12 วัน 12 หนัง Star Trek : Day 2 - The Wrath of Khan


นี่คือ "12 วัน 12 หนัง Star Trek" เป็นการเอาหนัง Star Trek กลับมาดูอีกรอบรวดเดียว 12 ภาค (ยกเว้น Insurrection กับ Nemesis ที่นับว่าเป็นการดูครั้งแรก) แล้วอัพบล็อกแบบ "1 วันต่อ 1 ภาค" หลายๆภาค เมื่อเอากลับมาดูอีกรอบ จะรู้สึกยังไงกันนะ?

อนึ่ง#1 ไม่นับ Star Trek Beyond ซึ่งยังอยู่ในโรงภาพยนตร์และมีเขียนเอาไว้แล้ว
อนึ่ง#2 คะแนนที่ให้เป็นแค่ความชอบส่วนตัว หาได้เป็นตัวกำหนดความคลาสสิคหรือความนิยมไม่




Star Trek II: 
The Wrath of Khan (1982)


[เรื่องราวเป็นแบบไหน]

ยาน ยูเอสเอส รีลิแอนท์กำลังอยู่ในระหว่างภารกิจสำรวจดาวที่ไร้ชีวิต เพื่อจะเอามาใช้ในการทดลองอุปกรณ์เจเนซิส สุดยอดเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทว่าระหว่างภารกิจสำรวจนี้เอง กัปตันยานรีลิแอนท์กับเชคอฟ อดีตลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์กลับไปพบกลุ่มคนที่นำโดยข่าน นูเนียน สิงห์ ศัตรูร้ายที่เคิร์กเคยอัปเปหิให้มาอยู่ที่ดาวเซติอัลฟ่า V เมื่อ 15 ปีก่อน

ข่านตั้งใจจะล้างแค้นเคิร์ก จึงเริ่มดำเนินแผนการเพื่อจะสู้กับเคิร์กและยานเอนเตอร์ไพรส์อีกครั้ง!




Smiley

[มันเป็นยังไง]

หลัง The Motion Picture ประสบความล้มเหลวทางด้านคำวิจารณ์และรายได้ไม่เข้าเป้าตามที่สตูดิโอต้องการ บิดาของทีวีซีรีส์ Star Trek อย่างจีน รอดเดนเบอร์รี่จึงต้องถูกบีบให้ออกจากโปรเจคท์หนังภาคต่อของ Star Trek 

ฟังดูแย่ใช่ไหม? แต่ผลลัพธ์คือ The Wrath of Khan กลายเป็นหนังที่ดูสนุกขึ้น นักวิจารณ์ออกปากชม และเทรกกี้ทั้งหลายต่างก็ยกให้เป็น "ที่สุดของ Star Trek เวอร์ชั่นภาพยนตร์" มีฉากคลาสสิคที่คนชอบเอามาเล่นกันบ่อยๆ เช่น ฉากที่เคิร์กตะโกนว่า "ข่านนน!!" แถมข่านยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดวายร้ายด้วย



Smiley

[รายได้]
78.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

Smiley

[คะแนนส่วนตัว]
7/10

Smiley

[ความเห็นของข้าพเจ้า]

ผมชอบ The Wrath of Khan ตั้งแต่การดูครั้งแรก เช่นเดียวกับ The Motion Picture เมื่อเอากลับมาดูอีกรอบก็ยังชอบอยู่ แต่ว่า... เท่าที่ผมจำได้... รู้สึกว่าสมัยก่อนผมจะชอบมันมากกว่านี้นะ ตอนนี้เหมือนความชอบ มันจะลดลงมานิดหน่อย

ส่วนตัวแล้ว สิ่งที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ได้ดูครั้งแรกหรือในปัจจุบันก็คือ การเชือดเฉือนกันระหว่างเคิร์กกับข่าน 

มันเหมือนเป็นเกม "แมวไล่จับหนู" ตลอดทั้งเรื่อง ข่านเป็นวายร้ายที่ฉลาด และบีบให้เคิร์กต้องงัดกลยุทธ์เข้าสู่ตลอดทั้งเรื่อง ส่วนเคิร์กเองก็ไม่ได้ปล่อยให้ข่านเล่นอยู่ฝ่ายเดียว เขาก็โต้กลับไปได้หลายดอกด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่าตลอดทั้งเรื่องเป็นการแลกหมัดกันระหว่างตัวละครสองตัวนี้ ผลัดกันรุกผลัดกันรับจนไปถึงตอนจบของเรื่อง



และเบื้องหลังบุคลิกอันทรงพลังของข่านใน The Wrath of Khan นั้น ทางผู้สร้างตั้งใจจะอิงจากกัปตันเอแฮบในวรรณกรรมคลาสสิค Moby Dick กัปตันผู้เคียดแค้นและไล่ล่าวาฬยักษ์จนสุดหล้าฟ้าเขียว แต่ในที่นี้เปลี่ยนจากวาฬเป็นเคิร์กแทน ความจงใจนี้เห็นได้ชัดจากฉากบางฉากที่ข่านพูดคำพูดในวรรณกรรม Moby Dick ออกมา


