะทำอะไรหรือทำอย่างไรก็ตอบไม่ได้ เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่า หากฉันเป็นภรณี เจอเหตุการณ์แบบภรณีฉันจะทำอย่างไร

“ว่าไงอาแกจะทำไง” ภรณีถามย้ำฉัน

“มันก็ตอบยากมากๆ เลยณี ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฉันเป็นแกฉันจะทำไงแต่ที่แน่ๆ หากว่าพี่ษาทำแบบนั้นฉันก็คงจะคุยกับพี่ษาก่อนว่าฉันอึดอัด”

“ใช่ว่าฉันจะไม่คุยกับมณ ฉันกับมณคุยกันเรื่องนี้บ่อยมากๆ บ่อยจนฉันขี้เกียจจะคุย บ่อยจนเมื่อเราคุยกันไม่ว่าจะครั้งไหนเราก็ต้องทะเลาะกันเป็นประจำ”

“ลิ้นกับฟันกระทบกันมันก็เจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

“มันไม่ใช่แค่นั้นสิอา มณเค้าอารมณ์แรงมากเวลาที่เราทะเลาะกัน มณทำร้าย ตัวเองกรีดตัวเอง”


“เฮ้ยจริงดิ” ฉันค่อนข้างตกใจกับคำบอกเล่าของภรณีเพราะฉันไม่คิดว่าคนเฉยๆ แบบรมณจะกล้าทำร้ายตัวเอง

“จริงสิ ครั้งแรกๆ ที่เราเห็นเราก็เสียใจมากๆ เลยนะอาที่เราทำให้คนที่เรารักต้องเจ็บตัว แต่พอมีครั้งที่สองที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ตามมาเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มจะชิน มณอยากจะทำอะไรก็ทำไป อยากจะกรีดก็กรีดไป พอมีเรื่องฉันก็ออกนอกบ้าน มณก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง พอตอนเช้าฉันก็กลับไปรับมณกับน้องฉันมาโรงเรียนตามปกติ”

“แล้วแกไปอยู่ที่ไหน”

“หอน้อง”

“หา แกไปอยู่กับน้องเค้าแล้วทิ้งมณไว้ที่บ้านนี่นะ”

“อืม”

“ไอ้ณีแกบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย”

“ฉันไม่ได้บ้าเลยอา ฉันไปหอน้องแต่ฉันก็ไม่ได้มีอะไรกับน้องเค้า ฉันแค่อยากไปหาที่สงบๆ ทางใจไม่ต้องวุ่นมายอะไรมาก แต่มณไม่เคยเชื่อฉันเลยว่าฉันกับน้องไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน ฉันรักมณมากนะแก”

“ไหนอ้าปากสิ”

“อ้าทำไมเล่า”

“เอาน่าอ้าปากมา” ภรณีอ้าปากให้ฉันดู

“เออค่อยยังชั่วหน่อยไม่ได้อมพระมาพูด เพราะต่อให้แกอมพระมาฉันก็ไม่เชื่อว่าแกไม่ได้มีอะไรกับน้องเค้าจริงๆ”

“ขนาดแกเองเป็นเพื่อนสนิทฉันแกยังไม่เชื่อเลยเหรอ”

“ก็ใช่นะสิฉันเพื่อนสนิทแกคนนี้แหละที่ไม่เชื่อแกร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อว่าคนเจ้าชู้ไวไฟอย่างแกจะไม่มีอะไรกับน้องเค้าเลยสักนิด”

“เชื่อพี่ณีเถอะค่ะพี่เราสองคนไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เราเป็นพี่น้องกันเท่านั้น” เด็กสาวหน้าใสเรียนอยู่มอสองรุ่นน้องที่ฉันกับภรณีเอ่ยพาดพิงถึงก็พูดสวนกลับมาทันที

กมลชนกเป็นเด็กสาวคนที่เป็นหนามยอกอกของรมณ เด็กคนนี้ท่าทางดูดี น่ารักและร่าเริง สมแล้วที่ภรณีจะอยากอยู่ใกล้ชิดด้วย บุคลิกช่างแตกต่างจากรมณเพื่อนของฉันจริงๆ

