Fantastic Four 2015 : โอ้มายกอช มันแย่ แต่... เรามามองส่วนที่ผมชอบกันเถอะ!


(มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วน ...แต่หนังตัวอย่างก็เล่าหนังเกือบทั้งเรื่องแล้วนะ มันไม่มีอะไรหักมุมเลยนะ!)

Fantastic Four ของปี 2015 คือการรีบูทใหม่ของหัวการ์ตูนชื่อเดียวกันของ Marvel Comics แต่ตัวหนังสร้างโดย 20th Fox เป็นการรีบูทครั้งที่สองแล้ว... (ถ้านับเวอร์ชั่นแรกของปี 1994 ด้วยนะ)

และ FF ของ 2015 “มันแย่” อย่างที่เขาร่ำลือจริงๆ 

ผมให้ 4.5/10 แบบไม่ลังเล

เฮ้ย คิดอะไรมากวะ หนังเขาต้องการให้มันสนุก ก็ดูให้มันสนุกอย่าคิดเยอะสิ... เอ่อ แต่ปัญหาของมันคือ "แม่งไม่สนุกมากอ่ะเด่ะครับ!" คือบางช่วงจะหลับเอาเลยนะครับ!

ความสัมพันธ์ของตัวละครไม่เวิร์กเลยสักตัว ไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับใครเป็นพิเศษ จังหวะการเล่าเรื่องเดี๋ยวอืดเดี๋ยวสนุกเดี๋ยวอืดเดี๋ยวสนุก ขึ้นๆลงๆแบบไม่สม่ำเสมออย่างกับตลาดหุ้น เทคนิค CG ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่เลย ดร.ดูมก็เป็นผู้ร้ายที่โคตรรรรจะแบนนนนนนน เหตุผลในการทำลายล้างโลกของมันทำให้ผมอ้าปากค้างแล้วคิดในใจแบบ... อะไรนะ? ทำไมนะ? ทำไมเอ็งเกลียดโลกขนาดนี้นะ? เพราะเอ็งเป็น... ฮิกกี้ (ฮิคิโคโมริ)? เพราะเอ็งเฟ้ลทุกอย่างเลยลงความโกรธมาที่โลกใบนี้ทั้งใบ? มันอะไรกันวะ? และผมเกลียดไอ้ “1 ปีให้หลัง” ที่แม่งฆ่าอารมณ์หนึ่งแบบฉีกกระชาก เปลี่ยนโทนจากหนังแนวหนึ่งกลายมาเป็นอีกแนวหนึ่งแบบกระทันหันจนเกินไป

คือพูดง่ายๆว่ามันไม่เวิร์กเลย...

แต่!
แต่!
โดยรวมแล้วผมไม่ได้เกลียดหนังเรื่องนี้!

ฉะนั้นมันคงจะท้าทายกว่าถ้าผมจะลองขุดด้านที่ชอบในหนังเรื่องนี้ออกมาพูดกัน แทนที่จะด่าเพียงอย่างเดียว!

จริงๆกลับคิดว่ามันมีจุดที่น่าสนใจหลายอย่างมาก ได้ยินข่าวลือว่า FF 2015 มีปัญหาเรื่องความคิดสร้างสรรค์ระหว่างผู้กำกับกับสตูดิโอไม่ตรงกัน เลยมีการถ่ายทำซ่อมหลายอย่าง มีหลายส่วนที่เทคนิค CG ยังไม่เสร็จ มันเลยถูกตัดออกไปจนหนังเหลือเพียงแค่ 100 นาทีซึ่งถือว่าสั้นมากสำหรับหนังที่มีตัวละครหลักถึง 5 ตัว (รวมตัวร้ายด้วย)  

ผมคิดว่าที่มันออกมาแย่ไม่ใช่เพราะไอเดียเบื้องต้นมันแย่ แม้แต่การให้จอห์นนี่ สตอร์มเปลี่ยนจากคนขาวเป็นคนดำ ผมก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแย่ 

แต่ที่มันแย่คือ “ปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนการสร้างหนัง” 

โอเค แย่ก็คือแย่

แต่เราลองมาดูกันว่าผมชอบอะไรใน FF 2015 กันบ้าง



1. ผมชอบอารมณ์สยองขวัญในหนังฮีโร่!

ผมชอบอ่านคอมมิคอเมริกา ผมไม่ได้อ่าน Fantastic Four แต่ผมชอบที่ในคอมมิคอเมริกา ฮีโร่แต่ละตัวจะมีโทนในแบบของตัวเอง เป็นแนวขำขัน, แนวดราม่า, แนวผจญภัยอวกาศ, แนวสายลับ, แนวสยองขวัญ ฯลฯ 
ฉะนั้นถ้า FF 2015 จะเป็นโทนสยองขวัญ ผมก็หาติดใจแต่อย่างใดไม่!
ผมสนใจมากถึงมากที่สุด!

ผมชอบตอนที่พวกตัวเอกของเรื่องตัดสินใจไปสำรวจดาวที่อยู่อีกมิติโดยพละการ ไม่ขออนุญาตใครก่อน 

ผมชอบตอนที่การสำรวจกลายเป็นวินาทีสุดสยองขวัญ ดร.ดูมตกลงไปในบ่อพลังงานสีเขียวของดาวนั่น, เบน กริมม์ถูกหินซัดเข้าใส่, จอห์นนี่ สตอร์มถูกไฟครอกย่างสด อารมณ์ตอนนั้นแม่งสุดยอด! 

กำลังจะหลับอยู่ดีๆ ตื่นเลย!

หลังจากอุบัติเหตุคราวนั้น ทุกคนถูกเอากลับมายังโลกแล้วก็ถูกจับทดลอง รี้ด ริชาร์ดถูกจับขึงผืดในสภาพมนุษย์ยางยืด, เบน กริมม์ติดอยู่ในสภาพกลายเป็นหิน ได้แต่ร้องโอดครวญ ขยับตัวไปไหนไม่ได้, ซูซาน สตอร์มนอนสลบในสภาพล่องหน, จอห์นนี่ สตอร์มทุกข์ทรมานกับการถูกไฟคลอกชนิดไม่ยอมดับ

แม่งโคตรได้อารมณ์เลย!

แต่หลังจากนั้นเหรอครับ? 

ก็ “1 ปีให้หลัง” ไงครับ!

แม่งโคตรเกลียดไอ้ “1 ปีให้หลัง” นี่เลย!

เหมือนสตูดิโอบอกว่า เฮ้ย สยองเกินไปแล้ว ตัดๆๆๆ เอาตอนเป็นซูเปอร์ฮีโร่มาเร็วๆเถอะ!

เจตนาอยากจะสร้างความบันเทิงให้คนดูน่ะ มันดี

แต่ไอ้การตัดทิ้งแบบฉีกกระชาก มันทำให้คนดูกลับรู้สึกเหมือน “หนังคนละม้วน” อยู่ดีๆมันโค้งหักศอกเกินไป กลายเป็นอารมณ์เก่ายังค้างไม่ทันหาย อารมณ์ใหม่ก็ถูกตามเข้ามาแทนแล้ว มัน... หายนะว่ะ!






2. ฉากเปิดเรื่อง

ผมชอบฉากเปิดเรื่องของเรื่องนี้ มันเป็นตอนที่รี้ด ริชาร์ด เด็กนักเรียนโคตรจะเนิร์ดต้องออกไปพูดหน้าชั้น ว่าตัวเองต้องการจะสร้างเครื่องเทเลพอร์ตขึ้นมา แล้วเด็กทุกคนในชั้นรวมถึงคุณครูก็มองรี้ดแบบแปลกๆ
ผมจี้ดว่ะ ฉากนี้ผมจี้ด วิธีการแสดงของเด็ก มุมกล้อง การตัดต่อ หรือเพลง ผมรู้สึกว่าฉากนี้มันเวิร์กสำหรับผม ผมรู้สึกและเข้าใจในตัวรี้ดสุดๆ เข้าใจว่าคนที่ถูกมองว่าเพ้อเจ้อหรือแปลกประหลาด รู้สึกว่าการต้องเป็นคนแปลกแยกน่ะ มันเป็นยังไง!

ฉากนี้เวิร์กมากถึงเวิร์กที่สุด มันทำให้ผมรู้สึกเสียดายว่า หนังไม่ได้เล่นประเด็นนี้ของรี้ดอีกเลย! ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย!

ลองคิดดูสิครับ ถ้าหนังเล่นประเด็นนี้ต่อไป เล่นประเด็นว่าเด็กเนิร์ดจอมเพ้อเจ้ออย่างรี้ด ถึงจะโดนเพื่อนโดนครูมองว่าประหลาด แต่ก็ยังพยายามจนสร้างเครื่องเทเลพอร์ตได้สำเร็จ แต่พอสร้างเครื่องเทเลพอร์ตไปยังมิติอื่นได้สำเร็จ กลับต้อง “กลายมาเป็นตัวประหลาด” ของจริง กลายเป็นมนุษย์ที่ยืดตัวได้ (Mr.fantastic หรือ “คนพลังกายสิทธิ์”) รี้ดจะรับมือประเด็นนี้อย่างไร

แต่ในเวอร์ชั่น 2015 ได้ทิ้ง “ความรู้สึกแปลกแยก” ของรี้ดทิ้งไปเลย ทิ้งหายไปเลย เป็นแค่เด็กเนิร์ดคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องเทเลพอร์ต แต่ก็เจออุบัติเหตุจนกลายเป็นมนุษย์ยืดได้หดได้... แล้ว... ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่หือไม่อือ ไม่ได้ยินดีไม่ได้ทุกข์ระทม แค่หนีออกจากฐานทัพแล้วก็เร่ร่อนไปเรื่อยเพราะกลัวการถูกทางการไปใช้งาน... 

มันไม่ได้แย่หรอกครับ แค่รู้สึกว่ามัน “เสียของ”






3. ปูมหลังของเบน กริมม์

ผมเกลียดการแสดงของคนที่เล่นเป็น เบน กริมม์ (The Thing หรือ “คนพลังภูผาหิน”) แม่งเล่นเป็นหินตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบ ชนิดที่เรียกว่า กรูทใน Guardian of the Galaxy ที่พูดแค่สามคำคือ I. AM. GROOT. ยังจะมีสีหน้าท่าทางที่สื่ออารมณ์มากกว่าไอ้หมอนี่อีก!

แต่ผมสนใจปูมหลังของเบน กริมม์ครับ

ในตอนต้นของหนัง ตอนที่รี้ดพูดเรื่องเครื่องเทเลพอร์ตหน้าชั้นเรียนแล้วทุกคนมองรี้ดเหมือนตัวประหลาด เบนกลับเป็นคนเดียวที่สนใจในตัวรี้ด
หนังไม่ได้อธิบาย ซึ่งถือว่าน่าเสียดาย แต่ผมมองออกว่าทำไม... 

