"อานุภาพแห่ง...รอยยิ้ม”

ไม่มีใครสามารถโกรธได้จริงในขณะที่พูดคำว่า “ยิ้ม”


ใครจะรู้ว่ารอยยิ้มเล็กๆอาจนำพาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตมาให้คุณก็ได้


..................


ยิ้มเปรียบเสมือนภาษาสากล


ไม่ ว่าคนเราจะเดินทางไปไหน ณ มุมไหนของโลก


หรืออยู่ในสถานที่ที่มีข้อกีดขวางทางวัฒนธรรมและภาษา


ยิ้มสามารถใช้เป็นภาษาที่สื่อสารและเข้าใจง่ายมากที่สุด


เป็นภาษาที่ไม่ต้องการคำอธิบาย ไม่ต้องอาศัยเวลาเล่าเรียน ฝึกฝน


เพราะทุกคนต่างเข้าใจความหมายแง่บวกที่สื่อออกไปแน่นอน


..............


ยิ้มคือแม่เหล็กดูดมิตร ธรรมดา


แม่เหล็กดูดสิ่งของที่มีประจุต่างกันและผลักสิ่งที่มีประจุต่างกัน


ยิ้มก็เช่นกันเป็นตัวดูดคนดีให้เข้ามาใกล้


ยามที่เราต้องการจะเริ่มบทสนทนา หรืออยากรู้จักเพื่อนใหม่สักคนเพียงส่งยิ้ม แห่งมิตรภาพไป


ไม่ถึงเสี้ยววินาทีคุณก็จะได้รับรอยยิ้มแบบเดียวกันกลับมา


อานุภาพแห่งยิ้มชั่วพริบตานี้อาจนำมาซึ่งมิตรแท้ ที่จะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต


................


ยิ้มเป็นยาชูกำลัง


เมื่อ คนเราเกิดความเศร้า ท้อแท้เป็นอาการป่วยทางจิต


ยาปฏิชีวนะขนาดใดๆก็ไม่สามารถรักษาเยียวยาได้


ทว่าหากมีใครสักคนเดินเข้ามา ด้วยความจริงใจพร้อมมอบรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจให้


แม้ไม่มีคำปลอบประโลมใดแต่ทำให้ใจที่มืดมนเกิดหนทางสว่างขึ้นได้


ประหนึ่งยาชูกำลังจิตใจคนเศร้าหมองให้มีพลัง กลับมายืนหยัดสู้กับปัญหาอีกครั้ง


..............


ยิ้มยังเป็นยาอายุวัฒนะ


ใคร ก็ตามที่มีอารมณ์ดีเป็นนิสัย มองไปคราใดก็พบใบหน้าเปื้นยิ้มอยู่เป็นนิจ


จะเป็นผู้ที่สภาพจิตดีและอายุยืน เขาว่า “ใจเป็นนายกายเป็ยบ่าว”


เมื่อใจซึ่งเป็นนายของกายดี ก็พลอยทำให้บ่าวอย่างกายมีพลานามัยแข็งแรง


ส่งผลให้มีอายุยืนยาวตามไปด้วย


.


.


.


ในทางจิตวิทยากล่าวไว่ว่า ไม่มีใครสามารถโกรธได้จริงในขณะที่พูดคำว่า “ยิ้ม”


แบบทดสอบง่ายๆให้ลองทำหน้าให้บึ้งที่สุด เครียดที่สุด แล้วพูดคำว่า “ยิ้ม” สักสี่ห้าครั้งดูไม่มีทางเลยว่า


คุณจะไม่เผลอหลุดยิ้มออกมาจริงๆในที่สุด



เครดิต //comvariety.com






 


............................

*คุยกันสักหน่อย*
หยุดพักสมอง หยุดคิดเรื่องาน ไปสองวัน กับวันหยุดสุดสัปดาห์เมื่อเสา-อาทิต ที่ผ่านมา
ก็ดูว่าอะไรๆ สภาพร่างกาย จิตใจ อุณหภูมิ ในอารมณ์ ก็เริ่มกลับมาสู่ปกติได้อีกครั้ง
เหมือนในวันนี้เป็นวันจันทร์แรกของการเริ่มการทำงาน อยากพูดอยากคุยกับเพื่อนๆ แต่ไม่มีอะไรมาบ่นให้ฟัง
เลยเอาบทความดีดี มาให้อ่าน เอารอยยิ้มมาแบ่งปันกัน
"ขอแค่ใจเรายิ้มได้ แม้จะเกิดอะไร เราก็จะผ่านพ้นไปได้ค่ะ"




Create Date : 19 กันยายน 2554
Last Update : 19 กันยายน 2554 14:05:33 น.
Counter : 1280 Pageviews.

14 comment
"หอบหืด หรือ ภูมิแพ้หลอดลม"

ชื่อโรคนี้เรียกตามอาการของคนไข้ อาการหอบหืดเกิดจากการหดตัวหรือตีบตันของช่องทางเดินหายใจส่วนหลอดลม ทำให้อากาศเข้าสู่ปอดน้อยลง ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตีบตันของหลอดลม คือ

การหดตัวของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลม
การบวมอักเสบของเยื่อบุภายในหลอดลม
เสมหะจำนวนมากที่คั่งค้างอยู่ภายในหลอดลม

การหดตัวของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลมแท้จริงแล้วเป็นผลจากอักเสบของเยื่อบุหลอดลม การอักเสบส่วนใหญ่จะเป็นการอักเสบเรื้อรังเกิดจากภาวะที่มีการตอบสนองรุนแรงเกินเหตุ

โรคนี้ต่างกับโรคอื่น ๆ คนไข้บางคนเป็นน้อย บางคนเป็นมาก อาจเสียชีวิตได้ ภาวะที่กระตุ้นให้โรคกำเริบก็ต่างกันในแต่ละคนไข้ ตัวอย่างของภาวะหรือสิ่งที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ คือ การหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไปในหลอดลม ภาวะติดเชื้อ โพรงจมูกักเสบ กลิ่นน้ำหอม ยาฆ่าแมลง กลิ่นอับ กลิ่นท่อไอเสีย กลิ่นบุหรี่ ภาวะอากาศเปลี่ยน การออกกำลังกาย โรคทางเดินอาหารบางโรค ภาวะแพ้ยา สารสี สารเคมีต่าง ๆ และภาวะเครียด ในเด็กที่เป็นโรคหอบหืดส่วนใหญ่สองในสามจะมีภาวะภูมิแพ้ด้วย แต่ในผู้ใหญ่ต่างกันที่ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะภูมิแพ้ ความเข้าใจผิดคือ ความเข้าในที่ว่าโรคหอบหืดเป็นผลจากภาวะภูมิแพ้เสมอไป โรคนี้คนเป็นกันมาก ตามสถิติแล้วประมาณ 10-13% ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย

การวินิจฉัยโรคหอบหืดในเด็กทั่วไปแล้วจะยากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กจำนวนไม่น้อยมีอาการอื่นร่วมด้วย เด็กบางคนไม่มีอาการหอบเลยก็ได้ ส่วนใหญ่ประวัติการเจ็บป่วยของเด็กจะไม่ค่อยสมบูรณ์เพราะข้อมูลได้มาจากแม่เด็ก พี่เลี้ยง ครูที่โรงเรียน หรือตัวเด็กเอง อาการสำคัญคือ ไอตอนเช้า กลางคืนตอนดึก ไอเวลาวิ่งเล่น หรือหลังวิ่งเล่น คัดจมูก น้ำมูกไหลร่วมด้วย ในเด็กเล็กที่หอบจากมีสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรคหอบหืด เช่น โรคหัวใจ โรคติดเชื้อในปอด สารแปลกปลอม ถั่ว ข้าวโพดคั่วติดในหลอดลม หรือโรคทางเดินอาหารบางชนิด

การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้โรคหอบหืดกำเริบ ส่วนใหญ่ของเชื้อจะเป็นไวรัสที่ติดมาจากโรงเรียน หรือที่ชุมชน เด็กจำนวนมากที่แพ้สารต่าง ๆ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา แมลงสาบ และอื่น ๆ จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบให้แน่นอน

การรักษาโรคหอบหืดจะต่างกันในคนไข้แต่ละคน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุคนไข้ และภาวะที่เกิดร่วมกับโรคหอบหืด เช่น ภาวะภูมิแพ้ หรือโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง

โดยทั่ว ๆ ไป แนวทางรักษาที่ยอมรับโดยผู้เชี่ยวชาญมีอยู่ 4 ข้อดังนี้
แนะนำให้ใช้การตรวจสอบสมรรถภาพของปอด เพื่อบ่งชี้ความรุนแรงของโรค และเพื่อติดตามวัดผลการรักษา

การใช้ยาเพื่อลดการอักเสบ หรือป้องกันการอักเสบอขงเยื่อบุหลอดลมร่วมกับการใช้ยา เพื่อคลายกล้ามเนื้อรอบหลอดลมที่หดตัว

การควบคุมภาวะแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีภาวะภูมิแพ้ร่วมด้วย รวมถึงการรักษาเฉพาะเจาะจงในภาวะภูมิแพ้

ต้องให้ความรู้คนไข้ และครอบครัวเกี่ยวกับโรคหอบหืด และการปฏิบัติตน เช่น เลิกสูบบุหรี่ วิธีการออกกำลังกาย และวิธีใช้ยาที่ถูกต้อง

การรักษาอย่างต่อเนื่องสำคัญที่สุดในโรคหอบหืด คนไข้ส่วนใหญ่ หรือแพทย์ส่วนใหญ่จะมองข้ามจุดสำคัญนี้ ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นที่พึงพอใจของทั้งสองฝ่าย คนไข้ก็ว่าไม่หายซักที หมอก็ว่าคนไข้ไม่รู้เรื่องไม่ทำตามสั่ง

ผลการรักษาที่ควรเกิดขึ้นมีดังนี้

สมรรถภาพปอดดีขึ้น
คนไข้สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ หรือเกือบปกติ รวมทั้งการออกกำลังกาย
อาการเรื้อรังที่น่าเบื่อหน่วยสำหรับคนไข้สิ้นสลายไปอาการ เช่น ไอ หายใจขัด แน่นหน้าอก
ป้องกันการกำเริบของโรคได้
ผลข้างเคียงจากยาควรจะไม่มี หรือมีน้อยที่สุด

ความเข้าใจที่สำคัญมาก คือ การอักเสบของเยื่อบุหลอดลมในโรคหอบหืดนี้เป็นการอักเสบอย่างเรื้อรัง ต่อเนื่องที่กำเริบได้เป็นระยะ แม้เวลาที่คนไข้รู้สึกดี ไม่มีอาการไอ หรือหอบ ภาวะการอักเสบนี้ยังคงอยู่ตลอดเวลา

ยาหลักที่ใช้ในการรักษา
ยาต้านการอักเสบ
ยาสเตียรอยด์ เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคหอบหืดสำหรับผู้ป่วยเด็ก และผู้ใหญ่ ยานี้มีทั้งรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน และรูปแบบพ่นเข้าสู่หลอดลมโดยตรง อย่างไรก็ตามยาในรูปแบบพ่นถือได้ว่าเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาของคนไข้หอบหืดเรื้อรัง และมีความปลอดภัยสูง เพราะปริมาณยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงใด ๆ จากการใช้ยานี้ ส่วนยาในรูปแบบรับประทานจะใช้รับประทาน เมื่อมีอาการกำเริบอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถจะพ่นยาได้ และจะใช้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่หากรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจพบผลข้างเคียงขึ้นได้เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อ กระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และบวมตามที่ต่าง ๆ

โครโมลิน และนิโดโครมิล เป็นยาพ่นที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และลดการอักเสบที่จะเกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย หรืออากาศเปลี่ยน
อื่น ๆ

ยาขยายหลอดลม
ยาประเภทนี้จะช่วยขยาย หรือคลายกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลมที่หดเกร็งตัว

ยากลุ่มเบต้าอะโกนิส ที่ใช้แพร่หลายคือยาพ่นแบบน้ำ และแบบผง อีกทั้งยังมียาเม็ด และยาน้ำในรูปแบบรับประทาน รวมทั้งรูปแบบที่ใช้กับเครื่องปั๊ม ยากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการขยายหลอดลมสูง นิยมใช้ในคนไข้ที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงในภายหลัง เพราะไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคหอบหืด
ยากลุ่มแซนทีน ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และขยายหลอดลมสำหรับใช้ในคนไข้หอบหืดเรื้อรัง ในปัจจุบันจะพบได้ทั้งยาฉีดยาน้ำ และยาเม็ด ทั้งรูปแบบธรรมดา และออกฤทธิ์เนิ่นเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ผลข้างเคียงพบได้น้อย มีความปลอดภัยสูง

ที่มา  :  //www.thaihealth.or.th





Create Date : 21 เมษายน 2554
Last Update : 21 เมษายน 2554 10:57:00 น.
Counter : 1722 Pageviews.

0 comment
"นอนไม่พอส่งผลร้ายต่อผิวหน้า"

การพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลกระทบด้วยโดยตรงต่อผิวโดยเฉพาะผิวหน้า

 





เพราะว่า...

ช่วงเวลากลางคืนเป็นช่วงที่เวลาที่ผิวจะถูกซ่อมแซม โดยเราสามารถสังเกตุผลกระทบได้ง่ายๆ คือขอบตาที่ดำคล้ำซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูทรุดโทรม ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะลงรองพื้นหน้าเท่าไหร่ก็ไม่สามารถปกปิดได้มิด

วิธีการแก้ไข....
ในระยะเวลาอันสั้นสำหรับสาวๆ ที่เผชิญปัญหาหน้าโทรมเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอคือการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าก่อนค่ะ อาจจะเป็นการพอกโยเกิร์ตทิ้งไว้สัก 10 นาทีหรือฝานแต่งกวาเป็นแว่นบางๆ แล้วแปะไว้บนใบหน้าเพื่อให้ใบหน้าได้ดูซึมความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว หลังจากนั้นคุณก็สามารถใช้เครื่องสำอางค์ตกแต่งปิดบังร่องรอยการนอนดึกที่ผ่านมากได้

แต่วิธีที่ดีสุดคือ...
พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ แค่นี้ผิวหน้าของคุณก็จะดูสดใสเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องใช้เครื่องประทินผิวช่วยแล้วล่ะค่ะ

.


.


.


เครดิต lifestyle.th.msn.com





Create Date : 20 เมษายน 2554
Last Update : 20 เมษายน 2554 12:07:09 น.
Counter : 362 Pageviews.

0 comment
"โลกส่วนตัว" หรือ "โรคส่วนตัว"

คนที่มีโลกส่วนตัวสูง ใครๆ ก็อาจจะคิดไปว่าเป็นเพราะความไม่มีมนุษสัมพันธ์...


ชอบเก็บตัว... ไม่เข้าชอบสังคม... เก็บกดเรื่องบางอย่าง... หรือสูญเสียอะไรบางอย่างไป...


แต่ในบางครั้งสิ่งที่เราคิดมันอาจจะไม่ใช่ อย่างที่เราคิดหรือคาดเดากันก็ได้


คนที่มีโลกส่วนตัวสูง เขาอาจจะแค่ต้องการอยู่กับความคิดของตัวเอง อยู่กับความฝันของตัวเอง


และเมื่อใดที่มีโอกาสที่ต้องออกไปสู่ "โลกส่วนรวม"


เขาก็คงไม่ต่างจากคนทั่วไป มีกิน มีนอน มีเที่ยว มีเหงา มีหัวเราะ คละเคล้ากันไป


"โลกส่วนตัว" ก็คงไม่ต่างอะไรกับ "โรคส่วนตัว" ชนิดหนึ่งที่อยู่เป็น


"โลกประจำตัวเราทุกคน" จะมากจะน้อย ขึ้นอยู่ที่ตัวแปรของสภาพจิตใจของแต่ละคนในขณะนั้น


"โรคส่วนตัว" ทางวงการแพทย์ยังยืนยันว่าไม่มียาตัวไหนรักษาให้หายขาดได้


ส่วน "โลกประจำตัว" ทางวงการภูมิศาสตร์ก็ยืนยันอีกว่ามีอยู่ในคนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยรุ่น


"โรคส่วนตัว" เป็นอาการของคนป่วย(ใจ)ชนิดหนึ่ง


(ไม่ถึงขั้นอกหัก แค่ปวดกบาลอย่างแสนสาหัสเพราะความไม่เข้าใจกันของคน!)


และยังไม่มีทีท่าว่าจะมีตัวยาชนิดไหนรักษาผู้ติดเชื้อได้


โดยจากคำบอกเล่าของผู้ป่วยนั้น ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า


โรคนี้ต้องได้รับการดูแลจากคนใกล้ชิดสนิทกันเท่านั้น


ต้องใช้ "การกระทำ" แทนการผ่าตัด และใช้ "หัวใจ"


ในการรักษาเยียวยา ...Smiley








อ้างอิงข้อมูลมาจาก exteen.com






Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2554 11:44:00 น.
Counter : 1066 Pageviews.

1 comment

เจ็บแต่ตอนหายใจ
Location :
สุราษฏร์ธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เจ็บแต่ตอนหายใจ มาจาก เพลงๆ หนึ่ง
ที่บังเอิญฟังแล้วมันใช่ โดนใจ
เพราะตราบใดที่..เรายังมีลมหายใจอยู่
เราก็ยังรู้สึก และรับรู้ สิ่งต่างๆ
และนั้นคือเหตุผลของการเป็นตัวเรา

พูดถึงล็อกอิน "เจ็บแต่ตอนหายใจ"
หรือคุณเจ็บ ที่เพื่อนบางคนที่เรียกเรา
คุณเจ็บ ก็คือ....

...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ แอบมีโลกส่วนตัวอยู่บ้างบางเวลา
...ชอบที่จะนอนอ่านหนังสือที่ชอบ ฟังเพลง
เพราะๆ มากกว่าออกไปเดินเบียดเสียดกับคนข้างนอก
...เป็นคนง่ายๆ แต่เหมือนจะเยอะในความคิด
...เป็นคนที่อ่อนไหวกับเรื่องราวง่ายๆ และแอบเหงาอยู่บ่อยๆทั้งที่ไม่ได้อยู่คนเดียว
...เป็นคนที่คิดว่าเข้ากับคนง่าย ถ้าเขาฟัง และพูดคุยกับเรารู้เรื่อง
....และน้องเล็กของบ้าน แต่ต้องคอยรับรู้เรื่องราวของครอบครัวมากกว่าพี่สาวคนโต

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
*★*...Time 's the best answer...*★*


New Comments