“จริงๆ นะคะพี่อา หนูกับพี่ณีไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันมากกว่าคำว่าพี่น้อง”

“แล้วมาบอกพี่ทำไมกันล่ะทำไมไม่บอกพี่มณเค้า”

“หนูพยายามบอกพี่มณหลายหนแล้วแต่พี่มณก็ไม่เคยฟังหนูกับพี่ณีเลย”

“น้องเค้าพูดถูกแล้วอา มณไม่เคยฟังเราสองคนเลยสักครั้ง และไม่เคยเชื่อเรื่องที่ฉันพูดเหมือนที่แกไม่เชื่อฉัน”

“ก็หน้าอย่างแกมันน่าเชื่อถือมากนักนี่หว่า”

“แล้วต้องให้ทำไงมณถึงจะเชื่อฉัน”

“เอางี้ดีกว่าแกลองถามใจแกเองดีกว่าณีว่าแกยังรักมณอยู่จริงๆ หรือเปล่า แกพร้อมที่จะให้อภัยเวลาที่มณหึงหวงแกแบบไม่มีเหตุผลหรือเปล่า ถ้าแกถามใจตัวเองแล้วได้ความว่าแกทำได้ แกค่อยคิดว่าแกจะทำไงให้มณกลับมาคืนดีกับแก ฉันก็คงให้คำปรึกษาแกได้เท่านี้ล่ะเพื่อน”

“ขอบใจนะอา”

“ไม่เป็นไรณี เออแต่ฉันได้ข่าวว่ามณไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครเลยนะแก”

“รู้ได้ไง”

“ตุ๊กตาน้อยบอก”

“อืม ขอบใจนะที่ส่งข่าวเรื่องมณให้ฉันรู้”

“ไม่เป็นไรรู้มาแค่นี้ก็บอกแค่ที่รู้ ฉันกลับบ้านแล้วนะณีเจอกันพรุ่งนี้ บายน้องนก”

“บายเพื่อนเจอกันพรุ่งนี้”

ฉันบอกลาภรณีและกมลชนกมาด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว เรื่องของคนสองคนเมื่อมีมือที่สามเข้ามาเอี่ยวด้วยดูเรื่องมันจะบานปลายใหญ่โตมากจนเกินที่จะแก้ไข

ฉันย้ำกับตัวเองว่าฉันจะใช้ตัวอย่างของภรณีเป็นบทเรียนจะไม่เดินตามทางที่เพื่อนฉันเดินอย่างเด็ดขาด ต่อให้ฟ้าถล่มดินทะลาย หากว่าต้องจากกันทั้งๆ ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องคาราคาซังแบบนี้แน่นอน

................

การสอบปลายภาคในเทอมแรกก็มาถึงฉันตั้งใจอ่านหนังสือและตั้งใจทำข้อสอบ เพราะปีนี้เป็นปีที่ฉันต้องทำคะแนนให้ได้มากๆ สนใจกับการเรียนให้มากกว่าที่เคยเป็น ปีสุดท้ายของการเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้

ฉันสอบสามวันติดกัน ส่วนพี่ภาสอบวันเว้นวัน เราไม่ได้คุยอะไรกันนอกจากไปกินข้าวที่บ้านพร้อมกับพ่อแม่ จากนั้นก็ไปบ้านใครบ้านมัน การที่ฉันแยกออกมาอยู่คนเดียวอย่างอิสระที่บ้านน้ำเงินทำให้ฉันไม่ค่อยได้พูดจากับใครในบ้านมากนัก ไม่ได้ดูโทรทัศน์ ได้แต่ฟังวิทยุรายการโปรดแค่นั้น

ฉันมีหนังสือและดนตรีเป็นเพื่อนยามเหงา มีจดหมายของพี่ษาให้อ่านเมื่อยามคิดถึง แม้ว่าฉันจะได้เจอพี่ษาทุกๆ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ มันก็ไม่ได้ทำให้ความคิดถึงของฉันที่มีต่อพี่ษาลดลงเลย กลับทำให้เราคิดถึงกันมากขึ้น

ภรณีเคยถามฉันว่าฉันเคยมีอะไรกับพี่ษาหรือยัง คำตอบที่ภรณีได้รับก็คือไม่เคย เพราะเราทั้งสองเพียงแค่กอดจูบหอมแก้มกันเท่านั้น ภรณีก็ทำท่าเหมือนที่ฉันทำท่าทางไม่เชื่อเธอเช่นกัน ฉันก็พึ่งเข้าใจว่าทำไมภรณีถึงรู้สึกว่าฉันไม่เข้าใจเธอ เพราะตอนนี้ฉันเองก็กำลังเป็นเหมือนภรณีที่ตัวฉันไม่เชื่อเธอ เหมือนเป็นลูกศรย้อนกลับหรือบูมเมอแรง เมื่อยามขว้างไปแล้วก็วนกลับมา

ฉันเข้าใจภรณีมากขึ้นว่าเมื่อเราพูดอะไรไปแล้วเพื่อนสนิทของเราไม่เชื่อมันมีความรู้สึกแบบไหน จะว่าไปเรื่องแบบนี้ต่อให้ฉันเคยมีอะไรแล้วฉันปากแข็งว่าไม่เคยมี หรือว่าฉันไม่เคยมีอะไรแต่ฉันป่าวประกาศว่าฉันเคยมี ใครๆ ก็อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อฉันก็ได้ใครจะรู้

แต่ที่แน่ๆ ฉันกับพี่ษาไม่ไวไฟเหมือนภรณี ฉันไม่กล้าทำอะไรบู่มบ่ามกระโต๊กกระต๊ากแบบที่ภรณีทำ ฉันกับพี่ษาเราตกลงกันตั้งแต่เริ่มคบกันแล้วว่า เราสองคนพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

ปิดเทอมนี้พี่ษามาอยู่ที่บ้านฉันเหมือนเช่นเคย พี่ภากับพี่ภาเริ่มมีเรื่องคุยกันอีกแล้ว สงสัยว่าสองคนนี้ต้องคิดจะทำอะไรกันอีกแน่ๆ เลย ฉันก็เลยไปแอบฟัง (เป็นนิสันที่พ่อไม่ชอบเอามากๆ ด้วยสิ)

“ภาลองไปสอบ AFS ดูสิน่าไปลองดูนะ”

“แต่เค้าว่ามันสอบยากมากๆ เลยนะษา”

“ไม่ลองไม่รู้นี่ภา เห็นว่าจะสอบตอนภาคปลายแต่ของเราต้องไปสอบที่เชียงใหม่”

“คู่แข่งคงเยอะน่าดูเลยนะษาแค่คิดก็ท้อแล้ว”

“ภาลองไปปรึกษาครูแนะแนวดูสิว่าเค้าว่าไงบ้างไม่แน่นะครูอาจมีอะไรแนะนำเราได้ เดี๋ยวเราก็ว่าจะไปปรึกษาครุแนะแนวเหมือนกัน”

“อืมก็ดีไว้เราไปถามครูตอนเปิดเทอมว่าเค้าสอบอะไรกันบ้าง” จากนั้นสองสาวก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว

“ษานี่โชคดีนะไม่ต้องตัดผม เราสิโดนตัดซะสั้นเลย”

“นั่นสิ ตอนแรกที่เราเห็นภาขำแทบแย่จากผมยาวๆ มาตัดสั้นจู๋แบบนี้”

“ก็โรงเรียนเราไม่ยอมให้ไว้ผมยาว คราวที่แล้วเพื่อนเราไม่ตัดผมลองไว้ผมยาวกะว่าปิดเทอมจะไว้ผมยาวไปเที่ยว แต่พอจะเข้าห้องสอบโดนครูตัดซะสั้นเลย เห็นแล้วสงสารมากๆ”

“ชั่งบังคับขืนใจกันดีจริงเลยเน๊อะ”

“แต่เราก็ว่าดีนะอย่างษาไว้ผมยาวดูเป็นสาวเร็วกว่าเราอีก”

“เราว่าการที่พวกเราไว้ผมยาวหรือว่าผมสั้นมันไม่เกี่ยวกับการที่เราจะเป็นสาวเร็วหรือจะใจแตกเร็วหรือไม่แตกเร็วกว่ากันมากนักหรอกภาว่าจริงไหม”

“ก็จริงอย่างษาก็สวยสาวกว่าเราษายังไม่ใจแตก มีเพื่อนเราบางคนไว้ผมสั้นติดติ่งหู แต่ควงผู้ชายรุ่นพี่ไม่ซ้ำหน้า มันก็อยู่ที่คนอย่างที่ษาบอกนั่นล่ะ”

“นี่ภาดูชุดนี้สิสวยจังเลย” พี่ษาชวนพี่ภาดูเสื้อผ้าแบบใหม่ในหนังสือแฟชั่นที่เธอพึ่งจะซื้อมาจากร้านหนังสือ แล้วก็ติโน่นชมนี่ไปตามเรื่องของสาวๆ ที่คุยกัน

“สาวๆ คุยอะไรกันจ๊ะ” ฉันได้เวลาเปิดตัวที่ยืนฟังอยู่ข้างประตูห้องของพี่ภาแล้วก็เดินเข้าไปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามพี่ษากับพี่ภา

“กำลังดูแฟชั่นกันอยู่อามาดูด้วยกันสิ” พี่ษาชวนฉันให้ดูหนังสือแฟชั่นวัยรุ่นฉบับล่าสุดเล่มนั้น

“หึหึ ไม่ดีกว่า” ฉันส่ายหน้า

“อย่าไปชวนลิงดูเพชรเลยษาถึงดูไปก็ไม่รู้เรื่องหรอกต้องชวนให้ดูกล้วยในเครือว่ากินได้หรือยังต่างหาก”

“โหพี่ภาว่าอาเป็นลิงอีกแล้วนะ หลายหนแล้วด้วย”

“แล้วอาไม่ได้เป็นลิงจริงๆ เหรอ พี่นึกว่าแม่เลี้ยงลิงนะนี่” พี่ภาลอยหน้าลอยตา กวนอวัยวะเบื้องล่างอย่างยิ่งยวด

“อาจะฟ้องแม่ว่าพี่ภาว่าแม่เป็นลิงเลยออกลูกเป็นลิง”

“พี่ไปว่าแม่ตอนไหน เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องแม่เลย พี่ไม่กลัวหรอก แล้วแม่ก็ไม่ฟังคนไม่มีเหตุผลด้วยเอะอะฟ้อง เอะอะฟ้องเช๊อะ”

“ก็อาเป็นลูกแม่ ถ้าอาเป็นลิงแม่ก็ต้องเป็นลิงด้วย แถมพี่ภาก็ต้องเป็นพี่ลิง” ฉันโวยกลับแถมป้ายสีพี่ภาอีกด้วย

“นี่ยายอาอย่ามาเหมารวมนะเราเป็นลิงคนเดียวมาเหมาว่าพี่เป็นด้วยพี่ไม่ยอมหรอกพี่จะฟ้องพ่อ”

“งั้นพี่ภาก็เป็นไก่ ชอบไซ้ขนชอบแต่งตัวยืนโชว์”

“พี่ไปแต่ตัวยืนโชว์เป็นไก่ตรงไหนกัน”

“ก็ไม่เคยได้ยินเหรอเค้าว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง พี่ภาไม่ใช่คนแต่เป็นไก่ อิอิ”

“ยายอามาว่าพี่เดี๋ยวเถอะ” ท่าทางพี่ภาจะฉุนจัดจนควันออกหู

“ที่พี่ภายังว่าอาได้เลย อาว่ากลับแค่นี้ทำโมโหโด่เอ๊ย”

“พอกันเลยทั้งพี่ทั้งน้องไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ” แสงอุษาส่ายหน้าระอาใจกับไก่และลิง สัตว์สองชนิดที่อยู่ด้วยกันที่ไรตีกันขนกระจาย หางกระจุยทุกครั้งไป

... จบบทที่ ๒๔ ...



Create Date : 08 กรกฎาคม 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:13:43 น. 0 comments
Counter : 301 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.