เบนเป็นเกย์? ไม่ใช่หรอก 

เขาเป็นเรื่องเด็กคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อ ครอบครัวไม่ได้อบอุ่น มีพี่ชอบข่มเหงน้อง ตั้งใจจะใช้ความรุนแรงกับน้องอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นวันหนึ่งพอเจอเพื่อนอย่างรี้ด เพื่อนที่โคตรจะแนว โคตรจะสุดโต่ง เด็กที่ต้องการ “ออกไปจากชีวิตน่าเบื่อแบบเดิมๆ” ก็ต้องสนใจเด็กเนิร์ดสุดโต่งแบบรี้ดเป็นของธรรมดา ยิ่งตอนที่เห็นว่ารี้ดสามารถเทเลพอร์ตรถของเล่นคันแรกได้สำเร็จ ก็ยิ่งแล้วใหญ่

เบนกับรี้ดกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กยันโต อยู่กับโปรเจกต์เครื่องเทเลพอร์ตด้วยกันมาตลอด สุดท้ายก็ทำได้สำเร็จ เบนร่วมเดินทางข้ามมิติไปยังอีกมิติกับรี้ดด้วย แต่หลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาก็กลายเป็น “The Thing” มนุษย์ที่มีร่างกายเป็นหิน 

เขาถูกจับอยู่ในห้องทดลอง แล้วก็เห็นรี้ดสามารถหลบหนีได้สำเร็จ แต่ว่ารี้ดไม่มีจังหวะจะช่วยเบนได้ เบนได้แต่ร้องว่า “ช่วยด้วย” แต่รี้ดไม่รู้จะช่วยอย่างไร จึงได้แต่หนีไปคนเดียว

เพราะฉะนั้นเบนย่อมต้องรู้สึกเหมือน “ถูกหักหลัง”... ถูก “เพื่อนรักเพียงคนเดียวในชีวิตหักหลัง”!

ลองคิดดูสิครับว่าไอ้ประเด็นตรงนี้ “แม่งโคตรน่าสนใจเลย”!

แต่ไม่ครับ หนังกลับทิ้งอารมณ์ตรงนี้ไปอย่างกับขยะ เรารู้ว่าเบนโกรธรี้ด แต่อารมณ์และสีหน้าท่าทางแม่งไม่ได้บอกเลยว่ามันโกรธ หน้าแม่งแสดงเป็นหินตั้งแต่ตอนเป็นคนจนกระทั่งเป็นมนุษย์หิน 

ตอนที่เบนถูกทางการสั่งให้ไปจับตัวรี้ดที่แอบหนีไปคนเดียว จริงๆตอนนั้นน่าจะเป็นอารมณ์ดราม่าที่เข้มข้นได้

แต่เปล่าเลย! อารมณ์ตอนนั้นแม่งแห้งมาก! เบนด่าริชาร์ดเพียงเบาๆ หลังจากนั้นตอนเผชิญหน้ากับดร.ดูม ก็มีประชดรี้ดเพียงเบาๆประมาณว่า “จะหนีกันอีกเหรอ” เพียงแค่นั้น แต่แม่งโคตรไร้อารมณ์เลยว่ะ!

แล้วยังไอ้ “1 ปีให้หลังอีก”

คือหลังจากที่รี้ดหนีไป อีกสามคนที่เหลือที่ได้พลังต้องถูกทางการทดลอง และเบนก็ถูกใช้ให้ไปทำงานทางด้านทหาร ผมรู้สึกว่าชอบประเด็นตรงนี้มาก รู้สึกว่าถ้ามันขยายตรงนี้อีกนิด แสดงให้เห็นว่า เบนโกรธรี้ดที่หนีไป แล้วเอาพลังทั้งหมดไปทุ่มกับการทำลายล้างรถถังเอย กองทหารเอย ผมรู้สึกว่ามันจะเวิร์กมากถึงมากที่สุด!

เสียของมาก!








4. ซูซาน VS จอห์นนี่

ผมไม่ติดใจเรื่องที่สองคนนี้ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆแบบในหนังสือการ์ตูนหรือหนังเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้

ผมไม่ติดใจที่จอห์นนี่เป็นคนดำ

ตรงกันข้าม ผมสนใจเรื่องของพี่น้องคู่นี้

ซูซานเห็นชัดว่าเป็นลูกรักของแฟรงคลิน สตอร์มทั้งที่เธอเป็นลูกบุญธรรม เธอตั้งใจ เธอทุ่มเทให้กับโปรเจกต์อย่างที่แฟรงคลินต้องการ
แต่จอห์นนี่กลับเอาเวลาไป “แว๊น” ทำตัวเกกมะเหรกเกเรซะงั้น 

ผมสนใจที่หลังจอห์นนี่ได้เข้ามาร่วมทีมพัฒนาเครื่องเทเลพอร์ต เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น แล้วหลังจากเขากลายเป็นมนุษย์เพลิง (Human Torch หรือ “คนพลังไฟ”) แล้ว เขารู้สึกเหมือนว่า “นี่คือที่ที่เขาจะอยู่” มันคือโอกาสที่เขาจะได้เป็นอะไรสักอย่างที่ตัวเองจะภาคภูมิใจ เป็นไปในแนวทางของตัวเองในแบบที่ตัวเองต้องการ “ได้เลือกชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ”

ในขณะที่ซูซาน หลังกลายเป็นมนุษย์ล่องหน (Invisible Woman หรือ “สาวน้อยพลังล่องหน”) เธอได้ฝึกควบคุมพลังก็จริง แต่ในขณะเดียวก็จะหาโอกาส “กลับไปสู่ชีวิตแบบเก่า” ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อต้องการด้วยเช่นกัน

เห็นความขัดแย้งกันตรงนี้ไหมครับ ระหว่างเด็กสาวบุญธรรมที่เดินตามเส้นทางของพ่อ กับลูกชายที่ขัดแย้งกับพ่อไปหมดซะทุกอย่างและต้องการหาจุดยืนของตัวเอง

ผมชอบว่ะ!

แต่เพราะหนังมันมีแค่ 100 นาทีและหมดไปกับไอ้ “1 ปีให้หลัง” เส็งเคร็งนั่น มันเลยไม่ได้ถูกพัฒนาไปในจุดที่น่าสนใจกว่านี้ 

เสียของอีกเหมือนกัน





5. ดร.ดูมอาละวาด

ผมเกลียดด็อกเตอร์วิคเตอร์ วอน ดูม เวอร์ชั่นนี้

แม่งโคตรจะแบน น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่...

ผมรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้ ตอนแรกเริ่มผู้กำกับตั้งใจจะให้มันมาเป็นตัวคู่ขนานกันกับรี้ด ริชาร์ด

ทั้งคู่อัจฉริยะเหมือนกัน

ทั้งคู่คิดเรื่องเครื่องเทเลพอร์ตเหมือนกัน

ทั้งคู่เป็นคนแปลกแยกเหมือนกัน

ทั้งคู่สนใจในตัวซูซาน สตอร์มเหมือนกัน

แต่ในขณะที่รี้ดเป็นคนมองโลกในแง่ดี พยายามทุ่มเทไปเรื่อยๆจนได้ดี วิคเตอร์กลับกลายเป็น “ฮิกกี้ (ฮิคิโคโมริ)” ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่อาบน้ำอาบท่า 

ในขณะที่ซูซานสนใจในตัวรี้ด วิคเตอร์กลับต้องแห้ว

เห็นไหมครับว่ามันเป็นคู่ขนานกันไป

แต่ไอ้ประเด็นนี้กลับหายไปเลยครับ! หายไปเลย!

หลังจากวิคเตอร์ไปสำรวจโลกต่างมิติ เขาก็ตกลงไปในบ่อพลังงานของดาวแล้วก็ถูกทิ้งให้อยู่ในมิตินั้นต่อไป “1 ปีให้หลัง” พอทีมสำรวจกลับไปยังที่นั่นได้อีกครั้ง เขาได้พบกับด็อกเตอร์ดูมในสภาพที่เหมือนกลายเป็นเหล็กทั้งตัว

นี่คือช่วงเวลาที่ผมชอบมาก!

ดร.ดูมถูกพากลับมายังโลก แต่เขาไม่ได้ต้องการกลับมายังโลกเลยสักนิด เขาชอบพลังของที่นั่น เพราะฉะนั้นเมื่อพลังที่มหาศาลบวกเข้ากับจิตใจทีบิดเบี้ยว เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาด ฆ่าคนไม่เลี้ยง!

อย่างที่บอก ผมไม่แคร์ว่ามันจะมีอารมณ์หนังสยองขวัญในหนังฮีโร่ และผมก็ชอบที่ไอ้ด็อกเตอร์ดูมอาละวาด ฆ่าคนไม่เลี้ยงแบบนี้ มันดูน่ากลัว ดูโหด

แต่ไอ้อารมณ์นี่กลับถูกเขี่ยไปอีกแล้ว!! เหมือนสตูดิโอบอกว่า ไม่ๆๆๆๆ มันโหดไป ไม่เอาๆ

ลองคิดดูง่ายๆสิครับ ถ้าซีเควนซ์นี้ทั้งหมดมีการเล่าเรื่องให้ดร.ดูมเดินหน้าฆ่าคนไปเรื่อยๆ แล้วพวกรี้ดทั้งสี่คนต้องหาทางรับมือกับด็อกเตอร์ดูมแบบคนละทีสองที ตอนนี้มันจะเพิ่ม “ความน่ากลัว” ของดร.ดูมได้ถึงขนาดไหน!

อารมณ์น่ากลัวของดร.ดูมถูกทิ้งไปยังไม่พอ ไอ้เหตุผลอยากจะทำลายล้างโลกใบนี้แม่งก็... ประหลาดเหลือเกิน โคตรจะผู้ร้ายการ์ตูน 

ตูเกลียดโลกนี้ ตูจะทำลายล้างละ จบละโลกนี้ มีปัญหาไรป่ะ

มัน... โอเค ถ้าอยากจะให้เป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ผมคิดว่ามันจะดีกว่านี้มาก ถ้าสามารถเอาไอ้ “ปมของดูม” ที่อยู่ตอนต้นๆเรื่องเอามาสร้างน้ำหนักในการทำลายล้างให้มัน... มากกว่านี้หน่อย ผมจะรู้สึกว่ามันเข้าท่ามากเลยนะ

เสียของอีกแล้ว!






6. วิธีการต่อสู้ตอนท้ายเรื่อง

โอเค หลายคนไม่ชอบองก์สามของเรื่อง รู้สึกว่ามันเละเทะแบบสุด
แต่ผมชอบวิธีการต่อสู้ของฉากไคลแม็กซ์นะ

รี้ดเห็นว่าดร.ดูมแข็งแกร่งจนเกินไป เพราะฉะนั้นถึงต้องร่วมมือกัน จอห์นนี่ปล่อยลูกไฟ ซูซานสร้างเกราะพลังงานหุ้มลูกไฟเพื่อป้องกันลูกไฟเอาไว้ พอลูกไฟไปคลอกตัวดร.ดูม ซูซานก็สร้างพลังงานรอบตัวดร.ดูม ทำให้ไฟคลอกรุนแรงขึ้น แล้วก็มีการอำพรางเบนด้วยพลังของซูซาน พอดร.ดูมกำลังเสียสมาธิ เบนก็โผล่ร่างออกมา 

ตูม!