ส่วนธีมหลักของ The Wrath of Khan ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันคลาสสิค เป็นการเล่นเกี่ยวกับการให้กำเนิด, ความตาย และความแก่ คือภาคนี้เคิร์กจะรู้สึกว่าตัวเองแก่ตัวลง สายตายาวจนอ่านหนังสือลำบาก แถมยังมีเรื่องของเดวิด มาร์คัส ลูกชายของเคิร์กที่โตเป็นควายแล้ว เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก




แต่ส่วนที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับเคิร์กก็คือ ประเด็นเรื่อง "การโกงความตาย"

หนังภาคนี้เปิดฉากด้วยการฝึกซ้อมอันโหดหินทมิฬชาติที่เรียกว่า "โคบายาชิมารู" เป็นการจำลองสถานการณ์คับขันสุดโต่งที่กัปตันยานต้องเข้าไปช่วยลูกเรือของยานโคบายาชิมารู มันถูกออกแบบมาให้ "ไม่มีวันชนะ" (no-win scenario) เพื่อจะทดสอบบุคลิกภาพของเจ้าหน้าที่สตาร์ฟรีท 

เคิร์กเป็นคนที่เอาชนะการทดสอบโคบายาชิมารูได้ แต่สุดท้ายเคิร์กสารภาพว่า "เขาชนะด้วยการโกง" เพราะไม่เชื่อในเรื่อง "สถานการณ์ที่ไม่มีวันชนะ" เคิร์กชอบเอาชนะ และมักจะโกงความตายอยู่บ่อยครั้ง

แต่ข่านได้บีบให้เคิร์กต้องเผชิญหน้ากับ "ความตาย" จากการสูญเสียคนสำคัญไป และฉากนั้นก็ถือเป็นฉากคลาสสิคระดับตำนาน (ก่อนจะถูกเอามาใช้อีกครั้งในภาค Into Darkness ปี 2013) 



อย่างไรก็ตาม เคิร์กไม่ได้เป็นประจักษ์พยานในเรื่องความตายอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง "การให้กำเนิด" ผ่านโครงการเจเนซิส ซึ่งเป็นโครงการที่จะมอบชีวิตแก่ดาวที่รกร้างและไม่อาจมีชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วย (อิงจากคัมภีร์ไบเบิลในบทเจเนซิส "พระเจ้าให้กำเนิดโลกหกวัน แต่พวกเราให้กำเนิดโลกในหกนาที" หมอแม็คคอยถึงขนาดพูดแบบนี้เลยทีเดียว) 




เหตุการณ์พวกนี้ทำให้เคิร์กได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ตอนแรกเคิร์กรู้สึกว่าตัวเองแก่หงอม แต่สองประเด็นนี้ได้ทำให้เขาถึงกับออกปากในตอนท้ายว่า "รู้สึกหนุ่มขึ้น" เลยทีเดียว

ผมจะพูดเอาใจแฟนหนัง แฟน Star Trek ทั้งหลายก็ได้ว่า "เรื่องนี้คือที่สุดของที่สุด" แต่... ผมขอซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองดีกว่า 

The Wrath of Khan เป็นหนังที่ดีจริงๆ มันมีพล็อตที่ลงตัว มีบทดี ตัวละครดี การกำกับดี มีธีมที่แข็งแรง มีฉากคลาสสิคอยู่หลายฉาก (เคิร์ก: "ข่านนนนนน!!') มีการต่อสู้ที่ใช้การชิงไหวชิบพริบกัน และมีตัวร้ายที่ทรงพลัง



แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ถูกกาลเวลาพรากไป จังหวะการเล่าเรื่องรู้สึกว่ามันไม่สนุกเท่ากับเมื่อสมัยที่ได้ดูครั้งแรกไปเสียแล้ว

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ The Wrath of Khan คือความคลาสสิคที่จะถูกพูดถึงไปอีกนานแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นเรื่อง Star Trek เข้ามาเกี่ยวข้อง


[บล็อกที่เกี่ยวข้อง]


Smiley Star Trek II: The Wrath of Khan (1982) <----You're here.
Smiley Star Trek III: The Search for Spock (1984) <---- 10 สิงหาคม 2559
Smiley Star Terk IV: The Voyage Home (1986) <---- 11 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek V: The Final Frontier (1989) <---- 12 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek VI: The Undiscovered Country (1991) <---- 13 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek Generations (1994) <---- 14 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek: First Contract (1996) <---- 15 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek: Insurrection (1998) <---- 16 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek: Nemesis (2002) <---- 17 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek (2009) <---- 18 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek Into Darkness (2013) <---- 19 สิงหาคม 2559




Create Date : 01 สิงหาคม 2559
Last Update : 9 สิงหาคม 2559 12:18:28 น.
Counter : 2110 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog