ว่าด้วยหนังซูเปอร์ฮีโร่ เกมที่ DC/WB, Marvel, Fox ต้องระวัง
Fantastic Four ของปี 2015 มีปัญหามากมาย จริงอยู่ที่ผู้กำกับอย่างจอช แทรงค์คือผู้รับผิดชอบในฐานะผู้กำกับ



แต่!

สตูดิโอคือเจ้าของหนัง และดูเหมือนว่ามันจะดูแย่มาตั้งแต่ต้นแล้ว

จากข่าวที่ผมไปตามเก็บเกี่ยวมา ดูเหมือนว่า Fox จะร้อนรนเพราะเห็น Disney ซื้อ Marvel Studios เลยอยากจะเอาสินทรัพย์ของตัวเองอย่าง FF มาหากินบ้างทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีแผนการอะไรอยู่ในหัวเลย ส่วนจอช แทรงค์ถูกจ้างมากำกับเพราะเห็นว่าจอชสามารถทำให้ Chronicle หนังอินดี้ทุนต่ำกลายเป็นของฮิตขึ้นมาได้

ก็สมเหตุผลอยู่ เพราะ Chronicle เป็นเหมือนหนังซูเปอร์ฮีโร่เวอร์ชั่น Blair Witch Project หรือ Cloverfield ดูแล้วน่าจะเอาโทนแบบเดียวกันมาดัดแปลงใส่ FF ได้




แต่แล้วก็เกิดเรื่องคือจอช แทรงค์เริ่มพัฒนา FF ออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นตลอด บทถูกส่งไปถึงมือคนเขียนบทถึงสามคน เวอร์ชั่นแรกที่จอชตั้งใจจะทำ ออกมาดูจริงจังและติดดินมากกว่า แถมยังเปลี่ยนดร.ดูมให้เป็นเหมือนแฮกเกอร์หรือบล็อกเกอร์มากกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย แล้วยังมีเสียงวิจารณ์หนาหูตอนจอชเลือกให้จอห์นนี่ สตอร์มเป็นคนผิวดำ (ในคอมมิคเป็นผิวขาว) มากระหน่ำซ้ำอีก 

แล้วพอถ่ายทำไปถ่ายทำมา ท่าทีชักจะกลายเป็น Chronicle 2 ขึ้นมาแทนที่จะเป็น FF มีการรื้อถ่ายซ้อมใหม่ แล้วยังมีเรื่องที่ทางสตูดิโอเดินมาบอกให้เอาฉากแอ็กชั่นสามฉากใหญ่ออกไปจากหนังอีก!

ปัญหาอย่างละเอียดผมคงไม่พูดถึงทั้งหมด เพราะสักวันคงจะมี Filmmax หรือที่ไหนสักที่สรุปเรื่องอย่างละเอียด 

ประเด็นที่ผมอยากพูดคือ

สตูดิโอเข้ามายุ่มย่ามผู้กำกับนั้นเป็นสิทธิ์ที่ค่อนข้างจะถูกต้องพอสมควร ไม่ได้ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ถือว่าถูกต้อง อย่างที่ผมบอก สตูดิโอคือเจ้าของหนัง เขาก็ต้องมีส่วนเข้ามาดูแลโปรดักท์เป็นของธรรมดา
ไม่ใช่แค่กับ Fox แม้แต่ Warner, Sony, Marvel, Disney ก็เป็นเช่นเดียวกัน

แต่!

จำเรื่อง Spider-man 3 ของแซม ไรมี่ได้ไหมครับ? จำได้ไหมครับว่าพอสตูดิโอเข้ามายุ่มย่าม อยากได้ไอ้นู่นไอ้นี่ใส่เข้าไปเพราะเห็นว่าสไปเดอร์แมนภาคสุดท้ายที่แซม ไรมี่จะกำกับ ผลออกมาคือ “เละพอสมควร” ผลของการตั้งใจยัดเวน่อม วายร้ายชื่อดังของโลกคอมมิกเข้ามาแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน ทำให้สุดท้ายกลายเป็น “เสียของ” หนังอาจไม่ได้แย่ในความรู้สึกของใครหลายคน แต่มัน “เสียของ” ครับ



ผมได้ข่าวว่า Fox เองก็ยุ่มย่ามกับ Wolverine จนออกมาไม่ค่อยดีมากเหมือนกัน

มันก็เลยเกิดคำถามว่า

ถ้า Marvel เข้าไปยุ่มย่ามกับผู้กำกับทั้งหลายเหมือนกัน แล้วทำไมหนังของ Marvel ถึงออกมาเวิร์กเสียเป็นส่วนใหญ่ล่ะ?

คำตอบง่ายมากครับ

“แผนการหรือก็คือ Road map” นั่นเอง!

Marvel มีโร้ดแมปชัดเจนหลังจากชิมลางด้วย Iron Man ภาคแรกมาแล้ว มีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานคือ “จะทำ Avengers โดยสร้างหนังของฮีโร่แต่ละตัวขึ้นมาก่อน แล้วค่อยไปบรรจบกันอีกทีที่หนัง Avengers นั่น” จากนั้นก็มีการกำหนดผู้กำกับ กำหนดทิศทางที่จะไปให้ชัดเจน แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาเวิร์กอย่างที่เห็น



ย้อนกลับมาที่ FF กับ Fox

ใช่แล้ว จอช แทรงค์มีส่วนต้องรับผิดชอบที่ทำให้หนัง FF 2015 ออกมาแย่

แต่ Fox ก็ต้องรับไปเต็มๆ ในฐานะของคนที่ไม่คิดจะวางแผนการสร้างสินทรัพย์ของตัวเองอย่างชัดเจน ขาดผู้ที่จะมาดูสินทรัพย์โดยรวมให้ไปในทิศทางเดียวกัน พอขาดทิศทางที่ชัดเจน ปล่อยให้จอช แทรงค์พัฒนา FF ไปอย่างอิสระ เมื่อถึงจุดที่ Fox กลับมาดูแล้วพบว่า “เฮ้ย มันไม่ใช่ว่ะ” มันก็ช้าไปแล้ว ต้องมีการเกลาบทกันใหม่ ถ่ายซ้อมกันใหม่ งบบานปลาย ฉากแอ็กชั่นใหญ่ๆถูกดึงออก บลาๆๆ 

(แก้ไขเพิ่มเติม : ประเด็นนี้มีข่าวลือมากมาย ว่ากันว่าตลอดการถ่ายทำเหมือนจะมีปัญหาไม่หยุด บ้างว่า Fox ตัดสินใจเรื่องบทก่อนถ่ายทำช้า บ้างว่า Fox เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ตั้งแต่ต้น บ้างว่าตัวหนังส่วนใหญ่เหมือนจะยังเป็นไอเดียของจอชอยู่ บ้างว่าในการรื้อถ่ายใหม่อีกครั้งโดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ จอชไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถ่ายซ่อมด้วย แต่ทางด้านหนึ่ง จอชก็เคยปฏิเสธเรื่องนั้นและบอกว่าไม่เคยมีใครมากำกับแทนเขา... ดูเหมือนเรื่องจะวุ่นวายยุ่งเหยิงกว่าที่คิด)

ขณะที่ DC/WB ประกาศชัดเจนแล้วว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเองจะ “ดาร์ค... มืดหม่น จริงจัง”

ขณะที่ Marvel/Disney ประกาศชัดเจนแล้วว่า หนังซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเองจะ “เบา... เป็นการ์ตูน ขำๆ” (แต่ได้ยินว่า Dr. Strange จะดาร์คหน่อยน่ะนะ)

แล้ว Fox ล่ะ? จุดยืนของตัวเองคืออะไร? จะดาร์ค? จะเบาๆขำๆ? หรือจะเอามันทั้งสองอย่าง? 

