มัดหนังหยอง : V/H/S, V/H/S 2, You're Next, Orphan



นับตั้งแต่วันที่ผมเขียนบล็อกนี้ (21/7/2559) แล้วย้อนกลับไปประมาณสองอาทิตย์ พบว่าทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และนักขัตฤกษ์ กลายเป็นการดูหนังสยองขวัญติดต่อกันวันละสองหรือสามเรื่องไปเสียแล้ว 

บางเรื่องมันมีประเด็นให้แยกไปพูดเดี่ยวๆได้ อย่าง Martyrs (ของฝรั่งเศสปี 2008) แต่หลายเรื่องรู้สึกเหมือนพูดแบบ "มัดรวม" จะง่ายกว่า

และนี่คือ 4 หนังสยองขวัญที่จะพูดใน "มัดรวม" ครั้งนี้



1. V/H/S (หนังปี 2012)



ผมค่อนข้างจะเบื่อแนวหนังสยองขวัญแบบ "founded footage (พบกล้องหรือคลิป)" โดยเฉพาะหลังจากนั่งไล่ดู The Visit, Blair Witch Project รอบที่สองหรือสามไม่แน่ใจ แล้วก็ Paranormal Activity 2-5 ในเวลาใกล้ๆกัน (ภาคแรกดูมานานแล้ว) 

ผมได้ยินกิตติศัพท์หนังเรื่อง V/H/S มาพอประมาณว่าคอหนังสยองขวัญบางคนค่อนข้างชอบ พออารมณ์นึกครึ้มได้ที่ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจหามาดูเสียที

มันเป็นหนังที่พูดเกี่ยวกับกลุ่มแก๊งอันธพาลกลุ่มหนึ่ง บุกเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งแล้วไปพบกองวิดีโอประหลาดเข้า หลังจากนั้นคนในแก๊งก็นั่งไล่เปิดดูวิดีโอทีละม้วน ทว่าแต่ละม้วนที่เปิดดู กลับกลายเป็นบันทึกวิดีโอที่ว่าด้วยเรื่องแปลกประหลาดจนต้องร้อง "ห่านอะไรวะเนี่ย"

เนื้อเรื่องแบบนี้ก็แปลว่า V/H/S คือหนังสั้นรวมวิดีโอแนวสยองขวัญซึ่งมีทั้งหมด 6 เรื่องย่อยจบในตัวนั่นเอง 

ผมไม่อยากสปอยล์ตรงนี้ แต่มัน... ดิบในความรู้สึก

ผมชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างความน่ากลัวด้วยการ...

1) ใช้กล้องวิดีโอรุ่นเก่าที่ใช้ม้วนวิดีโอถ่าย ทำให้ภาพออกมาดูแตกๆไม่ชัด พอบวกกับบรรยากาศของเรื่องด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่า วิธีการถ่ายแบบนี้มันเวิร์ค

2) แต่ละเรื่องค่อนข้างสั้น และไม่มีคำอธิบายมาก ซึ่งมันสมเหตุผล เพราะภาพถ่ายบันทึกเหตุการณ์จะมีอะไรมาอธิบายนู่นนี่นั่นก็จะขาดความน่าเชื่อถือ แถมบางอย่างทิ้งค้างไว้เป็นปริศนายังน่าจะพอใจกว่าอีก

ในบรรดาเรื่องสั้นทั้งหมด เรื่องที่ผมคิดว่าเข้าท่าก็คงจะเป็น...

Amateur Night : เป็นเรื่องของหนุ่มสามคนที่จะตั้งใจจะถ่ายหนังโป๊มือสมัครเล่นผ่านกล้องแว่นตา ทว่าหนึ่งในสองสาวที่พามา กลับมีท่าทางไม่ชอบมาพากล และพูดแต่คำๆเดียวตลอดเวลาว่า "ฉันชอบเธอ"



10/31/98 : เป็นเรื่องของเพื่อนกลุ่มหนึ่งออกเที่ยวเล่นในคืนวันฮาโลวีน แล้วบุกเข้าไปในบ้านร้างก่อนจะเจออะไรแปลกๆที่คาดไม่ถึง 



โดยรวมผมให้ V/H/S...

5/10

ความดิบของภาพและวิธีการนำเสนอทำให้ผมรู้สึกติดตาติดใจอยู่ไม่น้อย แต่พอดูจบแล้วมันก็รู้สึกว่า อืม ก็โอเคนะ พอไหว ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ



2. V/H/S 2 (หนังปี 2013)



ความสำเร็จของ V/H/S ภาคแรกทำให้ V/H/S 2 กลับมาอีกครั้ง แต่เรื่องสั้นมีจำนวนลดลง จาก 6 เรื่องสั้นกลายเป็น 5 เรื่องสั้นแทน 

มันเป็นเรื่องของสองนักสืบเอกชนที่รับงานตามหานักศึกษาที่หายตัวไป หลังจากบุกเข้าไปในบ้านของนักศึกษาที่หายไป นักสืบทั้งสองก็เจอกับกองวิดีโอเทปมากมาย หนึ่งในสองนักสืบไล่เปิดดูทีละม้วน และพบว่ามันไม่ใช่ม้วนวิดีโอธรรมดาเสียแล้ว

V/H/S 2 มีจำนวนเรื่องสั้นน้อยลงก็จริง ทว่าแต่ละเรื่องมีความยาวมากกว่าของภาคแรก วิธีการนำเสนอก็แตกต่างจากของภาคแรกเช่นกัน จากกล้องวิดีโอเทปแบบดิบๆ กลายมาเป็นกล้องรุ่นใหม่ที่มีความคมชัดมากขึ้น

เรื่องสั้นที่ผมชอบที่สุดก็คือ Safe Haven เป็นผลงานของผู้กำกับ The Raid ใครชอบ Silent Hill น่าจะชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะมีหลายอย่างคล้ายจะจงใจให้เหมือนกับ Silent Hill เลย อาทิ ลัทธิประหลาด, เสียงไซเรน เป็นต้น 

Safe Haven เป็นเรื่องของทีมงานกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปถ่ายทำลัทธิๆหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย เป็นลัทธิที่ดูสะอาดสะอ้านทว่ามีรูปสัญลักษณ์อะไรแปลกๆห้อยอยู่เต็มไปหมด เป้าหมายของลัทธินี้คืออะไรกันหนอ? 



เป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่บันเทิงมาก รู้สึกเหมือนจะดูซ้ำได้อีก

โดยรวมผมให้ V/H/S 2...

5/10

ผมอยากให้มากกว่านี้เพราะชอบ Safe Haven แต่นอกนั้นค่อนข้างจะ... เฉยๆ แถมด้วยความที่ใช้กล้องคมชัดกว่าเดิม ความดิบชวนให้ติดตาติดใจแบบภาคแรกเลยขาดหายไป วิธีการเล่าเรื่องก็ดูมีความเป็นหนังมากกว่าภาคแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน คือมันดูสนุกขึ้น แต่มันก็ขาดความน่ากลัวแบบดิบๆไปพอสมควร



3. Orphan (หนังปี 2009)



อืม... เป็นเรื่องที่ผิดคาดมาก นึกว่าเป็นหนังสยองขวัญดาดๆเรื่องนึงเสียอีก ที่แท้เป็นหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ/จิตวิทยาที่เกี่ยวกับเด็กหญิงประหลาดๆนี่เอง ดูแล้วกดดันใช้ได้

มันเป็นเรื่องของครอบครัวๆหนึ่ง ตัดสินใจจะรับเด็กผู้หญิงจากบ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยง แล้วก็พบว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีอะไรแปลกๆ ยิ่งดำเนินเรื่องไป ความรุนแรงก็ชักจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จะตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว



มันเป็นเรื่องที่หักมุมได้น่าสนใจมาก วิธีการเล่าเรื่องก็น่าติดตาม คืออยากรู้ว่าไอ้เด็กเปรตนี่มันยังไงกันแน่ หนังมันทำให้เราอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แม้เวลาดูจะรู้สึกหมั่นไส้ อยากลุกขึ้นไปตบเกรียน (ติ่ง?) ด้วยเหมือนกัน

แต่พอถึงตอนท้าย... อ้อ มันงี้นี่เอง เออ เข้าท่าว่ะ

ผมให้ Orphan...

7/10

การเล่าเรื่องน่าติดตาม เด็กผู้หญิงแสดงเก่งมาก!



4. You're Next (หนังปี 2011 แต่ฉายวงกว้างในปี 2013)



You're Next เป็นผลงานของหนึ่งในผู้กำกับเรื่องสั้นใน V/H/S ทั้งสองภาค เป็นเรื่องของครอบครัวๆหนึ่งมารวมตัวกันแล้วก็มีนักฆ่าสวมหน้ากากบุกมาไล่เชือด



พล็อตฟังดูน่าเบื่อใช่ไหม?

ผมก็ว่างั้น ถึงจะได้ยินคำชมของเรื่องนี้มาพอสมควร แต่ก็ปฏิเสธจะดูด้วยเหตุผลเดียวคือ อ่านพล็อตแล้วมันเหมือนหนังแนว slasher ทั่วๆไปที่มีคนประหลาดๆบุกมาเชือดคนในบ้านแบบโหดๆนี่แหละ

แต่ผิดคาด มันกลับสนุกเอาเรื่อง และความสนุกของเรื่องมันอยู่ที่... เหยื่อสู้กลับนี่แหละ!

ในขณะที่หนังแนวนี้ส่วนใหญ่ นางเอกจะเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ชอบวิ่งหนีกรี๊ดกราด แล้วอาจจะหันมาสู้กับฆาตกรโหดในตอนท้ายบ้าง แต่ขอโทษ นางเอกเรื่องนี้มันแซ่บตั้งแต่ตอนที่ครอบครัวนี้เริ่มถูกฆ่า แล้วชีก็พร้อมจะแว้งกัดฆาตกรสวมหน้ากากได้ตลอดเวลา!



ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้มีอารมณ์ของ "ดาร์คคอเมดี (ตลกร้าย)" อยู่ด้วย ก็พอจะเห็นอยู่หรอกนะ เพียงแต่ความบันเทิงของ You're Next ก็คือประเด็นที่ผมว่ามานี่แหละ

ผมจึงให้ You're Next

6/10

คือมันไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ มีบางช่วงที่ดูน่าเบื่อเล็กๆ แต่มันสนุก และสะใจที่ได้เห็นนางเอกสู้กลับตั้งแต่ต้น บางที... ผมอาจจะเอากลับมาดูอีกรอบในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าก็ได้นะ 




Create Date : 20 กรกฎาคม 2559
Last Update : 21 กรกฎาคม 2559 17:56:14 น.
Counter : 3007 Pageviews.

0 comment
Star Trek Beyond : มัน Fast! มัน Furious! (ไม่สปอยล์)




พวกเทรกกี้ (แฟน Star Trek) จะว่าไง ผมไม่สนละ 

"นี่มันไม่ใช่ Star Trek! Star Trek ไม่เคยแอ็กชั่นระเบิดตูมตามเสียงดังตลอดเรื่อง!" : ช่างแม่ง!

"นี่มัน Star Trek สำหรับคนไอคิวต่ำ" : ช่างแม่ง!

"อี๋ ซูลูเป็นเกย์" : ช่างแม่ง!

ผมว่า Star Trek Beyond เจ๋ง สนุก และมันได้ทำลาย "คำสาปหนังภาคสาม" (ถ้านับจากการรีบูท) ลงได้ด้วย!



เนื่องจากเนื้อเรื่องนั้น พวกท่านคงจะหาอ่านกันได้อยู่แล้วเพราะถือเป็นหนังโปรแกรมใหญ่ ผมจึงจะขอข้ามมันไป

3 สิ่งที่ผมชอบใน Star Trek Beyond ก็คือ...



1) บทบาทของเคิร์กและตัวละครคนอื่นๆ

แน่นอนว่ากัปตัน เจมส์ ที เคิร์กเวอร์ชั่นของคริส ไพน์ยังบู๊แหลกอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าภาคนี้... ถ้านับจากภาครีบูทปี 2009 กับ Into Darkness ผมคิดว่าเคิร์กในภาค Beyond โตขึ้นมาก เคิร์กดูนิ่งขึ้น ดูสมกับเป็นกัปตันมากขึ้น 

ผมชอบซัพพล็อตของเคิร์ก ในภาคนี้เขารู้สึกว่าการเดินทางในอวกาศเป็นปีๆ ชักจะเริ่มเป็นงานรูทีนที่วันแต่ละวันแทบไม่ต่างกัน แล้วก็อยากจะสละเก้าอี้กัปตันแล้วหันไปทำอย่างอื่นบ้าง แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ Beyond ย่อมจะต้องช่วยขุด "ความเป็นกัปตัน" ของเคิร์กให้แรงกล้าขึ้น



ในขณะเดียวกัน ตัวละครตัวอื่นๆก็มีโมเมนต์เป็นของตัวเอง สป็อค, เชคอฟ, ซูลู, แม็คคอย, อูฮาร่า ถึงเวลาจะจำกัดจนตัวละครที่เคยเด่นมากๆ อย่างอูฮาร่าต้องลดบทบาทลงไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าเกลี่ยกันได้ค่อนข้างจะโอเค 

เป็นการเน้นจุดเด่นว่า Star Trek คือเรื่องของทีมเวิร์ค ทุกคนล้วนมีบทบาทของตัวเอง






2) ฉากแอ็กชั่นและโทนของหนัง

ผู้กำกับในภาคนี้เปลี่ยนมาเป็นจัสติน ลิน ผลงานก่อนหน้านี้คนไทยต้องรู้จักแน่นอน นั่นก็คือ Fast & Furious, Fast 5, Furious 6

ส่วนตัวผมค่อนข้างจะเป็นกังวลเมื่อได้ยินข่าวการเปลี่ยนผู้กำกับนี้ และพอได้ดูตัวอย่างแรกของหนังก็ยิ่งเป็นกังวล มีคนแซวกันว่า "นี่มัน Fast & Furious แล้ว!" เพราะโทนของตัวอย่างค่อนข้างจะออกตลกๆ และมีฉากเคิร์กขี่มอเตอร์ไซค์... 

ผมคาดหวังว่า Beyond จะห่วย

แต่พอได้ดูจริงๆ มันสนุกใช้ได้เลย ฉากแอ็กชั่นทำได้ดี ผมว่าจัสติน ลินกำกับได้ดีกว่า Furious 6 ด้วยซ้ำ มันมีฉากที่ผมต้องอ้าปากค้าง อย่างตอนที่ยานเอนเตอร์ไพรส์โดนพวกโดรนของฝ่ายครัลถลุงซะเละเทะ อันนั้นนับว่าสุดยอดมาก (ไม่ได้สปอยล์หรอก เห็นๆกันอยู่ว่าเอนเตอร์ไพรส์ต้อง... พังอีกแล้ว)

มันมีฉากตลกๆอยู่หลายฉาก แต่มันก็มีโทนที่จริงจังอยู่ และก็ทำได้ดีด้วย โดยเฉพาะโทนของซัพพล็อตที่เกี่ยวกับตัวเคิร์กและสถานะความเป็นกัปตันของเขา

พวกเทรกกี้มักจะบ่นเรื่องที่ Star Trek เวอร์ชั่นรีบูทกลายเป็นหนังแอ็กชั่นเต็มสตรีม มีฉากระเบิดตูมตามเสียงดังตั้งแต่ต้นยันจบ ไม่คลาสสิคเหมือนของเก่า... แต่นั่นมันเรื่องของเทรกกี้ 

สารภาพว่าไม่เคยดูเวอร์ชั่นซีรีส์... แต่ผมได้ดู Star Trek ภาคมูวีตั้งแต่ภาคแรกที่ออกฉายในปี 1979 

และผมโอเคถ้า Star Trek จะเปลี่ยนทิศทางให้เป็นหนังแอ็กชั่น-ไซไฟตามสไตล์หนังยุคใหม่บ้าง  




3) CG

CG ของ Beyond... ไม่ได้สมบูรณ์แบบ มันมีบางฉากที่รู้สึกว่าหลอกๆตาอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น CG เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว

แต่ CG ที่เกี่ยวอวกาศ ยานเอนเตอร์ไพรส์ ฝูงยานโดรน หรือสถานีอวกาศที่เป็นรูปวงกลมแล้วตัวเมืองก็อยู่ทั้งส่วนหงายและส่วนคว่ำของเส้นโค้งพวกนั้น... ว้าว เจ๋งมาก

ที่ชอบที่สุดก็คือซีนที่เอนเตอร์ไพรส์กำลังวาร์ปอยู่ ซีนนั้นจะเห็นส่วนด้านข้างของเอนเตอร์ไพรส์ และรอบๆยานจะเป็น space-time ที่ถูกบิดเบี้ยว... แม่เจ้า! ผมโคตรรักซีนนั้นเลย!





แน่นอนว่า เมื่อมีสิ่งที่ชอบ ก็ย่อมมีสิ่งที่ไม่ชอบ หรือในกรณีนี้ควรจะเรียกว่า "ชอบน้อยสุด"

และนี่คือ 3 สิ่งที่ผมชอบน้อยสุดใน Star Trek Beyond


1) พล็อตบางจุดค่อนข้างจะ... ขาดความน่าสนใจ

มันไม่ได้ทำให้ความสนุกของ Beyond ลดลงหรอก แต่รู้สึกว่าพล็อตของ Beyond ค่อนข้างจะเป็นส่วนด้อยอย่างบอกไม่ถูก ตอนกลางๆเรื่องผมเริ่มชักจะไม่สนว่าตัวร้ายมันจะทำอะไรยังไง ไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากแผนการร้าย ยิ่งถ้าเทียบกับของ Star Trek 2009 ที่นีโรตั้งใจจะทำลายสหพันธ์ด้วยยานขุดเจาะแร่ แผนการใน Beyond ก็ยิ่งดูด้อยเข้าไปใหญ่

ส่วนตัวผมว่าไม่ได้แย่ แค่มัน... ไม่น่าสนใจ




2) ผู้ร้ายไม่น่าสนใจ และตัวละครใหม่ไม่เด่นอย่างที่คิด

ตัวร้ายภาคนี้ชื่อครัล และถ้าดูตามฟอร์มของนักแสดงอย่างอิดริส เอลบาแล้ว ถือว่าผิดหวัง อิดริส เอลบาเป็นนักแสดงที่แสดงได้ดี หลายคนจะคุ้นเคยเขาจากบทของหัวหน้าพระเอกใน Pacific Rim กับไฮมดัลล์ใน Thor ถ้าใครเคยดูซีรีส์สืบสวนเรื่อง Luther จะรู้ว่าอิดริส เอลบานั้นเจ๋งมาก




แต่ครัลใน Beyond ค่อนข้างจะอ่อน ไม่น่าสนใจเท่ากับ "ข่าน" ใน Into Darkness ผมเลยรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เห็นว่ามันร้ายกาจหรือชวนให้กดดันอะไร

เช่นเดียวกับเจย์ลาห์ ตัวละครตัวใหม่ที่เพิ่มมาในภาค Beyond ในโปสเตอร์เธอเด่นมาก ในตัวอย่างก็เหมือนจะถูกขับให้เด่นสุดๆ ราวกับว่าเธอจะมีส่วนสำคัญมากๆ อารมณ์เหมือนเป็นแกนกลางของพล็อตใน Beyond เหมือนเรย์ใน Star Wars : The Force Awakens



เธอมีส่วนสำคัญต่อลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์ เธอมีแบ็กกราวน์ที่เกี่ยวข้องกับครัล แต่เนื่องจากบทบาทส่วนใหญ่จะถูกแบ่งให้กับลูกเรือคนอื่นๆ แถมยังไม่ได้มีผลอะไรต่อเส้นเรื่องของ Beyond มากนัก จึงรู้สึกค่อนข้างน่าผิดหวังไปนิดหน่อย

หวังว่าภาค 4 ของเวอร์ชั่นรีบูท เจย์ลาห์จะเด่นขึ้นกว่านี้ ผมค่อนข้างชอบนะ




3) จังหวะการเล่าเรื่องไม่ลงตัวในบางช่วง

ผมรู้สึกว่าช่วงแรกสตาร์ทช้า แต่ดี คือมันค่อยๆเล่าเรื่องของเคิร์ก ค่อยๆเล่าความรู้สึกหรืออะไรต่อมิอะไร มันแอ็กชั่นช้ากว่าของภาค 2009 กับ Into Darkness แต่มันค่อนข้างโอเค โดยเฉพาะช่วงท้ายขององก์แรกที่ยานเอนเตอร์ไพรส์ต้องโดนถลุง

แต่พอหลังจากเริ่มองก์สอง ตอนที่ลูกเรือกระจัดกระจายกันไป ผมรู้สึกว่าจังหวะการเดินเรื่องถูกดึงมากกว่าเดิม เพื่อจะใส่ซัพพล็อตหรือบทบาทของตัวละครทั้งหลาย อย่างเช่น แนะนำตัวละครใหม่อย่างเจย์ลาห์, สก็อตตี้กับแม็คคอยเล่นฮา, สป็อคกับการตัดสินใจแบบลับๆ, แล้วก็เพิ่มบทบาทให้อูฮาร่าที่ค่อนข้างจะจืดจางใน Beyond ช่วงนี้รู้สึกว่าความสนุกโดยรวมจะลดลงมานิดหน่อย





โดยรวมแล้ว ผมให้ Star Trek Beyond...

8/10

ถ้าให้เรียกลำดับหนังเวอร์ชั่นรีบูท 3 ภาค ผมขอเรียงตามนี้

อันดับ 3 Star Trek Into Darkness

อันดับ 2 Star Trek Beyond (ภาคใหม่)

อันดับ 1 Star Trek 2009

คือ Into Darkness ผมรู้สึก "เสียของ" ไม่ค่อยชอบช่วงครึ่งท้ายของหนัง ตัวร้ายไม่น่าจะเป็น "ข่าน", ฉากไคลแม็กซ์ไม่น่าจะเป็นการเอาฉากใน Wrath of Khan (หนัง Star Trek ภาค 2 ของปี 1982) มาเล่นใหม่อีกรอบ, แถมยังมีตัวร้ายแทรกเข้ามาอีกตัวอีก 

ส่วน Beyond อาจจะมีผู้ร้ายที่ด้อยกว่า, แผนการของผู้ร้ายไม่น่าสนใจ, พล็อตไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ภาพโดยรวมแล้วกลับลงตัวกว่า และตัวละครเคิร์กค่อนข้างจะมีพัฒนาการที่น่าสนใจกว่าด้วย

แต่ถ้าเป็นความสนุก ผมให้เท่าๆกันทั้ง 3 ภาค!

...นี่เท่ากับว่า Star Trek เวอร์ชั่นรีบูทของเจ เจ อบลัมส์ ยังไม่มีภาคไหนที่เรียกว่า "ห่วย" ได้เต็มปากเต็มคำเลยสินะ

น่าประทับใจมาก 



Create Date : 20 กรกฎาคม 2559
Last Update : 20 กรกฎาคม 2559 18:31:57 น.
Counter : 2594 Pageviews.

1 comment
Martyrs (2008) : จงสงสัยต่อไปเถอะ... ปัง!


ผมไม่ค่อยชอบหนังสยองขวัญแนวแหวะๆ ทรมานวิปริตสยดสยองเลือดสาดมากนัก 

แต่แล้วผมก็ได้ดู Martyrs หนังฝรั่งเศสของปี 2008 จนได้ (ไม่ใช่เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดของปี 2016 นะ รู้สึกเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดจะไม่แรงและไม่ดีเท่า)



ผมอึ้ง

ผมอ้าปากค้าง

มันเป็นประสบการณ์ที่อึดอัดและทรมาน

แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมได้ง่ายๆ

หนังเต็มไปด้วยความรุนแรงระดับแม็กซิมั่ม

แต่ในขณะเดียวกัน มันพยายามจะเป็นอะไรที่มากไปกว่าแค่หนังสำหรับคอซาดิสม์เช่นกัน

คีย์เวิร์ดที่ทำให้มันแตกต่างจากหนังแหวะเรื่องอื่นๆก็คือคำว่า "Martyrs" หรือ "มรณสักขี" นั่นเอง





Martyrs (2008) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวสองคน คนหนึ่งคือลูซี่ เด็กสาวที่หนีรอดออกจากการถูกคุมขังทรมานได้ อีกคนคือแอนนา เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของลูซี่ที่บ้านเด็กกำพร้า



ผลจากความเลวร้ายที่ลูซี่เคยเจอ ทำให้เธอใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ และมักจะมี "อะไรบางอย่าง" ตามหลอกหลอนเธอ

15 ปีต่อมา ลูซี่ออกตามล้างแค้นคนที่เคยทรมานเธอพร้อมกันกับแอนนา ทว่าการเดินทางล้างแค้นของทั้งสองคน กำลังจะพาคนดูไปสู่การเป็นประจักษ์พยานในแบบที่ยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้




สำหรับคนดูชอบดูหนังแนวเลือดสาด เห็นอวัยวะมนุษย์เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่าง Saw หรือ Hostel อาจจะชาชินกับหนังเรื่อง Martyrs 

ส่วนตัวผม...

หนังมันวิปลาสสุดขั้วก็จริง แต่มันทำได้ดีมากๆในแง่ของการเล่าเรื่อง 

ผมอยากจะดูต่อไปไม่ใช่เพราะถูกใจในความรุนแรงเกิดพิกัดของมัน แต่เป็นเพราะอยากรู้ว่าเรื่องมันจะเกิดอะไรขึ้น หนังมันจะพาเราไปเจออะไรกันแน่ หัวใจของผมเต้นรัวแม้กระทั่งดูหนังจบ เพราะแก่นแท้ของความบ้าคลั่ง กลับกลายเป็นอะไรที่มีความหมายจนยากจะพูดโดยไม่สปอยล์ได้

ความรุนแรงของ Martyrs กลับไม่ใช่แค่สักจะรุนแรง หรือกระตุ้นความสะใจแก่คนดู แต่มันต้องการพาคนดูไปสู่การทรมาทรกรรม การเดินทางของมนุษย์จนไปสู่สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แล้วจบลงด้วยการปล่อยให้คนดูต้องสงสัยต่อไป

ใช่ จงสงสัยต่อไป... 

ปัง!



โดยสรุปแล้ว ผมให้ Martyrs...

ไม่รู้ว่ะ ผมไม่รู้ว่าเต็ม 10 จะให้มันกี่คะแนน

เอาเป็นว่า ถ้าผ่านความทรมานที่ชวนอึดอัดไปได้ มันจะกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมากทีเดียว... ถ้าผ่านความทรมานที่ชวนอึดอัดไปได้นะ


ส่วนสปอยล์ (ระวัง ต่อไปนี้เป็นการเปิดเผยเนื้อเรื่อง!)






หลังจากที่แอนนาลงไปเจอห้องลับใต้ดิน แล้วยังมีพวกลัทธิบุกเข้ามาจับตัวแอนนาไว้ เสร็จแล้วก็มีหญิงชราออกมาอธิบายให้แอนนาฟังเกี่ยวกับ Martyrs (มรณสักขีหรือผู้พลีชีพทางศาสนา) ตามด้วยการที่แอนนาถูกทรมาน...

มาถึงตรงนี้ผมชักเริ่มเห็นอะไรบางอย่างแล้ว

ผมไม่ใช่ชาวคริสต์ แต่ผมพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว 

ในช่วงครึ่งแรก คนดูกลายเป็นประจักษ์พยานถึง "ผลลัพธ์" จากการถูกทรมานของลูซี่ เราได้เห็นว่าสภาพจิตของลูซี่ได้แตกสลายเป็นผุยผง และมองเห็นวิญญาณตามหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งวิญญาณตัวนี้เกี่ยวข้องกับจิตใจของตัวลูซี่เอง 

ส่วนในช่วงครึ่งหลัง เราเป็นประจักษ์พยานถึง "ต้นเหตุ" ที่ลูซี่กับหญิงอีกคนต้องกลายสภาพจากมนุษย์เป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบโจทย์ของลัทธิ นั่นคือการหาผู้ซึ่งพลีกายผ่านการทรมาน เพื่อจะได้มองเห็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกหลังความตายอันสวยงาม

และแอนนาก็เป็นคนได้เห็นมัน เธอได้เห็นโลกที่พวกลัทธิอยากเห็น

แน่นอนว่าการเห็นโลกหลังความตายนี่ อาจจะเป็นแค่กลเม็ดทางจิตของผู้ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสก็เป็นได้ แต่อะไรที่ทำให้แอนนาแตกต่างจากลูซี่ล่ะ?

เมื่อมาถึงช่วงท้ายๆ หลังจากแอนนาผ่านการถูกทรทมานมามากมาย หนังแสดงให้เห็นว่าแอนนามีจิตใจที่แข็งแกร่งมาก เธอเหมือนจะเลิกขัดขืน เลิกต่อสู้ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทรมานตามใจชอบ ตอนที่ผู้ทรมานคนหนึ่งจับใบหน้าเธอ และเธอก็จับมือของคนๆนั้นตอบอย่างอ่อนโยน

แล้วผมก็ย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวตั้งแต่ต้นในทันที

ผมมองว่าแอนนาเป็นเด็กผู้หญิงที่ "ไร้ความเห็นแก่ตัว" อยู่ไม่น้อย 

ตอนต้นเรื่อง เราเห็นลูซี่วัยเด็กหวาดกลัวเพราะผลกระทบจากการถูกทรมาน และคนที่ยื่นมือเข้าไปหาอย่างไร้เงื่อนไขคือแอนนา

ตอนลูซี่ออกตามล้างแค้น คนที่ช่วยลูซี่อย่างไร้เงื่อนไขคือแอนนา

ตอนที่เหยื่อคนนึงรอดชีวิตจากการบุกฆ่าของลูซี่ คนที่ช่วยชีวิตเหยื่อคนนั้นอย่างไร้เงื่อนไขคือแอนนา

ตอนที่แอนนาพบหญิงอีกคนถูกทรมานอยู่ใต้ดิน คนที่ช่วยชีวิตหญิงคนนั้นและพยายามจะรักษาบาดแผลให้อย่างไร้เงื่อนไขคือแอนนา

โดยพื้นฐานของแอนนาแล้ว เธอเป็นคนที่แทบจะไม่เห็นแก่ตัวเลย เธอช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร้เงื่อนไขมาตลอดเรื่อง แม้ว่าการที่เธอช่วยลูซี่ในการล้างแค้น มันจะเป็นเรื่องผิดก็ตาม แต่แอนนาก็ช่วยลูซี่ด้วยความที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนคนหนึ่งซึ่งทุกข์ทรมานมาตั้งแต่เด็ก

เอาจริงๆแล้ว แอนนารักลูซี่ มีฉากหนึ่งที่เราเห็นว่าแอนนาจูบลูซี่ หัวใจของแอนนาคือความรัก ถ้าคำว่า Martyrs หรือมรณสักขีจะตรงอะไรกับสิ่งที่แอนนาเป็นบ้าง ก็คงจะเป็นเรื่องนี้นี่เอง 

ตอนช่วงทรมาน หนังไม่ได้พูดอะไรออกมาตรงๆ แต่สื่อให้เห็นจากท่าทีของแอนนา และจากเสียงวอยซ์โอเวอร์ของลูซี่ที่ช่วยปลอบประโลมตัวแอนนา ทำให้รู้สึกได้ว่าแอนนา "ศรัทธาในรัก" และสิ่งนี้เองที่ช่วยให้แอนนาได้เห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ตอนที่แอนนาถูกถลกหนังทั้งเป็น ภาพที่เธอเห็นจึงไม่ใช่นรก ไม่ใช่ภูตผีปีศาจแบบลูซี่ แต่เป็นภาพจากอีกโลกหนึ่งซึ่งเจิดจรัสกว่า

บางทีตรงนี้แอนนาจะขี้โกงกว่าลูซี่ ลูซี่ถูกจับมาทรมานโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่แอนนารู้ว่าลัทธิต้องการอะไร และได้ฟังคอนเซปท์เรื่อง martyrs มาตั้งแต่ก่อนเริ่มการทรมาน แต่เรื่องที่แอนนาคงสภาพจิตใจไว้จนถึงที่สุดด้วย "ศรัทธาในรัก" ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ดี

ในตอนท้ายเรื่อง แอนนากระซิบบอกบางสิ่งกับหญิงชราที่กำลังตื่นเต้นเพราะเข้าใจว่าแอนนาได้ไปถึงจุดที่ลัทธิต้องการแล้ว แต่หลังจากนั้นหญิงชรากลับบอกผู้ร่วมลัทธิอีกคนว่า "จงสงสัยต่อไปเถอะ" แล้วก็ฆ่าตัวตาย

บางคนตีความตรงนี้ว่า 

1. มันคือการล้างแค้นของแอนนา แอนนาอาจจะบอกว่า เธอไม่เห็นอะไรเลย และมันทำให้หญิงชรารู้สึกสิ้นหวัง อาจจะมีความรู้สึกผิดพ่วงมาด้วย เพราะอย่างนั้นหญิงชราถึงได้บอกกับเพื่อนร่วมลัทธิอีกคนว่า "จงสงสัยต่อไปเถอะ (เพราะไม่อย่างนั้นอาจเจอความผิดหวังแบบฉันได้)"

2. แอนนาอาจจะบอกไปตามตรงทั้งหมด หรือไม่ก็อาจจะบอกกับหญิงชราว่า "ฉันไปถึงตรงนั้นได้เพราะฉันช่วยเหลือคน ฉันเมตตาแก่ผู้คน แต่แกมันอีนัง psychopath เป็นพวกทำร้ายคนอื่น ทรมานคนอื่น อย่างแกมีแต่จะเห็นนรกเท่านั้นแหละ" เพราะอย่างนั้น หญิงชราจึงบอกว่า "จงสงสัยต่อไปเถอะ (เพราะถ้าตระหนักถึงความจริงขึ้นมาได้ จะต้องทุกข์ทรมานกับการกระทำของตัวเองแบบฉัน)"

ในความเห็นของผม

มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกทั้งสองข้อ

แต่ว่า ผมไม่คิดว่ามันเป็นการล้างแค้นของแอนนา เพราะมันจะขัดกับสิ่งที่แอนนาเป็นมาตั้งแต่ต้น คนอย่างแอนนาไม่น่าจะลงเอยด้วยการแก้แค้น

ผมค่อนข้างเอนเอียงไปทางข้อที่สอง เชื่อว่าแอนนาคงบอกผลลัพธ์อะไรสักอย่างที่ทำให้หญิงชราเกิดสะท้อนใจถึงการกระทำอันวิปริตของตัวเอง

เอาเป็นว่า...

นี่คือสิ่งพิเศษสำหรับ Martrys (เวอร์ชั่นฝรั่งเศส)

บางคนอาจจะเห็นว่ามันเป็นแค่หนังแหวะ รุนแรงสุดขั้ว---ซึ่งก็ไม่ใช่มุมมองที่ผิด

แต่สำหรับผม ผมมองว่ามันแตกต่างจากหนังแหวะทั่วไป นี่พูดกันแบบคนที่ไม่ค่อยชอบหนังแหวะๆนะ

ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ผมอาจเข้าใจอะไรผิดไป หรือพลาดมุมบางมุมของหนังไป ถ้ามีอะไรขัดแย้งกับความเห็นของผมก็คอมเมนต์กันได้เลย! 



Create Date : 19 กรกฎาคม 2559
Last Update : 19 กรกฎาคม 2559 18:57:36 น.
Counter : 14515 Pageviews.

3 comment
Stranger Things (ซีรีส์) : ยำใหญ่ยุค 80!


Stranger Things เป็นซีรีส์ความยาว 8 ตอนของ Netflix ซึ่งซีซั่นแรกปล่อยให้ดูกันเมื่อ 15 กค. ที่ผ่านมานี่เอง



ความพิเศษของ Stranger Things คือ มันเป็นซีรีส์แนวไซไฟ-สยองขวัญที่ได้แรงบันดาลใจากหนังยุค 80 หลายๆเรื่อง แต่หลักๆคือหนังของสปีลเบิร์ก, จอห์น คาเพนเตอร์ และนิยายของสตีเฟ่น คิง 

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมืองๆหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ โดยเริ่มตั้งแต่การหายตัวไปของเด็กชายชื่อวิล บายเยอร์ ทำให้แม่ของเธอ จอยซ์ บายเยอร์ (วิโนน่า ไรเดอร์!) มีอาการเหมือนสติแตกเพราะมั่นใจว่าตัวเองติดต่อกับลูกชายผ่านหลอดไฟได้! 



หนำซ้ำกลุ่มเพื่อนของวิล ยังไปเจอเด็กผู้หญิงประหลาดที่มีชื่อว่า "Eleven (เบอร์ 11)" ด้วย!



ต่อไปนี้คือ 3 สิ่งที่ผมชอบใน Stranger Things



1. เหมือนสตีเวน สปีลเบิร์ก/จอห์น คาเพนเตอร์/สตีเฟน คิง/ดีน คูนซ์มาเอง!

มันไม่ใช่ซีรีส์ที่สตีเวน สปีลเบิร์กสร้าง ไม่ใช่หนังของจอห์น คาเพนเตอร์ ไม่ได้ดัดแปลงมาจากนิยายของสตีเฟน คิงหรือดีน คูนซ์ แต่มันมีองค์ประกอบที่เหมือนกับผลงานของคนเหล่านั้นมาก

- กลุ่มเด็กในยุค 80 เผชิญหน้ากับเรื่องลึกลับอะไรสักอย่าง เหมือน E.T. หรือไม่ก็ Stand By Me



- กลุ่มตัวละครกลุ่มหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องลึกลับภายในเมืองเล็กๆ แบบหนังสยองขวัญของจอห์น คาเพนเตอร์หรือนิยายสตีเฟ่น คิงหรือดีน คูนซ์



- มีคนใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ หรือเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่างได้ คล้ายกับนิยายของสตีเฟ่น คิง

ฯลฯ

พูดง่ายๆคือทางผู้สร้าง "จงใจ" เอาวัตถุดิบเหล่านั้นมาผสมกันแบบโจ่งแจ้ง ใครที่เคยดูหนังสปีลเบิร์กหรืออ่านนิยายสตีเฟน คิง (หรือหนังที่ดัดแปลงจากสตีเฟน คิง) น่าจะสนุกกับการดู Stranger Things เป็นพิเศษ



2. ไอเดียสนุก, เล่าเรื่องได้สนุก

สารภาพเลยว่า 2 ตอนแรกรู้สึกเฉยๆ สาเหตุที่เฉยๆก็เพราะหลายๆอย่างมันอดไปนึกถึง Super 8 ของเจ เจ อบลัมส์ ซึ่งได้แรงบรรดาลใจจากหนังของสปีลเบิร์กเหมือนกันไม่ได้ เลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรแปลกใหม่

แต่ว่าพอเริ่มตอนที่ 3 มันมีอะไรน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นนิยายของสตีเฟน คิง หรือดีน คูนซ์ หรือหนังของจอห์น คาเพนเตอร์เริ่มเปล่งปลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมสนุกกับไอเดียที่เอาวัตถุดิบจากหลายๆแหล่งมายำรวมกัน

มันมีทั้งอารมณ์ดราม่า อารมณ์เขย่าขวัญ อารมณ์ไซไฟ อารมณ์สยองขวัญ 

ที่สำคัญคือมันทำได้เข้าท่าซะด้วย!



และที่ชอบสุดๆ ชอบมาตั้งแต่ตอนแรกเลยก็คือ ไตเติ้ลกับเพลงประกอบ! มันเป็นเพลงซินธิไซเซอร์ที่มีโน้ตเพียงไม่กี่ตัวในแบบที่จอห์น คาเพนเตอร์ชอบใช้เลย!



เอาเป็นว่าตั้งแต่ตอน 3 เป็นต้นไป ผมนั่งดูรวดเดียวจนจบซีซั่นเลยทีเดียว



3. วิโนน่า ไรเดอร์

เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว ผลงานก็คือผลงาน ผมมักจะคิดแบบนี้อยู่เสมอ อย่างทอม ครูซ ไม่ว่าชีวิตส่วนตัวของเขาจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ยังชอบความทุ่มเทของทอม ครูซอยู่ดี

วิโนน่า ไรเดอร์เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ต้องตกอับเพราะเรื่องชีวิตส่วนตัว เธอเคยถูกจับในข้อหาขโมยของจากห้างสรรพสินค้า หลังจากนั้นนักแสดงมากความสามารถในยุค 80-90 ก็ค่อยๆถูกกาลเวลากลืนกินไปเรื่อยๆ

ผมคิดว่า Stranger Things น่าจะเป็นจุดที่ทำให้วิโนน่า ไรเดอร์ได้กลับมาลืมตาอ้าปากบ้าง

ผมคิดว่าวิโนน่า ไรเดอร์ทำหน้าที่ได้ดีในบทของคุณแม่คนหนึ่งที่ลูกชายหายไป แต่เธอเชื่อว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่เพราะเธอติดต่อกับลูกชายได้ แม้ใครต่อใครจะมองว่าบ้าก็ตาม



วิธีการแสดงของวิโนน่า ไรเดอร์ชวนให้รู้สึกอึดอัด ทำให้จอยซ์เป็นคุณแม่ที่กำลังสติแตก ซึ่งความรู้สึกอึดอัดที่ว่า ผมถือว่าเป็นสิ่งดี เพราะแสดงว่าวิโนน่า ไรเดอร์ทำให้คนเชื่อได้ว่า "เธอคือคุณแม่ที่กำลังสติแตกจริงๆ ไม่ใช่ดาราชื่อดัง (ในอดีต)" ถ้าแสดงแล้วคนดูไม่รู้สึกอะไรเลยนี่สิ ถึงจะเรียกว่าห่วยแตก



โอเค มันยังมีบางจุดที่ผมเห็นว่าการแสดงของวิโนน่า ไรเดอร์มันออกจะโอเวอร์แอ็กติ้งแบบแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะเป็นข้อเสียอะไรมากมาย


โดยรวมแล้วผมให้ Stranger Things...

7/10

ผมชอบไอเดีย "ยำใหญ่หนังยุค 80" ของมัน ผมว่ามันเป็นซีรีส์ที่สนุก ผมชอบบรรยากาศและวิธีการเล่าเรื่อง

แต่ผมรำคาญกับตัวละครแบบสุดโต่งหลายๆตัว หรือพฤติกรรมแปลกๆ ซึ่งอาจจะผลพวงจากความเป็นหนังยุค 80 ด้วยเหมือนกัน และด้วยความที่เป็น "ยำใหญ่" มันเลยไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก มีอะไรให้รู้สึก "คุ้นตา" ตั้งแต่ต้นยันจบ

โดยรวมแล้ว มันเป็นซีรีส์ที่แฟนหนังสปีลเบิร์ก, แฟนหนังจอห์น คาเพนเตอร์, แฟนนิยาย (หรือหนัง) ของสตีเฟน คิงและดีน คูนซ์ควรจะดูกันสักครั้ง น่าจะชอบกันไม่มากก็น้อย

ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับของคนที่ผมกล่าวอ้างถึง ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงมันก็เป็นซีรีส์ที่ดูสนุกอยู่ดี  







Create Date : 17 กรกฎาคม 2559
Last Update : 17 กรกฎาคม 2559 18:12:04 น.
Counter : 11265 Pageviews.

1 comment
Batman v Superman : Ultimate Edition... หนังดีขึ้น? ...อืม (สปอยล์)






Batman v Superman : Dawn of Justice เป็นความเจ็บปวดใจของผมในฐานะแฟนแบทแมน และอยากเอาใจช่วยฝ่าย DC Comics

มันมีอะไรเจ๋งๆอยู่เยอะ แต่โดยรวมแล้วไม่ไหวจะเคลียร์ ผมเลยให้ 4.8/10 ตามที่ผมพูดไปแล้วใน "บล็อกแบบไม่สปอยล์" และ "บล็อกแบบสปอยล์"

ปัญหาใหญ่ของหนังคือ การเล่าเรื่องที่เละเทะ การตัดต่อที่เดี๋ยวตัดไปซีนนู้นที ตัดไปซีนนี้ที การเล่าเรื่องดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย

แล้วตัว Ultimate ที่มีความยาว 3 ชั่วโมง จะช่วยพี่แบทกับพี่ซุปได้จริงๆน่ะหรือ?

นี่คือ 3 คำตอบสำหรับ "ใช่" และ 3 คำตอบสำหรับ "ไม่ใช่"



3 "ใช่" :

1) การเล่าเรื่องในช่วงครึ่งแรก ดีขึ้นเยอะมาก! ดูลื่นไหลกว่าเวอร์ชั่นหนังโรงแบบสามสี่เท่าตัว จังหวะจะโคนที่เคยกระโดดข้ามไปมา กลับมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวขึ้นกว่าเดิม!

2) แม่เจ้า! นี่แหละที่ผมต้องการเลย! ผมชอบซูเปอร์แมนในเวอร์ชั่น Ultimate เราได้เห็นแง่มุมของซูเปอร์แมนมากขึ้น ในขณะที่เวอร์ชั่นหนังโรงเน้นไปทางแบทแมนซะเยอะ ขนาดวันเดอร์วูแมนยังเด่นนำหน้าเลย!

ในเวอร์ชั่น Ultimate ผมได้เห็นในสิ่งที่ผมอยากเห็น ผมได้เห็นซูเปอร์แมนที่ทำหน้าสับสน ซูเปอร์แมนเชื่อว่าเขาทำหน้าที่ช่วยเหลือคน แต่มีคนจำนวนหนึ่งกลับต่อต้านหรือโจมตีในแง่ของพลังอำนาจและความรุนแรง พอได้เห็นข่าวบนทีวีที่วิพากษ์วิจารณ์ ซูเปอร์แมนก็ทำหน้าแบบ... "อะไรว้า ตกลงแล้วสิ่งที่ตูทำมันผิดหรือถูกกันแน่? ตกลงแล้วมันไม่ดีเหรอ?" อะไรแบบนี้ 

ผมชอบตรงนี้มาก!




แล้วเหตุผลที่ซูเปอร์แมนต้องตามล่าแบทแมนก็ชัดเจนขึ้น มันมีช่วงที่ซูเปอร์แมนต้องไปทำข่าวที่ก็อทแธม แล้วก็ได้เห็นได้ยินอะไรเกี่ยวกับแบทแมนเยอะ แบทแมนเวอร์ชั่นนี้กลายเป็น Punisher (ตัวละครมือสังหารของ Marvel) ไปแล้ว แบทแมนไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งความถูกต้องของชาวก็อทแธมอีกต่อไป ใช้ความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม และมีชาวบ้านไม่พอใจ 



ที่ผ่านมาซูเปอร์แมนได้เรียนรู้อะไรมาสมควร โดยเฉพาะตอนที่หักคอซอด (ใน Man of Steel) ดังนั้นซูเปอร์แมนจึงมาหยุดแบทแมนขณะกำลังไล่ล่า (ฆาตกรรม) ผู้ร้าย!

อ้อ เหตุผลที่ซูเปอร์แมนมาหยุดแบทแมน เพราะงี้นี่เอง เม้กเซนส์ขึ้นเยอะ!



แล้วยังมีฉากดีๆหลายฉากที่ถูกตัดออกจากเวอร์ชั่นหนังโรง เช่น เราได้เห็นฉากที่ซูเปอร์แมนช่วยเหลือคนหลังจากศาลถูกระเบิด แล้วมองไปรอบๆเห็นผู้คนบาดเจ็บ ซูเปอร์แมนรู้สึกผิดหวังในตัวเอง เลยบินจากไป

หรือเหตุผลที่ซูเปอร์แมนมองไม่เห็นระเบิดภายในศาล นั่นเป็นเพราะระเบิดถูกหุ้มด้วย "ตะกั่ว" ซึ่งตาเอ็กซ์เรย์ของซูเปอร์แมนมองทะลุไม่ได้ อ้อ... มีเหตุผลว่ะ เออ มีเหตุผลจริงๆ! จะตัดออกทำไม?



3) แผนการของเล็กซ์ ลูธอร์ชัดเจนขึ้น

ในเวอร์ชั่นหนังโรง แผนการทะเลทรายในตอนแรกที่ผู้ร้ายใช้ปืนยิงเพื่อใส่ความซูเปอร์แมนน่ะ ไม่ได้เรื่องเลย! ไม่สมเหตุผลสุดๆ!

แต่ใน Ultimate เราได้เห็นว่า อ้อ มันยิงแล้วเอาศพมาเผา ทำให้ดูเหมือนว่าซูเปอร์แมนใช้ตาเลเซอร์ทำลายผู้คนหรือชาวบ้าน ถึงจะสงสัยอยู่ดีว่า เอ่... แล้วกระสุนล่ะ? กระสุนในศพนี่ ตกลงแล้วถูกไฟทำลายไปด้วย? แล้วกระสุนที่ฝังในพื้นตอนยิงกราดล่ะ? อืม... เอาเถอะนะ ถึงจะไม่ได้สมเหตุผลร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าเดิมมาก เฮ้อ ตัดออกทำไมว้า?



แล้วใน Ultimate เราก็ได้เห็นว่าลูธอร์ชักนำให้ซูเปอร์แมนกับแบทมาสู้กันยังไง เราค่อยๆได้เห็นแผนการทีละนิดทีละหน่อย เป็นการตอบคำถามคาใจสำหรับผมว่า... เฮ้ย ตกลงแล้วลูธอร์มันมีส่วนในการทำให้ซูเปอร์แมนกับแบทแมนมาสู้กันได้ยังไง? ในที่สุดก็ได้เห็นคำตอบแล้ว เย้



3 "ไม่ใช่" :

1) หนัง Batman v Superman มีปัญหาโดยระดับพื้นฐานของมันอยู่แล้ว ตั้งแต่ไอเดียในขั้นตอนการสร้างและการเขียนบทเลยด้วย ฉะนั้นเวอร์ชั่น Ultimate 3 ชั่วโมง อาจช่วยทำให้ภาพโดยรวมดูเม้กเซนส์ขึ้น แต่ก็ยังไม่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญอยู่ดี ปัญหาสำคัญของ Batman v Superman คือ... การเป็นหนังเซ็ทอัพ (ปูพื้น) ที่จะโยงไปสู่ Justice League และหนังของ DC เรื่องต่อๆไป! 

มันมีแต่การเซ็ทอัพ เซ็ทอัพ แล้วเซ็ทอัพ ดังนั้นฉาก Injustice (ผมเรียกแบบนี้ ฉากความฝันหรืออะไรสักอย่างที่แบทแมนสวมชุดเวอร์ชั่นทะเลทรายและซูเปอร์แมนเข้าสู่ด้านมืด) ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นหนังก็ยัง... ไม่จำเป็นสำหรับการเล่าเรื่องใน Batman v Superman อยู่ดี ดูแปลกแยกและโดดออกไปชัดเจน และทำให้หนังยาวขึ้นกว่าเดิมโดยใช่เหตุ



เหตุผลในการสู้กันของซูเปอร์แมนกับแบทแมนดูดีขึ้น แต่วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยคำว่า "มาร์ธา" คำเดียวก็ยัง... ชวนให้กุมขมับอยู่ดี

โลอิส เลนมีบทบาทมากขึ้น แต่พอมาถึงฉากไคลแม็กซ์ที่สู้กับดูมเดย์ เธอยังทำตัวไร้ประโยชน์ เป็นส่วนเกินของช่วงนั้นอยู่ดี...

ฉากไคลแม็กซ์ในองก์ที่ 3 ทำให้ซัพพล็อตเรื่องการปรักปรำซูเปอร์แมนกับกระสุนปริศนา กลายเป็นประเด็นไร้ค่าไปเลย แล้วพลอยทำให้โลอิส เลนจืดจางไปด้วย 

และการเอา Death of Superman มาใช้เป็นไคลแม็กซ์ รวมถึงตัวดูมเดย์ ก็ยังรู้สึกว่า "มาเร็วเกินไป" อยู่ดี อีเวนท์ที่สำคัญแบบนี้ ควรจะเล่นในหนัง Man of Steel 2 หรืออะไรแบบนี้มากกว่านะ คือเอามาใช้เป็นแกนสำคัญของหนังซูเปอร์แมนเดี่ยวๆไปเลย ไม่ใช่ต้องแชร์กับแบทแมนหรือวันเดอร์วูแมนแบบนี้



2) เวอร์ชั่น Ultimate เล่าเรื่องสมบูรณ์ขึ้น แต่มันมาพร้อมกับความยาวร่วมครึ่งชั่วโมง ทำให้กว่าจะเข้าฉากแอ็กชั่นต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิม!

คือเข้าใจเจตนาผู้สร้างนะ ก็เห็นความพยายามที่น่าชื่นชมอยู่

แต่คำถามสำหรับผมคือ...

ถ้าพล็อตมันเยอะเกินไปสำหรับหนัง 2 ชั่วโมงครึ่ง... หรือ 3 ชั่วโมง ก็แล้วทำไมไม่เขียนบทให้พล็อตมันกระชับตั้งแต่แรกล่ะ?

คือหนังสมัยนี้ โดยเฉพาะหนังจากหนังสือการ์ตูน ไม่รู้เป็นไร ทำไมต้องมีซัพพล็อต (พล็อตรอง) เกิดขึ้นมากมาย พยายามจะทำให้ซับซ้อนกันเสียเหลือเกิน ผมชอบ Captain America : Civil War แต่ก็รู้สึกแบบเดียวกันคือ ทำไมซัพพล็อตมันดูยุ่งเหยิงจัง

ในขณะที่ Captain America : Civil War อย่างน้อยก็ยังมีวิธีการเล่าเรื่องที่สนุก แต่ Batman v Superman นั้น ความสมบูรณ์ของพล็อตกลับต้องแลกมากับการใช้เวลาเล่าเรื่องที่ยาววววมาก ทำให้ครึ่งแรกดูไม่สนุกหนักกว่าเดิมอีก

3) ลูธอร์ของเจสซี ไอเซนเบิร์กยัง... ห่วยแตกเหมือนเดิม รู้สึกรำคาญกับการแสดงมาก ความน่าสนใจของคาแร็กเตอร์ก็เป็นศูนย์ ดูยังไงก็ยังกุมขมับ โดยเฉพาะไอ้ตรง "ดิ้งๆๆๆ" เนี่ย

เว้ย! ใครก็ได้ ไปเช็ดขี้มูกลูธอร์หน่อยเซะ!





สรุป

Batman v Superman : Dawn of Justice เวอร์ชั่น Ultimate ทำให้หนังสมบูรณ์ขึ้น แต่ก็ทำให้หนังยาวววมากและปัญหาหลักๆของเวอร์ชั่นหนังโรงก็ยังอยู่พร้อมหน้า 

ในขณะที่เวอร์ชั่นหนังโรง ผมให้ 4.8 เวอร์ชั่น Ultimate นี้ผมให้... 

6/10

ถ้าเวอร์ชั่น 3 ชั่วโมงนี้เอามาฉายในโรงตั้งแต่แรก เชื่อว่ายังไงหนังก็ไม่ทำเงินได้มากขึ้นกว่าเดิมหรอก เพราะถ้าเทียบกับ Civil War แล้วหนังยังขาด "ความบันเทิง" อยู่ค่อนข้างมาก และคำวิจารณ์ทั้งนักวิจารณ์กับคนดูก็ไม่น่าจะแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในวันนี้ด้วย 

แต่ก็ยังมองว่าเป็นหนังสำคัญที่แฟนซูเปอร์ฮีโร่ควรจะต้องดูอยู่ดี โดยเฉพาะกับเวอร์ชั่น Ultimate นี้!





Create Date : 09 กรกฎาคม 2559
Last Update : 9 กรกฎาคม 2559 18:30:48 น.
Counter : 2693 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog