It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑๔

บทที่ ๑๔ ๖.๒๕ น.

ฉันกับพี่ษาก็ยังคงคบกันไปเรื่อยๆ ในฐานะพี่น้อง พี่ษาก็ยังคงมานอนค้างที่บ้านของฉันบ้างเป็นระยะๆ และฉันก็รู้ว่าฉันสองคนตกอยู่ในสายตาของพี่ภาตลอดเวลา

ภรณีทำเรื่องอีกจนได้เมื่อเธอถูกสลัดรักจากแฟนคนปัจจุบันที่คบกันมาปีกว่าๆ ยิ่งใกล้สอบก็ยิ่งทำให้ภรณีไม่เป็นอันอ่านหนังสือ

ภรณีบอกว่าแฟนของเธอไปคบกับรุ่นพี่ผู้ชายโรงเรียนข้างๆ เรา ฉันก็พอจะได้ข่าวมาบ้างแต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรเป็นการจุดชนวนให้คนสองคนทะเลาะกัน หากเป็นฉันถ้ามีใครมาพูดเรื่องพี่ษาฉันเองก็คงจะคิดมากเช่นเดียวกัน

หากแต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อภรณีได้รู้ความจริงเธอร้องไห้ฟูมฟายปิ่มว่าจะขาดใจ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนนั่งร้องไห้อยู่ทุกวัน ขวัญหทัยก็ต้องคอยปลอบใจภรณีในฐานะเพื่อนสนิทอยู่เนืองๆ

อาการเหม่อลอยของภรณีทำเอาพวกเรากลัวว่าเพื่อนจะคิดสั้น ก็เพราะพี่คนนั้นของภรณีชอบจะควงแฟนใหม่มานั่งเล่นที่โรงเรียนในตอนเลิกเรียนอยู่บ่อยๆ

วันนี้ก็เช่นกัน ฉันรมณและภรณีเลิกซ้อมดนตรีและกำลังจะเดินออกมาที่สนามหน้าโรงเรียน สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนนั้นและแฟนหนุ่มนั่งจู๋จี๋กันอยู่ที่ขอบสนาม ภรณีหยุดเดินและกุมมือฉันไว้แน่น น้ำตาของภรณีไหลออกมาแบบที่พวกเราไม่คิดว่าจะได้เห็น

“พาเราไปจากตรงนี่เถอะอา เราอยู่ไม่ได้แล้ว” ภรณีพูดเสียงสั่น

ฉันกับรมณก็เลยรีบฉุดภรณีให้เดินออกมาจากตรงนั้น เราไปนั่งที่สนามเด็กเล่นหลังตึก และพยายามปลอบใจภรณีให้คลายโศกเศร้า

“แกรู้ไหมอาเค้าสัญญาว่าจะรักกับเราตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง เราไปสาบานกับพระว่าเราจะรักกัน เราไปลอยกระทงด้วยกัน เรากินข้าวเย็นด้วยกัน ทำการบ้านด้วยกัน เรามีอะไรกันเค้ายอมให่เราเป็นคนแรกของเค้า เราก็ยอมเค้าเหมือนกัน แต่พอไอ้หมอนั่นมันมาจีบ เค้าก็ไปกับมันไปตามมัน ทำไมนะอาทำไมบอกเราสิว่าทำไมฮือๆๆ” ภรณีพร่ำบ่นไปเรื่อยๆ และยังคงร้องไห้ไม่หยุด เธอเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

ฉันกับรมณมองหน้ากัน แล้วก็ต้องส่ายหน้ากับอาการเพ้อของภรณี ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากเราสองคนให้ภรณีได้ยิน มีเพียงกำลังใจจากเพื่อนที่ส่งผ่านความรักและปรารถนาดีให้กับเพื่อนเท่านั้น

แม้ว่าเราจะพูดอะไรออกมาในตอนนี้ภรณีก็คงจะไม่ฟังพวกเราและก็ยังจมปลักอยู่กับความทุกข์ของเธออยู่ดี

..............

ฉันเอาเรื่องของภรณีมาปรึกษาพี่ภากับพี่ษาเพราะคิดว่าทั้งสองก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดบ้างอย่างน้อยก็อยู่ในโรงเรียนเดียวกัน

“พี่ภาพี่ษาว่าไอ้ณีจะหายหรือเปล่า” พี่ภาและพี่ษาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ก็หันมามองหน้าฉัน

“พี่ว่าหายนะอาถ้ามีคนคอยปลอบใจ” พี่ภาบอกฉัน

“อาก็พยายามปลอบใจณีแล้วนะพี่ แต่ณีมันก็ไม่ฟังอาเลย”

“ที่ภาเค้าพูดหมายถึงคนปลอบใจคนใหม่นะอาไม่ใช่เพื่อนแบบอาหรือมณ”

“หมายถึงมีแฟนใหม่นะเหรอพี่แล้วณีมันจะมีใจไปมองคนใหม่อีกเหรอก็มันเศร้าขนาดนั้น นี่ก็ใกล้สอบแล้ว มันก็ไม่ยอมอ่านหนังสือสอบเลยนะพี่ เอาแต่ร้องไห้ไปวันๆ นั่งเศร้านั่งซึม”

“แล้วเค้าก็จะรู้ได้ด้วยตัวของเค้าเองว่าที่เค้าทำลงไปนะมันไม่มีประโยชน์อะไร” พี่ษาพยายามจะอธิบาย แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่ดี

“แล้วมันจะหายจริงๆ เหรอพี่”

“หายแน่นอนเชื่อพี่สิอา แต่ตอนนี้อ่านหนังสือสอบก่อนเถอะเดี๋ยวไม่ได้เกรดสี่แล้วไม่ได้ของขวัญจากพี่ไม่รู้ด้วยนะจะบอกให้” พี่ษายังคงสร้างความมั่นใจให้กับฉัน และตอกย้ำถึงคำสัญญาของเราที่มีให้แก่กันและกันในเรื่องการเรียน

ฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนเกินกว่าที่คนอย่างฉันจะเข้าใจและตัดความคิดเรื่องอื่นๆ ออกไปจากหัวสมองกมหน้าก้มตาอ่านหนังสือไปตามเรื่องตามราว

.......................

วันสอบภรณีเตะเก้าอี้ของฉันเมื่อใกล้จะหมดเวลา ฉันหันกลับไปมองหน้าภรณีและโชว์กระดาษคำตอบให้ภรณีได้เห็นบ้างวับๆ แวมๆ และพยายามมองไปที่ครูว่ามองมาที่ฉันกับภรณีหรือเปล่า เสียงรองเท้าของครูดังมาจากด้านหลัง ทำเอาฉันหัวใจแทบวาย ครูจะเห็นฉันโชว์กระดาษคำตอบให้ภรณีดูหรือเปล่าก็ไม่รู้

การทำความผิดและต้องปกปิดนี่มันก็ทำลำบากเหมือนกันนะ เพราะฉันรู้แล้วว่าครูรู้ เนื่องจากชั่วโมงสอบถัดมาครูจับฉันไปนั่งสอบไกลจากภรณี และฉันเห็นภรณีแตะเก้าอี้ของเกวลีซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าเกวลีเคี่ยวขนาดไหนไม่มีทางให้ภรณีลอกคำตอบอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ข้อสอบเลยการบ้านของเกวลีก็ไม่เคยมีใครได้ลอกและก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ออกมาจากห้องสอบภรณีบ่นเรื่องเกวลีไม่ให้เธอลอกข้อสอบให้ฉันฟัง

“ไอ้หัวหน้านี่มันเคี่ยวจริงๆ เลยนะ ขอลอกแค่นี้ก็ไม่ได้” ภรณีบ่นอย่างขัดใจ

“แกก็รู้อยู่แล้วยังจะไปลอกมันอีก ดีที่มันไม่บอกครูว่าแกไปเตะเก้าอี้มัน” รมณพูดแบบขำๆ เพราะเราก็รู้ถึงนิสัยของหัวหน้าห้องของเราได้ดี เรียนเก่งแต่ไม่เคยเผื่อแผ่ให้ใคร

“แกก็อ่านๆ ไปเถอะวะไอ้ณีแทนที่จะมานั่งบ่นเรื่องที่ผ่านไปแล้วก่อนที่จะทำข้อสอบไม่ได้อีกวิชามาฉันติวให้”

ฉันรีบเสนอ เพราะคิดว่าการติวให้ภรณีก่อนสอบก็เป็นเหมือนการทบทวนเรื่องที่ฉันได้อ่านมาเหมือนกัน และสิ่งที่ฉันกำลังทำก็ทำให้ฉันจดจำเรื่องที่ฉันอ่านมานั้นได้มากยิ่งขึ้น

มีดต้องหมั่นลับจะยิ่งคม หากเก็บไว้แต่ในฝักก็มีแต่จะขึ้นสนิมไปเสียเปล่า

......................

ปิดเทอมนี้โรงเรียนพาเราไปเที่ยวทะเลทางตะวันออก ครูพาเราไปเล่นน้ำที่บางแสนและแวะดูพิพิธภัณฑ์ทางทะเล แถมยังพาไปดูเรือรบที่จอดอยู่ติดทะเล ฉันว่าการมาเที่ยวแบบนี้มันน่าสนุกดีออก เสียอย่างเดียว ฉันไม่ได้นั่งรถคับเดียวกับพี่ภาและพี่ษาเพราะเราแยกกันนั่งตามชั้นที่เราเรียน

ในรถฉันและพวกเพื่อนๆ นั่งดีดกีตาร์และตีกลองร้องเพลงกันไปตามเรื่องตามราว เพลงที่ฮิตที่สุดในตอนนี้ก็เห็นจะไม่พ้นเพลงพี่ปุ๊

“จากบทเพลงหนึ่งเดียวคนนี้ คิดว่ามีซักคนเข้าใจ
ไม่คำนึงว่าเขาเป็นใคร ไม่สนใจว่ามาจากไหน ไม่สนใจ
ใครก็ได้สำหรับตัวฉัน ถ้าเขานั้นชอบฉันจริงใจ
พร้อมจะให้ฉันพร้อมจะให้ ดวงใจดวงนี้ให้เขาไปเลย
ดวงใจดวงนี้ช้ำมาครั้งหนึ่ง ความเจ็บยังตรึงเหลือที่จะเอ่ย
ถ้าใครเคยช้ำเหมือนฉันได้เคย จงมาลงเอยที่ฉันดีกว่า
ซ่อมดวงใจที่แตกเป็นสอง ทุกๆห้องก่อด้วยเหล็กกล้า
คิดเสียว่ายังมีวันหน้า ยามนิทราหลับตาได้ลง
ดวงใจดวงนี้ช้ำมาครั้งหนึ่ง ความเจ็บยังตรึงเหลือที่จะเอ่ย
ถ้าใครเคยช้ำเหมือนฉันได้เคย จงมาลงเอยที่ฉันดีกว่า
ซ่อมดวงใจที่แตกเป็นสอง ทุกๆห้องก่อด้วยเหล็กกล้า
คิดเสียว่ายังมีวันหน้า ยามนิทราหลับตาได้ลง
จากบทเพลงหนึ่งเดียวคนนี้”

ภรณีแหกปากร้องเพลงดังลั่นรถทำให้พวกเราที่นั่งร้องเพลงมาด้วยกันขำท่าทางของภรณีกันยกใหญ่ เพราะเธอทำท่าราวกับว่าเธอเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่ชื่อพี่ปุ๊ หนึ่งเดียวคนนั้น ร้องเพลงจนเหนื่อยและเพลียก็หลับกองกันอยู่หลังรถ

พอตื่นขึ้นมาก็มาถึงทะเลและที่พักของพวกเราก็เป็นบ้านพักแถวๆ หาดก้นอ่าว ครูให้พวกเราไปเก็บของและเดินเล่นริมทะเลกันอย่างสบายๆ จนกว่าจะถึงเวลากินข้าวในช่วงเย็น

พวกเราบางคนลงเล่นน้ำฉันกับพี่ภาพี่ษามานั่งเล่นทรายกันอยู่ริมๆ ชายหาด ทั้งสองคนช่วยกันขุดทรายมาถมฉันที่นอนแอนราบไปกับชายหาดนั้น แรกๆ ก็ยังแค่ถมที่ขา หลังๆ มาชักหนักข้อขึ้น แต่ฉันกำลังเพลินกับการนอนรับลมและฟังเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งก็เลยไม่ทันได้มองว่าสองพี่ของฉันทำอะไรกับฉันบ้าง

สักพักฉันก็รู้สึกหนักที่หน้าอก พอลืมตาขึ้นมากลังจะขยับตัวพี่ภาก็บอกว่า

“อาอย่าขยับสิ พี่กำลังจะก่อปราสาท”

“เอ๊าพี่ก็ไปก่อที่อื่นสิ นี่มันบนตัวอา อาหนักนี่พี่”

“เอาน่าอดทนนิดนึง เดี๋ยวก็ชินไปเองแหละ”

ฉันยอมให้สองพี่เล่นกันไปเรื่อยๆ และตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรไต่อยู่แถวๆ บริเวณกางเกงขาสั้นของฉัน

“พี่ภาๆ อะไรไม่รู้มาไต่ในกางเกงอา”

“จะมีอะไรไปไต่ได้เล่าไม่ต้องมาทำฟอร์มเลยจะไม่ให้พวกพี่เล่นทรายบนตัวอาก็บอกมาสิฟอร์มจัดนักนะเรานี่” พี่ภาบ่นเพราะเธอคงนึกว่าฉันแกล้งแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย

“ไม่นะพี่ เอ๊ยไม่ไหวแล้ว” ฉันลุกกระโดดในทันทีทรายปลิวกระจายไปทั่ว

และพี่ภากับพี่ษาก็ขำท่ากระโดดของฉัน

“นี่พี่ขำอะไรกันนักกันหนานี่น้องยิ่งกลัวๆ อยู่” ฉันหันไปบ่นสองพี่ของฉัน ที่นั่งขำกันกระจาย

“ไม่ให้ขำไงหละอาก็ที่กางเกงอานะ” พี่ษาชี้มาที่กางเกงของฉัน

และสิ่งที่ฉันได้เห็นก็ทำเอาฉันรีบปัดไปอย่างรวดเร็ว ก็ปูสิค่ะ ปูลมตัวโต หนีบอยู่ที่ชางกางเกงขาสั้นของฉัน นี่เจ้าปูตัวนี้ตงคิดว่ากางเกงของฉันเป็นอาหารรสเลิศของมันแน่ๆ ถึงได้เกาะไม่ปล่อยแบบนี้

กว่าจะจับปูที่หนีบอยู่ออกไปได้ ฉันก็เจ็บที่ต้นขาไปแล้ว ก้ามปูเล็กๆ แต่แข็งแรงแม้จะเป็นปูลมที่ตัวใหญ่กว่าหัวแม่มือนิดเดียวเท่านั้น แต่แรงฤทธิ์ร้ายเหรอ ไม่เชื่อก็ลองโดนแบบฉันบ้างสิคะ

แล้วคุณจะรู้

............................

ตกกลางคืนเราไปนอนเล่นนั่งเล่นกันที่ริมทะเลอีกครั้งเจ้าของที่พักก็ช่างใจดีให้พวกเรายืมเสื่อมาปูนั่งรับลมที่ริททะเล รมณเล่นกกีต้าร์ขวัญหทัยร้องเพลง ภรณีเต้นประกอบ ฉันนั่งปรบมือ จากเพลงเร็วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เกิดขึ้นจู่ๆ รมณก็ร้องเพลงคลื่นชีวิตออกมา ฉันว่าเสียงและฝีมือการเล่นกีต้าร์ของภรณีพัฒนามากกว่าเมื่อสมัยเราเรียนอยู่ชั้นมอหนึ่งมากมาย

“จูบฝากไว้แล้วไยกลับลืม ดื่มความรักแล้วไยกลับเลือน ตื่นตาฝันมองจันทร์ลอยเลื่อน ขาดแต่เธอเป็นเพื่อนชม
ปล่อยให้ฉันละเมออยู่เดียว เปลี่ยวใจนักรักลอยล่องลม เฝ้ารัญจวนหลงครวญคร่ำตรม สิ้นอารมณ์ไร้คู่ใจ
เสียงคลื่นทยอยซัดฝั่ง ฉันฟังแล้วชวนร้องไห้ เจ็บปวดอยู่ในฤทัย เขามาลืมเราได้ ปล่อยให้หมองมัว
คลื่นชีวิตพัดพาพรากไป ให้เธอฉันไกลกันน่ากลัว ลมพาพัดล่องลอยไปทั่ว ปล่อยให้ตัวฉันเร่ไป”
****คลื่นชีวิต - พัณนิดา เศวตาสัย

ภรณีที่เต้นเหยงๆ อยู่เมื่อสักครู่จู่ๆ ตอนนี้กลันนอนลงที่เสื่อร้องไห้น้ำตาไหลพรากจนพวกฉันต้องหันไปมองเธอเป็นตาเดียว

“เฮ้ยไอ้ณีแกร้องไห้ทำไมอีกวะ นึกว่าเลิกร้องไปแล้ว” รมณวางกีต้าร์ในมือลงและหันไปหาภรณี

“ก็ฉันซึ้งในเนื้อเพลงนี่แก ร้องไห้ตามเนื้อเพลงไม่ได้หรือไงวะ” ภรณีตะหวาดรมณกลับทั้งน้ำตา

“เออเอากะมันสิ รัองเพลงไหนก็ไม่ได้ เข้ากับชีวิตมันหมด แล้วนี่ตรูจะร้องเพลงอะไรดีหละนี่” รมณบ่นไปพลางก็เปิดสมุดเพลงไปพลางโดยใช้แสงจากไฟฉายกระบอกโตจากในมือของขวัญหทัยเป็นสิ่งช่วยให้มองเห็น

“เอางี้เลยอาแกร้องเพลงคู่กับพี่ษาเอารวมดาวก็ได้” รมณเสนอเมื่อเธอได้เพลงที่เธอต้องการแล้ว

“เพลงอะไรหละแก ฉันร้องไม่ค่อยเป็น” ฉันออกตัวก่อนเพราะ ว่ารู้ตัวว่าเป็นคนเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“เอานี่เลยเพลงจูบเย้ยจันทร์ไง วันนี้พระจันทร์สวย” ขวัญหทัยเสนอเพลงขึ้นมาทันที

“มิวสิคสามสองหนึ่ง” รมณตั้งท่าเล่นเพลงอย่างดิบดี

“โอ๋นวลละอ๋องน้องจะเหนียมอ๊ายไปทำม้าย หานมา ก้ายๆ ซิจะอายไปไหนกั๋น” เสียงร้องอันเหน่อของฉัน ทำเอารมณที่กำลังเล่นกีต้าร์อยู่แทบจะเอาปิ๊คที่อยู่ในมือมาเขวี้ยงใส่ฉัน

“เอ๊ยไอ้นี้ร้องให้มันถูกคีย์หน่อยสิวะ” รมณบ่นและเลิกเล่นโดยปริยาย

“เอ๊าก็บอกแล้วว่าฉันร้องเพลงไม่เป็นยังจะให้มาร้องอีก” ฉันโวยกลับไปบ้าง ใช่ว่าเพื่อนจะไม่รู้ว่าฉันร้องเพลงไม่ได้เรื่องกับใครเขาเลย รู้ทั้งรู้ก็ยังจะให้ร้องแล้วทำมาโวยแบบนี้ก็ต้องมีบู๊กันบ้างหละ

“ก็ใครจะไปคิดหละว่าแกจะร้องได้อุบาทว์แบบนี้” รมณแก้เก้อไปตามเรื่องของเธอ

“อย่างกับไม่เคยรู้จักกันงั้นแหละสองคนนี้ อาเค้าร้องเพลงไม่เป็นเอาเลยก็ยังไปบังคับเค้านะมณ” ขวัญหทัยออกรับแทนฉัน

“นี่ขวัญ รู้อยุ่หรอกน่าว่าปลื้มมันแต่ไม่ต้องมาออกรับแทนได้ปะ โน่นแฟนมันนั่นอยู่โน่น ให้เค้าออกรับแทนกันไปสิ อุ๊ย” รมณที่ตอนนี้เริ่มรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปรีบปิดปากตัวเองเงียบลงในทันที เธอลืมไปว่าอวภาส์ก็นั่งอยู่ด้วย

ส่วนแสงอุษาก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบๆ ไม่พูดจาต่อล้อต่อเถียงเพราะการต่อล้อต่อเถียงก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าเธอและอาคิราเป็นแฟนกันต่อหน้าทุกคน

“ไหนยะแฟนอา ฉันนี่แหละตัวจริงเสียงจริง” ภรณียอมยื่นมือเข้ามาช่วยเพื่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นจบลงได้โดยง่าย

ฉันหันไปมองหน้าภรณีแล้วก็พยักหน้าเป็นการรู้กันสองคนว่าขอบใจนะเพื่อน จากนั้นฉันก็ขยับไปนั่งข้างภรณีและกอดเพื่อนไว้ พร้อมกับหอมแก้มไปฟอดใหญ่

“แหวะอาบน้ำหือเปล่าวะไอ้ณี แฟนจะมาหอมแก้มทั้งทีทำไมเหม็นงี้วะ” ฉันแกล้งบ่นภรณีกลบเกลื่อนเรื่องทั้งหมด

“อ้าวไอ้นี่ ฉันอาบน้ำแล้วเว่ยประแป้งมาด้วย หิมาลายาเชียวนะแก”

“ทำมาคุยฉันนะประแป้งตรางูมาเว่ย” ฉันโอ่บ้าง ใครจะปล่อยให้ภรณีโอ่คนเดียว

“ไม่ต้องแล้วมั๊งอา เอางูที่หัวแกมาก็ไม่ต้องประแล้ว” รมณร่วมแจมแก้มือที่ตัวเธอทำพลาดไปเมื่อสักครู่ แต่ดูเหมือนจะพลาดอีกรอบแล้วเพื่อนเอ๋ย

ฉันแกล้งจับที่ผมของตัวเองแล้วจับโยนไปที่หัวของรมณเพื่อนตัวแสบ

“นี่แหนะมาว่าลูกรักฉัน แกเอาไปเลยไอ้มณลูกๆ ฉันยั้วเยี้ยไปหมด แบ่งๆ กันไปเลี้ยงบ้าง”

“ว๊ายไม่เอาฉันไม่อยากเป็นพวกหัวงู”

รมณรีบลุกขึ้นหนีฉันแต่จะหนีพ้นเหรอ อย่างอาคิราไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเวลาวิ่งจะหวาดๆ เสียวแปล๊บๆ ที่ข้อเท้าข้างที่เคยพลิกก็ตามเถอะ

รมณเอาร่างของพี่ภานั่งอยู่ตรงปลายเสื่อเป็นเกราะกำบังตัวแล้วก็วิ่งวนไปทั่ววงที่เรานั่งกันอยู่ จนเราสองคนเหนื่อยหอบก็เลิกรากันไปเอง

.............

อวภาส์นั่งอยู่ที่ริมระเบียงเพื่อรับลมต่อหลังจากที่วงดนตรีวงจ้อยริมทะเลของพวกฉันจบการแสดงลงและมีแสงอุษานั่งคุยเป็นเพื่อน

“ไม่ต้องมาปิดอะไรเราก็ได้นะษาเรารู้ว่าเธอกับอารู้สึกยังไงต่อกัน เราไม่ขัดขวางหรอกษา เพราะเราว่าเธอสองคนไม่ได้ทำอะไรเสียหาย” อวภาส์เปิดใจกับแสงอุษาเอาดื้อๆ

“ไม่หรอกภาเราเข้าใจภาและเข้าใจดีด้วยว่าถ้าเราเป็นภาเราก็คงจะขัดขวางเหมือนกับที่ภาทำอยู่”

“แต่เรา”

“ไม่เป็นไรภา เรากับอาตกลงกันแล้วว่าหากใครมีความคิดเปลี่ยนไปเราสองคนก็จะไม่ถือโทษโกรธกันและกัน อย่างที่เธอบอกเราอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อีกนานกว่าเรากับอาจะโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง ตอนนี้เราสองคนมีหน้าที่เรียนเราก็เรียนกันไป เราสัญญาต่อกันว่าเราคบกันการเรียนและหน้าที่ทางบ้านเราจะไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แค่ภายอมให้เราไปอยู่ที่บ้านบ้างในบางครั้งเราก็รู้สึกของคุณภามากๆ แล้ว”

“ขอบใจนะที่เข้าใจเราษา” แสงอุษาและอวภาส์นั่งจับมือกันอยู่ที่ระเบียง

ฉันเห็นภาพของพี่ทั้งสองคุยกันและก็เข้าใจความรู้สึกของพี่ทั้งสองคนที่มีความคิดแตกต่างกัน จะว่าไปฉันก็เข้าใจพี่ภาที่รักและห่วงฉัน และฉันก็เข้าใจพี่ษาด้วยเช่นกัน

ฉันต้องทำให้ใครๆ รู้ว่าความรักที่ผิดปกติแบบฉันไม่ได้ทำให้ฉันด้อยคุณค่าลงไปจากคนทั่วไปเลยสักนิด ความรักนี้ต่างหากที่ทำให้ฉันมีกำลังใจและมีแรงที่จะสู้เพื่อวันข้างหน้าและอนาคตที่ดี

..........................

สวนสยามทะเลกรุงเทพ ที่เห็นในโฆษณาทำเอาพวกฉันตื่นตาตื่นใจไปกับสไลด์เดอร์สองชั้นสีสันเหมือนสายรุ้ง พวกเราเปลี่ยนชุดว่ายน้ำลงเล่นกันโดยไม่อายใคร ล้อมวงกันเล่นลิงชิงบอลกันในน้ำ จากวงเล็กๆ ก็กลายเป็นวงใหญ่

ต่างคนต่างไม่อยากเป็นลิงเพราะเมื่อวงที่ล้อมเล่นกันใหญ่ขึ้นก็ยากที่จะไปตามเก็บบอล คนที่เป็นลิงก็เหนื่อยหอบกันเป็นแถว แค่เล่นเป็นลิงบนบกก็ว่ายากแล้วนี่ยังจะมาเล่นในน้ำมันก็ทำให้เหนื่อยเป็นสองเท่า

พอพวกเราเบื่อจากเล่นบอลเราก็ไปเล่นสไลด์เดอร์กันพวกฉันหมาถึงฉันกับภรณีเล่นกันอยู่หลายรอบ จนเจ็บก้นไปหมด เพราะบางช่วงจังหวะสไลด์เดอร์ก็ฝืดๆ ไม่มีน้ำไหลลงมาหล่อเลี้ยงรางที่เราเล่น

“พี่ภาอาแสบก้นอะ” ฉันเดินไปบ่นให้พี่ภาฟังหลังจากที่เริ่มเบื่อกับการเล่นสไลด์เดอร์แล้ว

“ตายแล้วอา มานี่เดี๋ยวนี้เลย” พี่ภาเห็นฉันแล้วตกใจรีบวิ่งมาข้างหลังฉันในทันที

“ทำไมหละพี่ภา” ฉันหันไปถามพี่ภา เพระไม่เข้าใจความหมายที่พี่ภาพูด ว่าแค่เจ็บก้นมันจะตายตรงไหน

พี่ษาเดินมาสมทบกับพี่ภา แล้วสองคนก็มองหน้ากันหัวเราะฉัน

“พี่สองคนจะร่วมมือกันแกล้งอะไรอาอีกหละนี่บอกมาซะดีๆ นะ” ฉันเริ่มระแวงแล้วตอนนี้

“ใครเค้าจะไปแกล้งอะไรอา อานั่นแหละทำตัวเอง” พี่ภาบอกเป็นนัย

“ทำอะไรตัวเองกันพี่” ฉันยิ่งงงหนักกว่าเดิม

“ชุดว่ายน้ำอาไงมันเป็นรูโห่วเลย” พี่ษากระซิบบอกฉัน

“เอ๊ยเป็นไปไม่ได้” ฉันรีบหันหลังก้มไปดูชุดว่ายน้ำของตัวเองในทันทีที่พี่ษาบอก

และก็ได้เห็นฝีมือการเล่นสไลด์เดอร์ของตัวเอง ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เจ้าของผลงานแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ชุดว่ายน้ำของฉัน เป็นรูโหว่ใหญ่มากๆ ที่บริเวณก้น

หน้าของฉันแดงจนจะกลายเป็นก้นลิงแล้ว ใครก็ได้ช่วยที

.........................

เปิดเทอมใหม่ฉันต้องเรียนวิชาใหม่ก็คือภาษาฝรั่งเศส ครูบอกว่าครูคนใหม่นี้พึ่งจบมาหมาดๆ จากมหาวิทยาลัยและเรียนเก่งมากๆ ฉันว่าครูคนใหม่เป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนหลายๆ คนและหนึ่งในนั้นก็ไม่พ้นภรณีเพื่อนจอมเจ้าชู้ของฉัน

ภรณีเห็นครูคนใหม่ตั้งแต่วันแรกที่มาสอนเธอมาบอกฉันว่า

“นี่อาเห็นครูคนใหม่หรือยัง สวยมากๆ ฉันนะนั่งอยู่ที่สนามเมื่อวาน พอครูเดินมานะแกเอ๊ย สว่างวาบเลยหละแก”

ท่าทางของภรณีดูปลื้มครูคนนี้จริงๆ แต่ไหงครูผู้ชายทำให้ภรณีจอมเซี้ยวประจำห้องที่พึ่งอกหักมาหมาดๆ จากรุ่นพี่เปลี่ยนใจมาชอบได้นะ คงจะหล่อเหลาแบบขุนแผนหรือไม่ก็พระอภัยมณี หรือไม่ก็คงจะประมาณสรพง์ชาตรีแน่ๆเลย

“อะไรณีครูหัวล้านขนาดนั้นเลยเหรอ สงสัยจะเป็นผู้ชายหัวล้างเฉิ่งเหมิ่งเลยหละสิ” ฉันพูดไปหัวเราะไปกับความคิดของตัวเอง

“ใครว่าสาวสวยหมวยเลยด้วย เห็นเค้าว่ากันว่าครูพึ่งจบมาจากเชียงใหม่ เก่งภาษาฝรั่งเศสมากด้วยหละแก ฉันนะละลายเป็นเทียนลนไฟเลยหละเวลาที่ครูมองมาที่ฉัน โอ๊ย ต่อไปนี้ภรณีคงไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว นี่ๆ อาชั่วโมงภาษาฝรั่งเศสนี่แกไม่ต้องชวนฉันไปไหนเลยนะ ฉันจะตั้งใจเรียนรู้เปล่า” ภรณีท่าทางเคลิ้มฝันไปเรื่อยเปื่อยฉันเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ภรณีเหลือเกินแต่ก่อนที่จะทำอะไรลงไปครูคนที่ภรณีพูดถึงก็เดินมาถึงที่ห้อง

เกวลีบอกทำความเคารพทันที

“นักเรียนกราบ”

“สวัสดีค่ะคุณครู”

“สวัดดีจะเด็กๆ ครูจะมาสอนวิชาฝรั่งเศส ครูชื่อจิณณพัต” แล้วครูก็เขียนชื่อของตัวเองลงบนกระดาน

“ชื่อเพราะจังเลยอา คนอะไรสวยแล้วยังชื่อเพราะอีก” ภรณีแอบมากระซิบฉัน

“ก่อนอื่นเรามาเรียนรู้กันก่อนว่าเราจะเริมเรียนอะไรกันดี ทุกคนรู้หรือเปล่าว่าภาษาฝรั่งเศสก็มีพยันชนะเหมือนๆ กันภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงแตกต่างกัน”

“ไม่รู้ค่ะครู” ภรณีตอบเต็มๆ เสียงฉันไม่เคยเห็นภรณีจะสนใจเรียนวิชาไหน หรือตอบเสียงดังฟังชัดเท่าวิชานี้

“ไม่รู้ตอนนี้ไม่เป็นไร ครูจะสอนให้” จากนั้นครูก็เขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษลงบนกระดาน พร้อมคำอ่านในภาษาฝรั่งเศสกำกับไว้ด้วย

A =อา B=เบ C=เซ D=เด E=เออ F=เอฟ G=เช H=อัส I=อี J=ชี K=กา L=เอล M=เอ็ม N=แอ็น O=โอ P=แปร์ Q=กวี R=แอร์ค S=เอส T=เต U=อู V=เว W=ดูเบรอะเว X=อิ๊ก Y=อิเกร๊ก Z=แซส

“อะพวกเราอ่านตามครูอา เบ เซ เด เออ เอฟ เช อัส อี ชี กา เอล เอ็ม แอ็น โอ แปร์ กวี แอร์ค เอส เต อู เว ดูเบรอะเว อิ๊ก อิเกร๊ก แซส” ครูพูดพร้อมกับใช้ไม้เรียวชี้ตามไปบนกระดานเรื่อยๆ

นักเรียนทุกคนก็อ่านตามที่ครูเขียนไว้ และแน่นอนคนที่เสียงดังฟังชัดที่สุดในห้องก็คงไม่พ้นภรณีอีกตามเคย

“ต่อไปนี้นะ เวลาครูเข้ามาเราจะไม่กล่าวทักทายเป็นภาษาไทย เราเอาแบบใหม่นะนักเรียน เราจะทักกันเป็นภาษาฝรั่งเศสเอาให้ดังลั่นห้องไปเลยดีไหม”

“ดีค่ะครู” ภรณีอีกแล้วสินี่ ฉันหละอายแทนเพื่อนทั้งห้องจริงๆ

“อะตกลงงั้นเราทักกันแบบนี้นะ” ครูยิ้มให้กับภรณีและขึ้นกระดานพร้อมคำอ่านและคำแปล

“ตอนแรกที่ครูเข้ามาหัวหน้าห้องต้องบอกนักเรียนทุกคนว่า Levons- nous เลอ เวิง นู นักเรียนทุกคนยืนขึ้น ไหนหัวหน้าห้องลองอ่านตามครูสิ”

เกวลีก็ลุกขึ้นอ่านตามที่ครูสอน

“ต่อไปนะนักเรียนทุกคนก็ต้องพูดว่า bonjour madame, comment allez- vous? บอ ชู้ว มาดาม กอม มองตาเล ฟู้ สวัสดีค่ะมาดาม คุณสบ ายดีไหม แล้วครูก็จะตอบว่า je vais bien, merci ครูส บ ายดีค่ะ ขอบคุณ จากนั้นครูก็จะบอกให้พวกเธอทุกคนนั่งลงได้ด้วยคำว่า asseyez-vous อัส ซี เย ฟู นั่งลงได้ค่ะ และสุดท้ายเธอทุกคนก็ต้องตอบครูว่า merci แม็ค ซี่ ขอบคุณค่ะ พอเข้าใจไหมค่ะ”

“เข้าใจค่ะ” ทุกคนพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ครูสอน และเราก็หัดสวัสดีทักทายกันอยู่อย่างนั้นจนนานกว่านักเรียนแต่ละคนจะออกเสียงได้ตามที่ครูอยากจะให้เป็น

ฉันเห็นภรณีจดอะไรยิกๆ อย่างตั้งใจ ส่วนฉันเองก็จดที่ครูเขียนบนกระดานและไม่ลืมที่จะจดคำอ่านเหล่านั้นลงไปด้วย

เรียนจนจะจบชั่วโมงครูก็สอนพวกเราอีกครั้ง

“อะนี่เวลาเลิกเรียนนะ หัวหน้าต้องบอกว่า Levons-nous เลอ เวิง นู นักเรียนทุกคนยืนขึ้น และนักเรียนทุกคนก็ต้องพูดว่า merci bien ,madame และครูก็จะตอบว่า au revoir, a demain โอฟัว อา เดอ แมง บายๆๆ เจอกันใหม่พรุ่งนี้ โอเคไหมเด็กๆ”

“ค่ะคุณครู” พวกฉันตอบไปแบบนั้น มีแต่ภรณีที่ตอบว่า

“โอเคมาดาม” ดังลั่นจนครูหัวเราะ

“เธอชื่ออะไรไหนลองลุกขึ้นยืนสิคะ tu t'appelles comment? ตู ตับ แปว กอม ม๊อง แปลว่าคุณชื่ออะไร”

“หนูชื่อภรณีค่ะ”

“อะงั้นจดคำนี้ไว้นะ เวลาครูถามชื่อทุกคนต้องตอบครูแบบนี้ je suis Paranee เชอ ซูส ภรณี” ครูเดินกลับไปเขียนที่กระดานอีกสองประโยคก่อนออกจาห้อง

“je suis heureuse de parler a toi aujour d'hui. เชอ ซุส เออ เฮิท เดอ ปากเลย์ อา ตัว โอ ชูก ดุ๊ย ฉันยินดีที่พูดกะคุณ โอเคบายนักเรียนทุกคนขอบใจมากที่ตั้งใจเรียนในวันนี้และหวังว่าวันต่อๆ ไป พวกเธอจะตั้งใจเรียนเหมือนวันนี้”

ครูพูดจบก็หยิบหนังสือบนโต๊ะและเดินออกไปจากห้อง

ภรณียังไม่จบแค่นั้น

“อาครูพูดกับฉันด้วย เย้ๆๆ ดีใจจังเลย สุดยอด ครูน่ารักใช่ไหมอา” สายตาของภรณีดูราวกับเคลิ้มฝัน

“นี่ณีแกไปกินกัญชามาหรือไงถึงได้ทำท่าแบบนั้น”

“แกไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาเราหลงรักใครสักคนเราจะเป็นแบบนี้แหละ คนอย่างแกนะมันพวกไม่มีหัวใจ ไร้อารมณ์ศิลปิน

“เอ๊าไอ้นี่เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวให้คอหักเลยนี่”

ฉันไม่อยากจะบอกภรณีว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไม่จริงเลย ฉันมีความรัก และฉันก็รู้ว่าเวลาเรารักใครสักคนนั้นหัวใจเราจะพองโตได้ถึงขนาดไหน แต่ฉันไม่เป็นเหมือนภรณีที่ทำท่าทางราวกับจะเป็นจะตาย เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าการแสดงความรักแบบภรณีจะมีประโยชน์อะไร

ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันรักคนรัก และต้องการอยู่ใกล้ชิดกับคนรักของฉัน แต่ไม่ค่อยจะแสดงออกให้ใครได้รู้ เมื่อเวลาเราอยู่ด้วยฉันฉันจะเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

มันไม่ใช่แฟชั่น มันไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนคิดว่าเมื่อฉันโตขึ้นโรคนี้ก็จะหายไปเอง เพราะตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าฉันรักผู้หญิงที่ชื่อแสงอุษามากมายเพียงใด

... จบบทที่ ๑๔ ...

ขอบคุณน้อง Lavender ที่กรุณาให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาษาฝรั่งเศส ที่ฉันลืมไปนานมากแล้ว ขอบคุณจากใจค่ะน้องขา


Create Date : 26 พฤษภาคม 2551
Last Update : 26 พฤษภาคม 2551 13:46:34 น. 0 comments
Counter : 362 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.