ซัดดร.ดูมกระเด็นในระยะประชิดตัว!

โอ้แม่เจ้า! ผมชอบแนวความคิดในการต่อสู้ในฉากไคลแม็กซ์นี่นะ!

แต่ก็อย่างว่า... โดยรวมแล้วมันเสียของพิลึก!






=สรุป=

อย่างที่ผมว่ามาทั้งหมด หนังมันแย่ มันมีประเด็นดีๆน่าสนใจ มันมีไอเดียดีๆน่าสนใจ แต่ไอเดียพวกนั้นเหมือนถูกปัญหาระหว่างการถ่ายทำ ปัญหาระหว่างผู้กำกับกับสตูดิโอรุมเร้า จนทำให้ไอ้สิ่งที่ดีๆจะได้ถูกขัดเกลาหรือถูกเล่าเรื่องให้ดีขึ้น กลับโผล่ออกมาอย่างนิดอย่างละหน่อยแล้วก็ไม่ได้สร้างผลกระทบในด้านดีต่อตัวหนังเลย

ผมไม่ได้เกลียดมัน แต่รู้สึกเสียดายมากกว่า อยากจะเห็นเวอร์ชั่นที่มันไร้ปัญหากว่านี้ สมบรูณ์กว่านี้ มันจะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผสมระหว่างจิตวิทยา, แอ็กชั่น, สยองขวัญที่น่าสนใจมากๆของมากๆเลยนะ!


(โฆษณาแฝง) บทความอื่นเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่






Create Date : 08 สิงหาคม 2558
Last Update : 8 สิงหาคม 2558 12:24:18 น.
Counter : 3242 Pageviews.

7 comment
Mission : Impossible ทั้งห้าภาค : ภาคที่ดีที่สุดคือ? (Spoiler)

(มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังชุดนี้ทั้ง 5 ภาค เหมาะสำหรับคนที่ดูแล้วหรือไม่แคร์การถูกสปอยล์)

Mission : Impossible เป็นหนังแนวสายลับที่น่าสนใจ เพราะแต่ละภาคจะมีสไตล์ในแบบของตัวเองเพราะเปลี่ยนผู้กำกับไปเรื่อยๆ บางครั้งจึงเปรียบเทียบได้ค่อนข้างยากเพราะสไตล์ค่อนข้างจะต่างกัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ภาค 3 จนถึง Rogue Nation ซีรีส์นี้เหมือนจะพบเส้นทางของตัวมันเองแล้ว คือเริ่มจะมีโทนหรือสไตล์ที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น มีความต่อเนื่องทางด้านเนื้อหามากขึ้น 

ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ เป็นหนังเพียงไม่กี่ซีรีส์ที่ “ภาค 5 แล้วก็ยังเจ๋งอยู่”

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้สนุกก็คือ “ตัวทอม ครูซ” เองนั่นแหละ 

ถึงแม้ว่าในอเมริกา ความนิยมในตัวทอม ครูซจะค่อนข้างด้อยลงไปเยอะเพราะเรื่องส่วนตัวทั้งหลาย (ลัทธิประหลาดที่ทอม ครูซอยู่ รวมถึงเรื่องปัญหาครอบครัวกับแคธี โฮมลส์กับลูก) แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ทอม ครูซเป็นนักแสดงที่ “ทุ่มเทกับงานทุกเรื่อง” ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่ทุ่มเท ไม่ว่าจะออกมาดีหรือแย่เขาก็เล่นมันเต็มที่ ฉากสตันท์เขาก็กระตือรือร้นจะเล่นเองด้วย และในหนังชุด Mission : Impossible เหมือนจะมีโจทย์อยู่อย่างหนึ่งก็คือ “หาความท้าทายใหม่ๆให้ทอม ครูซได้เล่น”

นี่นับเป็นจุดแข็งของหนังทั้งห้าภาคจริงๆ




Mission : Impossible (1996)

+ อารมณ์แบบหนังสายลับระทึกขวัญมากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่น
+ ฉากการจารกรรม “ไร้เสียง” ที่คลาสสิค
+ เพลงประกอบสุดเจ๋งจากแดนนี่ เอล์ฟแมน  



เห็นว่าแฟนทีวีซีรีส์ไม่ค่อยพอใจกับ M:I ภาคแรกมากนัก สาเหตุก็เพราะนอกจากจะเป็น “ทอม ครูซ วันแมนโชว์” แล้ว ยังทำให้จิม เฟล์ปส์ ตัวเอกจากภาคทีวีที่มีความยาวถึง 7 ซีซั่น กลายมาเป็นตัวร้ายประจำเรื่องเสียอย่างนั้น

ความรู้สึกไม่พอใจนี้ ผมพอจะเข้าใจนะ เพียงแต่... ผมไม่เคยดูทีวีซีรีส์มาก่อน จึงสามารถรับเรื่องนั้นได้อย่างสบาย อีกอย่าง ต่อให้ผมหาภาคทีวีซีรีส์มาดูแบบรวดเดียว 7 ซีซั่น ผมเชื่อว่าก็ยังรับได้สบายมาก เพราะซีรีส์สมัยนี้อย่าง Heroes, Lost, Game of Thrones มักจะมีการเปลี่ยนบทบาทไปมาระหว่างการเป็นคนดีคนเลวอยู่แล้ว 

แต่แน่นอน ถ้าสมมติว่าการเปลี่ยนจากตัวเอกที่เป็นคนดี กลายมาเป็นคนเลวอย่างไม่มีน้ำหนักหรือเหตุผลที่รับได้ ย่อมก็ต้องไม่ใช่เรื่องดี ในกรณีของจิม เฟล์ปส์ ผมเห็นด้วยว่ามันเป็นการเปลี่ยนบทบาทตัวละครที่ “เกินความจำเป็น” ไปหน่อย เหมือนแค่ต้องการจะให้หักมุมเท่านั้น

ไบรอัน เดอ พัลม่าเป็นผู้กำกับภาคแรกนี้ ผมชอบ The Untouchables ที่เขากำกับนะ มันเป็นหนังระทึกขวัญที่มีฉากเด็ดๆชวนให้หัวใจอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าฉาก “รถเข็นเด็กกับบันได” ยังเป็นฉากคลาสสิคอยู่เลย เพราะไบรอัน เดอ พัลม่าเป็นผู้กำกับ M:I ภาคแรกจึงเป็นอารมณ์แบบหนังสายลับระทึกขวัญมากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่น

ตอนที่ผมดูในโรงครั้งแรก ผมค่อนข้างคาดหวังกับ M:I ภาคนี้พอสมควร เพราะตัวอย่างตัดต่อมาเหมือนหนังแอ็กชั่นโคตรเร้าใจ แต่ตัวหนังจริงๆกับแทบไม่ได้แอ็กชั่นอะไร ผิดหวังไหม ก็มีบ้าง แต่โดยรวมแล้วผมชอบมันนะ 

ผมชอบฉากไตเติ้ลของเรื่อง (ที่มีเพลงธีมประจำของ M:I)

ผมชอบฉากที่ภารกิจแรกของพวกตัวเอกล้มเหลว ลูกทีมทุกคนถูกไล่ฆ่าจนเหลืออีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) กับแคลร์ 

ผมชอบฉากจารกรรมฐานข้อมูลในตึก CIA ซึ่งเป็นห้องที่มีกลไกตรวจจับซับซ้อน จนอีธานต้องจารกรรมด้วย “ความเงียบ” แบบสุดๆ ฉากนี้เล่นเอาผมแทบกลั้นหายใจตอนดูครั้งแรก นั่งลุ้นจนตูดเกร็งไปหมด 

ผมชอบฉากที่อีธานประมวลคำพูดของจิม เฟล์ปส์ ค่อยๆเรียงลำดับจนออกมาเป็นความจริงที่ว่า จิม เฟล์ปส์คือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด 

ผมชอบที่อีธานวางแผนให้พวก CIA , จิม เฟล์ปส์ และผู้ค้าอาวุธมาอยู่ในรถไฟขบวนเดียวกัน 

ผมชอบฉากไคลแม็กซ์ที่สู้กันบนรถไฟความเร็วสูงโดยมีเฮลิคอปเตอร์บินไล่อยู่ข้างท้าย

จริงอยู่ที่บางรอบผมดูเรื่องนี้แล้วแทบจะสัปปะหงกด้วยความที่จังหวะของเรื่องถูกเล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหมือนกับหนังแอ็กชั่นสมัยนี้  แต่สไตล์การกำกับแนวระทึกขวัญของไบรอัน เดอ พัลม่า รวมถึงการตัดต่อและเพลงประกอบของแดนนี้ เอลฟ์แมน ได้ทำให้ M:I เป็นหนังสายลับระดับล็อกบัสเตอร์ที่หาไม่ค่อยได้แล้วในยุคนี้...

แต่ในบรรดาสิบกว่ารอบที่ผมนั่งดู บางรอบผมแทบหลับจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆ!



Mission : Impossible II (2000)

+ ฉากเปิดเรื่องน่าสนใจดี
+ ฉากไคลแม็กซ์ก็บันเทิงดี...
+ เพลงประกอบ Turn a Look Around ของ Limp Bizkit คลาสสิค! (ใครข้องใจมาแหกปากร้องกับผมเลยมา! หึๆๆ!) 



“ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ภาคสายลับ”! นี่เป็นภาคเดียวในห้าภาคที่ผมยิ่งดูก็ยิ่งชอบน้อยลงเรื่อยๆ

ตอนดูในโรงหนังครั้งแรก ผมไปดูกับเพื่อนๆ ทุกคนออกมาและเห็นตรงกันว่า “ฉากมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายเรื่องดีที่สุดแล้ว” ผมอยากจะชอบมันนะ ตอนนั้นผมเป็นแฟนของหนังจอห์น วูหลังจากได้กำกับหนังฮอลลีวู้ดแล้ว ผมนั่งดู Hard Target กับ Broken Arrow ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่บางทีผมอาจจะนั่งดูสองเรื่องนี้มากเกินไป ตอนดู Face / Off ผมถึงเริ่มเบื่อสไตล์จอห์น วู (ใช่ เอาปืนมาจ่อผมได้เลย ผมไม่ชอบ Face / Off หนังที่หลายๆคน รวมถึงเพื่อนของผม ดูแล้วชมกันแบบสุดๆ) และพอมาถึง M:I II มันก็มาถึงจุดอิ่มตัวของหนังจอห์น วูไปซะแล้ว

ผมชอบฉากเปิดเรื่องที่แม่งเจ๋งดี มีการหลอกว่าเป็นอีธาน ฮันท์ แต่สุดท้ายกลายเป็นผู้ร้ายที่สวมหน้ากากอีธาน ฮันท์ จะบอกว่าปฏิบัติการนี้ของตัวร้าย มี “ความเป็นทีม” ยิ่งกว่าของอีธาน ฮันท์เสียอีก

ผมชอบไอเดียเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “วายร้าย (ไวรัส)” กับ “ฮีโร่ (ยาแก้)” เสียดายที่ประเด็นนี้ไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาอย่างชัดเจน

