It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๑

บทที่ ๒๑ ๗.๐๐ น.

ฉันปรับสีหน้าให้ดูสดชื่นและก็เดินลงไปหาทั้งสามคนที่นั่งคุยกันพร้อมกับการกินแตงโมรอฉันอยู่บริเวณม้าหินอ่อนข้างๆ ห้องอาบน้ำของโรงเรียน

“มาแล้วคนสวยมาแล้ว”

“สวยไม่เสร็จนะสิไอ้อา” ภรณีแย้ง

“ถึงจะสวยไม่เสร็จก็มีคนรักแล้วกันอะโด่”

“ไอ้ขี้โม้เอ๊ย” ภรณีหันมาผลักฉันและฉันก็เซไปปะทะกับพี่ษาแบบไม่ได้ตั้งใจจนพี่ษาเกือบล้มดีที่ฉันคว้าเอวเธอไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงไปคลุกกับพื้น

“นี่ไอ้ณีเล่นแกล้งกันน่ะฉันไม่ว่าหรอกแต่มาทำให้ที่รักเจ็บตัวไปด้วยอภัยไม่ได้เว่ย มาโดนตืบซะดีๆ ไอ้ลุงณีฮ่าๆๆๆ” ฉันกับภรณีวิ่งไล่กันไปจนถึงห้องดนตรีและก็ยังไล่กันไม่เลิกทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็หยิบเอาเครื่องดนตรีของตัวเองลงมาด้านล่างแล้ว

ฉันดูจะเสียเปรียบภรณีอยู่บ้างเพราะเครื่องดนตรีของฉันทั้งหนักทั้งใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน เพราะฉันมีช่วงขาที่ยาวกว่าภรณีมากพอสมควรวิ่งได้ทันอยู่แล้วอย่างสบายๆ

และเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เกิดขึ้น ภรณีระหว่างที่วิ่งหนีฉันเธอทิ้งเปลือกแตงโมชิ้นเล็กๆ ลงที่พื้นเพราะเธอคงจะกินหมดแล้วแต่ยังหาที่ทิ้งไม่ได้ประกอบกับอยู่ในช่วงชุลมุนวิ่งไล่ฟัดเป็นทอมแอนด์เจอรี่กันอยู่ภรณีก็เลยตัดสินใจสละเปลือกแตงโมทิ้งลงพื้นอย่างง่ายดาย

ฉันที่มองไม่เห็นว่ามีเปลือกแตงโมหล่นอยู่เพราะเครื่องดนตรีของฉันบังไว้ก็เหยียบและพลาดลื่นล้มก้นจ้ำเป้าลงไปอย่างจัง ด้วยความห่วงว่าทูบ้าเครื่องดนตรีที่แพงแสนแพงในมือของฉันจะพัง ขณะที่ฉันลื่นล้มสติสัมปชัญญะสุดท้ายของฉันบอกฉันว่าให้ฉันยกแขนข้างที่ถือเครื่องดนตรีขึ้นเหนือศีรษะ และยอมที่จะล้มหงายหลัง

ท่าทางที่ล้มของฉันทำให้ภรณีที่วิ่งหนีฉันและหันหลังกลับมาดูพอดีหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อเธอเห็นฉันไม่ยอมลุกขึ้นมาจากการล้มก็คิดว่าคงจะเจ็บเธอวิ่งกลับมาที่ฉันหยิบเครื่องดนตรีจากมือฉันเอาไปวางข้างๆ ตัวฉัน จากนั้นก็ร้องเรียกรมณให้มาช่วยกันพยุงฉันลุกขึ้น

ฉันนั่งจุกแบบที่เคยเป็นมาแล้วตอนที่ตกมาจากบ้านต้นไม้แต่คราวนี้ฉันไม่ได้ปวดที่ขา แต่มันกลับเจ็บที่ก้นกบ เจ็บเหมือนว่าก้นของฉันจะหักเป็นเสี่ยงๆ

“เป็นไงอากบตัวโตไหมเพื่อนหรือว่าลงไปวัดพื้นโลงวะฮ่าๆๆ” ภรณีขำฉันดูสิเธอทำได้ ไม่ช่วยแล้วยังจะมาถากถาง

“เป็นไงบ้างอาลุกไหวไหม” รมณสิที่ยังพอมีน้ำใจถามฉันขณะที่พยายามจะพยุงฉันขึ้นจากพื้น

ฉันไม่พูดไม่จายกมือโบกเป็นท่าทางบอกว่าไม่ๆๆๆ ฉันไม่ลุก

พี่แสงอุษาเห็นภรณีและรมณรุมฉันอยู่ก็วิ่งมาหาฉันพร้อมกับไม้ดรัมในมือเธอ

“อาเป็นไรนั่งไม่ลุกเจ็บมาหรือเปล่า” พี่แสงอุษาพยุงฉันด้วยสองมือของเธอให้นั่งพิงเธอ

“อามันลื่นล้มพี่ษาไม่รู้ใครเอาเปลือกแตงโมมาทิ้งไว้ อาวิ่งไล่ตามณีแล้วก็ลื่นล้มลงไปดีที่ทูบ้าไม่ตก รักเครื่องดนตรียิ่งชีพ” ภรณีตอบพี่แสงอุษาแทนฉันที่จุกจนพูดไม่ออก

“ดีนะยอมเจ็บดีกว่าเครื่องพัง” พี่แสงอุษาประชดประชันฉันอยู่ด้านหลัง

ฉันที่พอจะพูดได้บ้างแล้วก็อ้อมแอ้มตอบไปทั้งนั่งแอ้งแม้งขาเหยียดมือยันพื้นหมดสภาพไปว่า

“พี่ษาไม่รู้อะไรไอ้นี่มันแพงมากๆ ถ้าเกิดว่ามันพังไปเอาตัวอาไปขายก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมันได้หรือเปล่าเลย” ฉันพยายามจะอธิบาย

“ฮ่าๆๆๆ เออจริงว่ะมันแพงจริงๆ ไอ้อา ดีแล้วที่แกทำแบบนี้เพราะตัวแกขายไม่ได้ราคา หรือแกจะขายมอไซด์คู่ชีพของแกไปเงินยังไม่พอซื้อไอ้บ้านี่ไม่ได้เลย ไอ้พวกความรับผิดชอบสูงก็งี่ล่ะ ฮ่าๆๆ”

ภรณีหัวเราะฉันและเรียกเครื่องดนตรีของฉันว่า “ไอ้บ้า” จะว่าไปเครื่องของฉันมันก็มีชื่อที่ไม่เหมือนใคร ซูซ่าโฟนเพื่อนก็เรียกกันว่า “คอห่าน” บ้างล่ะ “โถส้วม” บ้างล่ะ ถึงฉันจะเปลี่ยนมาเล่นทูบ้าแทนก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องของฉันจะมีชื่อเสียงเรียงนามที่เพราะพริ้งกว่าเครื่องของใคร

ฉันแอบค้อนภรณีวงใหญ่เพราะแทนที่เธอจะเป็นห่วงฉันเธอกลับมานั่งขำความงกของฉันแทนเสียนี่ แถมยังทำให้รมณและพี่แสงอุษาขำตามเธอไปด้วย

มันน่านักภรณี มันน่าจะให้มาลื่นพร้อมฉันดูสิว่าจะทำแบบเดียวกันกับฉันหรือเปล่า

กว่าฉันจะลุกขึ้นมาได้ก็ต้องทำใจอยู่นาน ครูเห็นฉันเดินกระโผลกกระเผลกก็เลยถามว่าไปทำอะไรมา ฉันตอบได้คำเดียวว่าลื่นล้ม จากนั้นฉันก็เป็นคนเดียวที่ซ้อมแถวแบบไม่ต้องพบหรือแบกเครื่องดนตรีติดตัวเหมือนใครๆ เดินตัวปลิวจนใครๆ อิจฉา

อาการเคล็ดขัดยอกของฉันหมดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่อาการเคล็ดขัดใจในตัวภรณีของฉันยังกรุ่นอยู่ข้างใน แค้นนี้เมื่อไหร่ชำระได้ อาคิราไม่มีทางปล่อยผ่านอย่างแน่นอน

ไม่นานนักสวรรค์ก็สร้างสถานการณ์ให้กับจอมยุทธ์อย่างอาคิราให้แก้แค้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แค้นที่ต้องการชำระก็ได้บังเกิดหนทางแห่งการล้างแค้น เมื่อคู่ต่อสู่เพลี้ยงพล้ำ มีหรือที่อริอย่างอาคิราจะไม่กระหน่ำซ้ำซัด

หลังเลิกซ้อมทุกคนก็เอาเครื่องดนตรีไปเก็บที่ห้องพร้อมๆ กับทำความสะอาดเหมือนเช่นทุกครั้ง ฉันนั่งเช็ดเครื่องและหยอดน้ำมันในสูบอยู่ดีๆ ภรณีก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องเครื่องดนตรีของเธอที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว

ส่วนฉันยังเช็ดไม่เสร็จ เพราะกว่าจะลงบลาสโซกว่าจะเช็ดออก กว่าจะหยอดน้ำมัน กินเวลาไปมากเหมือนกัน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำน้ำมันหล่อลื่นสูบหกเปื้อนที่พื้นห้องหรอกนะจะบอกให้ ก็เพราะว่าฉันยังทำอะไรไม่เสร็จก็เลยปล่อยให้น้ำมันยังคงหยดอยู่ที่พื้นไม่ได้เช็ดออก อีกอย่างฉันเองก็นั่งอยู่ตรงนั้นคงไม่มีใครตาถั่วมาลื่นต่อหน้าต่อตาของฉันได้หรอก

ภรณีชูกล่องเครื่องของเธอให้ฉันดูว่าเธอจัดการเรียบร้อย ประหนึ่งว่าจะเยาะเย้ยถากถางฉันกลายๆ ว่าเชื่องช้าเป็นเต่า ฉันก็ยิ้มๆ และลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะจัดเก็บอุปกรณ์ลงกล่องอย่างที่เคยทำ ฉันโชคดีหน่อยที่ไม่ต้องแบกเครื่องไปวางไว้บนชั้นจัดเก็บแบบเพื่อนคนอื่นๆ

อาจเป็นเพราะครูเห็นว่าเครื่องของฉันใหญ่เกินไปที่จะเอาไปวางที่ชั้นเก็บ มันจึงไปซุกอยู่ที่ซอกหลืบข้างๆ ชั้นวางด้านหนึ่ง ภรณีแกว่งกล่องเครื่องไปมาพร้อมๆ กับเต้นเบรคด๊านซ์ไปด้วย

ใครๆ ก็รู้ว่าภรณีเป็นนักเต้นที่เก่งเข้าขั้น บอยจ๊อร์จก็บอยจ๊อร์จเถอะไหนจะสู้ภรณีเพื่อนฉันคนนี้ได้ เธอเต้นเข้ามาใกล้ๆ ฉัน และสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น

ภรณีลื่นล้มเสียงดังปั๊ก!!! ลั่นห้องทำให้เพื่อนๆ ที่กำลังทยอยกันเก็บเครื่องหันมามองกันเป็นตาเดียว ด้วยพื้นที่ห้องดนตรีก็ถูขัดจนมันวับ แถมยังมีน้ำมันหล่อลื่นสูบของฉันเป็นตัวช่วยให้ความลื่นเพิ่มมากขึ้นภรณีที่มัวเอาแต่เต้นไปเต้นมาไม่ได้มองที่พื้นจึงลื่นล้มอย่างง่ายดาย

ภาพที่เห็นก็คือภรณียกกล่องเครื่องไว้เหนือศรีษะ และลงไปนอนราบขาข้างหนึ่งพับอีกข้างหนึ่งเหยียด ไม่ต่างอะไรกับฉันเมื่อตอนบ่าย เป็นการรีเพลย์ภาพที่เหมือนกันราวกับแกะ

“ฮ่าๆๆๆ เป็นไงไอ้ณีกบตัวโตไหม” ฉันเดินไปหาภรณีและหยิบกล่องในมือเธอที่ชูไว้เหนือศีรษะมาถือไว้ที่มือของตัวเอง ก้อนที่จะจับกล่องนั้นเก็บไว้ที่ชั้นวางอย่างเรียบร้อย

ภรณีท่าทางไม่ได้แตกต่างไปจากฉัน ภรณีนั่งจุกพูดไม่ออก แถมยังส่งสายตาเว้าวอนให้ฉันช่วยเธอ แต่ฉันก็ช้ากว่ารมณที่เข้ามาหาภรณีรวดเร็วราวกับหน่วยกู้ภัยของพี่ปอกับพี่ร่วมที่ดังระเบิดระเบ้อในกรุงเทพ

“เป็นไงบ้างณีเจ็บมากไหม แล้วล้มลงไปได้ไงนี่” ท่าทางของรมณไม่ได้แตกต่างกับพี่แสงอุษาอีกเช่นกัน รมณคอยช่วยภรณีให้ลุกขึ้นนั่งและประคองภรณีไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ เรียกได้ว่าอังศุมาลินกับโกโบริยังสู้ภรณีกับรมณไม่ได้

ฉันมองที่พื้นต้นเหตุของการลื่นล้มของภรณีแล้วก็รีบเอากระดาษทิสชู่เช็ดน้ำมันหล่อลื่นที่พื้นก่อนที่ใครจะมาลื่นล้มอีกเป็นคนที่สองต่อจากภรณี

“เป็นไงล่ะไอ้ณีคราวนี้รู้หรือยังว่าจุกจนพูดไม่ออกมันเป็นแบบไหน เค้าเรียกกงกำกงเกวียนเว่ยเพื่อนรัก” ฉันอดแขวะภรณีไม่ได้

ถึงใครจะว่าฉันว่าโหดไม่รักเพื่อน แต่ของแบบนี้ไม่โดนกับตัวไม่รู้หรอกค่ะว่า

สะใจแค่ไหน ฮิ้ว.........

.........

พูดถึงเรื่องเปลือกแตงโม พวกฉันชอบเอามาเล่นกันแทนรองเท้าสเก็ต เนื่องจากว่ารองเท้าสเก็ตสี่ล้อหมุนๆ มันมีราคาแพงเอามากๆ

โรงเรียนของเราจะขายแตงโมที่ปลอกแล้วแต่ยังมีเปลือกติดอยู่ว่ากันว่ามันง่ายเมื่อจะขายเป็นชิ้นๆ และราคาไม่แพงชิ้นละห้าสิบสตางค์

เมื่อเรากินแตงโมเสร็จก็จะมีเปลือกเหลืออยู่ พวกเราจะเลือกพื้นที่เป็นซีเม็นต์ขัดมัน โดยเฉพาะสนามบาส เอาเปลือกแตงโมมาวางที่พื้นและเหยียบไปบนนั้นเล่นให้ลื่นๆ ไปตามพื้น ใครที่ทรงตัวอยู่ได้นานๆ หรือสเก็ตไปไกลๆ ได้ก็คือผู้ชนะ

สนุกแบบคนไร้สตางค์ถึงแม้ไม่มีรองเท้าสเก็ตคู่แพงลิบลิ่วเราก็สเก็ตกันได้ เมื่อมีผู้นำก็ต้องมีผู้ตาม สนามบาสเลอะเทอะไปหมด ครูต้องให้พวกที่เล่นเอาน้ำมาล้างสนามบาสกลางแจ้งทุกวันเพราะไม่อย่างนั้นมดก็จะเดินพาเรดมาที่สนามยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

พอโดนทำโทษล้างสนามมากๆ เข้าการเล่นของเราก็เลิกไปโดยปริยาย แต่จะย้ายไปเล่นที่ระเบียงหน้าห้องที่ขัดจนเงาวับ เดินแต่ละครั้งก็ต้องจิกปลายเท้าเดิน

เมื่อวันไหนอยากเล่นเราก็จะเอาผ้ามารองไว้ที่ถุงเท้าเล่นลื่นไถลไปมากันอย่างสนุกสนาน ตั้งหลักที่มุมระเบียงด้านหนึ่งวิ่งถลาไปอีกด้านหนึ่ง ล้มบ้างลื่นบ้างแล้วแต่ว่าใครจะทรงตัวได้ดีกว่ากัน

เมื่อเราเล่นกันมากๆ เข้าก็มีกฎห้ามวิ่งเล่นบริเวณระเบียงห้องขึ้นมาอีกข้อ ไหนเลยวัยรุ่นอย่างเราจะยอมแพ้ ยังคงหาเรื่องเล่นแบบลื่นๆ ไปอีกเรื่อยๆ

สุดท้ายพวกฉันก็ช่วยกันหาเรื่องใส่ตัวเพราะ มีอยู่วันหนึ่งขวัญหทัยเธอมีเวรที่จะต้องลงขี้ผึ้งที่พื้น พวกฉันด้วยความหวังดีไปช่วนเธอขัด ด้วยวิธีการเล่นลื่นของพวกเรา

แต่จะด้วยอะไรก็ไม่รู้ได้ขวัญหทัยลื่นล้มหัวฟาดพื้นต้องเย็บไปหลายเข็ม จากนั้นกฎที่เคยมีไว้ก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเราไม่สามารถฝืนได้เพราะว่าหากฝืนเมื่อไรเราก็จะโดนตีคนละหนึ่งโหล ใครจะอยากเจ็บตัวเพราะการละเล่นของตัวเอง เราก็เลยต้องเลิกเล่นไปตั้งแต่ขวัญหทัยต้องเจ็บตัวตั้งแต่นั้นมา

เมื่อไม่ได้เล่นอย่างหนึ่งก็มีอีกอย่างหนึ่งให้เล่นต่อไป การเล่นกระโดดหนังยางเริ่มเป็นที่นิยมกันในหมู่พวกเราอีกครั้ง เด็กๆ บ้าพลังแบบพวกฉันมีหรือจะหยุดเล่น ต่อให้ใครเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ฟงแฟนลืมชื่อไปหมดเมื่อยามได้เล่นแบบเด็กๆ ตามวัย

ฉันกับภรณีเราตกลงกันว่าจะช่วยกันร้อยหนังยางมาเล่นกระโดดเชือก ในวันว่างๆ ของพวกเรา จะว่ากิจกรรมนี้ไม่มีเพื่อนเล่นเลยก็ไม่ใช่ มีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก จะมีลิงอยู่ไม่กี่คนที่เล่นได้แบบพวกฉัน แต่โดยส่วนใหญ่พอถึงท่าที่ต้องชูแขนขึ้นสูงๆ ก็หมดแรงกระโดดกันแล้ว

งานกีฬาฤดูหนาวก็เข้ามาเยือนอีกครั้งครูจับพวกฉันที่ชอบกระโดดหนังยางไปเล่นกระโดดสูงแทน ครูบอกอีกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจะเล่นเป็นลิงเป็นค่างกันแบบไม่มีประโยชน์ทำไมกัน จับไปกระโดดสูงเลยดีกว่า

ครูยังบอกอีกว่าปีนี้พี่ปูจะเล่นกีฬาให้โรงเรียนของเราเป็นปีสุดท้ายแล้วต่อไปจากนี้ครูต้องปั้นนักกีฬาคนใหม่มาแทนพี่ปู ฉันว่าถึงจะปั้นอย่างไรก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับฉัน

ครูจับพวกฉันและเพื่อนๆ น้องๆ อีกหลายคนมาซ้อมกระโดดสูง กระโดดไกล ทุ่มน้ำหนัก ขว้างจักร พุ่งแหลน และวิ่ง ฉันคิดถึงตุ๊กตาน้อยเพื่อนรักในอดีตที่เธอต้องมาซ้อมกีฬาทุกวัน วิ่งทุกวัน แค่ฉันวิ่งนิดๆ ก็เหนื่อยแล้ว เวลาเล่นกับเวลาซ้อมกีฬาให้ความรู้สึกแต่กต่างกันมากมายเหลือเกิน

ตอนเล่นมีแต่ความสนุกครึกครื้น จะเล่นแบบไหนก็ได้โกงอะไรก็ได้ เพราะนั่นก็คือเพื่อนของเรา แต่เวลาซ้อมกีฬามันกลับโหดมากกว่าเล่น ต้องจริงจัง ต้องทำให้ได้ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้กฏเกณฑ์มากมายจนฉันเวียนหัวไปหมด

ฉันมักชอบคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกแต่ในความเป็นจริงฉันก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความฝันอยู่ในโลกของจินตนาการ เรียกได้ว่าฉันเอาดีทางด้านกีฬาอะไรไม่ได้เลย

สมัยก่อนฉันอยากเป็นจุงโคชิกะแบบในละครที่เด็กๆ แบบฉันติดกันงอมแงม “ยอดหญิงชิงโอลิมปิค” แต่ฉันก็เล่นวอลเล่ย์บอลได้ห่วยมากๆ เสริ์ฟยังไม่ข้ามเนท อย่าว่าแต่รับลูกตบเลยแค่รับลูกที่ข้ามตาข่ายมาธรรมดาๆ ฉันยังรับกระฉอกออกไปนอกสนามให้เพื่อนๆ ต้องตามเก็บกันจ้าละหวั่น พี่ภาเคยล้อฉันเล่นว่าอย่างฉันต้องไปเล่นลิเกจะเหมาะสมที่สุด

ตอนนี้ฉันชักจะเชื่อพี่ภาแล้วสิว่าฉังคงเหมาะกับการเล่นลิเกจริงๆ

..........................

ฉันไม่ผ่านการตัดตัวเป็นนักกีฬาของโรงเรียนใช่ว่าฉันจะเสียใจนะคะ ฉันดีใจแทบเนื้อเต้นที่ไม่ต้องไปซ้อมกีฬาอีก พี่ภาดูเหมือนว่าจะรู้ว่าฉันไม่ชอบเล่นกีฬาจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้

“ไงอาไม่ผ่านการตัดตัวเสียใจปะ” พี่ภาถามฉันที่นั่งจุมปุ๊กอยู่ข้างๆ สนาม

“ใครว่าเสียใจพี่ภาอาดีใจมากต่างหากเล่า”

“โอ๊ะ ลิงอาดีใจที่ไม่ผ่านการตัดตัวเป็นไปได้ไง”

“เป็นไปได้สิพี่ภา ก็อาไม่อยากเหนื่อยซ้อมกีฬานี่”

“แล้วถ้าไม่เล่นกีฬาอาจะไปทำอะไร”

“ไม่รู้สิพี่แต่อาไม่อยากไปวิ่งๆ แบบนั้นมันจุกไง”

“กินน้ำไปเยอะสิถึงได้จุก”

“เปล่าหรอกไม่ได้กินน้ำเยอะ”

“แล้วทำไมจุก”

“อาพึ่งกินขนมมาไงพี่เมื่อกี้มณเอาฝรั่งที่บ้านสวนมาแบ่งให้ก็เลยกินไปตั้งหลายลูก”

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงพี่ภาหัวเราะฉันดังไปทั่ว

“ขำอะไรเล่า แค่คนจุกทำเป็นขำไปได้”

“ก็ขำนักกีฬาตกรอบนั่งจุก คนเรานะเห็นแก่กินจนเสียงานเสียการหมด”

“ก็คนมันชอบกินขนมนี่นา แค่กินแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกน่าพี่ภา”

“ไม่ตายร๊อก แค่จุกแค่นั้นเอ๊ง”

“เออขอให้จริงเถอะ จุกๆ แบบนี้ระวังเถอะจะเป็นโรค”

“เอ๊ามาแช่งชักหักกระดูกน้องได้ไงกันพี่ภา”

“เปล่าแช่งแต่เราก็ระวังไว้ด้วยแล้วกัน ชอบนักกินเม็ดฝรั่ง กลืนเม็ดมะยม ใครเค้าบ้ากินลงไปแบบนั้น”

“ก็คนมันชอบกินเม็ดฝรั่งนี่นาหวานกว่าเนื้อฝรั่งตั้งเยอะ อีกอย่างก็ขี้เกียจบุ้ยเม็ดมะยมกลืนๆ ลงไปมันอร่อยอย่าบอกใครเชียว” ฉันยังคงเถียงพี่ภา

แล้วเรื่องที่พี่ภาบ่นฉันก็เกิดขึ้นจริงๆ คืนนั้นฉันนอนปวดท้องแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้ เหงื่อไหลออกมาเต็มตัวไปหมด

“อาเป็นอะไรหรือเปล่า” พี่ษาได้ยินเสียงครางฮือๆ ของฉันก็สะดุ้งตื่น

“อาเป็นอะไร”

“อาปวดท้องพี่ษาปวดไปหมดเลย เจ็ยจังเลย” ฉันบอกกับพี่ษา

พี่ษาเอามือแตะที่ท้องของฉันแล้วก็มีเสียงร้องออกมาจากปากฉัน

“โอ๊ยเจ็บ” ฉันร้องเสียงดังลั่นบ้าน

“เดี๋ยวพี่มานะอา”

แสงอุษาวิ่งไปที่บ้านใหญ่ เคาะประตูเรียก สักพักอวภาก็เดินมาเปิดประตู

“ภาอาไม่สบายปวดท้องร้องใหญ่เลย”

“ตายล่ะหว่า นี่พูเล่นๆ อาปวดท้องจริงๆ เหรอนี่” อวภาอุทานด้วยความตกใจ

“ทำไมเหรออาไปทำอะไรมา”

“ก็อานะสิกินเม็ดฝรั่งไปตั้งหลายลูกเตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังสงสัยจะเป็นใส้ติ่งแน่ๆ เลย เดี๋ยวนะเราไปบอกพ่อก่อนให้พาอาไปหาหมอ”

จากนั้นอวภาส์ก็ไปบอกบิดาของเธอให้พาอาคิราไปส่งโรงพยาบาล

....................

บนรถเข็นของโรงพยาบาลที่เข็นพาอาคิราไปตามทางเข้าห้องฉุกเฉิน มีทั้งพ่อแม่พี่และแสงอุษาเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง

“ญาติรอข้างนอกนะค่ะ” พยาบาลสาวสวยเอ่ยบอกกับคนทั้งสี่คน

“อาจะเป็นอะไรมากไหมนี่” แสงอุษาพูดอย่างร้อนรน

“ไม่เป็นอะไรหรอกอย่างมากก็ท้องอืดเพราะเกินเยอะไม่ก็ใส้ติ่งอักเสบ” แม่ตอบแสงอุษา

รออยู่สักพักใหญ่หมอก็ออกมาบอกว่า

“เด็กเป็นใส้ติ่งอักเสบค่ะคงต้องผ่าตัดเด็กกินข้าวมื้อเย็นไปตอนกี่โมงค่ะ” หมอหันมาถามแม่

“ไม่ได้กินค่ะ เอไม่แนใจ ษาน้องกินข้าวไปหรือเปล่าลูก”

“ไม่ได้กินค่ะแม่อาบอกว่าอืดๆ ก็เลยไม่ยอมดื่มนมแล้วก็ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น”

“งั้นก็คงเกินหกชั่วโมงแล้วเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะค่ะ”

จากนั้นหมอก็หายไปอีกให้พวกเรายืนรออยู่หน้าห้อง แล้วก็มีพยาบาลเอาเอกสารยินยอมการผ่าตัดมาให้พ่อกับแม่เซ็น

“ยายอาจะขึ้นเขียงจริงๆ เหรอคะแม่” อวภาส์ถามแม่เพราะเธอรู้สึกเจ็บแทนน้องสาวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงว่าน้องสาวคนเดียวของเธอต้องขึ้นเขียงโดนหมอเอามีดกรีดลงไปที่ท้อง ควักใส้ออกมาแล้วตัดใส้ติ่งทิ้ง

“อืมต้องผ่าจริงๆ แล้วนี่น้องไปกินอะไรมาภารู้บ้างหรือเปล่า” พ่อถามอวภาส์

“น้องบอกว่ากินฝรั่งไปค่ะพ่อน่าจะหลายลูกด้วย ไม่น่าเล๊ยอาเตือนแล้วก็ไม่ฟัง”

“อืมเหรอไปนั่งรอกันที่เก้าอี้ดีกว่าคิดว่าอีกนานกว่าจะผ่าเสร็จ” พ่อพยักหน้ารับรู้แล้วพวกเราก็ไปหาที่นั่งรอ

เรารอจนหมอเข็นอาคิราออกจากห้องผ่าตัด เห็นอาคิราหลับมีสายน้ำเกลือ ติดอยู่ที่แขนของน้องอาคิราไม่เคยเป็นโรคร้ายแรงอะไรมาตั้งแต่เล็กๆ หวัดก็นานๆ จะเป็นสักครั้ง อาคิราแข็งแรงจนฉันที่เป็นพี่สาวนึกอิจฉา

พ่อบอกเสมอๆ ว่าอาเป็นเด็กแข็งแรงกินดินกินหินมาแต่เล็กแต่น้อยภูมิคุ้มกันสูงกว่าฉันที่เป็นเด็กไม่ค่อยจะแข็งแรงโดนลมโดนฝนนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นไข้ไปหลายวัน

อาคิราถึงแม้ว่าจะชอบเล่นคลุกฝุ่นคลุกดิน แต่เธอก็ไม่ได้เป็นเด็กสกปรก อาบน้ำแต่ละครั้งถ้าไม่นานเป็นชั่วโมง ก็ต้องมีฉันซึ่งเป็นพี่สาวคนเดียวคอยขัดขี้ไคลให้ อาบน้ำเสร็จก็ประแป้งแก้มขาวเป็นแมว เที่ยวเอามาให้ใครต่อใครได้ดมว่าเธออาบน้ำแล้ว หอมแล้ว

แม่ยังเคยบอกกับฉันว่าดีนะที่ไม่ได้บอกให้ฉํนอาบน้ำล้างใส้ล้างพุงให้น้องแบบศรีธนนชัย เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงจับน้องผ่าใส้ ควักใส้น้องอออกมาล้างน้ำ ก่อนที่จะเอาใส้ทั้งหมดเข้าไปเก็บที่เดิม

“แม่ค่ะแล้วอาจะเป็นแบบน้องของศรีธนนชัยหรือเปล่า”

“ไม่หรอกลูก หมอแค่ตัดใส้ติ่งออกไปเองอย่าห่วงน้องมากเลย พ่อพาษากับภากลับบ้านก่อนเถอะ ทางนีแม่ดูลูกเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนกันพอดี” แม่บอกพ่อ

“อืมก็ดีเหมือนกัน ปะลูกๆ กลับบ้านกัน ไว้พรุ่งนี้ก่อนไปโรงเรียนค่อยแวะมาเยี่ยมน้องดีไหม”

“ค่ะพ่อ” ฉันตอบรับคำพ่อและคว้าข้อมือของแสงอุษาให้เดินตามกันออกจากห้องคนป่วย

“เราอยากอยู่ดูอา” แสงอาบอกกับอวภาส์

“อย่าเลยษาแม่ดูอยู่แล้วเราเป็นเด็กทำหน้าที่ได้ดีที่สุดก็แค่นั้น กลับบ้านไปนอนกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้พ่อก็คงพาเรามาเยี่ยมน้องเองแหละ อย่าห่วงเลย แม่ไม่ปล่อยให้อาเป็นอะไรหรอกเชื่อเราสิษา”

จากนั้นเราทั้งหมดก็ออกจากโรงพยาบาลกลับมาที่บ้าน ฉันไปนอนกับษาที่บ้านตุ๊กตาของอาคิรา เพราะเราสองคนตอนนี้ก็นอนลืมตาโพลงมองเพดาน มองต้นไม้นอกหน้าต่าง ฉันคิดว่าเราสองคนก็คงไม่ได้แตกต่างกันเป็นห่วงอาคิราเช่นเดียวกัน

“ป่านนี้อาคงรู้สึกตัวตื่นแล้วเน๊อะภา”

“นั่นสิป่านนี้คงร้องโวยวายเจ็บๆ ปวดๆ เสียงดังลั่นห้องไปแล้ว” อวภาส์ยังคงนึกถึงน้องของเธอที่เป็นจอมโวยวาย จอมเรื่องมาก และจอมป่วนของบ้าน

ตอนนี้บ้านสงบไปมากเมื่อไม่มีอาคิราน้องสาวสุดแสบของเธอคอยส่งเสียงดังๆ ร้องเพลงเสียงแปร่งๆ ลั่นบ้าน เมื่อไม่มีอาคิราสีสันของบ้านก็แทบไม่มีอะไรเหลือ

“คิดถึงอาจังเลยภา”

“เอาน่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็ได้เจออาแล้ว ไม่ต้องห่วงนะษานอนเถอะเพื่อน” อวภาส์หลับตาลงอย่างช้าๆ โดยมีแสงอุษาที่นอนลืมตามองความมืดอยู่คนเดียวเพราะเธอหลับตาไม่ลง

ห่วงคนดีเหลือเกินแล้ว อย่าเจ็บอย่าป่วยอีกเลยนะ

อาคิราคนดีของแสงอุษา

..........................

เช้าวันใหม่ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดระบมไปทั่วท้อง จำได้แต่ว่าพ่อกับแม่พาฉันมาโรงพยาบาลแล้วหมอก็บอกว่าจะผ่าตัดใส้ติ่งของฉัน เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนโซฟาข้างๆ เตียงคนป่วยของฉัน

“แม่จ๋าอาหิวน้ำ” ฉันเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า

แม่ลุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของฉัน แล้วก็เดินมาที่เตียงของฉัน

“หิวน้ำหรือลูกยังกินอะไรไม่ได้นะหมอยังห้ามกิน อดทนอีกนิดนะลูกนะ นอนพักต่อเถอะอาแม่อยู่เป็นเพื่อนข้างๆ อานี้แหละไม่ได้ไปไหน” แม่บอกฉันพร้อมกับก้มลงมาหอมแก้มฉันหนึ่งทีก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียงกุมมือข้างที่มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่

ฉันรู้สึกว่าเริ่มจะง่วงอีกครั้งและหลับไปอย่างไม่รู้สึกตัวอีกรอบ ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาเพราะพยาบาลเอาปรอทมาวัดไข้ และวัดความดันของฉัน

“ไม่มีไข้แล้วนะคะคุณแม่ ความดันก็ปกติดี” เสียงของพยาบาลบอกกับแม่

“ค่ะ”

ฉันลืมตาขึ้นมามองหน้าแม่ แม่คงแทบไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเฝ้าฉัน

“แม่จ๋าง่วงหรือเปล่า” เสียงแหบๆ ของฉันถามแม่

“ไม่ง่วงรอกอาถมทำไมเหรอลูก”

“ก็แม่ไม่ได้นอนทั้งคืนมานั่งเฝ้าอาอาก็เป็นห่วงแม่บ้างไม่ได้เหรอ”

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกอา นอนพักมากๆ หลับตาเถอะคนดีของแม่”

“แม่ร้องเพลงกล่อมอาหน่อยสิ” ฉันเริ่มมีข้อแม้ เพราะแม่ไม่ได้ร้องเพลงกล่อมฉันมานานแล้วตั้งแต่ฉันแยกห้องนอนมานอนกับพี่ภาเมื่อหลายปีก่อน

แม่ลูบผมของฉันมือหนึ่งอีกมือหนึ่งก็จับมือของฉันไว้ก่อนที่จะร้องเพลงกล่อม มันชื่อเพลงอะไรก็ไม่รู้แต่เมื่อฟังเสียงของแม่ที่ร้องแล้วทำให้ฉันหลับตาลงอย่างง่ายดาย

“นอนเสียเถิดคนดี แม่นี้รูปทรามกาลีในอกยังมีความรักของแม่ คนเคยชมเชย โธ่เอยถึงพ่อไม่แล รักเจ้าไม่มีเปลี่ยนแปลแท้จริงจนกว่าวันตาย” เสียงเพลงที่แม่กล่อมยังคงก้องอยู่ในหูของฉัน

จะมีใครรักฉันเท่าแม่อีกหรือเปล่าหนอในชีวิตของอาคิราคนนี้

หากจะมีใครรักฉันได้เพียงครึ่งหนึ่งที่แม่รัก ฉันจะดีใจไม่น้อยเลยเชียว

… จบบทที่ ๒๑ ...



Create Date : 03 กรกฎาคม 2551
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 11:18:54 น. 0 comments
Counter : 324 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.