"วิกฤตการณ์หลังสงกรานต์"
เริ่มเรื่องจากเมื่อวานเริ่มทำงานวันแรกหลังจากวันหยุดยาว เกือบจะเป็นสัปดาห์
ด้วยบรรยากาศปกติ แต่แอบคิดในใจว่าทำไมวันนี้ถนนบนกรุงเทพฯดูเงียบๆผิดปกติ
รถราก็ไม่ค่อยจะติดเท่าที่ควรทั้งที่วันนี้ก็เป็นวันจันทร์
แต่ได้แค่คิด ส่วนเราก็แต่งตัวออกไปทำงานตามปกติ
ด้วยสภาพร่างกายที่มีอาการหวัดเล็กน้อย
.....................................................
ว่าถึงอาการไข้หวัดที่อยู่ก็เป็นขึ้นมา
ทั้งที่ในวันหยุดยาวเราก็ไม่ได้ออกไปเล่นน้ำปะแป้งอย่างใครๆเขา
นอนเล่นอยู่กับบ้านของตัวเอง เราก็นึกหาสาเหตุว่าเป็นได้ยังไงก็นึกไม่ออก
ก็ทำได้แต่รักษาอาการไม่ให้แย่หนักไปกว่าที่เป็นอยู่
พร้อมกับเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ เพื่อที่กลับมาทำงาน
...........................................................
เช้าวันจันทร์ในที่ทำงาน มีเสียงจากหัวหน้าให้ไปรับคำสั่งงาน
ทั้งที่น่าจะเป็นปกติวิสัยของคนทำงานทั่วไป แต่กลับไม่ใช่
เพราะงานที่รับมากลับมาบทต่อท้ายมาว่าจะต้องใช้ในวันรุ่งขึ้น
ดังนั้นงานนี้ คุณ(และเพื่อนอีกคน))เอาไปทำจะต้องส่งภายในพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ไม่มีขาดมีเกินแต่อย่างใด
เมื่อรับรู้งานที่จะต้องทำก็ไม่ได้พูดอะไรแต่อย่างใด
ได้แต่คิดในใจ อีกแล้วงานด๋วนด่วนมาให้ได้ยิ้มกันอีกแล้ว
ส่วนในหน้าที่เราก็ทำไปอย่างเต็มที่เท่าทีจะทำได้
จนเวลาล่วงเลยไปประมาณ 4ทุ่มได้ละมั้ง ก็เห็นงานได้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างพอสมควร
โดยรวมงานชิ้นนี้อาจจะไม่เรียบร้อยดีนัก แต่ก็รียกได้ว่าทุกอย่างโอเค ไป 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ละนะ
...................................................................
นาฬิกา บอกเวลาเกือบจะ 5 ทุ่ม เราเพิ่งจะได้เลิกงานเตรียมตัวกลับไปพักผ่อน
แต่ในระหว่างทางในใจก็นึกไปถึงเสียงจากปลายสายของใครบางคน
ที่โทรมาตอนกือบจะสี่ทุ่มได้ละมั้ง ด้วยเหตุอะไรเราก็ไม่รู้
ว่าทำไมปลายสายถึงโทรมาได้จังหวะแบบนี้เกือบจะทุกครั้งไป
น้ำเสียงก็ถามไถ่พูดคุยด้วยปกติดี นอกเสียจากประโยคหนึ่งจากปลายสาย
พูดออกมาว่าทำไม่ยังนั่งทำงานดึกๆดื่นๆ เราจะทำงานเยอะจนเกินเหตุไปรึป่าว
งานด่วน จะด่วนอะไรได้นักหนา แล้วทำไมเป็นเราละที่เหนื่อยอยู่คนเดียว
เราก็ได้แต่ฟัง และตอบกลับไปแค่ว่าก็เพราะนี่คือหน้าที่ของเราละมั้ง
.........................................................................
ปลายสายวางไปได้สักพักนึงแล้วเราก็มาจดจ่อกับงานด้านหน้าต่อไป
แต่เรายังนึกถึงคำพูดบางประโยคที่ได้ยินจากปลายสาย
ก็เข้าใจละนะว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นอาจจะเป็นห่วงหรือด้วยเหตุอื่นๆก็ตาม
แต่ตัวเราสิ่งที่อย่ากจะได้นะตอนนั้นคือ แค่ความรู้สึกเข้าใจ ไม่จำเป็นที่จะพูดอะไรให้เราฟัง
ขอแค่ยืนอย่เป็นเพื่อน จะฟังจะใส่ใจหรือไมไม่เป็นไร ขอแค่ได้รู้ว่ายินดีที่จะเข้าใจในตัวเราเท่านั้นก็พอ
..........................................................
เช้าวันนี้ ดูทีท่าจากปลายสายเมื่อคืนนี้จะดีขึ้น
หลังจากน้ำเสียงรับโทรศัพท์ของเราดูไม่ค่อยจะดี
แต่ก็เหมือนเดิมอีกเช่นเคย ว่าไม่ถามอะไรเราก็พูดออกมาว่า
วันนี้ถ้าไม่ไหวรู้สึกไม่ดีก็ไม่ต้องไปทำงาน แต่คำพูดประโยคนี้ก็ไม่ได้ขัดกับความรู้สึกเราสักเท่าไหร่
เพราะคราวนี้เหมือนจะเดาใจเราออกหรือไม่ก็ตาม แต่เรานั้นกำลังลังเลว่าจะฝืนลุกไปทำงาน
เพราะห่วงงานที่จะต้องส่งวันนี้ก่อนเที่ยงซึ่งทำได้แค่คิดทำนั้นเพราะร่างกายกลับไม่ขยับตามเลยนะสิ
สรุปพอปลายสายเงียบไปเราก็หลับแบบไม่ได้สติ มารู้สึกตัวตื่นก็เกือบๆจะ 10 โมงเช้าเระ
พอจะให้ตัวเองลุกไหว ใจก็นึกถึงงานทันที แต่ก็นึกไปถึงเพื่อนอีกคนที่ทำงานชิ้นนี้ด้วยกันว่า
คงจะสะสางงานต่อจนเรียบร้อยได้ละนะ เดี๋ยวขอพักผ่อนให้ร่างกายดีอีกหน่อย
แล้วเย็นๆค่อยโทรไปถามข่าวเรื่องงานก็น่าจะโอเคละนะ
................................................................
ย้อนหลับมาดูสภาพร่างกายตัวเองอีกครั้ง รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่สบายบ่อยจังเลย
ขนาดวันนี้ไม่สบายจนหยุดงานก็ยังไม่กล้าโทรไปหาที่บ้านเพราะกลัวว่าแม่จะเป็นห่วง
นั่งนึกที่ร่างกายเราแย่เพราะ เราทำงานเยอะจนไม่มีเวลาผ่อนคลาย หรือบ้างครั้งเครียดกับงานเกินไปรึป่าวนะ
แต่ที่เราใส่ใจทำจนขนาดนี้เพราะ งานที่ทำอยู่เป็นงานที่รักนิน่า
แต่ถ้าวันนึงงานที่รักทำร่างกายเราแย่ เราก็คงต้องยอมถอย เพื่อที่จะไปอยู่กับครอบครัว
เพื่อใส่ใจสุขภาพของเราเอง และเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ทำอย่างที่ตัวเราเคยเป็นอยู่


“บางครั้งเราต้องยอมสละบางอย่าง เพื่อรักษาอีกอย่างเอาไว้”




Create Date : 19 เมษายน 2554
Last Update : 19 เมษายน 2554 13:02:30 น.
Counter : 504 Pageviews.

3 comments
  
งานสำคัญแต่สุขภาพสำคัญกว่าครับ ถ้าร่างกายไม่เต็มร้อยงานก็จะออกมาไม่เต็มที่
พักผ่อนดูแลสุขภาพเยอะๆครับ
โดย: Don't try this at home. วันที่: 19 เมษายน 2554 เวลา:14:04:12 น.
  
ขอให้ผ่านพ้นไปได้โดยดีครับ

มีสติ และสติสต์ นิดหน่อย
โดย: ชายผู้หล่อเหลา...กว่าแย้นิดนึง. (เป็ดสวรรค์ ) วันที่: 21 เมษายน 2554 เวลา:14:27:05 น.
  
มันเจ็บแค่ตอนหายใจ แค่วันละหายหมื่นหน อิอิ
โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 2 พฤษภาคม 2554 เวลา:13:18:48 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เจ็บแต่ตอนหายใจ
Location :
สุราษฏร์ธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เจ็บแต่ตอนหายใจ มาจาก เพลงๆ หนึ่ง
ที่บังเอิญฟังแล้วมันใช่ โดนใจ
เพราะตราบใดที่..เรายังมีลมหายใจอยู่
เราก็ยังรู้สึก และรับรู้ สิ่งต่างๆ
และนั้นคือเหตุผลของการเป็นตัวเรา

พูดถึงล็อกอิน "เจ็บแต่ตอนหายใจ"
หรือคุณเจ็บ ที่เพื่อนบางคนที่เรียกเรา
คุณเจ็บ ก็คือ....

...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ แอบมีโลกส่วนตัวอยู่บ้างบางเวลา
...ชอบที่จะนอนอ่านหนังสือที่ชอบ ฟังเพลง
เพราะๆ มากกว่าออกไปเดินเบียดเสียดกับคนข้างนอก
...เป็นคนง่ายๆ แต่เหมือนจะเยอะในความคิด
...เป็นคนที่อ่อนไหวกับเรื่องราวง่ายๆ และแอบเหงาอยู่บ่อยๆทั้งที่ไม่ได้อยู่คนเดียว
...เป็นคนที่คิดว่าเข้ากับคนง่าย ถ้าเขาฟัง และพูดคุยกับเรารู้เรื่อง
....และน้องเล็กของบ้าน แต่ต้องคอยรับรู้เรื่องราวของครอบครัวมากกว่าพี่สาวคนโต

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
*★*...Time 's the best answer...*★*


New Comments
All Blog