ผมชอบฉากแอ็กชั่นมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายเรื่อง

แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบเรื่องที่อีธานกับตัวร้ายต่างมามะรุมมะตุ้มอยู่กับผู้หญิงคนเดียว ซึ่งผมไม่เห็นว่า "เธอมีเสน่ห์พอจะดึงดูดให้ชายฉกรรจ์สองคนมาต่อยตี" กันได้เลย ผมไม่เชื่อในความสัมพันธ์ระหว่างอีธานกับไนย่า ตอนแรกอีธานแค่มาขอเธอเข้าร่วมทีมเท่านั้น แต่ไปๆมาๆดันไปมีความสัมพันธ์ แล้วก็ส่งเธอกลับไปอยู่ในมือของฌอน แอมบรอส ตัวร้ายของเรื่องเพื่อจะได้ข้อมูลเรื่องไวรัสมา 

ผมไม่รู้เลยว่าอีธานเกิดมีใจอะไรให้กับไนย่าขนาดนั้น ถ้าสมมติว่าอีธานแค่เป็นห่วงในฐานะลูกทีมหรือผู้หญิงคนหนึ่ง และสำนึกผิดเรื่องส่งไนย่ากลับไปหามือตัวร้าย ผมอาจจะพอเข้าใจได้ แต่นี่คือ “อีธานตกหลุมรักไนย่า” เลย และ...อย่างที่บอก ผมไม่เชื่อในความสำพันธ์นี้ อีกทั้งความสัมพันธ์นี้ยังทำให้การดำเนินเรื่องของ M:I II น่าเบื่อในความเห็นผมด้วย

ที่สำคัญ อย่าลืมว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมากๆเรื่อง “วายร้าย” กับ “ฮีโร่” ไอ้ตรงนี้แหละที่น่าสนใจยิ่งกว่าเรื่องความรักระหว่างอีธานกับไนย่าซะอีก จะบอกว่าไนย่าเป็น “ฮีโร่?” ก็ไม่ชัดเจน จะบอกว่าแอมบรอสเป็นเหมือนไวรัส และอีธานเป็นเหมือนยาแก้? ก็ไม่ชัดเจน เรียกว่า “มีของดีอยู่ในมือ แต่กลับปาทิ้งไปซะได้” น่าเสียดาย... น่าเสียดาย...

พูดถึงฉากแอ็กชั่น พูดตามตรงนะ ยิ่งดูหลายรอบยิ่งรู้สึกเบื่อ จริงอยู่ที่มันยังมีอะไรเจ๋งๆอยู่บ้าง แต่มัน... บางฉากก็ขำๆ เช่นไอ้ลีลาการหมุนตัวยิง การเตะซัมเมอร์ซอลท์ แม้กระทั่งฉากมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายก็ยังมีอะไรงี่เง่า เช่น ไอ้มอเตอร์ไซค์สองคันนั่นโผล่มาทำไม โผล่มาแล้วไม่ยิง โชว์ผาดโผนเล่น ให้อีธาน ฮันท์ยิงแล้วขโมยมอเตอร์ไซค์เล่น? งี่เง่าว่ะเอ็ง

แล้วผมจำได้ว่าหลังจากที่เดินออกมาจากโรง ผมกับเพื่อนแซวกันว่า “แม่งอย่างกับโฆษณาซัลซิล” คือทุกๆฉากสโลว์เราจะได้เห็นเส้นผมอันสลวยสวยเก๋พลิ้วสะบัดอย่างงดงาม! 

อ้อ ขอสารภาพอีกอย่าง เดี๋ยวนี้ทุกซีนที่เห็นนกพิราบบิน ผมอดขำไม่ได้แล้วว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ โคตรเชย!

แต่ก็อย่างว่า ฉากแอ็กชั่นของ M:I II ก็ยังพอจะมีอะไรบันเทิงอยู่บ้าง ฉากมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายก็ยังถือว่าเป็นฉากแอ็กชั่นที่สร้างสรรค์ สรุปคือหักลบกลบหนี้แล้วก็ยังพอดูได้เพลินๆ


Mission : Impossible III (2006)

+ ฉากเปิดเรื่องโคตรเจ๋ง กดดันตั้งแต่เริ่ม
+ ฟิลลิป เซย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมนคือผู้ร้ายที่ดีที่สุดในบรรดา 5 ภาค!
+ มีองก์สองที่แข็งแรงมาก! / ฉากสู้บนสะพานเจ๋งดี



“Alias เวอร์ชั่นผู้ชาย”... นิยามนี้ไม่ได้แปลว่าไม่ดี ผมว่ามันน่าสนใจมากนะ

ผู้กำกับ เจ.เจ.อับบลัมส์ตอนนั้นกำลังมาแรงเพราะซีรีส์ Alias ซีรีส์ทีวีที่พูดถึงชีวิตของสายลับสาวในแง่มุมที่ค่อนข้างจะดราม่าและสมจริง ดังนั้นถ้าเทียบกับ M:I II แล้ว M:I III ค่อนข้างจะมีโทนที่ดาร์คกว่า จริงจังกว่า เรียกว่าเอาแค่ฉากเปิดเรื่องก็บ่งบอกถึงความเป็นหนังภาคนี้ได้ดีแล้ว

ผมชอบฉากเปิดเรื่องที่ทอม ครูซตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเมียของเขา “จูเลีย” ถูกโอเวน ดาเวียน ตัวร้ายของเรื่องจับตัวและข่มขู่จะฆ่าเธอต่อหน้า

ผมชอบสไตล์ของฉากแอ็กชั่นที่ดูจริงจังกว่าสองภาคแรก

ผมชอบองก์สองของเรื่องที่ไล่ตั้งแต่การวางแผนลักพาตัวดาเวียน อารมณ์บีบคั้นบนเครื่องบิน ฉากต่อสู้บนสะพาน จนไปถึงตอนที่จูเลียถูกผู้ร้ายจับเป็นตัวประกันในขณะที่อีธานถูกหน่วยงานต้นสังกัดคุมตัว ทั้งๆที่แทบไม่มีเวลาจะไปช่วยเมียตัวเองแล้ว

ดาเวียนที่แสดงโดยฟิลลิป เซย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน นักแสดงมากความสามารถที่ล่วงลับไปแล้ว คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อารมณ์ของ M:I III บีบคั้น ถ้าไม่มีตัวร้ายตัวนี้ M:I III ก็คงจะจืดชืดไปเยอะ ตอนที่อีธานลักพาตัวดาเวียนและสอบปากคำบนเครื่องบิน อีธานพยายามถามเรื่อง “แรบบิทฟุท” อาวุธร้ายกาจที่กำลังตามหาอยู่ แต่ดาเวียนกลับทำหน้าเฉยแล้วบอกว่า แกชื่ออะไร มีเมียหรือคนรักไหม ฉันจะเชือดเธอต่อหน้าแก อะไรทำนองนี้ (จำคำพูดไม่ได้ทั้งหมด) ทั้งสีหน้าและท่าทางการแสดงของฮอฟฟ์แมนทำให้ดาเวียน “เป็นผู้ร้ายที่น่ากลัวมาก”

มันมีผลมากในตอนท้ายๆ เพราะหลังจากที่ทีมของอีธานถูกบุกชิงตัวดาเวียน มันทำให้คนดูรู้สึกว่า “ชิบหายแล้วมั้ยล่ะ”

ใช่ ไอ้อารมณ์แบบนี้แหละที่ทำให้ M:I III มีความเข้มข้นขึ้นมากถึงมากที่สุด

แต่น่าเสียดาย M:I III ก็ยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์ องก์สองของภาคนี้แข็งแรงมากจนรู้สึกว่าองก์สามของเรื่องแผ่วไปเลย ฉากไคลแม็กซ์ค่อนข้างจะ “โอเค” แค่ดันไม่ลุ้นเหมือนช่วงกลางๆเรื่อง และตอนที่จูเลียหยิบปืนขึ้นมายิงตัวร้ายได้อย่างกับนางเอกหนังบู๊น่ะ ผมรู้สึกฮาๆแฮะ เธอเป็นพยาบาล แต่สามารถยิงปืนมือเดียวได้อย่างสบายๆเนี่ยนะ? มันสะเทือนเอาเรื่องนะเธอ!

เรื่องพล็อต ผมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หนังไม่ได้เฉลยว่า “แรบบิทฟุต” คืออะไร ตรงนี้ผมไม่ได้ติดใจเหมือนคนอื่นๆ ถือเป็นกิมมิคขำๆ เพราะประเด็นอยู่ที่เรื่องอีธาน ฮันท์กับเมียมากกว่า แต่...ก็นั่นแหละ ไม่ได้แย่ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ....

ที่เสียดายอีกเรื่อง คงจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของลูกทีม ภาคนี้พยายามจะให้ลูกทีมมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แต่มีเวลาให้สานสัมพันธ์กันได้ไม่มาก เพราะสุดท้ายมันไปอยู่ที่อีธานกับจูเลียหมด... น่าเสียดาย...

เอาเป็นว่า ผมชอบ M:I III ตรงที่อารมณ์บีบคั้นตอนกลางเรื่องและการแสดงของฮอฟฟ์แมน รวมถึงแอ็กชั่นที่ดูจริงจัง ดุดัน โอเค?



Mission : Impossible - Ghost Protocol (2011)

+ สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ
+ ความสัมพันธ์ของลูกทีมและบทบาทของแต่ละคน
+ มีมุกตลกอยู่เยอะ



โคตรหนุกเลยว่ะ

คือตอนดู M:I GP ครั้งแรก ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยกับองก์สาม คือหลังจากฉากแอ็กชั่นในพายุทรายแล้ว รู้สึกจังหวะหนังแผ่วไปนิด 

แต่พอดูรอบหลังๆ รู้สึกว่าภาคนี้คือภาคที่ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบของจริง!