FF 2015 คงจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า Fox ไม่รู้จะเอายังไงกับตัวเอง ถ้าผู้กำกับทำออกมาได้ดีอย่าง X-men : First Class หรือ Days of Future Past ก็แล้วไป แต่ถ้าออกมา “แนวเกิน” อย่าง FF ที่จอช แทรงค์พัฒนาในตอนแรกเริ่ม ก็ต้องปวดกบาล มานั่งเสียตังค์แก้ไขปัญหากัน

ดังนั้นผมจึงคิดว่า DC/WB มาถูกทางแล้ว ที่กำหนดไปเลยว่าหนังตูจะดาร์ค จะจริงจัง ถ้าไม่ชอบโทนนี้ก็แค่ไปดูหนังของ Marvel แทน จบ! โอเค๊? อะไรทำนองนั้น



พูดถึงหนังของ DC/WB 


Batman v Superman : The Court of Justice (20??)


ตอนช่วงที่คริสโตเฟอร์ โนแลนกับแซค สไนเดอร์ปรึกษาหารือในขั้นตอนการสร้าง สองฝ่ายมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกันอยู่อย่างคือ “มองโลกของซูเปอร์ฮีโร่เป็นเหมือนตำนานกรีก ซูเปอร์แมนเป็นเหมือนซูส แบทแมนเป็นเหมือนเฮอคิวลีส” 

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโลกในหนังสือการ์ตูนของ DC จะเกี่ยวพันกับตำนานกรีกอยู่หลายครั้ง เพราะวันเดอร์วูแมนเป็นนักรบเผ่าอเมซอนที่อยู่ในตำนานกรีก บางครั้งก็จะมีเฮร่า มีเฮอคิวลีส มีแอร์รีส (เทพสงคราม) โผล่มาในเนื้อเรื่องเป็นครั้งคราวบ้าง ใครได้ดูการ์ตูนทีวี Justice League ที่มีกรีนแลนเทิร์นเป็นคนผิวดำคงจะนึกภาพออก



The Dark Knight Triology ของโนแลนเป็นหนังคอมมิคที่จริงจัง แต่กลับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทาง WB ก็เลยตัดสินใจเดินเกมของตัวเองว่า ต่อไปหนังซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเองจะออกมาทางเดียวกันหมด เป็นการส่วนทางกับของ Marvel 

ผมสนับสนุนเรื่องนี้ เพราะมันคือ “การกำหนดอัตลักษณ์” ของแบรนด์ตัวเอง มันคือการสร้างความแตกต่าง ทำให้คนดูมี “อาหารหลากหลายรส” มากขึ้น หรือไม่ก็เป็นการแข่งกันระหว่างชัดเจนเลยระหว่าง “ด้านมืด (DC/WB) กับ “ด้านสว่าง (Marvel/Disney)”



ความจริงจังในโลกของ DC/WB มันสมเหตุสมผล 

เพราะเทพปกรณัมของกรีกก็ขึ้นชื่อของความโหดร้ายอยู่แล้ว เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมอยู่แล้ว พอคิดในแง่นี้รู้สึกว่า “WB มาถูกทางแล้ว”

ที่เห็นได้ชัดเลยคือ Suicide Squad 

เป็นทิศทางที่บ้าบิ่นแบบสุดๆ เพราะแทนที่จะเอากลุ่มฮีโร่มาเป็นหนังเรื่องถัดมาจาก Batman v Superman กลับเอาทีมวายร้ายมาทำก่อนใครเพื่อน!

Suicide Squad บ้านเราอาจจะไม่ค่อยรู้จักกันมาก แต่แฟนคอมมิคที่ต่างประเทศคุ้นเคยกันมานานแล้ว โดยเฉพาะตัว Harley Quinn 



ตอนที่ตัวอย่างของ Suicide Squad ปรากฏขึ้นทางอินเตอร์เนทอย่างเป็นทางการ แล้วผลปรากฏยอดว่ายอดวิวใน Youtube สูงกว่า BvS อีก มีคนในบอร์ด Jediyuth บอกว่า “เอาง่ายๆนะ เป็นเพราะโจ๊กเกอร์นั่นแหละ”

เขาถูกแค่ครึ่งเดียว

ในต่างประเทศ Harley Quinn ดังนะครับ! จริงๆฮาร์ลีย์เป็นตัวละครหน้าใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดในอนิเมชั่นปี 1992 แต่มันได้จนกระทั่งมีหัวหนังสือของตัวเองได้ ก็เพราะมีแฟนสนับสนุนนะครับ!

จะบอกว่า หัวหนังสือของ Harley Quinn ขายดีกว่า Wonder Woman เสียอีก!



ฉะนั้นยอดวิวที่สูงของ Suicide Squad นอกจากความแปลกใหม่ที่เป็นการรวมทีมของวายร้าย และมีโจ๊กเกอร์โผล่ออกมาแล้ว ที่ถูกคือเป็นเพราะ “มันมีกระแสเกี่ยวกับตัวฮาร์ลีย์เกิดขึ้นมากมาย”

ไม่เชื่อลองดูภาพโปรโมท ภาพแอบถ่ายของ Suicide Squad สิครับ ฮาร์ลีย์ ควินน์! ฮาร์ลีย์ ควินน์! ฮาร์ลีย์ ควินน์เต็มไปหมดเลย! ขนาดนักแสดงฉลองวันเกิดในชุดฮาร์ลีย์ก็ยังเป็นข่าว!



ฉะนั้น คนไทยถ้าคิดจะประเมินความดังของเทรลเลอร์ Suicide Squad อาจต้องมองปัจจัยความดังของตัวละครตัวอื่นที่มากกว่าโจ๊กเกอร์กันบ้างนะ

แล้วทำไมฮาร์ลีย์ ควินน์ถึงได้ดัง?

คำตอบคือ “มันเป็นตัวละครมันๆ” ครับ

ฮาร์ลีย์ ควินน์มีประวัติเป็นจิตแพทย์ แต่ถูกโจ๊กเกอร์ชักนำเข้าด้านมืดจนกลายเป็นอาชญากรเสียเอง ปัจจุบันเธอเป็นตัวละครที่ “ถูกจับเอาไปอยู่ตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น” จะอยู่ทีมฮีโร่ก็ได้ จะอยู่ทีมวายร้ายก็ได้ สลับไปสลับมาตลอดไม่มีเบื่อ ล่าสุดมีไปจับคู่กับ Power Girl ที่เป็นฝ่ายฮีโร่เลยด้วยซ้ำ!



หนำซ้ำฮาร์ลีย์ ควินน์ยังไม่เลือกวิธีการต่อสู้ เธอเป็นวายร้าย เธอเป็นผู้ป่วยจิตเภท นึกอยากจะใช้วิธีไหนเพื่อเอาชนะก็ทำได้ทั้งนั้น นึกอยากจะปั่นป่วนอะไร สร้างความวุ่นวายแบบไหนก็ทำได้ทั้งนั้น นึกอยากจะเข้าข้างใคร หักหลังใคร ก็ทำได้ทั้งนั้น

เพราะเป็นตัวละครมีสีสัน เธอถึงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆครับ  



เอาเป็น DC/WB มีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจนแล้ว แตกต่างจาก Fox หนังเรื่องต่อๆไปของค่ายนี้จึงน่าลุ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

แต่!

การสร้างหนังซูเปอร์ฮีโร่แบบต่อเนื่อง เป็นเกมที่ต้องระวังกว่าที่คิดนะครับ!

หลายคนอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่... ปัญหานี้กำลังจะเกิดขึ้นกับ Marvel/Disney แล้ว!



ใช่ Marvel/Disney ประสบความสำเร็จกับทิศทางของตัวเอง

ถ้าสร้างทีมฮีโร่เกรดบีหรือซีอย่าง Guardian of the Galaxy ให้ดังได้ Marvel ก็กล้าจะทำอะไรก็ได้แล้ว หนำซ้ำยังมีวางแผนการเป็น Phase ไปจนถึง Phase 3 อีกต่างหาก ตอนนี้จบ Phase 2 ด้วย Ant-man ปีหน้าก็จะก็ขึ้น Phase 3 ด้วย Captain America : Civil War

แต่ก่อนอื่น อยากให้ลองย้อนกลับไปคิดถึง Avengers : Age of Ultron ก่อน จากนั้นลองคิดถึงแผนการของ Phase 3 ดูครับ

เห็นอะไรไหมครับ? ลองมองดูดีๆสิครับ



ไม่ใช่...



AoU คุณภาพโดยรวมสู้ Avengers ภาคแรก รายได้ก็สู้ Avengers ภาคแรกไม่ได้

หลายคนบอกว่า Aou ซีเรียสจริงจังไป คนเลยไม่ชอบ เลยไม่ทำตังค์เท่า แต่ผมคิดว่าความซีเรียสจริงจังไม่ใช่ปัญหาทั้งหมด 

ผมคิดว่าเรื่องของ AoU บ่งบอกได้อยู่สองอย่างครับ

หนึ่ง : AoU มีปัญหาแบบเดียวกับ Iron Man 2 มันเหมือนหนังซีรีส์ที่ไม่สามารถจบในตัวได้ เป็น Episode ที่อยู่แถวๆกึ่งกลางซีรีส์ ทำหน้าที่ส่งเนื้อหาเก่าที่มีการเซ็ทอัพจากตอนต้นๆของ Phase 2 อย่าง Iron Man 3 หรือ Thor : The Dark World ไปยัง Phase 3 คือ Civil War จนไปถึง Infinity War!

พูดง่ายๆคือ ในความเป็นหนังแล้ว มันขาดความสมบูรณ์ในตัวของมันเองไงครับ! ไม่เหมือนกับ Avengers ภาคแรกที่เป็นบทสรุปของ Phase 1 ทั้งหมด เลยเหมือนจะพอจบอยู่ในตัวของมันเองได้อยู่

สอง : หนัง Marvel กำลังเจอปัญหาแบบเดียวกับหนังสือการ์ตูน

ยิ่งหนังของ Marvel มีการเชื่อมโยงกันมากเท่าไหร่ มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ส่งต่อจากเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่ง “เรียกร้องให้คนดูต้องตามเก็บรายละเอียดแบบต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ”

สำหรับแฟนหนังฮีโร่ที่ตามดูมันทุกเรื่อง หรือแฟนหนังสือการ์ตูน หรือคนที่ดูหนังเป็นเรื่องปกติ คงจะไม่มีปัญหาอะไร

แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มานั่งตามดูหนัง Marvel ทุกเรื่องนี่ครับ!

มันเหมือนกับที่แฟนการ์ตูนก็ไม่ได้อ่านทุกหัวของ Marvel 

มันเหมือนกับทีวีซีรีส์อย่าง Lost, 24, Heroes ที่พอคนดูทั่วไปไม่ได้ดูไปสักสองสามอาทิตย์แล้วจะกลับมาดูใหม่ ก็ชักจะเริ่ม “ต่อไม่ติด” แล้ว

น้องสาวผมก็เป็นหนึ่งในนั้น น้องสาวผมชอบพี่ธอร์ ดู Avengers ก็เพราะพี่ธอร์ มันไม่คิดจะดู Iron Man หรือ Ant Man ถ้าไม่มีอะไรจูงใจพอ ดังนั้นน้องสาวผมที่เป็น “คนดูหนังทั่วไป” ก็เสียเปรียบ “นักดูหนัง” ในแง่ของการเก็บรายละเอียดตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อยของหนัง Marvel ไปแล้ว

เอาง่ายๆ ใน Phase 2 มีการพูดถึง “Infinity Gem” มีการปิดตัวธานอส หนึ่งในวายร้ายของโลก Marvel



แฟนหนังตื่นเต้นครับ! “หูย สุดยอด” “เอาแล้วจุ้ย มันมาแน่!” ดี๊ด้าๆ

แต่คนดูหนังทั่วไป...  อะไรวะ หินอะไรวะ ธานอสเรอะ ใครวะ วายร้ายตัวเอ้? อ้อ อืมๆ...

.....

.....

อารมณ์มันต่างกันเลยนะครับ!

ฉะนั้น แฟนหนังรอคอย Phase 3 ของ Marvel ด้วยอารมณ์ที่รู้ว่า “อะไรที่ใหญ่โคตรๆกำลังจะเกิดขึ้น”

แต่คนดูหนังทั่วไป ถ้าจะรอคอย Avengers ก็แค่เป็นเพราะหนังดูเพื่อความบันเทิงเรื่องหนึ่งเท่านั้นแหละครับ

นี่คือเกมที่ต่อไปจะสร้างปัญหาให้กับ Marvel/Disney และ DC/WB

ทั้งสองค่ายวางแผนจะสร้างหนังที่ต่อเนื่องกันทางด้านรายละเอียด ส่งผลให้ “คนดูทั่วไป” เกิดอาการ “ล้า” และถ้าขาดไปสักเรื่องสองเรื่อง ก็อาจจะต่อไม่ติดเหมือนกับทีวีซีรีส์ หรือหนังสือการ์ตูน

ในหนังสือการ์ตูน เวลาเกิดแบบนี้จะแก้ไขสองทาง ทางแรกคือทำแบบ Marvel คือเล่มตัวเลข 1 ใหม่ เป็นการเรียกร้องให้คนอ่านหน้าใหม่หรือที่เลิกตามไปแล้ว กลับมาเริ่มอ่านใหม่ได้อีกครั้ง ทางที่สองคือรีบูทเหมือน DC ที่เซ็ทจักรวาลใหม่เลยเป็น New 52 บางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างยังเหมือนเดิม

ดังนั้นผมกับพี่คนหนึ่งที่เป็นเซียนซูเปอร์ฮีโร่ถึงได้ฟันธงกันเลยว่า

หลังจาก Phase 3 ไป Marvel จะรีบูทจักรวาลใหม่!



หนึ่งคือนักแสดงมีอายุมากขึ้น บางคนค่าตัวก็สูงขึ้น มันได้เวลาแล้วที่จะหานักแสดงอื่นมาแทนแล้ว

สองคือเพื่อเรียกกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ สามารถกระโดดเข้ามาดูหนังของ Marvel ต่อได้เลยโดยไม่ต้องย้อนกลับไปดูของ Phase1-3

จึงค่อนข้างน่าเป็นห่วงว่า DC/WB ที่เดินตามเกมของ Marvel ค่อนข้างช้าแบบนี้ (หมายถึง เพิ่งเริ่มพัฒนาแผนการแบบเดียวกันตอนที่คนดูทั่วไปเริ่ม “ล้า” กับทิศทางแบบนี้แล้ว) ผลสุดท้ายมันจะออกมาอีท่าไหน?

ถึงบอกว่า หนังซูเปอร์ฮีโร่เป็นเกมที่ต้องระวังครับ!


บทความอื่นที่เกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่







Create Date : 09 สิงหาคม 2558
Last Update : 9 สิงหาคม 2558 17:48:57 น.
Counter : 6164 Pageviews.

1 comments
  
ไม่มีอะไรจะพูดต่อ เยี่ยมคับ ;D
โดย: Tan_A IP: 58.8.1.157 วันที่: 10 สิงหาคม 2558 เวลา:11:28:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog