It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๐

บทที่ ๒๐ ๖.๕๕ น.

เสียงเดินออกจากห้องของคนสองคนเงียบลง ฉันรีบวิ่งออกจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงของพี่ษาพูดกับพี่ภา หัวใจของฉันร้อนไปหมด และตอนนี้ฉันไม่เหลือซากของความหยิ่งยโส เพราะเธอกำลังจะจากฉันไป

“พี่ษาหยุดเถอะค่ะอย่าจากอาไปไหนเลยอาขอร้อง” ฉันกอดเธอจากด้านหลังและร้องไห้จนเสื้อของเธอเปียกไปด้วยน้ำตาของฉัน

ฉันรู้ว่าเธอเองก็ร้องไห้เช่นกันเพราะว่าแผ่นหลังของเธอกระตุกเป็นพักๆ

อวภาส์เดินออกมาจากบ้านพ่อพร้อมกับกุญแจรถและก็ต้องหยุดเดินเพื่อยืนมองอาคิรากับแสงอุษากอดกัน พ่อกับแม่ก็เช่นกัน

“ภาแม่มีเรื่องจะต้องคุยกับภาตอนนี้ด้วยลูก”

พ่อกับแม่เดินนำอวภาส์เข้าไปในห้องของเธอ ความเงียบเข้ามาเยือนในห้องนั้นแบบไม่ได้รับเชิญ ก่อนที่แม่จะทำลายความเงียบนั้นลง

“ภาบอกแม่มาสิว่าอากับษามีอะไรกันมากว่าคำว่าพี่น้องหรือเปล่า”

“ให้ตอบว่าไงดีล่ะคะแม่”

“ตอบเท่าที่ภารู้ก็ได้ลูก” พ่อบอกกับอวภาส์เพราะคิดว่าอวภาส์คงจะคิดหนักเช่นกัน

“เท่าที่รู้สองคนนี้เค้ารักกันคะ แต่จะถึงขั้นไหนภาคงตอบไม่ได้ แต่แม่คะอย่าไปว่าอะไรอาเค้าเลยนะอาเค้าพยายามที่จะบอกพ่อกับแม่หลายครั้งแล้วแต่เค้าก็ไม่กล้า”

“แม่ไม่ได้ว่าอะไรอาหรอกลูก แม่รู้ว่าลูกของแม่ต้องไม่ทำอะไรเกินเลยเพราะแม่เลี้ยงของแม่มากับมือตัวเอง และแม่ก็รู้ด้วยว่าภาดูแลน้องอย่างดีแล้วนะลูก”

“พ่อว่าก็ดีเหมือนกันนะที่สองคนนั้นได้แยกกันไปไกลๆ ดูอย่างติวตุ๊กตาน้อยของอาสิ ตอนนี้ไม่เห็นเจ้าอาปลื้มกับจดหมายที่เขียนตอบไปมาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้าสองคนนี้ฝ่าฟันคำว่าห่างไกลกันไปได้ และยังจะคบกันอยู่อีกพ่อว่าถึงตอนนั้นพ่อก็คงจะห้ามอะไรไม่ได้แล้ว”

“จริงอย่างที่พ่อพูด อาอาจจะรักน้องษาแบบแฟชั่นทั่วไปของเด็กๆ สมัยนี้ก็ได้นะภา ดูๆ น้องไปก่อนเถอะ สักวันเราจะรู้เองว่าน้องเลือกทางเดินแบบไหน”

“แม่ไม่โกรธน้องจริงๆ หรือคะ”

“แม่จะโกรธน้องทำไมล่ะลูก อย่างน้อยแม่ก็รู้ว่าลูกของแม่โตแล้วและก็ยังมีหัวใจรักใครเป็นด้วย ไม่ใช่เล่นเป็นลิงอยู่ในสวนเหมือนอย่างที่เคยเป็น อีกอย่างแม่ว่าความรักทำให้คนเราอ่อนโยนลงนะไม่เชื่อถามพ่อสิ” แม่เริ่มบุ้ยใบ้ให้กับพ่อ

“จริงๆ ลูกพ่อกับแม่รักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน มศ.๓ เราสองคนช่วยกันเรียนช่วยกันติว จนพ่อสอบเข้าเตรียมได้ พ่อกับแม่ก็ยังคบกันมาตลอด แม่เค้าสมัยเรียนมหาลัยมีแต่คนตามจีบนะภา พ่อถึงได้บอกว่าถ้าษากับอาผ่านเรื่องนี้ไปได้ และยังคงรักกันอยู่พ่ก็จะไม่ห้ามอะไร เพราะพ่อเคยเป็นมาก่อน”

“ถึงแม้ว่าน้องจะรักผู้หญิงด้วยกันเองนะเหรอคะพ่อ”

“ใช่ลูก เพื่อนของแม่เค้าก็มีที่รักผู้หญิงด้วยกันเองและทุกวันนี้ก็ไม่เห็นเค้าจะเป็นคนไม่ดีตรงไหน พ่อกับแม่ก็ยังเป็นเพื่อนกับเค้าอยู่จนเดี๋ยวนี้”

“ใครกันคะพ่อ”

“ภารู้จักดีเชียวล่ะลูก ก็น้าเปิ้ลกับน้าเตยไง”

“น้าเปิ้ลกับน้าเตยนี่นะคะแม่รักกันภาไม่เห็นจะมีใครเป็นทอมสักคน”

“ก็นั่นแหละไม่มีใครเป็นทอมหรือดี้อะไรทั้งนั้น แต่ทั้งสองคนก็รักกันมาตั้งแต่สมัยแม่เป็นนักเรียนรักกันมานานมาก จนน้าเปิ้ลไปเรียนเมืองนอกกลับมาน้าเตยก็ยังรอน้าเปิ้ลไม่เคยเปลี่ยน”

“โห รักกันนานจังเลยนะคะแม่” อวภาส์รู้สึกชื่นชมในความรักของเพื่อนแม่ทั้งสองคน และเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างน้องสาวของเธอกับแสงอุษาจะไปกันได้อีกนานแค่ไหน

พ่อแม่และอวภาส์ยืนมองอาคิรากับแสงอุษาที่กอดกันร้องไห้จากหน้าต่างห้องของอวภาส์และหันมามองหน้ากันไปมาสามคน และสุดท้ายก็จบลงด้วยรอยยิ้มของพ่อและคำพูดที่ว่า

“ดีเว่ยเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ลูกผม” และสามคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

แต่อีกสองคนด้านนอกยังคงร้องไห้ไม่หยุด และไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ด้วยสิ

......................

ยุงเริ่มบินว่อนไปทั่วบริเวณที่แสงอุษาและอาคิรายืนอยู่ด้วยกัน จนแสงอุษาต้องขยับตัวและบอกกับคนที่กอดเธอร้องไห้ว่า

“อาเข้าบ้านเถอะยุงตอมแล้ว”

อาคิราเดินตามแสงอุษาเข้าบ้านอย่างว่าง่าย

“อาไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวพี่ไปอาบบ้านแม่แล้วจะกลับมา”

“พี่ษาอาบที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวอาไปอาบบ้านแม่เอง”

“งั้นไม่ต้องไปอาบด้วยกันนี่แหละ ปิดไฟอาบ” แสงอุษาเห็นว่าเรื่องชักยุ่งยาก ก็เลยเสนอออกมาแบบลืมตัว

อาคิราตาวาวขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่การร้องไห้ที่ผ่านมาไม่นานทำให้ตาทั้งสองข้างบวมเป่ง และแดงไปหมด

“นั่นๆ อย่ามาคิดอะไรทะลึ่งนะ แค่อาบน้ำไม่ได้ให้ไปทำอะไรก็แบบเดียวกับที่อาอาบน้ำพร้อมกับภาไงทำคิดลึกไปได้”

“อาเปล่าคิดอะไรสักหน่อยพี่ษาก็”

“ไม่คิดหน่อยแต่คิดเยอะใช่ไหม สรุปจะอาบน้ำหรือไม่อาบ ถ้าไม่อาบพี่ไปอาบแล้วนะ”

“อาบๆๆๆ ไปๆๆ อาบๆๆ” อาคิรารีบตอบแบบไม่ต้องคิด ก็ใครจะปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือไปได้เล่า จริงปะจ๊ะ

แต่ก็ไม่ทันการแล้วแสงอุษาเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอนไปเรียบร้อย

“พี่ษาเปิดประตูเลยนะอาจะอาบน้ำ”

“ไม่เปิดรอพี่อาบเสร็จก่อนค่อยมาต่อคิวแล้วกัน”

สิ้นเสียงของแสงอุษาก็มีเสียงตะโกนมาจากบ้านแม่ว่า

“สองคนนั้นนะจะคุยอะไรกันก็เบาๆ หน่อยพ่อกับแม่จะนอนเอะอะโวยวายกันอยู่ได้หนวกหูจริงๆ เชียว”

เสียงของแม่นั่นเองที่ตะโกนมา ทำเอาฉันและพี่ษาต้องปิดปากเงียบไปโดยปริยาย เพราะว่าเราสองคนลืมไปว่าบ้านหลังนี้ด้านข้างติดกับห้องนอนของพ่อกับแม่และบ้านก็ไม่ได้เก็บเสียงแต่อย่างใดเพราะฉันเปิดหน้าต่างรับลมไว้ทุกบาน

พี่ษาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ทำท่าทางสั่นๆ

“หนาวบรื้อๆๆ”

“ก็นะบ้านนี้ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนี่พี่ ก็ต้องหนาวเป็นธรรมดาแหละ” ฉันออกจะขำท่าทางของพี่ษาเพราะเธอดูจะหนาวจริงๆ

แล้วฉันก็เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำน้ำเย็นๆ ทำเอาฉันสั่นไปหมดทั้งตัว แทบจะกระโดดออกจากห้องน้ำมาโดยไม่อาบน้ำ แต่ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ ต้องรีบๆ ที่จะอาบและออกไปจากห้องน้ำที่แสนเย็นโดยเร็วที่สุด

ฉันยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าไปก็สั่นไป เหมือนกับที่พี่ษาสั่นเมื่อสักครู่นี้ เสียงฟันของฉันกระทบกันดังกึ๊กๆ ตลอดเวลา เดือนพฤษจิกายนแบบนี้เป็นฤดูหนาวที่แท้จริง อากาศทางภาคเหนือก็จะเริ่มหนาวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพ้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็จะค่อยๆ คลายหนาวไปทีละน้อยๆ จนร้อนมากๆ ในเดือนเมษายน

ฉันรีบมุดเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับพี่ษาอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องโดนเตือนเรื่องปิดประตูบ้าน

“อาไปปิดประตูบ้านก่อนสิเดี๋ยวใครเข้ามาไม่รู้เรื่อง” พี่ษาพูดไปก็หวีผมยาวสลวยของเธอไปเรื่อยๆ เพราะเธอพึ่งจะสระผมก็เลยยังนอนไม่ได้ ต้องรอให้ผมแห้งก่อน

“พี่ษาเป่าผมไม๊อาเป่าให้” ฉันอาสาทำให้เพราะเห็นว่าหากปล่อยให้แห้งเองคืนนี้ก็คงไม่ต้องนอน

“ก็ดีนะอามีไดร์เป่าผมเหรอ”

“มีค่ะเดี๋ยวนะอาหาก่อนมันคงอยู่ในตู้เสื้อผ้า” ฉันเปิดตู้ดูแล้วก็เจอสิ่งที่ค้นหา

จากนั้นก็บรรจงเป่าผมให้กับพี่ษาและหวีไปเรื่อยๆ ฉันว่าผมของพี่ษามันขลับและสวยสลวยดีจังเลย

“ผมพี่สวยจัง” ฉันจับผมของเธอลูบเล่นไปมา

“เหรอสวยสู้ของอาไม่ได้หรอกมั๊งเมื่อก่อนอาผมยาวสวยกว่าพี่ตั้งเยอะ”

“ไม่หรอกพี่ผมของอาเส้นเล็ก แต่ของพี่ผมเส้นไม่เล็กมาก มีน้ำหนักดีออก ของอาเวลาแห้งมันจะฟูทั้งหัวเลยนะพี่ต้องมัดไว้ไม่อย่างนั้นลมโกรกมาทีไรปลิวกระจายอ้องฟ่อง”

“เหรอเสร็จหรือยังล่ะอาพี่ง่วงแล้ว”

“เสร็จแล้วพี่นอนเถอะเดี๋ยวอาไปปิดประตูบ้านก่อน พี่ษาอาวานเปิดไฟหัวเตียงให้ด้วยนะกลัวมองไม่เห็นยังไม่ชินกับห้องใหม่น่ะพี่”

ฉันปิดประตูบ้านเสร็จก็รีบๆ มุดกลับไปในผ้าห่มอีกครั้ง

“หนาวจังพี่ขอกอดนอนหน่อยนะ” ฉันพูดพร้อมกับสอดแขนไปใต้คอของพี่ษาและกอดเธอไว้แน่น

เธอเองก็เช่นกันหันมากอดฉันแน่นเราสองคนถ่ายเทความอบอุ่นของตัวเองให้แก่กันและกัน

“พี่ษาพร้อมจะเป็นครูให้กับอาหรือยังพี่” ฉันกระซิบที่ใบหูสวยของเธอผ่านความมืดที่ครอบคลุมอยู่

เธอไม่ได้ตอบฉันเพียงแต่พยักหน้ารับกับคำถามที่ฉันถามเธอ

“งั้นขอบทเรียนแรกเลยนะพี่หอมแก้ม” ฉันหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่เหมือนกับว่าใบหน้านั้นเป็นดงดอกไม้ที่หอมและหวาน

เธอก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยงแต่ประการใดปล่อยให้ผึ้งน้อยอย่างฉันได้ดอมดมดอกไม้หอมหวานไปจนหนำใจ ผึ้งอย่างฉันจะยอมหยุดไว้เท่านี้เหรอเป็นไปไม่ได้หรอก ไหนๆ มีครูที่สวยแบบนี้แล้วขืนปล่อยไปก็เสียชื่อผึ้งน้อยพเนจรหมดสิ

“บทเรียนที่สองจูบ”

ฉันเคลื่อนริมฝีปากไปประกบปากของเธออยู่เนิ่นนาน และสุดท้ายก็อดทนต่อไปไม่ไหวฉกลิ้นเข้าไปชิมความหวานของเรียวปากที่ฉันเกลียดนักหนา และลิ้มลองรสชาติของความหวานอยู่เนิ่นนาน

จากอากาศที่หนาวตอนนี้เราสองคนร้อนไปด้วยแรงปรารถนาซึ่งกันและกัน ฉันลิ้มรสจนลืมหายใจและเธอเองก็เช่นเดียวกัน

กลิ่นลมหายใจของกันและกันมันช่างเย้ายวนให้ฉันเตลิดไปไหนต่อไหน และเมื่อฉันจะรุกเธอไปมากกว่านั้น เธอเองกลับห้ามฉัน

“อาพอเถอะพี่ไม่ไหวแล้ว”

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่”

“เปล่าพี่หายใจไม่ทัน”

“ฮ่าๆๆ เหรอ งั้นนอนเถอะคะพี่ จะได้หายใจทันแต่อาของนอนกอดพี่นะกอดก่อนที่จะไม่ได้กอดไปอีกนาน”

“ได้เลยเด็กน้อยแต่พี่ก็ขอกอดคืนด้วยเหมือนกันนะจะได้ไม่มีใครเสียเปรียบ”

ฉันกอดเธอนอนไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“แม้เพียงเชยกลิ่นเจ้าเราก็หลง แม้เพียงยลโฉมเจ้าเราก็ฝัน
แม้เพียงเจ้ายิ้มให้ใจเราหวั่น แม้เพียงนั้นใจติดตรึงตลอดกาล

แม้หากเจ้าห่างกายไปสักนิด เราอาจคิดถึงเจ้ามากสักหน่อย
ขอเชยชมทรามสงวนแม่นวลน้อย เจ้าอย่าปล่อยให้เราเศร้าเดียวดาย

ขอฝากรอยจุมพิตติดตัวเจ้า อย่าได้เศร้าเหมือนเช่นเราที่เป็นอยู่
อยากจะบอกเจ้าสักนิดแม่โฉมตรู เรารักอยู่เพียงเจ้านั้นคนเดียว”

ฉันแต่งกลอนสดๆ ให้พี่ษาถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยจะคล้องจองกันมากสักเท่าไหร่แต่ฉันก็คิดได้เท่านี้จริงๆ พร้อมๆ กับสูดดมกลิ่นแชมพูที่เรือนผมสวยของเธอไปด้วย

“นอกจากลิเกแล้วยังเจ้าบทเจ้ากลอนอีกนะอา”

“ไม่ได้สิพี่อาต้องมีอะไรดีๆ บ้างล่ะถึงจะลิเกก็รักพี่น้าสิบอกไห่”

“นอนได้แล้วพรุ่งนี้จะตื่นสาย”

“พรุ่งนี้วันหยุดตื่นสายได้ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ษา”

“แล้วไม่ต้องไปซ้อมดนตรีเหรอ”

“เออจริงสิลืมไปพรุ่งนี้ครูให้ไปซ้อมแถวใหม่ พี่ก็ต้องไปด้วยนี่นา”

“ก็ใช่นะสิงั้นนอนได้แล้วครูนัดเก้าโมงฝันดีนะจ๊ะที่รัก”

“อิอิ ฝันดีเช่นกันที่รัก” เสียงคุยจุ๋งจิ๋งของเราสองคนก็เงียบลงไปเมื่อนึกถึงภาระกิจที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากไม่มีการซ้อมแถววันพรุ่งนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะนอนหลับกันไปตอนกี่โมงกันแน่

..........................

กว่าพวกเราจะซ้อมเดินแถวเสร็จก็เกือบบ่ายโมง ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวแต่ก็ไม่ได้ลดทอนแสงแดดที่ส่องลงมาตอนกลางวันลงได้ ฉันค่อนข้างจะชินที่ต้องมาเดินวนไปวนมาซ้อมเรื่อยๆ แต่สำหรับพี่ษานานๆ จะได้เดินตากแดดสักครั้งก็ทำให้เธอเหนื่อยและนั่นหอบไปเหมือนกัน

ภรณีดูแลเอาใจใส่รมณจนออกนอกหน้าทั้งผ้าเช็ดหน้าทั้งน้ำดื่มเย็นๆ ฉันมองแล้วก็รู้สึกอิจฉารมณที่มีคนเอาใจอย่างใกล้ชิด

ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันเดินไปหยิบน้ำและนำไปยื่นให้กับพี่ษาที่นั่งถอดหมวกและเอาหมวกมาพัดตัวเองให้คลายร้อน และยื่นผ้าขนหนูผืนน้อยให้เธอเพื่อซับเหงื่อบนใบหน้า แต่ตัวฉันเองก็เหงื่อโทรมกายเช่นกัน

“ไม่เช็ดตัวเองก่อนล่ะอามานั่งลงเดี๋ยวพี่เช็ดให้” เธอฉุดแขนของฉันให้นั่งลงข้างๆ ตัวเธอ

“พี่เช็ดเถอะดื่มน้ำด้วยเดี๋ยวอาไปล้างหน้าเอาเช็ดอย่างเดียวมันเหนียวๆ ไงไม่รู้”

“ล้างหน้าตอนร้อนๆ ระวังเป็นฝ้านะอา”

“ไม่หรอกพี่เดี๋ยวพอเหงื่อมันแห้งหน่อยๆ แล้วค่อยไปล้าง ว่าแต่พี่เหนื่อยหรือเปล่าคะครูให้ซ้อมตั้งหลายรอบ”

“ไม่เหนื่อยก็ไม่ใช่คนแล้วอานานๆ จะเดินตากแดดแบบนี้เหมือนๆ จะเป็นลม”

“อ้าวเหรอเอายาดมไหมพี่อามีนะ” ฉันควักยาดมออกมายื่นให้เธอ

“พี่ว่าจะเป็นลมเพราะหิวข้าวมากกว่าก็เมื่อเช้าอาตื่นสายพี่เลยไม่ได้กินข้าวเช้ามาด้วยหิวจนลมจะจับแล้ว”

“ก็นะพี่อาอยากกอดพี่ให้นานที่สุดนี่นา”

“อดข้าวดอกเจ้าชีวาวาย แต่มิตายหรอกเพราะอดสิเน่หา เอ่อ... จะเป็นลม” พี่ษาทำท่าทางเหมือนคนกำลังลมจะจับ มองแล้วดูน่ารักในสายตาของฉัน

“ใครว่าล่ะพี่ อดข้าวดอกเจ้าชีวาวาย แทบจะตายหากอดสิเน่หา...ต่างหาก" ฉันส่งสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยให้กับพี่ษา

“จะตายหรือจะวายตอนนี้ไม่รู้ล่ะออกไปกินข้าวกันเถอะพี่หิวจะแย่แล้ว” เธอค้อนให้ฉันวงใหญ่ยักษ์และลุกขึ้นจากพื้นที่เรานั่ง

“ไปเร็วอาจะไปล้างหน้าล้างตาก็รีบๆ เข้า” เธอฉุดฉันให้ลุกขึ้นและเดินนำไปที่ก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า

พี่ษาค่อยๆ กวักน้ำจากก๊อกขึ้นมาลูบใบหน้าของเธอ ผิดกับฉันที่รีบๆ กวัดและเอาน้ำมาล้างหน้าจนเปียกไปหมดทั้งตัว เพราะฉันไม่ได้ล้างแค่หน้าอย่างเดียวยังล้างแขนและลำคอด้วย เสื้อของฉันชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำไหลเป็นทางและฟองสบู่ก็ยังติดอยู่ตามใบหูและคอ

“ล้างดีๆ หน่อยสิอาดูทำเข้าไปอาบน้ำเลยดีไหมแบบนี้” เธอเอาผ้าขนหนูผืนที่ฉันให้มาเช็ดหน้าลำคอและแขนให้ฉันและบ่นไปเรื่อยๆ

“ความคิดประเสริฐมากเลยพี่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จอาจะไปอาบน้ำไม่ต้องห่วงอิอิ”

“นี่พี่ประชดนะทำจริงๆ เหรอ”

“อ้าวพี่ไม่รู้เหรอว่าฉายาอาเซฟโซ่ของอาได้มาไง ก็เพราะว่าอาเป็นคนรักสะอาดแต่แอบสกปรกไงพี่ฮ่าๆๆ ไปกินข้าวเถอะ”

ฉันชวนรมณกับภรณีออกไปกินข้าวด้วยกันเพราะต้องรีบกลับมาให้ทันบ่ายสองครูจะเริ่มซ้อมอีกครั้งเนื่องจากการเดินแถวของพวกเรายังไม่เป็นระเบียบมากพอ และตอนบ่ายครูจะให้เอาเครื่องดนตรีมาซ้อมด้วยคนหนักหนาสาหัสกว่าช่วงเช้าอีกมาก

“ลุงกินอะไรดีเราว่ากินข้าวกระเพราไข่ดาวก็แล้วกันนะ”

“จ้ะป้าว่าไงลุงก็ว่างั้น” การสนทนาของรมณกับภรณีทำเอาฉันและพี่ษานั่งขำจนฉันอดแซวเพื่อนทั้งสองไม่ได้

“ลุงขาแล้วหนูล่ะคะกินอะไรดี”

“หนูก็กินรองเท้าเบอร์หกของลุงดีไหมจ๊ะ เดี๋ยวปั๊ดทำมาแซว” ภรณีดูจะร้อนตัวรีบเถียงกลับทันที

“แซวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ไอ้ณีแหมตั้งแต่มีคนรักไปอยู่ด้วยท่าทางแกกระชุ่มกระชวยดีจริงโด๊ปไข่ดาวเช้ากลางวันเย็นมีไข่ลวกด้วยเปล่าล่ะนี่ไอ้ณี”

“ไม่ได้สิเพื่อนเรื่องแบบนี้มันต้องฟิตกันหน่อยโด๊ปกันหน่อยเดี๋ยวป้าไม่รักล่ะแย่เลย เกิดมีข่าวฉันตายคาอกขึ้นมาเพราะหมดแรงเสียฟอร์มแย่”

“ป้ามณนะเหรอจะไม่รักแกไอ้ณี เห็นแล้วไม่อยากจะเชื่อลุงณีกลัวป้ามณหงอขนาดนี้ป้ามณไม่รักก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว”

“นี่เธอสองคนนะหยุดแซวกันซะที่ได้ไหมจะสั่งหรือไม่สั่งข้าวนะ เดี๋ยวกลับไปไม่ทันบ่ายสองไม่รู้เรื่องด้วย” รมณที่นั่งเงียบๆ อยู่นานก็โพล่งขึ้นมาทำเอาฉันกับภรณีจ๋อยไปตามระเบียบ

ฉันหันไปมองหน้าพี่ษาประมาณจะถามว่ากินอะไรดี

“เอากะเพราตับแล้วกันอาเอาแบบพี่ไหม”

“ค่ะพี่จะได้เร็วๆ แต่อาไม่เอาไข่ดาวนะเพราะว่ากินมาเยอะแล้วไม่เหมือนใครบางคนหรอกไม่มีไข่ดาวให้กินเลยต้องมากินนอกบ้าน” ฉันแกล้งพูดให้ขำๆ

“ไปกินที่ไหนมาเมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวนี่นา” พี่ษาแย้งฉันทันที

ฉันแกล้งก้มลงไปมองหน้าอกของพี่ษาและคนสามคนก็มองมาที่ฉัน

“ว๊ายลามก นี่แอบมากินตอนไหนกันจ๊ะทำไมไม่รู้เรื่อง” เสียงพี่ษาร้องขึ้นและตีฉันด้วยฝ่ามือของเธออีกแล้ว

“เก่งเว่ยเพื่อนแอบกินได้ด้วยแสดงว่าฉันไม่เซียนพอ หรือไม่ก็พี่ษาหลับเป็นตายแน่ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ”

“สองคนนี้จำไว้เลยนะกินในที่ลับไขในที่แจ้งระวังเถอะเกิดพวกเรารวมตัวกันนินทาพวกเธอบ้างแล้วจะหนาว” รมณขู่พวกฉันทันทีเช่นกันเพราะเธอคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่สมควรเอามาพูดเล่นเป็นเรื่องตลก

“ใช่ๆๆ มณพี่เห็นด้วยไว้วันหลังเรามานินทาสองคนนี้กัน แต่ตอนนี้สั่งข้าวดีกว่าพี่หิวจะแย่แล้ว เจ้คะเจ้สั่งข้าวด้วยคะ” พี่ษาเห็นด้วยกับรมณและสั่งข้าวทันทีเพราะเธอดูเวลาแล้วมันเหลืออีกไม่มาก

ดูเหมือนข้าวมื้อนั้นจะทำให้พวกเราเจริญอาหารกันมากๆ เพราะทั้งหิวและเหนื่อย ใช้เวลาไม่นานข้าวในจานก็หมดลงแบบไม่เหลือซากให้เห็นมีเพียงจานเปล่าและช้อนส้อมเท่านั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ

พี่ษาเรียกเจ้มาเก็บค่าเสียหายและเราก็กลับเข้าไปในโรงเรียน ฉันแวะไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำโดยที่พี่ษานั่งรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ กับรมณและภรณี

“ได้ข่าวว่าพี่ษาจะไปเรียนที่เชียงใหม่เหรอคะ” รมณชวนแสงอุษาคุย

“ค่ะพี่จะไปเรียน เดือนหน้าก็ต้องไปสอบโควต้าแล้ว”

“อย่างนี้ไอ้อาไม่คิดถึงพี่แย่เลยเหรอน่าสงสารอาจังเลยพี่” ภรณีออกความเห็นบ้าง

“ทำไงได้ล่ะณีก็พ่อพี่เค้าจะให้ไปเรียนที่โน่นเราเป็นลูกก็ต้องทำตามที่พ่อแม่บอก อีกอย่างช่วงนี้พี่ก็ขอพ่อมานอนกับอาเค้าทุกวัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องที่พี่ต้องย้ายโรงเรียน ตอนแรกพ่อก็ไม่ให้หรอกนะแต่พี่บอกว่าถ้าไม่ให้พี่ก็จะไม่ทำตามใจพ่อ พูดแล้วก็อยากร้องไห้จังเลยมณ”

“มณเข้าใจพี่ว่าเวลารักใครแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันมันเป็นแบบไหน มณอยู่ทางนี้จะดูแลไอ้อาแทนพี่เองรับรองไม่ให้ใครมาจีบมาเกี้ยวไอ้อาได้แน่นอนพี่ษาเองก็รักษาสุขภาพและตั้งใจเรียนก็แล้วกันคะเรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วงพวกเราดูแลให้เอง”

“ขอบใจนะมณพี่ไม่ได้ห่วงเรื่องอะไรหรอกนอกจากกลัวอาเค้าจะไม่ตั้งใจเรียน เรื่องของพี่กับอามันก็อาจจะเป็นไปได้แค่คนเคยเดินผ่านทางมาเจอกันแล้วต่างคนก็ต่างต้องเดินไปในทิศทางของตัวเอง และก็ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะมีวันที่จะมาบรรจบกันเพื่อเดินต่อไปด้วยกันอีกหรือเปล่า” แสงอุษาถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ

“เราสองคนก็เหมือนกันรักษาความรักของพวกเราไว้ดีๆ เมื่อยามที่อยู่ด้วยกันเก็บเกี่ยวความสุขและความเอื้ออาทรกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อวันใดที่ต้องแยกจากกันจะได้ไม่เสียใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้กับคนที่เรารัก” แสงอุษาจับมือของภรณีและรมณมาวางทับกัน

“อย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนะทั้งคู่ ดูพี่เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน รักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้มันทรมานยิ่งกว่าไม่ได้รักกันเป็นไหนๆ จำไว้นะทั้งสองคน”

ฉันยืนดูทั้งสามคนคุยกันและเข้าใจจิตใจของพี่ษาเป็นอย่างดี เพราะฉันในตอนนี้ก็ไม่ได้มีสภาพแตกต่างไปจากเธอ ความรักครั้งแรกของฉันมีอุปสรรคให้ต้องฝ่าฟันไปอีกนานแสนนาน

แม้เส้นทางแห่งรักนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบที่ใครหลายๆ คนต้องการ ฉันก็จะเดินหน้าต่อไป เพื่อรอวันและเวลาที่ทางของฉันและของเธอจะมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหนก็ตามเถอะ อาคิราคนนี้จะคอยอย่างมีความหวัง

.... จบบทที่ ๒๐ ...



Create Date : 15 มิถุนายน 2551
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 4:31:18 น. 2 comments
Counter : 303 Pageviews.

 
สงสารษาจัง รีบๆมาต่อได้แล้วค่ะพี่
น่าจะมีรูปให้ดูเหมือนเวปเด็กดีนะคะ
อ่านแล้วคิดถึงตอนเด็กๆเลยอ่ะ
ตอนนี้แก่แล้ว 555


โดย: ไอ IP: 203.107.202.241 วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:20:32:13 น.  

 
คุณไอ ค่ะ

เรื่องนี้ยังเขียนไม่ออกค่ะ ต้องไปหาข้อมูลใหม่ ลืมไปหมดแล้วจ้า

อิอิ


โดย: รันหณ์ วันที่: 21 มิถุนายน 2551 เวลา:2:37:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.