ผมชอบลูกทีมของภาคนี้มากที่สุด แต่ละคนมี “ช่วงจังหวะที่เด่นๆ” ของตัวเอง ทั้งตัวละครของเจเรมี่ เรนเนอร์, ไซมอน เพ็กก์ แล้วก็พอลล่า แพตตัน มันเป็นภาคที่ “ทอม ครูซ วันแมนโชว์” น้อยที่สุดแล้ว! ลูกทีมแต่ละคนจะมีหน้าที่ของตัวเอง มีบทบาทต่อภารกิจในแบบของตัวเอง และฉากแอ็กชั่นที่ “เฉลี่ยกันได้โชว์” ...แน่นอนว่าทอม ครูซต้องเด่นสุด แต่ถ้าเทียบกับภาคอื่นๆ นี่ถือว่ามีการเฉลี่ยบทบาทของเพื่อนร่วมทีมที่ลงตัวสุดแล้ว

ผมชอบฉากตอนที่ปีนตึกดูไบ ผมชอบฉากที่เจรจาต่อรองกันเพื่อซื้อรหัสสำหรับจรวดนิวเคลียร์ ผมชอบฉากแอ็กชั่นในพายุทะเลทราย

ถ้าจะมีอะไรติดใจสำหรับภาคนี้ คงจะเป็น “ตัวร้าย” ของเรื่อง หรือก็คือเฮนดริคส์ ตัวร้ายของเรื่องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ เขาเป็นคนฉลาด ทำให้ภารกิจของอีธานกับลูกทีมกลายเป็นงานยากขึ้น แต่... ผมรู้สึกว่าทำไมตัวละครตัวนี้มันถึงได้ “เก่งเกินจริง” ซะเหลือเกิน แถมตอนท้ายดันสู้กับอีธานได้เกือบจะสูสีซะงั้น... มันเหมือนกับเฮนดริคส์เป็นหนึ่งในทีม IMF มากกว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์เสียอีก เรียกว่าเป็น “ตัวร้ายที่ไม่น่าเชื่ออย่างรุนแรง” 

แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบแผนการของเฮนดริคส์สักเท่าไหร่ เอ่อ อะไรนะ? ยิงจรวดนิวเคลียร์เพื่อ...จะทำให้โลก “รีเซ็ท” ใหม่อีกรอบ? เพื่อจะสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาจากซากทำลายล้าง? อะไรวะ... มัน... แปลกๆว่ะ... มันโคตรจะการ์ตูนเลย!

ผู้กำกับ M:I GP คือแบรด เบิร์ด ผู้ที่มีผลงาน “ด้านการ์ตูน” เด่นๆอย่าง Iron Giant, Ratatouille, The Incredibles จริงๆเขาทำฉากแอ็กชั่นในหนังคนแสดงเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี มีคนบอกว่าฉากแอ็กชั่นของ M:I GP  ค่อนข้างมีโทนที่ “เบา” กว่าภาคอื่นๆ ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่ถ้าจะมีอะไรที่ตะขิดตะขวง มันก็คือไอ้เรื่องของตัวร้ายนั่นแหละ 

โดยรวม ผม “บันเทิง” กับ M:I GP มากนะ โดยเฉพาะรอบหลังๆที่รู้สึกว่าองก์สามก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าองก์สองของเรื่องสักเท่าไหร่ และถึงโทนของฉากแอ็กชั่นจะเบากว่าภาคแรกกับภาคสาม แต่ก็ยังดูได้หลายรอบกว่าภาคสองที่เน้นเรื่องสไตล์ซะเยอะเกินพอดีแน่ๆ



Mission : Impossible – Rogue Nation (2015)

+ ฉากบู๊โคตรมันกำลังดี ไม่หนักไปไม่เบาไป
+ ตัวละครหญิงที่ดีกว่าทุกๆภาค
+ วิธีจัดการตัวร้ายสะใจมาก!



ฟู่... M:I RN มันบันเทิงมาก บันเทิงไม่แพ้ M:I GP เลยทีเดียว

ผู้กำกับภาคนี้คือ คริสโตเฟอร์ แมคควารี่ (ชื่ออ่านโคตรยาก ถ้าอ่านผิดก็ขออภัยครับ) ผู้กำกับ Jack Reacher ซึ่งผม “ค่อนข้างจะโอเค” ไม่ได้ถึงกับประทับใจอะไร ก็สนุกดี ดังนั้นพอได้ยินว่ามากำกับ M:I RN จึงค่อนข้างเป็นห่วง

แต่พูดได้ดูจริง ความเป็นห่วงก็หายไปในทันที 

ผมชอบที่ M:I RN เหมือนเอาข้อดีจากหนังทุกๆภาคมารวมกัน 

ผมฉากไตเติ้ลที่ให้อารมณ์แบบเดียวกับของภาคแรก

ผมชอบที่ตัวละครหญิงชื่อ “อิลซ่า เฟาส์” มีบทบาทสำคัญคล้ายกับไนย่าในภาคสอง แต่น่าสนใจกว่ากันเยอะ 



ผมชอบที่หนังมีจังหวะของฉากแอ็กชั่นเหมือนภาคสามกับ M:I GP แต่โทนไม่ได้จริงจังไป แล้วก็ไม่ได้เบาไป โดยเฉพาะฉากไล่ล่ามอเตอร์ไซค์ที่ผมต้องซู้ดปากด้วยความมัน  

ผมชอบที่มันมีฉากหลอกล่อตัวร้ายให้เข้ามาติดกับเหมือนกับภาคแรก โดยเฉพาะฉากใช้กระจกขังผู้ร้ายแล้วเพลงธีมก็ดังขึ้น รู้สึกสะใจจนอยากจะร้อง “เจ๋งว่ะ” ออกมาดังๆ อารมณ์ของฉากนั้นสมบูรณ์มาก ทั้งจังหวะที่พวกลูกทีมยกกระจกขึ้นมากันผู้ร้ายรอบด้าน แล้วก็จังหวะเพลงประกอบที่ลงตัวพอดี

ถ้าเทียบกับ M:I GP จังหวะการเดินเรื่องของ M:I RN ค่อนข้างจะช้ากว่าหน่อย แต่ไม่ถึงกับอืดเหมือนภาคแรก โดยรวมแล้วถือว่าโอเค

แต่ผมคาใจ M:I RN อยู่สองเรื่อง

หนึ่ง เรื่องลูกทีม ภาคที่แล้วลูกทีมมีบทบาทสำคัญมาก แต่ละคนจะได้โชว์ของในฉากแอ็กชั่นในแบบของตัวเองอย่างที่ว่าไปแล้ว แต่ภาคนี้... ฉากแอ็กชั่นที่โดดเด่นยังคงเป็นของทอม ครูซเหมือนเดิม เหมือนจะกลับมาเป็น “ทอม ครูซ วันแมนโชว์” แบบกลายๆ เจเรมี่ เรนเนอร์มีบทบาทสำคัญในภารกิจน้อยกว่าภาคก่อนๆ (แต่ก็ยังมีบทบาทสำหรับการดำเนินเรื่องอยู่) ส่วนใหญ่จะเป็นไซมอน เพ็กก์กับรีเบกก้า เฟอร์กุสันที่แสดงเป็นอิลซ่า เฟาส์ รายหลังน่ะโอเค แต่ไซมอน เพกก์นี่ ผมรู้สึกว่ามันขัดๆแบบแปลกๆพิกล ถึงส่วนใหญ่จะฮาๆอยู่เหมือนเดิม (แต่นั่นแหละ ที่มันทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยคลิ๊กเท่าไหร่)

สอง ตัวร้ายที่ชื่อ “เลน” ... ผมคิดว่าตัวร้ายเหมือนจะดีกว่าของ M:I GP แต่ผมไม่ค่อยชอบการแสดงเท่าไหร่ อารมณ์มันเหมือนกับตัวร้ายของ Jupiter Ascending ไม่ค่อยชอบวิธีการทำเสียงแปลกๆ การแสดงที่พยายามจะให้ดูนิ่งแต่แอบร้ายโรคจิตอะไรทำนองนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยังไง แต่... มันไม่โดนแฮะ คนที่แสดงเป็น “เลน” เคยแสดงใน Prometheus มาก่อน ในบทของลูกทีมที่ทำหัวพังค์... และผมก็ไม่ชอบบทของไอ้หมอนั่นเหมือนกัน... 

บางทีถ้าเลือกนักแสดงที่ดีกว่านี้มาเป็นตัวร้าย M:I RN อาจจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ก็ได้นะ


สรุป M:I ทั้งห้าภาค... ภาคไหนดีที่สุด?

ตอบยากว่ะ ตอบยากจริงๆ เอาเป็นว่า "ชอบภาคไหนมากที่สุด" อาจจะง่ายกว่า 

ผมเกลียดภาคสองที่สุดแน่ๆ ส่วนภาคสามคืออยู่ลำดับรองบ๊วยแน่ๆ

แต่ภาคแรก, M:I GP และ M:I RN ผมเลือกไม่ถูก มันมีจุดเด่นและจุดด้อยที่ต่างกัน

ภาคแรกผมชอบที่อารมณ์แบบหนังสายลับระทึกขวัญ การตัดต่อ เพลง บรรยากาศของมัน 

M:I GP ผมชอบฉากที่มันสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ และความสัมพันธ์กับบทบาทของลูกทีม

M:I RN ผมชอบที่ฉากแอ็กชั่นซึ่งเจ๋งและเร้าใจกว่าทุกๆภาค (ใช่ แม้แต่กับภาคสองที่กำกับโดยจอห์น วู เจ้าพ่อหนังแอ็กชั่นฮ่องกงก็ตาม) ชอบตัวละครหญิงที่มีบทบาทน่าสนใจกว่าทุกๆภาค แล้วก็ชอบวิธี “จัดการกับตัวร้าย” มากกว่าทุกๆภาค

ตกลงแล้ว... ให้ตายเถอะ ตัดสินใจยากว่ะ ตอนนี้ขอแบบนี้ก่อนแล้วกัน

(แกะรหัสกันเอาเอง) M:I RN = M:I GP > M:I > M:I III > M:I II 

ตามนี้!  




Create Date : 31 กรกฎาคม 2558
Last Update : 31 กรกฎาคม 2558 20:56:44 น.
Counter : 9582 Pageviews.

2 comment
เมื่อเอา Predator (ปี 1987) กลับมานั่งดูใหม่ในปัจจุบัน...
ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ 

Predator ปี 1987 ของจอห์น แมคเทียแนน (Die Hard) และมีอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์เป็นพระเอกนั้น จริงๆมันคือหนังดวงใจของผม ดูมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ หลายๆครั้งก็ยังรู้สึกทึ่งอยู่เหมือนเดิม

แต่วันนี้พอกลับเอามาดูใหม่ ยิ่งเวลาได้ดูต่อจาก Terminator 2 : Judgment Day ทันทีด้วยแล้ว รู้สึกเลยว่า “หนังเรื่องมันเก่าและเชยไปตามกาลเวลาเสียแล้ว” 



ใช่ เชยไปในทุกๆด้าน ทั้งตัวละคร มุมกล้อง และการตัดต่อ จากที่เคยรู้สึกว่ามันเจ๋งก็เริ่มรู้สึกว่า “มัน... เอ่อ แปลกๆว่ะ” แทนเสียแล้ว ในขณะที่ T2 หรือ Mad Max : The Road Warrior ทุกวันนี้เอากลับมาดูอีกรอบยังรู้สึกว่ามันเวิร์กในหลายๆด้าน แต่กับ Predator มันไม่ใช่ ฉากที่พรีเดเตอร์อยู่ในโหมดอำพรางตัวแล้วก็ล่าพวกตัวเอกไปเรื่อยๆนั้น ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามัน “ชักช้า” การเคลื่อนไหว มุมกล้อง และจังหวะการตัดต่อมันชวนให้ขัดใจแบบแปลกๆ 

บางทีคงถึงเวลาที่ต้องยอมรับว่า ผมมองหนังเรื่อง Predator ผ่านมุมมองแบบ nostalgia (รำลึกอดีต) มันไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์หรือดีมากนัก แต่ก็ยังมีอะไรที่ยังรู้สึกเจ๋งๆอยู่เหมือนเดิมหากคิดว่ามันเป็นหนังยุค 80



อันดับแรก : ผมยังชอบที่ไอเดียของเรื่องอยู่ Predator เป็นส่วนผสมของหนังแอ็กชั่นยุค 80 หลายเรื่องอย่าง Rambo หรือ Commando บวกเข้ากับหนังสยองขวัญสไตล์ Alien, Nightmare on Elm Street หรือหนังนักเชือดอย่าง Halloween เพียงแต่เปลี่ยนเหยื่อจากตัวละครวัยรุ่นหรือสาวๆ กลายมาเป็นทหารกล้ามโตแทน

พวกดัทช์ (อาโนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์) เปิดฉากให้เป็นพวก “สุดแกร่ง” พูดจาหยอกล้อกันเชยๆ กวนโอ๊ยกันเชยๆ สู้รบปรบมือกับศัตรูโดยไม่หวาดกลัวอะไร พกปืนกระบอกโตยิงใส่อย่างเมามัน แต่ไปๆมาๆเหล่าทหารผู้ทะนงตนกลับถูกตามเชือดทีละคนสองคนจนเหลือเพียงแค่คนเดียวเสียอย่างนั้น! เรียกว่าความอวดดีในตอนต้นเรื่องหายไปหมด






อันดับสอง : วิธีการซ่อนตัวของพรีเดเตอร์ทำให้ได้ผลเหมือนกับ Alien หรือ Halloween ภาคแรก เราแทบไม่เห็นตัวพรีเดเตอร์แบบชัดๆเลยจนกระทั่งตอนไคลแม็กซ์ของเรื่องที่จะได้เห็นแบบเต็มตัว เพราะซ่อนไว้ตลอดทั้งเรื่อง ตอนเปิดตัวแบบเต็มๆตาครั้งแรกมันถึงได้คลาสสิค

อีกอย่าง Predator เท่ตรงที่มันเป็นมนุษย์ต่างดาววายร้าย แต่มันก็แค่ชอบ “การล่า” เป็นจิตใจ เหมือนกับที่มนุษย์ล่าสัตว์แล้วเอาหัวไปทำเป็นรางวัลหรือของประดับ มันจะทำร้ายแค่พวกที่ถืออาวุธ และไม่ฆ่าผู้หญิงที่ไม่ถืออาวุธหรือสู้ไม่เป็น ทำให้พรีเดเตอร์เป็นวายร้ายที่ "แมน" มาก มันเลือกเหยื่อ และถือว่าการได้สู้กับเหยื่อคือกีฬาประเภทหนึ่ง





อันดับสาม : ฉากไคลแม็กซ์ยังคงคลาสสิคอยู่ อาร์โนลด์ถูกไล่ต้อนจนมุม แต่กลับพบจุดอ่อนของพรีเดเตอร์ที่คาดไม่ถึง คือสายตาอินฟราเรดของมันมองไม่เห็นดัชที่ถูกปกคลุมไปด้วยโคลน! เขาจึงตัดสินใจหันมาสู้กับพรีเดเตอร์โดยตรงด้วยการวางกับดักครั้งสุดท้ายบวกกับการใช้จุดอ่อนด้านการมองเห็นของพรีเดเตอร์ให้เป็นประโยชน์ ทำให้ Predator เป็นหนังแอ็กชั่น,ไซไฟ,เขย่าขวัญ (สยองขวัญ) ที่ดูมีสมองขึ้นมาหน่อย ไม่ใช่แค่หนังโหดๆที่มีสัตว์ประหลาดไล่เชือดไปเรื่อยๆ หรือหนังชายกล้ามโตยิงปืนใส่ผู้ร้ายไม่เลี้ยงเพียงอย่างเดียว 






ถึงฉากที่อาร์โนลด์กับพรีเดเตอร์สู้กันแบบตัวต่อตัว มันจะดูเชยไปแล้วทั้งเรื่องมุมกล้องและจังหวะการตัดต่อ ตอนที่ดวลหมัดกันมีการใช้มุมมองของพรีเดเตอร์ที่เป็นสีแดงเกือบทั้งหมดจนทำให้ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง (รู้แต่อาร์โนลด์โดนต่อยท่าเดียว) 





แต่มาถึงปัจจุบันนี้ ผมยังนึกหนังแอ็กชั่น,ไซไฟ,สยองขวัญที่มีฉากตัวเอกวางแผนสู้ตัวต่อตัวเพื่อเอาชีวิตรอดกับศัตรูที่เป็นวายร้ายต่างดาวแบบนี้ แล้วทุกอย่างมันยังออกมาเจ๋งจนขึ้นหิ้งคลาสสิคแบบนี้ไม่ค่อยออกเลยแฮะ อาจจะมีแต่ก็คงไม่รู้สึกว่ามันน่าจดจำเท่ากับของ Predator กระมัง ถึงนึกไม่ค่อยออก 

เพราะอย่างนี้ผมถึงยังยกให้ฉากไคลแม็กซ์ของ Predator เป็นฉากคลาสสิคตลอดกาลอยู่ยังไงละ!






Create Date : 27 กรกฎาคม 2558
Last Update : 27 กรกฎาคม 2558 21:50:25 น.
Counter : 4253 Pageviews.

0 comment
Man of Steel ไม่ใช่หนังดีแต่ผมชอบมันว่ะ (+ ความเห็นเรื่อง Batman v Superman)
ไม่รู้ว่า Man of Steel จะถือว่าเป็นหนัง Guilty pleasure สำหรับผมได้หรือเปล่า Guilty pleasure คืออะไรก็ตามที่เรารู้ว่ามันไม่ดี ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเรา แต่ก็ยังชอบที่จะกินหรือทำมัน กรณีของหนัง ส่วนใหญ่จะหมายถึงหนังที่ทุกคนมองว่า “แย่” หรืออาจจะล้มเหลวบนบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่ “ฉันชอบว่ะ” อารมณ์ทำนองนั้น

ผมเป็นแฟนบอย DC Comics แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องตามปกป้องหนังของ DC ทุกเรื่อง ผมเกลียด Batman & Robin แม้จะเป็นแฟนแบทแมน ผมเกลียด Green Lantern ไม่ได้ชอบอะไร Superman Returns มากนัก ขณะเดียวกัน ผมชอบหนัง Marvel (ทั้งจากของค่ายอื่นและที่สร้างเอง) อย่าง X-men, X2, X-men : First Class กับ Days of the Future, Iron Man, Guardian of the Galaxy, Captain America : The Winter Soldier หลักฐานคือบทความนี้

Man of Steel เป็นหนังมีปัญหาจริง หลายๆจุดผมเห็นด้วยกับคนที่ไม่ชอบหรือเกลียด เช่น บางซีนที่มีการนำเสนอแปลกๆ อย่างการตายของโจนาธาน เค้นท์ (เควิน คอสต์เนอร์) ที่จู่ๆก็หายไปกับพายุ (ก๊าก อันนี้ฮามาก), จังหวะการเล่าเรื่องที่แทรกฉากในอดีตมาแบบไม่สัมพันธ์กับตัวเหตุการณ์ในปัจจุบันมากนัก คนบางคนเลยรู้สึกเบื่อ แล้วก็ที่เห็นด้วยจริงๆคือ มันมีการทำลายล้างมากเกินไป... มากเกินไปจริงๆให้ตายเถอะ แม้แต่ตัวผมเองที่ชอบหนังเรื่องนี้ ตอนดูอีกรอบเมื่อเร็วๆนี้ยังคิดในใจว่า “เฮ้ย พอเถอะ พอได้แล้ว มันเยอะไปแล้ว!”


(Smileyฉากนี้สวย แต่น่าขำตรงที่ดาวกำลังระเบิด โลกกำลังสะเทือน แต่ชียืนได้นิ่งงดงามมาก!)


(Smileyโจนาธาน เค้นท์ถูก "กลืนหาย" มากกว่าจะถูกพายุพัดนะ ฉากนี้ดูกี่ทีก็รับไม่ได้จริงๆ)



สคริปท์เรื่องนี้ ความเห็นส่วนตัวคือไม่ได้ดีแต่ก็ไม่ได้ห่วยแตก ผมรู้สึกว่าเดวิด โกเยอร์เป็นนักเขียนบทที่ไอเดียเข้าท่าแต่การเขียนบทค่อนข้างเห่ย ผมไม่ชอบบทใน Batman Begins ที่โกเยอร์เป็นคนเขียนมากนัก แต่บางส่วนมันอาจจะออกมาดีได้เพราะมีคริสโตเฟอร์ โนแลนมาร่วมเขียนด้วย ในขณะที่ Man of Steel เป็นของเดวิด โกเยอร์คนเดียวเน้นๆเลย และแซค สไนเดอร์เป็นผู้กำกับที่เก่งด้านวิชวล แต่ความสามารถในการเล่าเรื่องถือว่าอยู่ระดับกลางๆ มีทั้งดีทั้งแย่ผสมกัน ผลเลยออกมาที่ Man of Steel ไม่ใช่หนังที่ลงตัวมากนัก

ผมเข้าใจคนที่เกลียดหนังเรื่องนี้ ผมเห็นประเด็นในหลายๆอย่างที่เขาว่ามา แต่ผมก็ชอบมันจริงๆว่ะ



อันดับแรก ผมไม่สนใจเรื่องที่อารมณ์ของหนังซูเปอร์แมนจะเคร่งเครียด อาจเป็นเพราะผมอ่านคอมมิคหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เลยรู้สึกว่ารับได้ถ้าเรื่องราวของซูเปอร์แมนหรือโลกของ DC Comics นับจากนี้จะเป็นไปในโทนมืดๆ จริงจัง ไม่เหมือนกับ Marvel ที่จะไปทางตลกหรือไม่ซีเรียสมากนัก อีกประเด็นคือ หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ 9-11 เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เหมือนกับปลุกคนอเมริกาให้ตื่นจากฝัน มารับรู้ความเป็นจริง หลังจากนั้นมุมมองของฮีโร่หลายๆตัวก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่แบทแมน แต่ยังรวมถึงเจมส์ บอนด์หรือแม้แต่ลาร่า ครอฟท์ (Tomb Raider) ผู้คนต้องการอะไรที่ “จริง” มากขึ้น เข้าถึงมากขึ้น ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่จะพาคนดูไปสู่ความเพ้อฝันเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว ดังนั้นถ้ามองในแง่มุมนี้ ผมคิดว่าโทนซีเรียสก็ไม่เลวนัก

แล้วผมก็ชอบวิธีที่หนังเซ็ทอัพอารมณ์ตอนที่ซอดกำลังจะบุกโลกด้วยการส่งข้อความถึงโลกกับคาเอล (ซูเปอร์แมน) ก่อน คือมันได้อารมณ์แบบผู้ก่อการร้ายประกาศจะขู่ทำลายล้างหากไม่ทำตามความต้องการ มันจึงเป็นทั้งอารมณ์แบบหนังว่าด้วยการก่อการร้ายและหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกในจังหวะเดียวกัน ดูแล้วน่าพรั่นพรึง


(Smiley ฉากนี้สไนเดอร์บิ้วอารมณ์ได้ดีมาก)


อันดับสอง ข้อนี้คือข้อที่ผมโดนใจที่สุด Man of Steel เล่าเรื่องซูเปอร์แมนในแง่มุมของตัวละครที่สับสน พยายามจะหา “ที่ลง” ของตัวเองในสังคมมนุษย์ เป็นความโดดเดี่ยวของผู้มีพลัง อารมณ์พวกนี้มีปรากฏอยู่ในคอมมิคอยู่ไม่น้อย และผมก็พอใจมากที่ได้เห็นมันปรากฏอยู่บนจอใหญ่บ้าง มันมีสาเหตุว่าทำไมผมถึงชอบแบทแมนมากกว่าซูเปอร์แมน นั่นก็เพราะผมมองว่าคาแร็กเตอร์คือตัวละครน่าเบื่อ เขาเป็นดั่งเทพ ทรงพลัง เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเสน่ห์ เป็นตัวแทนของสิ่งที่ทุกๆคนก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง “ถ้าบินได้แบบซูเปอร์แมนก็คงจะดี” “ถ้าทรงพลังแบบซูเปอร์แมนได้ก็คงจะดี” “ถ้ามีเสน่ห์กล้ามใหญ่ๆเหมือนซูเปอร์แมน สาวๆก็คงชอบ” บลาๆๆ 

แต่จริงๆแล้วการเป็นซูเปอร์แมนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย 

ซูเปอร์แมนมีบุคลิกในแบบที่เรียกว่า needy คือต้องการการยอมรับจากคนอื่นสูง ในขณะที่แบทแมนจะเป็นประเภท “ใครจะด่าตูก็ช่าง ตูจะทำ ใครจะทำไม” แต่ซูเปอร์แมนคือความโดดเดี่ยวในโลกใบนี้ เขารู้ว่าตัวเองมีพลังที่คนอื่นไม่มี เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นลูกแท้ๆของครอบครัวเค้นท์ เขารู้ว่าเขาไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วๆไป มีคนยกย่องเขาเป็นเหมือนเทพเจ้า พอๆกับที่มีคนเกลียดเขาเพราะเพียงแค่ความเป็นเอเลี่ยน (เช่น เล็กซ์ ลูธอร์... ชื่อนี้จริงๆเขาอ่านว่าลูธอร์น่ะนะ)

ฉะนั้นในคอมมิคหรืออนิเมชั่น เวลาที่ซูเปอร์แมนจะทำอะไร เขาต้องแน่ใจว่าคนอื่นๆจะยอมรับได้ด้วย ซูเปอร์แมนจึงต้องคอยเก็บพลังของตัวเองไม่ให้ใช้ออกมาเต็มที่ พยายามรักษาความเสียหายให้น้อยที่สุด

แต่ Man of Steel เต็มไปด้วยความพินาศแบบไร้เหตุผลเลยนะ! ถูกครับ ข้อนี้ผมเห็นด้วย แต่ลองมองดูดีๆ นี่คือ Superman Begins ซูเปอร์แมนเพิ่งจะเรียนรู้ว่าตัวเองมีพลัง เพิ่งจะลองเหาะเป็นครั้งแรก เพิ่งจะลองสู้เป็นครั้ง เพิ่งจะลองปล่อยแสงออกจากตาเป็นครั้งแรก ทุกอย่างคือครั้งแรกหมดสำหรับซูเปอร์แมน เพราะฉะนั้นข้อนี้ผมถึงพอจะหยวนได้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเป็น “เทพ” อันนี้ต้องเข้าใจนิดว่าสำหรับ DC Comics แล้ว เขาจะมองซูเปอร์ฮีโร่ของเขาเป็นเหมือนกับ “ตำนานเทพ” พวกซูเปอร์ฮีโร่เป็นเหมือน demi-god เป็นผู้ที่มีพลังรองลงมาจากเทพเจ้า (พวก old god อย่างซูสหรือฮาเดส หรืออะไรทำนองนั้น) แต่ในสายตามนุษย์ ฮีโร่ของ DC เป็นเหมือนเทพเจ้าเดินดิน ส่วนแบทแมน (ตัวละครที่เป็นมนุษย์ ไม่ได้มีพลังพิเศษ) ก็จะเป็นเหมือนพวกผู้กล้าอย่างเฮอคิวลิสหรือเจสัน (อาร์โกนอท) 


(Smiley ผมชอบอารมณ์ตอนที่คลาร์กเป็นเด็กและพลังของตัวเองเพิ่งตื่นเป็นช่วงแรกๆ รู้สึกได้เลยว่ามันทั้งแปลกแยกและทุกข์ทรมานเอาเรื่อง)


(Smiley ผมชอบเวลาที่ได้เห็นฮีโร่ออกค้นหาตัวเองแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบรูซ เวย์นหรือคลาร์ก เค้นท์ก็ตาม บางทีมันอาจจะสะท้อนถึงความรู้สึกลึกๆในตัวผม ที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็เป็นได้)


(Smiley เพิ่งจะลองใช้ครั้งแรก ยังควบคุมได้ลำบากเป็นของธรรมดา รวมถึงการใช้พลังในการต่อสู้ก็ด้วย)



อันดับสาม ผมชอบฉากต่อสู้ในหนังเรื่องนี้ โอเคๆ ผมเข้าใจว่ามันทำลายล้างเกินอะไรชนิดไมเคิล เบย์ยังต้องอึ้ง ขยับนิดเดียวเป็นระเบิดกระจุยพังพินาศ บ้านเมืองเสียหายชนิดที่ยิ่งกว่ากอซซิลล่าบุก แต่วิธีการนำเสนอมันเป็นวิธีการที่ผมอยากเห็นในหนังมานานแล้ว คือการต่อสู้ของมนุษย์ต่างดาวที่เร็ว แรง ดุดัน มีคนบอกว่ามันเหมือน Dragonball เหมือนชาวไซย่าสู้กัน แต่... ทำไมไม่ลองคิดกลับกันดูบ้างล่ะครับว่า Dragonball ก็มีบางส่วนที่หยิบยืมมาจากซูเปอร์แมนเหมือนกัน เหมือนเจอศัตรูที่เหาะเหินเดินอากาศได้เหมือนกัน มันจะยังมีวิธีการสู้อย่างอื่น “ที่ไม่งี่เง่า” อยู่ด้วยงั้นหรือ ถ้าจะมีการหยิบยืมมาใช้กันบ้าง มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? 

อะไรนะ? ถ้าตูอยากดู Dragonball ตูก็จะไปดู Dragonball แต่ตูอยากดูซูเปอร์แมน?

ไม่เอาน่า ข้อประชดประชันอันนี้ไร้สาระมาก แบบนี้มันก็พูดกับหลายๆเรื่องได้ เพราะส่วนใหญ่หนังหลายเรื่องๆก็จะมีการหยิบยืมกันมาใช้อยู่แล้ว เช่น ฉากยิงสโลว์โมชั่นของ The Matrix ก็หยิบยืมมาจากหนังฮ่องกงหรือไม่ก็พวกหนังโฆษณาหรือมิวสิควีดีโอ คือถ้าจะเล่นมุกด่าแบบข้างต้น ผมว่ามันก็เอามาใช้ได้กับหนังทุกเรื่อง เช่น Captain America : The Winter Soldier “ตูอยากดูกัปตันอเมริกา ถ้าตูอยากดู Bourne ตูก็จะไปดู Bourne” อะไรแบบนี้เป็นต้น...

อย่างไรก็ตาม ถ้าฉากแอ็กชั่นลดความพินาศอย่างไร้เหตุผลลงบ้าง เสียหายน้อยกว่านี้บ้าง บางทีคนอาจจะรับได้ระดับหนึ่งก็ได้นะครับ เพราะเสียงส่วนใหญ่ที่บ่นๆกันมาคือ “ฉากต่อสู้ไคลแม็กซ์น่าเบื่อ” ทั้งๆที่ชกกันตูมตาม... ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจเสียงวิจารณ์ข้อนี้นะ


(Smiley ยกมือสารภาพสองข้างเลยว่า "ผมชอบฉากต่อสู้นี้")


(Smiley บึ้ม!)


(Smiley บึ้ม!)


(Smiley บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!)



โดยรวมแล้ว Man of Steel เป็นหนังน่าผิดหวังถ้ามองในแง่มุมโดยรวม แต่จะบอกว่าเป็นหนังห่วยเลยมันก็ "สุดโต่งเกินไป" (ยกเว้นแต่คุณจะเป็นพวกรักก็รักเลย เกลียดก็เกลียดเลย ไม่มีตรงกลาง) จริงๆมันมีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ มีการเซ็ตประเด็นเกี่ยวกับตัวซูเปอร์แมนและโลกในมุมมองหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 9-11 ถ้าอย่างเก่งแล้วผมให้เรื่องนี้ 7 เต็ม 10 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลที่สุดในมุมมองส่วนตัวครับ


(เสริม)

คิดยังไงกับ Batman V Superman : Dawn of Justice?

ครับ ในฐานะคนที่เคยอ่าน The Dark Knight Returns ที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของเรื่องนี้ และเคยอ่าน Justice League มาพอสมควรโดยเฉพาะ New 52
ผมรู้สึกว่า “มันน่าสนใจ” ครับ

BvS (ขอย่อๆ) เน้นย้ำอารมณ์อย่างที่ผมว่ามาในข้างต้นเกือบทั้งหมด เช่น ในตัวอย่าง เราจะเห็นบรูซ เวย์นวิ่งเข้าไปในฝุ่นควันขณะที่ตึกกำลังถล่มเพราะซูเปอร์แมนสู้กับซอด อารมณ์ตรงนั้นทุกคนเห็นตรงกันว่า “อย่างกับเหตุการณ์ 9-11” เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ หนังทุกเรื่องของ DC ก็คงจะเล่นอารมณ์แบบนี้เหมือนกันหมด 


(Smiley บรูซ เวย์นวิ่งฉากนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ก่อการร้ายที่สะเทือนขวัญกันเมกันมาแล้ว)



หรือสถานะที่ซูเปอร์แมนเป็นเหมือน “พระเจ้าเดินดิน” มันคืออารมณ์คล้ายๆกับ Infinite Crisis ที่โลกมองเห็นฮีโร่เป็นผู้ที่มีอำนาจดุจพระเจ้า จึงเริ่มมีทั้งคนยกย่องและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ซึ่งผมคิดว่ามันสมเหตุสมผลกับคนในยุคนี้ที่พอเห็นใครมีอำนาจเกินไป จะเริ่มมีคนกลุ่มหนึ่งตั้งแง่เพื่อทอนอำนาจนั้นลงทันที ในความเป็นจริงถ้ามีคนแบบซูเปอร์แมนเกิดขึ้น ก็คงไม่เหมือนกับหนังหรือในคอมมิคสมัยก่อนที่จะมองไปในแง่บวกหรือยกย่องเพียงอย่างเดียวแล้ว


(Smiley มันก็สมจริงดีถ้าจะมีคนแบบซูเปอร์แมนมาอยู่ในโลกนี้จริงๆ)


(Smiley ซูเปอร์แมนถูกสร้างภาพลักษณ์เป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับคนบางกลุ่ม)



หรือโทนเรื่อง “เทพเจ้าปะทะมนุษย์” ก็ด้วย ฉากที่แบทแมนเผชิญหน้ากับซูเปอร์แมน  มันเหมือนกับเฮอคิวลิสกำลังเผชิญหน้ากับซูสก็ไม่ปาน ถ้ามองในแง่มุมของตำนานกรีกเหมือนอย่างที่ DC พยายามจะนำเสนอมาตลอด ผมคิดว่าประเด็นนี้น่าสนใจเอามากๆ


(Smiley เฮอคิวลิสปะทะซูส!)


แต่ที่น่าเป็นห่วง?

แน่นอนว่าผมเป็นห่วงการเล่าเรื่องของแซ็ก สไนเดอร์ ผมคิดว่าแซ็ก สไนเดอร์ไม่ใช่ผู้กำกับที่เล่าเรื่องเก่ง แต่งานด้านภาพออกมาสวยมาก 300 เป็นงานที่ภาพสวย แต่เนื้อหาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ Sucker Punch นี่ติดอันดับ “หนังยี้” สำหรับผมไปตลอดกาล จึงค่อนข้างเป็นห่วงว่า BvS จะออกมาอีท่าไหน

ผมเป็นห่วงเรื่อง “การทำลายล้างที่มากเกิน” เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นใน Man of Steel

ผมเป็นห่วงเรื่องที่ “ตัวละครเยอะมาก” เพราะนอกจากซูเปอร์แมน แบทแมน กับวันเดอร์วูแมนแล้ว ยังจะมีแฟลช, อควอแมน หรือกรีนแลนเทิร์นโผล่ออกมาอีก... ในหนังเรื่องเดียวกันเนี่ยนะ? แล้วยังมีข่าวลือว่าจะมีศัตรูโคตรแกร่งระดับดูมเดย์ออกมาอีก! ฮ่วย! มันจะเยอะเกินไปแล้ว!

ก็คงต้องรอตัวหนังจริงๆละนะ...




Create Date : 26 กรกฎาคม 2558
Last Update : 26 กรกฎาคม 2558 11:27:24 น.
Counter : 2070 Pageviews.

0 comment
หนังของ Marvel ที่ชอบที่สุดในสายตาแฟนบอยของ DC Comics?
ผมเป็นแฟนบอยของ DC Comics โดยเฉพาะแบทแมน (นี่คือบทความตัวอย่างที่แสดงความเป็นแฟนบอย) ผมตามอ่านอีเว้นท์ของ DC มากกว่าของ Marvel อาจจะเพราะถูกโฉลกกับคาแร็กเตอร์ของ DC มากกว่า ตัวอนิเมชั่นผมก็ตามแต่ของ DC
อย่างไรก็ตาม ผมตามดูหนังของ Marvel (ที่เจ้าตัวผลิตเอง ไม่นับพวก X-men หรือ Spider-man) ทุกเรื่อง 

ถ้าให้พูดกันแบบไม่ลำเอียง... หนังของ Marvel สนุกทุกเรื่องจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นหนังที่ดูได้แค่ไม่กี่รอบ หลายๆเรื่องคือรอบเดียวก็รู้สึกพอแล้วแม้คุณภาพหนังจะโอเคก็ตาม! เชื่อหรือไม่ว่าผมดู The Avengers แค่เพียงหนึ่งรอบครึ่งเท่านั้น ขณะดูรอบสองได้ครึ่งเรื่องผมหมดความสนใจแล้วหันไปหาซีรีส์ดูซะงั้น! ถ้าผมจะดู The Avengers อีกรอบ ผมอยากจะข้ามมันไปดูครึ่งเรื่องหลังเลย เพราะยอมรับว่าครึ่งเรื่องหลังมีฉากแอ็กชั่นที่เจ๋ง (ล่าสุดคือ The Avengers : Age of Ultron และ Ant-man ...ถ้าจะให้พูดถึงหนังสองเรื่องนี้ เอาเป็นว่าไม่ได้ถึงกับประทับใจมากน่ะนะ...)

แต่! แต่! ในบรรดาหนัง Marvel ทั้งหมด มันมีหนังอยู่สามเรื่องที่ผมชอบมาก 



อันดับสามคือ Iron Man (ภาคแรก) 

ผมชอบมันตั้งแต่ตอนดูในโรงหนัง และพอออกมาเป็นแผ่น ผมก็ดูไม่รู้ตั้งกี่รอบ มันสนุก เต็มไปด้วยความบันเทิง ในขณะเดียวกันคาแร็กเตอร์ของโทนี่ สตาร์คก็ค่อนข้างแข็งแรง (แม้จะไม่เหมือนหนังสือการ์ตูนซึ่งค่อนข้างจะมีบุคลิกซีเรียสกว่าในหนัง)


(Smiley ผมชอบซีนนี้ทั้งซีนเลยนะ)



อันดับสองคือ Guardian of the Galaxy

ผมชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่ตัวอย่างหนัง พอได้ดูในโลกก็ชอบมาก และซาวด์แทร็กของเรื่องนี้ก็ฟังไม่รู้ตั้งกี่รอบ ผมชอบฟังเพลง retro อยู่แล้ว เพลงยุค 70-80 หลายเพลงก็ยังคงดังก้องในใจ หนังมีความเป็น space-opera ที่สนุก ความแข็งแรงของเรื่องนี้อยู่ที่คาแร็กเตอร์ตัวเอกแต่ละตัวที่โดดเด่น การเฉลี่ยบทที่ทำได้ทั่วถึงทั้งๆที่เป็นตัวละครหน้าใหม่เกือบหมด (แถมยังเป็นฮีโร่เกรด B ในคอมมิคเสียด้วย) ไม่ใช่แค่มีฉากตลกและฉากผจญภัยเจ๋งๆ แต่มันยังอารมณ์ดราม่าที่กำลังดี พูดง่ายๆคือ โทนหลายๆโทนในเรื่องถูกผสมอยู่ในหนังเรื่องเดียวชนิดไหลลื่นไม่รู้สึกสะดุด (ในขณะที่ Ant-man ผมรู้สึกว่าจังหวะมันสะดุดตลอดเรื่องเลย)


(Smiley ผมชอบร็อกเก็ตแรคคูนนะ แสบดีว่ะ)



แต่อันดับหนึ่ง! อันดับหนึ่งของหนังที่สตูดิโอ Marvel สร้างแล้วผมชอบที่สุดคือ!

Captain America : The Winter Soldier

โอ้ว แม่เจ้า ผมไม่ได้ชอบอะไรในตัวกัปตันอเมริกาเลย ผมรู้สึกว่ามันตัวละครเชยๆ เป็นพวกรักชาติเข้าไส้ เป็นวีรบุรุษแบบอเมริกันชน ซึ่งผมไม่ได้อินอะไรกับมันด้วย ผมไม่ได้ชอบแนว romantic hero (พระเอกกินอุดมการณ์) แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเสียเท่าไหร่ นี่คือสาเหตุที่ผมชอบแบทแมนมากที่สุด

แต่ในเรื่องนี้ ผมมีความรู้สึกชอบบุคลิก “ฮีโร่แบบเชยๆ” ของกัปตันอเมริกา มันเป็นบุคลิกที่ดูหลงยุค แต่นั่นทำให้บุคลิกของกัปตันอเมริกาดูมีเสน่ห์ ผมชอบที่ได้เห็นมุมมองของโลกปัจจุบันผ่านสายตาของคนรุ่นคุณลุงคุณปู่อย่างสตีฟ โรเจอร์ เพราะฉะนั้นเวลาที่กัปตันอเมริกาลงมือทำอะไรสักอย่างที่ดูมีความเป็นฮีโร่จ๋า ผมรู้สึกว่ามันเข้ากับตัวเขามากถึงมากที่สุด

ผมชอบโทนของ Captain America : The Winter Soldier มันให้อารมณ์แบบหนังสายลับอย่าง Bourne หรือ 007 หรือ Mission Impossible แต่เป็นหนังสายลับเวอร์ชั่นซูเปอร์ฮีโร่ ผมชอบฉากแอ็กชั่นที่ดู “ติดพื้นดิน” ให้อารมณ์จริงจังแบบหนังแอ็กชั่นชั้นดี ฉากบู๊ทำได้ “สร้างสรรค์” มากโดยเฉพาะวิธีการใช้โล่ของกัปตันอเมริกา ดูแล้วเพลิน ไม่เพียงเท่านั้น หนังยังให้ความสำคัญกับตัวละครตัวอื่นๆอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะนิค ฟิวรี่, แบล็กวิโดว์ แม้กระทั่งฟอลคอน ซึ่งรายหลัง ผมเซอร์ไพรส์มาก ไม่นึกว่าจะมีบทบาทที่เหมาะเจาะและลงตัวแบบนี้ 

แต่ที่ผมประทับใจสุดคือ “วินเทอร์โซลเจอร์” 

โอ้ว แม่เจ้า! นี่คือตัวละครวายร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหนังที่ Marvel สร้าง คำว่าแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึง “พละกำลัง” แต่เป็นบุคลิกและการกระทำของตัวละคร โอเค ผมรู้สึกสนใจในตัวละครอย่างโลกิจาก Thor ทั้งสองภาค แต่วินเทอร์โซลเจอร์ให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นหุ่น T-1000 จากในหนัง Terminator 2 : Judgment Day ทุกย่างก้าวของมันคือ “ภารกิจชนิดกัดไม่ปล่อย” รวดเร็ว รุนแรง ได้ผลเกือบจะทุกครั้ง ทุกครั้งที่วินเทอร์โซลเจอร์โผล่หน้าออกมา ผมจะรู้สึกว่า “เอาแล้วเว้ย!!!” ซึ่งแทบไม่มีหนัง Marvel เรื่องไหนให้ความรู้สึกแบบนี้เลย แม้มันจะไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว ไม่ได้เป็นปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ไม่ได้เป็นจอมทำลายล้างอย่างโรนันใน Guardian of the Galaxy แต่ทุกครั้งที่โผล่ออกมามันจะมีฉากแอ็กชั่นเจ๋งๆเกิดขึ้นเสมอ สรุปคือผมรักทุกฉากที่เป็นฉากแอ็กชั่นของวินเทอร์โซลเจอร์

ดูจบรอบสองแล้วก็ยังพึงพอใจมาก!

(Smiley ผมชอบซีนที่โรเจอร์ไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์กัปตันอเมริกานะ มันได้อารมณ์แบบเหงาๆอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นความรู้สึกฮึกเหิมหรือน่าภาคภูมิใจแท้ๆ)



(Smiley ชอบความรู้สึกของวินเทอร์โซลเจอร์ตรงที่ "โผล่ออกมาทีไรเป็นต้องได้เรื่อง"!)





Create Date : 25 กรกฎาคม 2558
Last Update : 25 กรกฎาคม 2558 19:35:53 น.
Counter : 2300 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog